..ร้า

712 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 23 พฤศจิกายน 2009 เวลา 21:33 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 5815

อากาศดีดีอย่างนี้ผมก็ปิดแอร์รถ เปิดกระจก รับลมเย็นข้างนอก

โอ้….ดีจริงๆ.. เพลินไปเลย

ผมชอบฟังข่าวหนักๆจึงเปิดวิทยุ AM รัฐสภาฟังการอภิปราย ก็ได้ความรู้มาก ฟังความเห็นคนโน้นคนนี้ วิเคราะห์สาระคนโน้นคนนี้ บางทีก็เบื่อสุดเบื่อ ที่สภาวุ่นวายจริงๆ แต่ก็ได้ความรู้ เหมือน update บ้านเมือง


เมื่อ ผ่านกุฉินารายณ์ ก็เข้าเส้นทางไปมุกดาหาร มีหลายช่วงที่ถนนสวยมาก ผมชอบ เพราะเหมือนอุโมงค์ต้นไม้ ผมขับรถช้าเพราะรถตำแหน่งนั้นเก่าและโทรมมากๆ ไม่กล้าขับเร็วๆ เพราะซ่อมใหญ่มาหลายครั้งแล้ว จริงๆควรจะปลดระวางได้แล้ว แต่โครงการไม่มีนโยบายเปลี่ยนรถให้ นอกจากเปิดโครงการใหม่ ก็จะซื้อรถใหม่ ตามปกติของโครงการ

เอ บรรยากาศก็ดี อากาศก็เย็นดี ทำไมกลิ่นโชยมาไม่ค่อยดีเลย


เลยขับรถเร็วขึ้นเข้าไปดู รถคันข้างหน้า

ป๊าดดดดด นั่นมันรถบรรทุกปลาร้านี่เอง

ในปี๊บเต็มหลังรถคันนั้น มีแต่ปี๊บปลาร้า มุ่งหน้าไปคำชะอี มุกดาหาร เส้นทางเดียวกับเรา ผมเลยเร่งแซงไปเลย ควบอีแก่ปุเลงๆแซงไปอยู่ข้างหน้า เฮ่อ ค่อยหายเหม็นหน่อย..

ใจยังนึกว่า โห ก็ปี๊บนั่นขึ้นสนิมเต็มไปเลย มันจะมีผลกับ ส้มตำปลาร้าไหมหนอ

เฮ่อ ใครชอบส้มตำปลาร้าระวังเด้อ…..อิอิ


Meeting on blog

301 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 23 พฤศจิกายน 2009 เวลา 20:34 ในหมวดหมู่ ทุนสังคม, เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 2354

เราทราบกันดีว่าสังคม Blog ได้สร้างมิติใหม่ของการเรียนรู้ในบ้านเรา ที่เรียก KM และแนวความคิดเรื่องนี้ก็กระจายไปมาก มี Blog เกิดขึ้นมากมายจนนับไม่ถ้วน ทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก ทั้งที่ก่อประโยชน์ และสร้างปัญหา

แต่ที่ลานแห่งนี้เป็นกลุ่มคนคอเดียวกัน แต่ก็กำลังเคลื่อนตัวไปสะดุดบ้าง ราบรื่นบ้างก็เป็นไปตามปรากฏการณ์ของการเคลื่อนตัวขององค์กรที่ผมเฝ้าสังเกตมา ผมไม่กล่าวถึงตรงนั้น แต่อยากจะขยายมุมมองที่พ่อครูบาฯพยายามใช้เวทีนี้ให้เป็นประโยชน์ และได้ใช้มาแล้วหลายครั้ง ท่านเองก็พอใจ(ระดับหนึ่ง)

ผมเข้ามาอยู่ในวงการนี้ก็ สามปีแล้ว เห็นประโยชน์และพยายามเอาไปขยายสู่องค์กรที่สังกัด แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเลย ทั้งหมดเป็นผู้อ่านเพียงอย่างเดียว แปลกนะ เวลาประชุมต่อหน้าบ่อยครั้งก็คุยกันข้ามวันข้ามคืน แต่ไม่เขียน เวลาผมเขียนก็ไม่มีความคิดเห็นย้อนกลับ เฉย เงียบ เลยไม่รู้ว่า เอ มันเอาไงแน่ รู้แต่ว่า หัวหน้างานที่เป็นชาวต่างประเทศ เอาไปแปลและสนับสนุนให้ขยายเรื่องนี้ต่อไปจนเปิด Web ขององค์กร แล้วอบรมเลขานุการทุกสำนักงานให้เอาผลงานทุกอย่างของโครงการไปใส่ที่นั่น เพื่อทุกคนจะได้เข้าถึงข้อมูลทันที ลดการส่ง Fax เอกสารที่เป็น hard copy ลดต้นทุน…

ย้อนกลับมาที่ ประเด็นของพ่อครูฯ ที่ท่านใช้ Blog เป็นเวทีระดมความคิดเห็น และหลายๆคนก็แสดงความเห็นไปใน Comment และท่านก็เอาผลไปประมวลแลกเปลี่ยนกับกลุ่มอื่นๆต่อไป ผมอยากเรียกว่า เป็นการประชุมทาง Blog ซึ่งผมชอบมาก การประชุมทาง Blog นี้มีประโยชน์หลายประการ


อย่างที่ผมลองสรุปมาเป็นเบื้องต้นนี้ ผมประมวลว่า ทั้งตัว Blog นั้นมีประเด็นที่น่าสนใจและความคิดเห็นของเพื่อนๆที่แสดงเข้ามาก็น่าสนใจ หลายครั้งผมพบว่ามันช่วย เตือนสติเรา เป็นความรู้ใหม่มีประโยชน์ก็เอาไปปรับใช้ มีมากมาย เช่น การปลูกผักของโสทร ผมก็เอาไปใช้ แนวทางการป้องกันโรคของหมอตา ความรู้เรื่องกฎหมายที่ดินที่ อัยการเล่าให้ฟัง พืชผักที่เป็นประโยชน์ต่างๆที่อาม่าเอามาขยาย ที่พ่อครูเล่าให้ฟัง โอยมากมาย

ความรู้ทั้งหลายนั้นเอามาวางในที่สาธารณะใครๆก็เข้ามาเรียนรู้ได้ ทุกเมื่อเชื่อวัน วงสังคมนี้เชื่อมความสัมพันธ์แก่กัน ผมมาอยู่ขอนแก่นจนเป็นชาวขอนแก่นไปแล้วนานมาแล้วไม่รู้จักป้าหวานที่อยู่ใกล้ๆกันเอง แต่ก็มารู้จักกันใน Blog นี้ และที่สำคัญ หากมีการระดมความคิดเห็นต่อประเด็นใดๆ ก็สามารถเอาเหตุผลทั้งหมดนั้นมาสรุปความรู้ได้

มันก็เหมือนการประชุมทาง Blog นี่เอง


ผมสนับสนุนเวทีแบบนี้ เพราะผมมองเห็นประโยชน์หลายอย่าง ดังตัวอย่างที่ผมสรุปมาในแผนผังข้างบนนี้ เลยนึกไปถึงว่า คนข้างกายผมเดินทางไปประชุมกรุงเทพบ่อย จน ไมล์เลจน์ มากพอที่จะได้ตั๋วฟรีให้ลูกสาวบินไปไหนต่อไหนมาหลายครั้งแล้ว

ผมลองคำนวณดูว่า หากเราประชุมทาง Blog โดยไม่เดินทาง คงจะประหยัดงบประมาณมากมายทีเดียว เช่น ค่าเครื่องบิน ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าแท็กซี่ ค่าอื่นๆ ต่อคนก็ไม่ใช่น้อย และเอาจำนวนคนคูณเข้าไปก็มหาศาลทีเดียว การประชุมหลายครั้งก็ไม่ได้พูดสักคำ ปิดประชุมแล้ว

ยกเว้นการประชุมที่สำคัญๆที่จำเป็นต้องเห็นกันต่อหน้า

แน่นอนจุดอ่อนก็มี แต่เราก็สามารถพิจารณาได้ว่า การประชุมแบบไหนที่ใช้ Blog ก็พอ การประชุมแบบไหนที่ต้องแบบเห็นหน้ากัน หรือจะใช้แบบ tele-conference ก็เป็นทางเลือกมากขึ้นในปัจจุบัน


ในหลวงของแผ่นดิน..

31 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 23 พฤศจิกายน 2009 เวลา 13:15 ในหมวดหมู่ ทุนสังคม #
อ่าน: 865

ผมเชื่อว่าบทความสั้นๆต่อไปนี้ทุกท่านคงผ่านตามาแล้ว แต่ผมก็ยังประสงค์บันทึกในลานนี้อีกเพื่อเป็นศิริมงคลแก่ลานปัญญาต่อไป เจตนาผมต้องการเทิดทูลพระองค์ท่าน ในวาระที่จะครบรอบวันสำคัญ 5 ธันวาคมที่จะมาถึงนี้ ผมไม่เคยมีบุญได้รับใช้เบื้องพระยุคลบาท แต่การทำงานเพื่อสังคม และพยายามเป็นคนดี ก็ถือว่าสนองพระคุณแด่พระองค์ท่าน และแผ่นดินนี้

ต่อไปเป็น FW mail ที่ผมได้รับมาสามรอบแล้วครับ จึงขอนำมาบันทึกในที่นี้เพื่อเตือนสติแก่พวกเราด้วย

————————————-

30 บาทรักษาทุกโรค

ในขณะที่ในหลวงท่านทรงประชวรเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่ข้าพเจ้าศึกษาอยู่เมื่อต้นปีนี้ มีข้าราชบริพารเข้าเยี่ยมจำนวนมาก ทุกคนคงจำได้ที่เป็นข่าวใหญ่โตที่นายกฯท่านหนึ่ง บังอาจถวายบัตร 30 บาท ให้พระองค์ เพื่อใช้สิทธิ์ สร้างความแค้นเคืองใจให้พสกนิกรชาวไทยทุกคน แต่ไม่มีใครรู้เบื้องหลังว่าพระองค์ทรงตอบว่าอย่างไร ในหลวงทรงตรัสว่า “ไม่เป็นไรหรอกหากข้าพเจ้าไม่สามารถจ่ายค่ารักษาได้ แต่คงสามารถใช้บัตรผู้สูงอายุได้หรือจะใช้สิทธิข้าราชการของบุตรี (ฟ้าหญิง) ก็ได้”
ท่านพูดเสียงเรียบๆ ไม่ได้รู้สึกว่าถูกลบหลู่เลยพูดเสร็จก็ยื่นบัตรทองใบนั้น ให้นายกที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ฟังแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ว่าท่านตอบได้น่ารักมาก เคยมีคนถามผมว่านับถือใครมากที่สุด คิดถึงคนแรกและคนเดียวเลยคือ ในหลวงท่านเหนือกว่ากษัตริย์ใดในโลกหล้ายิ่งใหญ่กว่าวีรบุรุษคนใดในตำนาน มีคุณธรรมประเสริฐล้ำเทียบพระโพธิสัตว์ ขอถวายความจงรักภักดีจนกว่าชีวีจะหาไม่

เชื้อโรคตายหมด

หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี ผู้อำนวยการโครงการหลวง

……. เหตุการณ์ในปี ๒๔๑๓ ที่ควรจะนำมากล่าว เพราะมีผลต่อจิตใจของชาวเขา และควรที่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ได้ทราบเพื่อพยายามเดินตาม “เบื้องยุคลบาท”วันนั้นเสด็จฯ ไปหมู่บ้านดอยจอมหด พร้าว เชียงใหม่ ผู้ใหญ่บ้านลีซอกราบทูลชวนให้ “ไปแอ่วบ้านเฮา” ก็เสด็จฯ ตามเขาเข้าไปบ้านซึ่งทำด้วยไม้ไผ่ และมุงหญ้าแห้งเขาเอาที่นอนมาปูสำหรับประทับ แล้วรินเหล้าทำเองใส่ถ้วยที่ไม่ค่อยจะได้ล้างจนมีคราบดำ ๆ จับ ผู้เขียนรู้สึกเป็นห่วงเพราะตามปกติ ไม่ทรงใช้ถ้วยมีคราบ จึงกระซิบทูลว่าควรจะทรงทำท่าเสวยแล้วส่งถ้วยมา พระราชทานให้ผู้เขียนจัดการ แต่ก็ทรงดวดเองกร้อบเดียวเกลี้ยง ตอนหลังรับสั่งว่า..”ไม่เป็นไร แอลกอฮอล์เข้มข้น เชื้อโรคตายหมด” จากหนังสือในหลวงที่สุดของหัวใจ

ข้าวผัดไข่ดาว โดย ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล

วันหนึ่งเสด็จฯเขาค้อเปิดอนุสาวรีย์ พอเปิดอนุสาวรีย์เสร็จพระองค์ท่านก็ขอกลับไปที่พระตำหนักเฟื่อจะทรงเปลี่ยน ฉลองพระบาทเพราะเดี๋ยวจะไปดูงานในป่าในดง………เราก็ไม่ได้ทานข้าวไม่มีใครทานข้าว ตอนนั้นบ่ายสองโมงแล้วก่อนจะเปลี่ยนฉลองพระบาทสักยี่สิบนาทีน่าจะพุ้ยข้าวทันก็รีบวิ่งไปห้องอาหารที่เตรียมไว้ปรากฏว่าพวกที่ไม่ได้ ตามเสด็จเขาทานกันหมดแล้วในนั้นจึงเหลือข้าวผัดติด ก้นกระบะกับมีไข่ดาวิ้งแห้งไว้ 3-4 ใบ เราก็ตักเห็นมีข้าวอยู่จานหนึ่งวางไว้ มีข้าวผัดเหมือนอย่างเราไข่ดาวโปะใบหนึ่ง มีน้ำปลาถ้วยหนึ่งวางอยู่เพื่อนผมก็จะไปหยิบมา มหาดเล็กบอกว่า “ไม่ได้ๆ ของพระเจ้าอยู่หัว ท่านรับสั่งให้มาตัก”
ดูสิครับตักมาจากก้นกระบะเลยผมนี่น้ำตาแทบไหลเลยท่านเสวยเหมือนๆกันกับเรา…… ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ จากหนังสือในหลวงที่สุดของหัวใจ


พับเพียบ

รองศาสตราจารย์ ดร.สุธี อักษรกิตติ์ผู้สนองพระราชดำริ ในโครงการระบบสื่อสารสายอากาศ และอิเล็กทรอนิกส์

… ในครั้งแรก ผมทำงานตามพระราชดำริ โดยไม่ทราบว่าเป็นงานของพระองค์จนกระทั่งวันหนึ่ง มีคนบอกว่า ให้เข้าไปในวังด้วยกัน และให้นำระบบสายอากาศชนิดใหม่ขึ้นไปติดตั้ง ก็ไม่ได้คิดว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จฯ มาแต่ว่าแปลกใจทำไมอยู่ดี ๆเจ้าหน้าที่ที่กำลังติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆอย่บนดาดฟ้าของพระตำหนักถึงปีนลงมาทั้ง ๆ ที่งานยังไม่เสร็จ แท้ที่จริงพระองค์ท่านเสด็จฯ มายืนอยู่ข้างหลัง ผมเหลียวหลังไปมองนิดหนึ่ง ครั้นพอเห็นพระองค์ท่านก็ตกใจ เป็นอาการวูบขึ้นมาทันที นึกอยู่ในใจว่าใช่แล้ว ใช่แน่ ๆ เพราะคิดว่าเหมือนในรูปผมก็รีบทำความเคารพ แล้วก็ทำอะไรไม่ถูก สิ่งที่ผมจำได้คือเราต้องอยู่ต่ำกว่าจึงรีบคุกเข่าให้ต่ำลงมา เป็นเหมือนชันเข่า เพราะว่าตอนนั้นพระองค์ท่านประทับยืนอยู่ ถ้านั่งพับเพียบเลยก็จะต่ำเกินไปเพราะว่าผมต้องพูดอธิบายด้วย ปรากฏว่าพระองค์ท่านก็คุกเข่าลงไปด้วย ผมก็เลยนั่งพับเพียบให้ต่ำลงไปอีก พระองค์ท่านก็ประทับพับเพียบเหมือนกันเลยกลายเป็นว่าวันนั้น นั่งพับเพียบสนทนากัน ๒-๓ ชั่วโมงบนดาดฟ้าพระตำหนักในเวลาช่วง บ่ายที่ร้อนเปรี้ยง ……. จากหนังสือในหลวงที่สุดของหัวใจ

ไม่ต้องกั้น

โดยดร.สุเมธ ตันติเวชกุล มีอยู่ครั้งหนึ่งเสด็จฯไปที่เซ็นทรัลวันที่มีประชุมรัฐสภาโลก วันนั้นผมจำได้ผมติดอยู่บนท้องถนนฝนตก ผมก็มีวิทยุเลยได้ยินรับสั่งมากับตำรวจมาเลย “วันนี้ไม่ต้องกั้นรถ”ทรงเข้าใจความทุกข์ของราษฎรอยู่ตลอดเวลา วันนี้เป็นวันฝนตกรถติดกันอย่างมหาศาล ถ้าขืนต้องไปติดขบวนอีกสร้างความทุกข์ให้กับประชาชนทรงวิทยุบอกตำรวจว่า “ขบวนจะแล่นไปพร้อมกับรถของประชาชนไม่ต้องกั้นเคลื่อนที่ไปพร้อมกัน” จากหนังสือในหลวงที่สุดของหัวใจ

กส. ๙

พลตำรวจตรี สุชาติ เผือนสกนธ์อดีตอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข
..พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงใช้เครื่องวิทยุที่ทรงมีอยู่ เฝ้าฟังและติดต่อกับ “ปทุมวัน” และ “ผ่านฟ้า” เป็นครั้งคราวเมื่อทรงว่างพระราชภารกิจอื่น การติดต่อทางวิทยุได้ทรงมีพระบรมราชานุญาต ให้ผู้ที่ติดต่อกับพระองค์ท่านไม่ต้องใช้ราชาศัพท์ พระองค์ท่านทรงจดจำสัญญาณเรียกขาน, ประมวลคำย่อ (โค๊ด “ว”)ได้อย่างแม่นยำ และใช้ได้อย่างถูกต้อง ซึ่งนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อยยังปฏิบัติไม่ได้ โดยการรับฟังการติดต่อในข่ายวิทยุของตำรวจนี้เองจึงทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบข่าวรายงานเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่นข่าวโจรกรรม ,อัคคีภัย ,การจราจรได้ทุกระยะ ในการเสด็จจากที่ประทับของพระองค์ท่านเพื่อปฏิบัติพระราชภารกิจ


… จึงทรงพระกรุณารับสั่งให้สมุหราชองครักษ์ติดต่อประสานงานกับกรมตำรวจ ให้สั่งการสถานีตำรวจท้องที่ติดต่อสื่อสารทางวิทยุกับแผนกรักษาความปลอดภัย บุคคลสำคัญ กรมราชองครักษ์ เพื่อจะได้ทราบกำหนดเวลาเสด็จออกจากพระตำหนักที่ใกล้เคียง และปิดการจราจรในเส้นทางผ่านเพียงช่วงเวลาสั้น ๆประชาชนจะได้ไม่เดือดร้อน

… มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ได้รับสั่งทางวิทยุ กับพนักงานวิทยุ
สถานีวิทยุกองกำกับการตำรวจนนทบุรี เพื่อจะพระราชทานคำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติ การสื่อสารบางประการโดยทรงใช้สัญญาณเรียกขานว่า “กส. ๙” ติดต่อเข้าไป พนักงานวิทยุผู้นั้นจำพระสุรเสียง ไม่ได้จึงได้สอบถามว่า “เป็น กส.๙” จริงหรือปลอม ทั้งดูเหมือนจะใช้คำพูดไม่สู้จะเรียบร้อยเรื่องนี้จึงเดือดร้อน มาถึงผู้เขียน เนื่องจากได้รับสั่งเล่าเหตุการณ์มาให้ทราบเพื่อให้ช่วยยืนยันว่าเป็น “กส.๙ จริง”

…ด้วยพระมหากรุณาธคุณ พระองค์ท่าน ยังทรงห่วงใยว่าพนักงานวิทยุผู้นั้น จะถูกลงโทษทางวินัย จึงได้รับสั่งทางวิทยุให้ผู้เขียนติดต่อประสานงานกับผู้บังคับบัญชาของพนักงานวิทยุ ขออย่าให้มีการลงโทษเลย จากหนังสือในหลวงที่สุดของหัวใจ

ตัวยึกยือ

มนูญ มุกข์ประดิษฐ์ รองเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อดีตเลขาธิการ สำนักงานกรรมการพิเศษ เพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

…… พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จจะพระราชดำเนินด้วยพระบาท เข้าไปในป่ายางท่ามกลางฝนตกหนักโดยมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ตามรอยพระยุคลบาทไปไม่ห่างเป็นระยะทางถึง ๒ กม. เศษ

…. นี่คือสิ่งที่มิใช่สามัญธรรมดาในความรู้สึก ของผู้คนและความไม่สามัญ ธรรมดานี้ ก็ยิ่งไม่ธรรมดามากยิ่งขึ้น เป็นทวีคูณเนื่องเพราะบริเวณนี้คือ “ดงทาก” หรือ “รังทาก”อันมีทากชุกชุม ที่สุดแห่งหนึ่งของภาคใต้

…กว่าจะถึงจุดหมาย คือบริเวณพื้นที่ที่จะพิจารณาสร้าง อ่างเก็บน้ำเพื่อใหม่มีน้ำไว้ใช้ สำหรับพื้นที่ ๕,๐๐๐ ไร่ใน ๓ เขตตำบลคือ เชิงคีรี มะยูง และรือเสาะ เกือบทุกคนก็โชกฝน และโชกเลือด แม้ทูลกระหม่อมทั้งสองพระองค์ ก็มิได้รับยกเว้น


….. ค่ำวันนั้น ระหว่างเสด็จพระราชดำเนินกลับพระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ อากาศปลายฤดูฝน กำลังสบาย ดวงดาวบนท้องฟ้า เริ่มจะปรายแสงขบวนรถยนต์พระที่นั่ง ได้หยุดลงอย่างกะทันหันโดยไม่ทราบสาเหตุบนทางหลวงที่มืดสงัด เป็นเวลาหลายนาทีถามไถ่ได้ความภายหลังว่ายังมีทากหลงเหลือ กัดติดพระวรกายอยู่อีก เมื่อรู้สึกพระองค์จึงได้ทรงหยุดรถยนต์พระที่นั่งและรับสั่งให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯช่วยจับทากที่ตัวเป่งด้วยพระโลหิตออกจากพระวรกาย

… ทรงเรียกการทรงงานวิบาก ที่เชิงคีรีครั้งนี้ในภายหลังว่าสงครามกับตัวยึกยือ ที่เชิงคีรี “  จากหนังสือในหลวงที่สุดของหัวใจ



Main: 0.052469968795776 sec
Sidebar: 0.061042070388794 sec