ผมจะฟ้องห้างดัง..หาก…

385 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 31 ธันวาคม 2009 เวลา 0:14 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 11951

ท่านคงทราบบ้างแล้วนะครับที่ขอนแก่น ตรงสี่แยกประตูเมืองนั้นมีห้างใหญ่มาตั้ง สองห้างอยู่ในที่เดียวกันคือ เซ็นทรัล กับโรบินสัน

ตั้งแต่เปิดมาเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. ผมก็ยังไม่ได้เข้าไป และคงยังไม่เข้าไปอีกนาน ไม่ได้แอนตี้อะไรหรอกครับ ไม่มีความจำเป็นเท่านั้นแหละ

วันนี้เอารถไปเช็คก่อนใช้เดินทางไกล เพราะคนข้างกายนัดรวมพี่น้องกันที่บ้านพี่ชายใหญ่ ซึ่งเป็นอดีตนายช่างแขวงการทางที่กำแพงเพชร ลาออกก็เลยปลูกบ้านอยู่ที่นั่นเลย ประมาณ 4 ชั่วโมงที่เช็ครถ ความจริงไม่นานก็เสร็จแต่ช่างเขามาปรึกษาว่าเบรกหน้าสึกมากแล้ว แนะนำให้เปลี่ยน ซึ่งใช้เวลามาก ต้องเอาจานเบรกไปขัดให้เรียบก่อนประกอบใหม่ที่เรียก เจีย


เมื่อเสร็จก็เย็นพอดีไปรับคนข้างกายแล้วเธอก็แนะนำว่าลองผ่านไปหน้าเซ็ลทรัลหน่อยเพราะเขาโฆษณาว่าจะมีการแสดงสีแสงเสียง จะปิดถนน เอ้าไปก็ไป รถก็ติดตามเคย เห็นเขาเตรียมงานแล้วคงมหึมาแน่ นายทุนใหญ่จะมาอยู่ขอนแก่นก็มาแสดงอิทธิฤทธิ์ การแสดงหรูๆให้คนขอนแก่นฮือฮาซะหน่อย อะไรทำนองนั้น เทศบาลก็อ้าปากรับซิ…

ทำธุระเสร็จก็เข้าบ้านเพื่อเตรียมตัวเดินทางพรุ่งนี้เช้า สักสองทุ่มได้ ห้างใหญ่ก็ทดลองยิงพลุ ดอกไม้ไฟ นัยว่า ทดลอง สามสี่ลูก เสียงดังมาก

เท่านั้นเอง เจ้าคุกกี้ของผมปกตินอนหน้าบ้านก็วิ่งมาหลังบ้านตะกายโต๊ะหลังบ้านแขวกๆ คนข้างกายรู้ดีว่าเจ้าคุกกี้กลัวเสียงดัง ก็ลงไปหามันตั้งใจจะปลอบมัน พอเปิดประตูหลังบ้านเท่านั้น มันวิ่งเข้ามาในบ้านพร้อมทั้งหายใจแรง เหมือนคนฝันร้ายแล้วตื่นมาตกใจ เจ้าคุกกี้กระวนกระวายมาก หอบมากๆ จนคนข้างกายกลัวมันช๊อกตาย ก็ลูบหัวมันแล้วบอกมันว่าไม่มีอะไรแล้ว เขาหยุดทำเสียงดังแล้ว น่ากลัวมากจริงๆท่าทางตกใจของหมา


ผมรู้นิสัย จึงไปเอากล่องใส่ทีวีใหญ่ๆมาตะแคงให้มันซุก เอาผ้าเก่าๆให้มัน เพราะเคยเห็นเขาวิ่งไปซุกที่แคบๆเมื่อมีเสียงดัง แล้วก็นั่งลูบหัวอยู่พักใหญ่ มันก็ยังหอบอยู่ เลยคิดอะไรเล่นๆขึ้นมา เดินไปหาเชือกมา ได้เชือกปอมาเส้นหนึ่ง ก็เอามาผูกขามันเหมือนผู้ใหญ่ผูกแขน “เรียกขวัญ” อ่ะ

มาเด้อขวัญเอ้ย…ขวัญ เจ้าไปอยู่ที่ไหนกลับมาหาเจ้าคุกกี้เด้อ… คุ้กกี้มันไม่รู้เรื่องหรอก มันมองเมื่อเราผูกขาหน้าขวามัน ก็เอาปากมากัด อิอิ.. สักพักที่เราอยู่กับเขา ลูบหัวเขา เขาก็สงบลง

ผมคิดไปว่า ตายละพรุ่งนี้เราไม่อยู่บ้าน แล้วเซ็นทรัลจะต้องจุดพลุเป็นสิบเป็นร้อยลูกแน่ๆ เพื่อประกาศศักดาห้างใหญ่ นัยว่า เป็นของขวัญชาวขอนแก่น ผมไม่อยู่ เจ้าคุกกี้จะทำอย่างไรดี คนข้างกายบอกให้เอาไปด้วย ก็ไม่สะดวก เลยต้องจ้างผู้ช่วยแม่บ้านมานอนด้วย ช่วงเขาจุดพลุต้องเอาคุ้กกี้เข้ามาในบ้านแล้วลูบหัวเขาจนกว่าเขาจะสงบ

ห้างใหญ่นะ หากทำให้เจ้าคุ้กกี้ผมตกใจตายไปละก็ผมจะฟ้องร้องเลยหละ…หุหุ

ข้อหาจัดงานฉลองเค้าท์ดาวน์ปีใหม่จุดพลุดัง…

จนคุ้กกี้ตกใจตาย..หึหึ..


เจ้าสีนวน

317 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 30 ธันวาคม 2009 เวลา 12:00 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 16281

 

 

คิดถึงเจ้าสีนวน

เจ้าหายหน้าไป

ไม่มาเล่นที่ต้นก้ามปูหลังบ้านให้ได้เห็นหลายวันแล้ว

หรือเจ้าไปเที่ยวห้างเซ็ลทรัล โรบินสัน ซะเพลินแล้ว. อิอิ


เสียงบ่นจากพ่อบ้าน..

640 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 28 ธันวาคม 2009 เวลา 4:11 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 11257

บ้านคือวิมานของเรา ผมก็รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ จะดีจะชั่วก็บ้านของเรา ยิ่งสภาพปัจจุบัน ผมก็ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่มุกดาหาร ลูกสาวก็ทำงานกรุงเทพฯ คนข้างกายก็เดินทาง เหนือ ใต้ ออก ตก โดยเฉพาะที่ปัตตานีนั้น เธอไปเดือนละครั้ง

ผมชอบที่จะอยู่บ้าน การอยู่บ้านนั้นนอกจากจะทำตัวสบายๆ อยากทำอะไรก็ทำ จะเดินถอดเสื้อ ผึ่งพุงกลมๆ ก็ทำไปไม่มีใครมาว่า ยกเว้นใครจะยิงสายตามาแบบ เฮ่อ สมเพศหุ่นจริงๆ ก็ช่างเขาปะไร

บ้านจัดสรรราคากลางๆนั้น มีปัญหามากมาย ทั้งหมู่บ้านมีปัญหาหลังคารั่วซึม ทรุด เพราะเป็นดินถม ก็ซ่อมกันไป อยู่กันไป หลายครั้งชาวบ้านจะเห็นผมไปยืนบนหลังคา เอาฟรินท์โค๊ดไปทาตรงรอยรั่วซึม ก่อนฤดูฝนจะมา หรือไปเอาใบไม้ออกจากรางน้ำ หรือไปสำรวจโน่นนี่ตามประสา.. อิอิ บางทีก็ปีนไปดูเมฆ ไปถ่ายรูปท้องฟ้ายามใกล้ค่ำ..จนได้รูปสวยๆมาโดยบังเอิญเมื่อสามเดือนที่แล้ว

ปัญหาใหญ่อีกสิ่งหนึ่งคือ ปลวก ที่พ่อครูก็บ่นอยู่ว่า ไม่รู้มันแอบขึ้นบ้านไปเมื่อไหร่ เชิญก็ไม่ได้เชิญ กว่าจะรู้ตัว อ้าว พ่อซัดซะเรียบร้อยไปแล้ว สร้างความรำคาญไม่จบสิ้น

ตั้งแต่อยู่บ้านนี้มาผมจ้างบริษัทมาฉีด พ่น เคาะ หยอด เจาะ ดูแลปลวกด้วยสารเคมีมา 3 ครั้งใหญ่ๆ จนบริษัทนั้นเลิกกิจการไปแล้ว.. ปลวกก็ยังคงอยู่ นี่แอบมากินพื้นปาเก้จนแหว่งไปหลายแผ่นอีกแล้ว ผมอุตสาห์ไปซื้อ Head Stethoscope ราคาถูกๆ เครื่องมือที่หมอฟังหัวใจน่ะแหละ มาฟังปลวกกัดไม้ แล้วก็ทำเครื่องหมายไว้ เพื่อจะได้จ้างช่างกำจัดปลวกมาจัดการ

แล้วก็เข้า internet ค้นหาว่ามีบริษัทอะไรบ้างที่กำจัดปลวก ไปพบว่ามีบริษัทหนึ่งใช้สารสมุนไพรนำเข้ามาจากอิสราเอล จึงปลอดภัยกับคนหรือสัตว์เลี้ยงในบ้าน จึงติดต่อไป โอย…แม่เจ้าโวย แพงระเบิดเป็นบริษัทที่อยู่กรุงเทพฯ แต่มีเอเยนต์อยู่ที่อุดร สามารถมาดูแลให้ได้ ตัดสินใจอยู่สองวันก็เอาก็เอา รักษาสุขภาพไว้ก่อนนะ

วันนัดหนุ่มสำอางมากับสาวสวย มากำจัดปลวก ไม่เห็นแต่งชุดทำงานแบบลุยๆอย่างที่เราเคยเห็นเลย เขาก็จัดการ สาวก็เดินไปดูห่างๆ แต่ผมไม่ประทับใจวิธีการจัดการเท่าไหร่ เพราะดูมันง่ายเสียจนคิดในใจว่า เอมันจะใช้ได้หรือ ไม่เหมือนบริษัทก่อนๆที่ มุด ปีน ขุด เจาะ เคาะ ฟัง พ่น ฉีด ทั่วบ้าน เจ้าหมอนี่กับสาว เอาไปหยอดนั่นนิดนี่หน่อย เจาะบ้างแต่ไม่มาก แล้วก็รับเงินสดไป

ผมสงสัยว่าวิธีการของสมุนไพรที่โฆษณานี้ ปลวกมันจะตายอย่างไร เขาอธิบายว่า ขอให้น้ำยาสมุนไพรโดนตัวมัน ปลวกก็จะติดสารสมุนไพรนั้น เมื่อมันเดินไปพบเพื่อนมันก็จะทำให้เพื่อนติดน้ำยาไปด้วย จนปลวกเข้ารัง มันก็จะพาน้ำยาเข้าไปในรังจนได้ น้ำยานี้จะกระจายไปโดยปลวกสัมผัสกันนั่นเอง แล้วในที่สุดน้ำยาก็จะจัดการปลวกตายไปในที่สุด เขารับประกันหนึ่งปี และจะมาตรวจซ้ำหลังปีใหม่….. เนื่องจากเขาออกใบประกัน มีชื่อสถานที่ติดต่อชัดเจน ก็รอดูผลซักหน่อย แต่ใจก็ มันยังไงยังไงอยู่นา….

วันนี้ผมไปซื้อน้ำส้มควันไม้ กะจะเอามาผสมกับน้ำหมักชีวภาพ พ่นใส่กล้วยไม้ที่กำลังออกดอก และต้นมะม่วงที่แทงช่อออกมาแล้ว ข้างกระปุกน้ำส้มควันไม้ เขาเขียนว่า ป้องกันปลวก ผมก็เลยถามคนขายว่า มันป้องกันปลวกได้จริงหรือ (ความจริงรู้มาก่อนแล้วว่าพอใช้ได้) เจ้าของร้านบอกว่า พอได้ จะให้ดีต้องเมธาไรเซี่ยม ว่าแล้วเขาก็เดินไปหยิบมา 1 กระปุก ผมอ่านฉลากคร่าวๆแล้วก็เลยซื้อมา 1 กระปุก แล้วก็เอามานั่งอ่านอย่างละเอียด ที่บ้านแล้วก็นึกว่า อ้าว คุณสมบัติมันเหมือนกับที่เราจ้างบริษัทที่ส่งเจ้าหนุ่มคนนั้นมาจัดการ แต่นี่ราคาแค่ 300 บาทเอง ที่เราจ่ายบริษัทไปแพงมากกว่า เกือบ 50 เท่า..??

เมธาไรเซี่ยม เป็นเชื้อรา ไม่ใช่สารเคมี เขาเอามาจากธรรมชาติตามตัวปลวกที่ตายซาก แล้วเอามาขยายและย้อนกลับไปพ่นใส่ตัวปลวก มันก็คือการกำจัดแบบ Bio-control คำอธิบายนั้นมันช่างคล้ายๆกับเจ้าหนุ่มนั่นอธิบายจริงๆโดยหลักการ แต่ฉลาก เมธาไรเซี่ยมนี่ละเอียดกว่า ชัดเจนกว่า และหน่วยงานที่ผลิตก็เชื่อถือได้…

ตายหา……….เราถูกบริษัทนั่นหลอกเราหรือเปล่า มันเอาเมธาไรเซี่ยมผสมน้ำมาพ่นให้เราแล้วหลอกว่าเป็นสมุนไพรมาจากอิสราเอลแต่คิดราคาแพงๆไว้ก่อนรึเปล่า….

เฮ่อ….อย่างไรก็ตาม เราคอยดูผลที่ลงทุนไปแล้วก่อนว่าเป็นอย่างไร..

ขออภัยพ่อบ้านขี้บ่นนะครับ…


Tsunami: The Untold..

91 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 26 ธันวาคม 2009 เวลา 1:21 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1577

ได้ทบทวนภัยครั้งนั้นแล้ว ความรู้สึกเรายังเศร้าไม่จบเลย…

ขอบคุณ OpenCARE สำหรับปัจจุบันและอนาคต

ขอบคุณผู้สร้าง OpenCARE


โลกในเม็ดทราย..

2666 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 20 ธันวาคม 2009 เวลา 8:52 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 34515

เพื่อเห็นโลกในเม็ดทราย

และสรวงสวรรค์ในดอกไม้ป่า

จงวางความเป็นอนันต์ไว้บนฝ่ามือ

และความเป็นนิรันดร์ไว้ในโมงยาม

—— วิเลี่ยม เบลค——

(จากปกหลังหนังสือ ควอนตัมกับดอกบัว)


ประชาธิปไตยไทย..

852 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 19 ธันวาคม 2009 เวลา 10:32 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 13792

เชื่อมโยง เกี่ยวพัน พรรคพวก ลูกพี่ ลูกน้อง



อ้างอิง แสดงตน นี่คือจุดยืน…..

ตัวแทนของประชาชนหรือตัวแทน…??

ประชาธิปไตยแบบไทยไทย

……!!!!!….?????…..


ผงนัว..

389 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 18 ธันวาคม 2009 เวลา 22:26 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 10277

หมอเจ๊ถามผมเรื่องผงนัว จึงค้นมาเผยแพร่ต่อครับ
(ข้อความทั้งหมดนี้ ผมสำเนามาจากหลายแหล่ง ดูแหล่งที่มาท้ายบทความนี้)

“ผงชูรส” เป็นสารเคมีชนิดหนึ่งที่เป็นตัวการทำให้เกิดอาการมือสั่น หัวใจเต้นแรง ยิ่งถ้าร่างกายได้รับปริมาณที่มากเกินไปจะมีผลต่อระบบประสาท ทั้งยังเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกรณีผงชูรสไหม้ไฟ ทำให้เกิดกระแสเลิกบริโภคผงชูรสไปชั่วขณะ วิถีชีวิตของคนยุคปัจจุบันที่ต้องฝากท้องไว้กับอาหารถุง อาหารจานเดียว ทำให้โอกาสที่จะหลีกเลี่ยงจึงเป็นไปได้ยาก จะมีพ่อค้าแม่ค้าสักกี่รายที่ไม่ใช้ผงชูรส อีกทั้งอาหารกึ่งสำเร็จรูปทั้งหลาย หรือแม้แต่ขนมกรุบกรอบของเด็กก็ยังหนีไม่พ้น

กำเนิดแห่งผงนัว

นิภาพร อามัสสา แห่งสถาบันวิจัยและฝึกอบรมการเกษตรสกลนคร สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตสกลนคร ได้สนใจที่จะวิจัยศึกษาเรื่องนี้ขึ้นมาเมื่อราว 4 ปีที่ผ่านมา กระทั่งปัจจุบันสามารถผลิตออกมาวางขายและถ่ายทอดงานวิจัยตัวนี้ลงสู่ชุมชน

นัก วิจัยผู้นี้ได้กล่าวถึงที่มาของการคิดค้นสูตรเครื่องชูรสนี้ว่า ในฐานะที่พื้นเพเดิมเป็นคนอีสานทำให้เห็นและรับรู้ถึงใช้พืชผักพื้นบ้าน เช่น หม่อนมาใช้ในการปรุงอาหารให้มีรสชาติที่อร่อย เช่น ต้มไก่ใส่ใบหม่อน นอกจากนี้ยังมี “สูตรข้าวเบือ” ที่ใช้ข้าวเหนียวมาแช่น้ำ แล้วป่นใส่ในอาหารเพิ่มรสชาติ

อย่างไรก็ตาม เฉพาะที่สกลนคร มีเครื่องปรุงรสที่แปลกออกไป โดยชาวบ้านใช้ใบของผักพื้นบ้านหลายชนิดตากแดดให้แห้ง แล้วตำให้ละเอียดแล้วผสมกัน เก็บไว้ใส่อาหารเวลาต้มแกง หรือที่เรียกว่า ผงนัว

สำหรับผักที่ใช้ทำผงนัวมี 12 ชนิด ได้แก่ ใบผักหวาน, ใบมะรุม, ใบหม่อน, ใบกระเทียม, ใบหอม, ใบมะขาม, ใบกระเจี๊ยบ, ผักโขมทั้งต้น, ใบส้มป่อย, ใบน้อยหน่า, ใบชะมวง, ใบกุยช่าย เลือกใบที่ไม่แก่ไม่อ่อนจนเกินไป โดยผสมผักพื้นบ้านในอัตราส่วนที่ต่างกันไป แต่ที่มีอัตราส่วนปริมาณมากคือผักหวานและใบหม่อน รองลงมาเป็นใบมะรุม และที่ใส่ลงไปน้อยสุดคือใบน้อยหน่า เนื่องจากมีการถ่ายทอดมาว่าใบน้อยหน่ามีพิษ ซึ่งคนสมัยโบราณนำใบน้อยหน้ามาฆ่าเหา แต่อะไรก็แล้วแต่ถ้ามีพิษ และมีรสขมหากใส่แต่น้อยถือว่าเป็นยา ขณะเดียวกันชาวบ้านยังใช้ใบน้อยหน่ามาแกงกินได้

ขณะ เดียวกันก็เพิ่มข้าวเหนียวแช่น้ำ ข้าวกล้องแช่น้ำ และข้าวเหนียวนึ่งสุก ข้าวกล้องหุงสุก และเติมเกลือไอโอดีนลงไป ผ่านการอบแห้งแล้วป่นรวมกัน ซึ่งงานวิจัยผงนัว ยังคงส่วนผสมที่ชาวบ้านเคยทำไว้แต่มาปรับปรุงด้านสัดส่วน และเพิ่มเกลือไอโอดีนลงไป พร้อมดัดแปลงเรื่องของรสชาติที่เหมาะกับอาหารแต่ละชนิด ผงนัวจากงานวิจัยได้มีการทดสอบรสชาติให้เป็นที่น่าพอใจจึงมีด้วยกัน 2 รส คือ รสมันหวาน ใช้สำหรับ ต้ม ผัด หมัก แกงและย่างและ รสเปรี้ยว ใช้กับต้มยำ ยำ ลาบ อ่อม แจ่ว รสนี้เพิ่มผักที่มีรสเปรี้ยว ส้มป่อย ใบมะขามเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ รสชาติของผงนัวจะเพิ่มรสให้อาหารได้นั้นต้องใส่ในน้ำต้มแกงตอนร้อน แต่ถ้าชิมเปล่า ๆ จะไม่มีรสชาติ แต่รู้สึกได้ว่ามีรสปะแล่มๆ คล้ายกับผงชูรสที่ขายตามท้องตลาด

“การ ทำผงนัวต้องใช้เวลาทั้งปี เพื่อเก็บใบของผักพื้นบ้านให้ครบ เนื่องจากผักแต่ละชนิดมีฤดูกาล ใบหอม ใบกระเทียมจะมีตอนฤดูหนาว ผักหวานต้องรอให้ถึงหน้าฝนจึงจะมีใบ”อาจารย์นิภาพรอธิบาย

คุณสมบัติวิเศษของผงนัว

ผง นัวนอกจากมีคุณสมบัติเป็นเครื่องปรุงรสแล้ว ยังให้ประโยชน์ด้านสมุนไพร โดยเฉพาะตัวผักพื้นบ้านเองมีวิตามินและเกลือแร่ต่าง ๆ ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย และจากการศึกษาของสถาบันการแพทย์แผนไทยพบว่า ใบมะขามอ่อน, ยอดส้มป่อย, ผักหวานป่า, ผักหวานบ้าน, ผักโขมและชะมวง อีกทั้งดอกมะรุม มีศักยภาพในการต้านอนุมูลอิสระในระดับที่สูงมาก

นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า กุยช่าย มีฟอสฟอรัสช่วยบำรุงกระดูก ใบหม่อน มีสรรพคุณเป็นยาแก้ไอ ระงับประสาท กระเจี๊ยบแดง ช่วยขับเสลดทำให้โลหิตไหลเวียนดี ทั้งนี้ผักพื้นบ้านยังมีสารลดไขมันในเส้นเลือดป้องกันโรคมะเร็ง โรคเบาหวาน ช่วยฟอกโลหิตและบำรุงร่างกาย

“ขณะนี้วิธีการทำผงนัวมีการถ่ายทอดไปสู่ชุมชนมากขึ้น ผลิตเป็นผลิตภัณฑ์บริโภคกันเองในชุมชน บางที่ผงชูรสถึงกับขายไม่ออก โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคเบาหวานนิยมหันมาใช้ผงนัวเยอะขึ้น”อาจารย์นิภาพรเล่า

ด้าน ยงยุทธ ตรีนุชกร ครูภูมิปัญญาไทย ด้านการแพทย์แผนไทย คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ ซึ่งเป็นคนแรกที่สัมผัสชีวิตวิถีชุมชนชาวอีสานจนรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยน แปลงว่า ชาวบ้านเริ่มมีโรคภัยที่ใกล้เคียงกับคนเมืองทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยปรากฏ

“ผมเข้าไปทำงานกับลุ่มชาวบ้านที่ จ.สกลนคร ซึ่งเป็นชนชาวกะเริง (ชนผ่าภาคอีสาน) เราเข้าไปทำแผนแม่บทชุมชนโดยการวิจัยศึกษาวิถีชีวิตชาวบ้านที่เปลี่ยนไปทำ ให้สุขภาพเริ่มแย่ลง ซึ่งพบว่าจากที่ชาวบ้านเคยบริโภคอาหารจากพื้นผักสมุนไพรที่มีอยู่ในท้องถิ่น เมื่อระบบเกษตรฯ เริ่มเปลี่ยนเป็นเน้นส่งออก ทำให้ชาวบ้านเน้นผลิตเพื่อขาย และต้องพึ่งพิงอาหารถุง อาหารกระป๋อง ที่มีผงชูรสเป็นส่วนประกอบ ทำให้ชาวบ้านเป็นโรคเรื้อรังสารพัดโรค ทั้งโรคหัวใจ โรคเครียด โรคประสาท ความดันโลหิต ซึ่งล้วนแต่เป็นโรคของคนเมือง”

ยงยุทธ บอกว่าจากเหตุผลหลายประการทำให้ต้องหาวิธีการพลิกฟื้นภูมิปัญญาท้องถิ่นขึ้น มาใหม่ เพราะก่อนหน้านี้ชาวบ้านมีสุขภาวะที่ดี อายุยืนนับร้อยปี จึงได้ร่วมมือกับสถาบันเทคโนราชมงคลวิทยาเขตสกลนคร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) คณะวิทยาศาสตร์ ม.มหาสารคาม ร่วมกันผลิตผงนัวขึ้นมาทดแทนผงชูรส ซึ่งนอกจากรสชาติดีแล้วยังปลอดภัยไร้สารพิษอีกด้วย

“ผม อยากให้ทางนักวิจัยได้ไปวิเคราะห์วิจัยอย่างเป็นระบบ เพราะผมได้สอบถามผู้ที่กินผงนัวพบว่า โรคร้ายหลายโรคของเขาทุเลาลงในบางโรคหายได้อย่างเหลือเชื่อ โดยเฉพาะเบาหวานสามารถคุมน้ำตาลในเลือดได้เป็นอย่างดี อาการปวด เมื่อย อ่อนเพลีย ซึ่งเป็นอาการของการได้รับสารพิษนั้นก็หายกันเป็นปลิดทิ้ง”

แหล่งข้อมูลนี้คือ http://wave.prohosting.com/biotik/food4.html

และที่ ผงนัวอินแปง
ที่
mukdahanbuddhism
ดูสูตรผงนัวต่างๆที่ ที่นี่
ดูวิธีการทำ
ที่นี่

หมายเหตุ ยงยุทธ ตรีนุชกร คือ NGO รุ่นน้องที่ทำงานมาด้วยกัน ยงยุทธ ไปเรียนการแพทย์แผนไทยจนจบและเป็นอาจารย์ที่รามคำแหง ราชมงคลสกลนคร และอีกหลายที่ เสียชีวิตไปเมื่อต้นปีนี้เอง ผมเคยเขียนถึงเขาไว้แล้วครับ


จะเกิดอะไรขึ้นหลัง 1 มกราคม 53

124 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 17 ธันวาคม 2009 เวลา 21:18 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2644

วันที่ 1 มกราคม 2553 ประเทศไทยกำลังเดินก้าวเข้าสู่ความยุ่งยากของวิถีการผลิตอีกครั้ง เพราะ ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน(FTA) จะมีผลบังคับใช้ สินค้าไทย 23 รายการกำลังเดินเข้าไปสู่ภาษี 0% โดยเฉพาะ “ข้าวและข้าวโพด” โปรดดู FTA1, FTA2, มูลนิธิชีววิถี

ผลผลิตข้าวโพดบ้านเราต้นทุนอยู่ที่ 6 บาท ต่อ กิโลกรัม ขณะที่ประเทศลาวต่ำกว่า 3 บาทต่อกิโลกรัม (ข้อมูลจากการอภิปรายที่เครือข่ายอินแปง วันที่ 17 ธันวาคม 2552)

ส่วนข้าวนั้นต้นทุนการผลิตบ้านเราแพงลิบลิ่วเมื่อเทียบกับเวียตนาม และเมืองไทยผลิตได้ อย่างดี ปีละ 2 ครั้ง หรือ ดีที่สุด 2 ปี 5 ครั้ง แต่ที่เวียตนามผลิตได้ ปีละ 4-5 ครั้ง ผลผลิตของเขาเฉลี่ย ไร่ละ 110 ถัง ของไทยเฉลี่ยที่ 50 ถังในภาคอีสาน พื้นที่ทำการผลิตข้าวของเวียตนาม 80 % เป็นระบบชลประทาน เมืองไทยยังไม่ถึง 10 % ?? แม้ว่าคุณภาพข้าวจะแตกต่างกัน แต่ระบบตลาดข้าวของไทยอยู่ที่โรงสี พ่อค้าคนกลางและผู้ส่งออก ที่มีอิทธิพลในการกำหนดราคาข้าวต่อชาวนาผู้ผลิต ขณะที่เวียตนาม รัฐเป็นผู้ทำการตลาดเอง

ทางเลือกทางรอดของชาวนาไทยคืออะไร ทางเลือกทางรอดของชาวไร่ข้าวโพดคืออย่างไร คนทำงานกับชาวบ้านปวดหมองงงงงง…ง่ะ….

วันนี้เราคุยกันถึงแนวทางเลือกที่ในหลวงพระราชทานมาให้นั้น คือทางรอด ซึ่งเครือข่ายของเรา โครงการของเรากำลังเดินทางนั้น แต่ก็มีงานที่ต้องทำอีกมากมาย และหากรัฐไม่ก้าวเข้ามาสนับสนุนอย่างจริงจัง มัวไปอุ้มธุรกิจละก้อ …..เขามาแน่ครับ.. เขานั่นคือใคร ไม่ต้องบอก..

งานเข้าอีกแล้วครับ…


เล่นกับ แสง สี ตอนที่ 4

1671 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 13 ธันวาคม 2009 เวลา 21:41 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 22414

ตัวอย่างที่ผมเล่น

1. ผมมีรูปถ่ายพระจันทร์เวลากลางคืน แต่ไม่สวยเลย ดังรูป ไม่คมชัด ไม่..ไม่…ไม่..


ผมก็เอามาเล่นตามขั้นตอนต่างๆ แล้วเอารูปที่ได้ ไปเล่นต่อตามลูกเล่นต่างๆ กลับซ้ายบ้าง ขวาบ้าง ใส่สีโน้นสีนี้ ดูไปมีส่วนคล้ายหยินหยาง เลยเล่นขาวดำไปเลย ก็ได้ของเล่นดังตัวอย่างข้างล่างนี้



2. ค่ำวันนั้นผมไปรับคนข้างกายที่สนามบินขอนแก่น เธอกลับมาจากปัตตานี ลงมาศึกษาเรื่องแรงงานอพยพของ ILO พอดี ห้างเซ็ลทรัลมาเปิดใหม่กำลังฉลอง ติดไฟสีสวยๆ จุดพลุสี ยืนอยู่ที่จอดรดที่สนามบินมองเห็นได้ จึงเอากล้องถ่ายเล่นดู ก็ได้ภาพที่ไม่พึงประสงค์ ดังข้างล่างนี้


ผมก็เอามาเล่นต่อ แบบนั้นแบบนี้ มากมายหลายลูกเล่น ก็ได้รูปดังต่อไปนี้



3. ลองเอาเมฆมาเล่นครับรูปซ้ายมือ รูปขวามือเป็นไฟกลางคืน


4. บางทีสร้างต้นแบบเอง เอาสีแต้มลงบนพื้นที่สีดำ แล้วเอามาเล่น


จะได้
รูปข้างล่างรูปแรก แล้วแต่งสีใหม่ในรูปที่สอง


5. บางทีอยากเห็นรูปแปลกๆ ก็ได้ออกมาแบบนี้ครับ


ท่านคงเดาไม่ออกว่าต้นฉบับคือรูปอะไร (ซ้ายมือ) ต้นฉบับคือรูปหนอนบนใบไม้ ผมซูมเอาเฉพาะขนสีเหลืองของตัวหนอนที่มี Back ground เป็นใบไม้สีเขียว ก็ได้ออกมาอย่างที่เห็น แปลกดี..

6. เอาของเล่นหลากหลายมาฝาก





ลองเล่นดูแล้วเอามาแบ่งกันดูบ้างนะครับ



เล่นกับ แสง สี ตอนที่ 3

66 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 13 ธันวาคม 2009 เวลา 20:25 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 4085

ต่อจากตอนที่ 2


รูปที่ 14 รูปที่ 15

10. เมื่อเราเลือกการย้อมสี จะมีเมนูขึ้นมาดังรูปที่ 14 เราก็สามารถเลือกสีตามที่เราชอบใจได้ ดังภาพผมเลือกสีม่วง รูปที่ได้จะเป็นสีม่วง และเมื่อเลื่อนไปที่สีเขียว เราก็จะได้วัตถุเป็นสีเขียวดังรูปที่ 15 การย้อมสีนี้มีระดับตั้งแต่ 0-255


รูปที่ 16 รูปที่ 17


รูปที่ 18

11. หากเราต้องการเปลี่ยนสีพื้น เราก็ย้อนไปที่เมนูเลข 1 “ความสว่างสี” เมื่อขึ้นเมนูใหม่ก็เลือกที่เลข 2 คือ “สมดุลสี” ตามรูปที่ 16 เมื่อเลือกแล้วจะได้เมนูใหม่ขึ้นมาตามรูปที่ 17 ที่เมนูใหม่นี้เราก็ลองคลิกปุ่มตรงกลางนั้นไปซ้าย ขวา แล้วพิจารณาว่าพอใจแบบไหน กรณีตัวอย่างนี้ผมเลือกแถวล่างสุดของเมนู ที่ระบุ ซ้ายเป็นสีเหลือง ขวามือเป็นน้ำเงิน ตามรูปที่ 18 ลองขยับมาที่ 48 % ทางน้ำเงิน เราจะได้ Back ground เป็นสีน้ำเงินดังรูปที่ 17


รูปที่ 19 รูปที่ 20

12. ยังมีลูกเล่นอีกมากมาย เช่นเราสามารถเล่นกับสีแปลกๆได้อีกตามความพึงพอใจ เช่น รูปที่ 19 เราคลิกที่ “ความสว่าง,สี” เมื่อเมนูขึ้นมาก็คลิกที่ “Threshold” ซึ่งอยู่บรรทัดล่างสุดของเมนูนี้ จะได้เมนูใหม่เกิดขึ้น ตามรูปที่ 20 และเราสามารถปรับรูปได้โดยคลิกเลขที่ 1 และปรับสีพื้นได้โดยเลือกสีที่เลข 2


รูปที่ 21

ท้ายที่สุดจะได้รูปที่ 21

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงลูกเล่นเพียงนิดเดียวเท่านั้น มีลูกเล่นมากมาย หากท่านที่สนใจก็ลองใช้เวลาว่างเล่นดูนะครับ เพลินไปอย่าง ไม่ต้องมาปวดหัวกับเกมส์ที่กัมปูเจีย อิอิ


เล่นกับ แสง สี ตอนที่ 2

25 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 13 ธันวาคม 2009 เวลา 20:24 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 3323

ต่อจากตอนที่ 1


รูปที่ 7

4. สมมุติว่าเราเลือกรูปเบลอๆที่คัดไว้แล้วดังรูปที่ 7


รูปที่ 8

5. แล้วเราก็ไปเลือกเมนูที่อยู่ด้านล่างของรูป เราเลือก “หน้าหลัก” ก่อน แล้วไปเลือก “ฟิลเตอร์” เราก็จะได้เมนูใหม่โผล่ขึ้นมาดังรูปที่ 8


รูปที่ 9

6. บนเมนูที่ขึ้นมานั้น เราไปเลือกที่ “การทำภาพบิดเบือน distort” โปรแกรมจะขึ้นเมนูใหม่ทางซ้ายมือ และมีตัวเลือกให้เล่นมากมาย เราก็เลือกที่ “swirl หรือ ภาพเหมือนมองผ่านน้ำที่กำลังหมุน” ดูรูปที่ 9


รูปที่ 10

7. เมื่อเราคลิกที่ “swirl หรือ ภาพเหมือนมองผ่านน้ำที่กำลังหมุน” รูปที่เบลอๆที่เราเลือกมานั้นจะถูกโปรแกรม ทำโดยอัตโนมัติให้เป็นรูปดังที่เห็น ซึ่งรูปจะออกมาเป็น “เหมือนน้ำกำลังหมุน” จะหมุนมากหมุนน้อยก็ขึ้นกับ level ที่เราเลือก ซึ่งจะมี level จาก 0-500 เราก็ลองเลือกให้โปรแกรมจัดการ ชอบตรงไหนก็คลิกตกลง เราจะได้รูปที่ 10


รูปที่ 11                                                                     รูปที่ 12

8. รูปข้างบนก็เป็นตัวอย่างที่ใช้ level ในระดับที่แตกต่างกัน ก็จะได้รูปที่แตกต่างออกไป หรือ ภาพน้ำที่กำลั
งหมุนมากน้อยต่างกัน ตามรูปที่ 11 และ รูปที่ 12


รูปที่ 13

9. เมื่อเราได้รูปที่ 12 หรือ ภาพน้ำที่กำลังหมุน เมื่อเราพอใจรูปทรงของรูปแล้วก็สามารถเล่นกับสีต่อได้อีก คือสามารถเปลี่ยนแปลงสีของรูปวัตถุ และเปลี่ยนสี Back ground ตามชอบได้ โดย คลิกไปที่เลข 1 “ความสว่าง,สี” จะมีเมนูขึ้นมาดังภาพแล้วเราก็เลือกคลิกที่ 2 “การย้อมสี” ตามรูปที่ 13

ต่อตอนที่ 3



เล่นกับ แสง สี ตอนที่ 1

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 13 ธันวาคม 2009 เวลา 20:22 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2638

พ่อครูบาถามว่ารูปตัวอย่างแบบนี้ถ่ายอย่างไร.. ผมตอบว่าไม่ได้ถ่ายแต่เป็นการใช้โปรแกรมมาเล่นแต่งครับ จะอธิบายต่อไปนี้เพื่อพ่อครูและทุกท่านที่สนใจ หากเซ็งเป็ดอะไรมา ก็มาขยับตามนี้ก็น่าจะพอแก้เซ็งไปได้ หรือว่าจะกลายเป็นเซ็งห่าน เซ็งไก่ อย.ก็ไม่รับรองนะขอรับ..


รูปที่ 1                                                                          รูปที่ 2

1. เริ่มจากกล้อง DIGITAL บางทีก็ถ่ายรูปเสีย เบลอ เป็นจุดสีอะไรไป ซึ่งผมลบทิ้งมามากมาย แต่ต่อมาเมื่อมาทำ Power point บ่อยๆ ก็พบว่า เอ..รูปเบลอๆนี่หากเอามาเป็น Back ground ก็น่าจะได้ เพราะไม่ต้องการชัด ต้องการวัตถุที่แสดงชัดๆ แต่ ภาพเบลอๆนั้นเอามาแต่งให้ Power point ดูน่าสนใจมากขึ้นเท่านั้น จึงเก็บภาพเบลอๆไว้ ไม่ทิ้ง จัดไว้ หนึ่ง dir เลยครับ


รูปที่ 3                                                                       รูปที่ 4

และช่วงที่ผมบ้าถ่ายรูปไฟท้ายรถขณะนั่งรถตามหลังคันอื่นยามค่ำคืน แล้วได้ภาพแสงไฟแปลกๆ ทั้งสวยและไม่สวยก็เอามาเล่นต่อ หรือไฟตามถนนที่รถวิ่งผ่านไป เรานั่งหน้ารถก็ถ่ายรูปเก็บเอามาดูเล่น รูปที่ 3 และรุปที่ 4 คือภาพต้นฉบับที่ถ่ายแสงตามถนนกลางคืนที่ผมนั่งหน้ารถตู้จากกรุงเทพฯถึงขอนแก่น



รูปที่ 5

2. โปรแกรมที่ผมใช้คือ PhotoScape v. 3.4 ดูรูปที่ 5 ซึ่งเป็นโปรแกรมจัดการรูปที่นิยมกันมาก สามารถ download ฟรีได้ครับ ที่นี่ ส่วนใหญ่ผมใช้ย่อขนาดรูปสำหรับ Post ครับ แต่มี Feature มากมายที่ส่วนใหญ่เราไม่มีเวลาไปเล่น ไปศึกษา เมื่อพอมีเวลาบ้างก็เข้ามาลองเล่น เคาะโน่นเคาะนี่ดู ก็พบว่ามีอะไรที่สนุกพอสมควร ผมไม่กล่าวถึงลูกเล่นอื่นๆนะครับ ตรงเข้าเป้าเลยคือ การเล่นแสงสีกับรูป


รูปที่ 6

3. เลือกไปที่ “เมนูแก้ไขภาพ” ช่องซ้ายมือสุดจะเป็น directory ให้เราเลือกว่า file ภาพที่เราต้องการอยู่ตรงไหน เราก็เลื่อนไปค้นหาภาพที่ต้องการ ดูรูปที่ 6

ต่อตอนที่ 2



ตลาดสิงค์โปร์..

634 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 11 ธันวาคม 2009 เวลา 23:03 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 12065


แขวงสะหวันนะเขตมีพื้นที่ใหญ่ที่สุด ตัวเมืองสะหวันนะเขตจึงมีสถานกงสุลใหญ่ประเทศไทยประจำอยู่ที่นี่ รับผิดชอบเลยออกไปจนถึงจำปาสัก พลเมืองในตัวเมืองมีมาก เป็นพื้นที่ที่อดีตผู้นำประเทศลาวเกิดที่นี่หลายท่าน คนไทยไปลงทุนไม่น้อย แต่ที่ไม่น้อยไปกว่ากันคือมาเลเซียและสิงค์โปร์ ตลาดกลางเมืองสะหวันนะเขตแห่งนี้เจ้าของผู้มาลงทุนคือ สิงคโปร์ จึงเรียกตลาดสิงค์โปร์

ตอนอาว์เปลี่ยนอยู่มุกดาหาร ข้ามมาหลายครั้งเพราะสนใจ “ปื้มลาว” อาว์เปลี่ยนเป็นคนสนใจภาษาลาว อ่านได้เขียนได้ลึกซึ้ง จึงเป็นหลักในงานหลายชิ้นที่ต้องผ่านมืออาว์เปลี่ยน

ตลาดสิงค์โปร์เป็นตลาดเสื้อผ้าเหมือนโบ้เบ้บ้านเรา นอกนั้นก็มีกระเป๋าที่มีรุ่นใหม่ทุกยี่ห้อ ใครอยากทันสมัยหิ้ว “หลุย….” ข้ามไปสะหวันนะเขตก็จะมีให้เลือกจนจุใจสนนราคา ตั้งแต่ 80 บาทจนถึง 500 กว่าบาท อิอิ ปลอมมาจากจีนทั้งน้านนนนน


อาเจ๊ท่านนี้กำลังทำแหวนทองที่เห็นแดงสุกอร่ามนั่นแหละเธอเพิ่งจะเผามันด้วยไฟแก๊ส..

ทอง..ร้านทองที่นี่ดูซบเซากว่าคราวก่อนที่ผมมา ในตู้มีทองวางไม่เต็มตู้ บางตาไปมาก ไม่เข้าใจเหตุผล แต่ทองที่นี่ออกแดงๆ ไม่เหลืองทองอร่ามเหมือนบ้านเรา นอกจากทองก็มีเครื่องเงินที่เป็นเครื่องประดับสวยครับ ฝีมือละเอียด ใครชอบเครื่องเงินก็ไม่ผิดหวัง

นอกนั้นก็เป็นของใช้สำหรับสตรี เครื่องประทินโฉมต่างๆ ก็ดูจะมาจากบ้านเราเป็นส่วนใหญ่


ผลไม้.. ด้านหลังตลาดเป็นเพิงง่ายๆ บริเวณใหญ่พอสมควรมีแต่ผลไม้ที่มาจากเมืองจีนทั้งทางเรือและทางรถ สารพัด เหมือนที่มีวางขายบ้านเราแหละครับ


ร้านขายปื้ม..ไม่หรูหราฟู่ฟ่าเหมือนบ้านเรา แต่ก็มีหลากหลายพอสมควร ทั้งแบบเรียน นิตยสาร อ่านเล่น วิชาการ การ์ตูน ดูเล่มขวามือซิครับ ท่าน ว.วชิรเมธี ก็มีวางขายที่นี่ เพราะตลอดริมโขงฝั่งลาวและลึกเข้าไปจนถึงชายแดนติดเวียตนาม สามารถรับทีวีไทยได้ทุกช่อง เขาจึงติดละครบ้านเราเหมือนคนไทยติด ข่าวสารต่างๆได้รับหมด การเมืองบ้านเราเป็นอย่างไร เขาตามทันโม้ดดดด


ที่แปลกตาในตลาดแห่งนี้ก็มีภาพที่เห็นนี่แหละครับ นี่คือกลุ่มสตรีที่มารับจ้างแต่งเล็บทั้งตัด ทำความสะอาด และปรนเปรอเล็บ นิ้วทั้งมือทั้งเท้า มีคนบอกว่าส่วนใหญ่เป็นสตรีมีเชื้อสายเวียตนามที่มักนิยมมาทำอาชีพนี้ มุมนี้มีจำนวนมาก แต่ก็เดินไปมุมไหนก็มีทุกทุม ครับ แบบเรียกไปทำให้ที่ร้านขณะนั่งขายสินค้าก็ได้.. ผมเห็นเล็บเธอหลายคนทาสี แต้มจุดสวยเลย… สตรีที่ไหนๆก็รักสวยรักงามนะครับ


ด้านหน้าตลาดนั้นถูกพัฒนาขึ้นเป็นสถานที่ขายสมุนไพรที่มีร้านวางสินค้าชัดเจน ซึ่งหลายปีก่อนนั้นแค่วางแบบกะดิน คุณยายท่านนี้นั่งหลับเอามือเท้าคางอยู่ สินค้าหลายตัวก็มาจากฝั่งไทยครับ เช่นยาหม่องสมุนไพรที่มีเนื้อสีเขียวๆ (ผมก็ใช้อยู่) อีกมุมหนึ่งกองสุมสมุนไพรเต็มไปหมด ปนกับพระพุทธรูป และเครื่องรางชนิดต่างๆ


ที่แปลกตาดูจะเป็นสองรูปนี้ครับ ซ้ายมือคือผลไม้ชนิดหนึ่งที่มีรูปร่างเหมือนคนมีทั้งเพศชายและหญิงมัดเป็นคู่ๆ เขาบอกว่าคนจีน หรือคนที่ทำมาค้าขายจะซื้อเอาไปเคารพบูชาเพราะจะทำให้ทำมาค้าขึ้น.. ส่วนขวามือนั้นเป็นจิ้งจกตากแห้ง มีสองหาง.. เจ้าตัวซ้ายมือนั้น หางเป็นพวงเลย ใครอยากรู้สรรพคุณ ค้นคว้าเอาเองนะ อิอิ..


สังคมบ้านเราและแถบอินโดจีนนี้ก็พบเสมอคือ วณิพก สองท่านนี้นั่งอยู่ที่หน้าตลาด คุณลุงตาบอดและน่าจะมีอาการอื่นๆประกอบด้วยผมใส่เหรียญไทยไปมีเสียงดัง แล้วเดินเลยมา คุณลุงยังยกมือไหว้อยู่เลย…

มีคนสรุปไว้ว่า ผู้ที่ทำมาค้าขายในตลาดนี้ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนลาวครับ เป็นคนจีนและเวียตนาม…


พระธาตุอิงฮัง..

1819 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 11 ธันวาคม 2009 เวลา 21:12 ในหมวดหมู่ งานพัฒนาสังคม, เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 40255

ผมไม่ได้ข้ามไปฝั่งสะหวันนะเขตบ่อยนัก นอกจากมีภารกิจเท่านั้น แต่คราวนี้ต้องพาผู้ใหญ่เบอร์สองไปเที่ยว ก็เลยต้องข้ามไป ก็แปลกหูแปลกตาไปพอสมควร


ยังจำได้ว่าเราเคยพาคณะกรรมการตลาดชุมชนของ 4 จังหวัดไปฟังประธานหอการค้าจังหวัดพูด สมัยนั้นคือ ดร.อีดิธ เป็นฝรั่งนะครับพูดไทยได้ และเป็นประธานหอการค้าจังหวัด ท่านอย่าแปลกใจว่าทำไมฝรั่งมาเป็นตำแหน่งสำคัญนี้ ก็เพราะเธอแต่งงานกับคนไทย เธอทำธุรกิจศูนย์ โตโยต้า ที่มุกดาหาร

หลังจากนั้นเราก็พาเกษตรกรข้ามประเทศไปคารวะท่านกงสุลใหญ่ประเทศไทยประจำแขวงสะหวันนะเขต ฟังท่านบรรยายและทานอาหารกลางวัน พอเดินทางกลับมาฝั่งไทย ส่งทุกคนกลับบ้าน ข่าวสึนามิถล่มฝั่งอันดามันไทยก็ประกาศลั่น


อาคารนี้สำหรับซื้อตั๋วเข้าพระธาตุ            อาคารเล็กๆนี้สำหรับสตรีนุ่งผ้าถุง

ข้ามไปฝั่งสะหวันนะเขตก็ต้องไปกราบพระธาตุอิงฮัง ซึ่งไกลออกไปประมาณ 14 กม. พระธาตุองค์นี้มีความสำคัญเท่ากับพระธาตุนครพนม ชาวบ้านสองฟากฝั่งให้ความเคารพบูชาเหมือนกัน เท่ากัน ผมชอบประเพณีที่นี่คือ ห้ามสตรีเดินเข้าไปชั้นในของตัวองค์พระธาตุ ได้แต่กราบไหว้ด้านนอกเท่านั้น และจะเข้าบริเวณวัด จะต้องนุ่งผ้าถุง.เท่านั้น….???


ดีจังเลย…สาวไทยที่นุ่งกางเกงเอวต่ำเอวสูงไม่มีสิทธิเข้าไปกราบนอกจากจะซื้อบัตรผ่านแล้วไปเอาผ้าถุงมาใส่ทับกางเกงเข้าไป ซึ่งเขามีบริการสุภาพสตรีครับ ค่าบัตรผ่านก็ราคา 5,200 กีบครับ คิดเป็นเงินไทยก็ 20 บาท สาวไทยยุคโลกาภิวัตน์บางคนก็ไม่เคยนุ่งผ้าถุงมาเลย ดูเขินๆ และคอยจะหลุดอยู่เรื่อย ต้องคอยจับ อิอิ..


ผู้ที่จะไปกราบพระธาตุจะต้องซื้อ เครื่องบูชา เหมือนบายศรี แบบที่เห็นนี้ จะมีชาวบ้านทำมาวางขายข้างทางริมถนนก่อนถึงพระธาตุ ที่บริเวณวัดจะไม่มีเครื่องบูชานี้ขาย จะมีแต่ธูปเทียนเท่านั้น



ขอไม่เล่าประวัติพระธาตุอิงฮังนะครับ สภาพทั่วไปก็ไม่หรูหรา เท่าพระธาตุพนมของเรา แต่ความหรูหราไม่ใช่สาระ ความศรัทธาต่างหากที่พี่น้องลาวไทยตลอดริมโขงบริเวณนี้ต้องมากราบไหว้สักครั้งในชีวิต


ใกล้ๆองค์พระธาตุจะมีศาลาหลังย่อมๆ มีพระและแม่ชีมานั่งประจำหมุนเวียนกัน เพื่อให้ผู้มีศรัทธาเข้าไปขอพรและให้ผูกข้อมือ โดยจะบริจาคหรือไม่ก็ไม่กะเกณฑ์ใดๆ


ด้านหน้าขององค์พระธาตุจะมีผู้เฒ่าคอยทำพิธีพิเศษให้ท่านที่ต้องการตรงบานประตูเข้าองค์พระธาตุ สังเกตเห็นว่า เครื่องบูชานั้นจะถูกนำไปวางเรียงกันที่ฐานองค์พระธาตุ และจะมีมะพร้าวอ่อนที่เปิดกะลาออกแล้วพร้อมดื่มน้ำ วางเรียงด้วยกัน ผมไม่มีโอกาสสอบถามรายละเอียด เดาเอาว่า น่าจะเป็นเครื่องบูชาอีกประการหนึ่ง ตามความเชื่อเฉพาะของที่นี่

ที่น่าสนใจอีกอย่างคือ หากใครเป็นคนช่างสังเกตที่บานประตูที่ปิดทองนั่นนะครับมีภาพ อีโรติคแกะสลักอยู่ ไม่ได้สอบถาม จึงไม่มีคำอธิบายครับ แต่เอามาให้ชมกันเป็น “รหัสธรรม” ก็แล้วกัน


มีโปรแกรมอื่นอีกเราก็เดินทางออกจากที่นี่ มาถึงปากซอยก่อนจะเลี้ยวเข้าตัวเมืองสะหวันนะเขต ก็เห็นภาพนี้ครับ


ชนบทที่ไหนๆก็มีภาพเหล่านี้ครับ

มุมหนึ่งก็นึกไปว่า ประเทศที่ปกครองด้วยอีกลัทธิหนึ่งนั้น ก็ไม่น่าที่จะมีภาพเหล่านี้ปรากฏ ก็ไหนว่า ลัทธิทุนนิยมงมงาย ฟุ้งเฟ้อ มีแต่ขยะทางจิตวิญญาณสะสมให้แก่เด็กยุคใหม่ที่จะเป็นอนาคตของประเทศ นี่คือความจริง

คิดอีกทีก็เพราะมีอย่างนี้น่ะซีจึงมีคนอย่างเราเข้ามาทำงานพัฒนาชนบท หากดีไปหมดเราก็ตกงานน่ะซี อิอิ อิอิ..ยุส่งไปเลย…


ไป Sawan Vegus..วันรัฐธรรมนูญ 52

11 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 10 ธันวาคม 2009 เวลา 21:55 ในหมวดหมู่ งานพัฒนาสังคม, เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2929

รถมินิบัสคันสวยที่เห็นนี้ เห็นเผินๆก็น่าจะนึกถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวที่กำลังจะไปท่องเที่ยวที่ไหนสักแห่งหนึ่ง


แต่หากจะดูชัดๆที่หน้ารถคันสวยนี้จะเห็นคำว่า Sawan Vegus, Hotel & Casino

นี่คือรถที่รับคนจากฝั่งมุกดาหารไปแขวงสะหวันนะเขต ตรงรี่ไปที่ บ่อนคาสิโนใหม่ที่นี่


นี่คือป้ายใหญ่บอกว่าข้างหน้าคือโรงแรมหรูและคาสิโน หรือเรียกชัดๆคือ บ่อนใหญ่ที่ถูกกฎหมาย


ที่หน้าบ่อน Sawan Vegus มีโฆษณาใหญ่ที่เร้าใจคอพนันคือ โชคใหญ่ทุกเดือนคือรถปิคอัพโตโยตาไฮลัคคันนี้ ผมเห็นทะเบียน มุกดาหารด้วย….


นี่คือประตูทางเข้าบ่อนใหญ่ ท่านสังเกตไหมครับว่าเขาใช้ภาษาไทยและอังกฤษ ทำไมไม่ใช้ภาษาลาว??

ชายสองคนขวามือนั่นคือเจ้าหน้าที่ของโรงแรมและบ่อนแห่งนี้ ทำหน้าที่ตรวจบัตรสำหรับคนที่นั่งรถมินิบัสของบ่อนเข้ามาโดยตรง เขาจะ มีบริการพิเศษ แต่มีเงื่อนไขคุณจะต้องเล่นการพนันไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งอย่างต่ำ 100 บาท..นี่คือคำกล่าวของพนักงานขับรถที่ผมนั่งไป..

ก่อนก้าวไปข้างในบ่อนใหญ่แห่งนี้ พนักงานขับรถบอกว่าให้เก็บกล้องถ่ายรูปไว้ในรถ ห้ามเอาเข้าไปเด็ดขาด.. เลยไม่ได้ภาพมา ก็เล่าให้ฟังก็แล้วกัน

เป็นห้องโถงใหญ่มาก หลังคาสูง พื้นปูพรม ทั้งหมด เปิดแอร์เย็นฉ่ำ พื้นที่ขนาดสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดใหญ่นี้ มีเครื่องเล่นการพนันที่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์จัดการ มีพนักงานจัดการเล่นเป็นสตรีหน้าตาดี น่าจะมีสัก 30 โต๊ะกระจายอยู่ตรงกลางห้อง แต่ไม่ทราบเลยว่าแต่ละโต๊ะนั้นเรียกว่าอะไรบ้าง ด้านในสุดซึ่งตรงข้ามกับทางเข้าเป็นพื้นที่สล๊อทแมชีน.. มีจำนวนประมาณ 10 ตัว

มีจังหวะที่คุยกับพนักงานบ่อนแห่งนี้เป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดี เขาพยายามอธิบายว่าเป็นอย่างไรบ้าง..

  • เด็กหนุ่มชี้ไปที่โต๊ะทุกโต๊ะว่ามีกระดาษขาวขนาดครึ่ง A 4 เขียนว่า ห้ามประชาชนลาวมาเล่นการพนันเด็ดขาด
  • ที่นี่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีพนักงานแบ่งเป็น 3 กะๆละ 8 ชั่วโมง
  • ได้เงินเดือน 4000 บาท แต่มีสวัสดิการมาก พอใจ
  • ผมถามว่าเป็นคนที่ไหน เขาบอกว่าเป็นคนจำปาสัก ถามว่าเรียนจบอะไร เขาบอกว่า จบปริญญาตรีที่สะหวันนะเขตด้านภาษาอังกฤษ? พนักงานทุกคนที่นี่พูดภาษาอังกฤษได้..!
  • เครื่องดื่มฟรี พร้อมกับชี้ไปที่พนักงานใส่เสื้อขาวแขนยาวว่าเขามีทีหน้าที่บริการด้านนี้
  • ก่อนที่จะถามอะไรไปมากกว่านี้เด็กหนึ่งคนนี้ก็ขอตัวไปก่อน

มุมหนึ่งมีป้ายภาษาไทยขนาดใหญ่ว่า รับพนันกีฬา ใต้ป้ายนี้มีจอทีวีขนาดใหญ่ที่กำลังถ่ายทอดการแข่งฟุตบอลต่างประเทศอยู่ หน้าจอนั้นมีโซฟาอย่างดีกลุ่มใหญ่รองรับคนที่สนใจการพนันประเภทนี้

มองไปที่ผู้เล่นการพนันตามโต๊ะต่างๆ ผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 60-40 วัยกลางคน หน้าตาก็ธรรมดา ไม่ใช่คุณหญิงคุณนาย บางโต๊ะน่าจะเป็นสามีภรรยากันด้วยซ้ำไป มีโต๊ะว่างประมาณ 10 โต๊ะ

ผมยืนดูหญิงท่านหนึ่งเล่นสล๊อทอย่างเพลิน กดปุ่มนั่นนี่ไปเรื่อยๆ ดูหน้าจอที่มีตัววิ่งอยู่ สักพักก็มีไฟวูบวาบ คล้ายส่งสัญญาณว่าถูกรางวัลนะ แต่ตัวเลขโชว์ 180 แล้วก็เล่นต่อ แล้วในที่สุดเครื่องกินหมด..


ที่นี่คนธรรมดาทั่วไปก็เข้าไปได้ โดยไม่ต้องเล่น เขายินดี นี่แหละที่ผมเข้าไปได้เพราะอยากเข้ามาดูว่า บ่อนที่มีตลอดแนวแม่น้ำโขงที่ไม่ใช่ฝั่งไทยนั้นเป็นอย่างไร .. จริงๆผมมีภารกิจอื่น แต่คนขับรถแนะนำว่า แวะไปดูเฉยๆก็ได้ เลยแวะมาดูซะหน่อย

ผมเห็นคนไทยนั่งที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ลุ้นการพนันที่เขาเล่นอยู่นั่นแล้วก็ถอนหายใจ เฮือกใหญ่..ในสมองเขามีอะไร

เมื่อเดินทางกลับออกมา เห็นธงแดงค้อนเคียวปักอยู่ ผมก็นึกในใจว่า ตอนปฏิวัติสังคมนั้นก็โจมตีรัฐบาลว่ามอมเมาชาวบ้านด้วยการพนัน แต่มาวันนี้เขาทำแหล่งการพนันใหญ่โต แม้ว่าจะสร้างกฎว่าห้ามคนลาวเล่น แต่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อเอาเงินเข้าประเทศ นึกเลยไปว่า มันก็ไม่ต่างจากการสนับสนุนประชาชนปลูกฝิ่น ผลิตเฮโรอิน แล้วสร้างกฎว่าห้ามคนประเทศนี้เสพ แต่ผลิตเพื่อขายเอาเงินเข้าประเทศ ทั้งสองประเทศมีศาสนาเดียวกันเป็นหลัก มีพระธาตุที่ยิ่งใหญ่ทั้งสองฝั่งโขงที่ประชาชนกราบไหว้…


บนสะพานมิตรภาพไทยลาวที่ผมเดินทางกลับมุกดาหาร มีธงประดับสวยงาม ประกาศว่าวันชาติลาวเพิ่งผ่านไปเมื่อวันที่ 2 นี้เอง

ผมถามตัวเองว่า ชาติคืออะไร การสร้างชาติคืออะไร การเกี่ยวก้อยมิตรประเทศเดินไปในอนาคตด้วยกันสู่เมืองสวรรค์ดั่งชื่อเมืองนี้ ควรจะทำอย่างไร…

คนเล็กๆ(แม้ตัวใหญ่) อย่างเราที่ทำงานพัฒนาคิดมากมายไปหรือเปล่าหนอ..


เช้าวันนี้ที่มุกดาหาร

772 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 10 ธันวาคม 2009 เวลา 19:55 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 6339

ฉันเพียงยังชีวิตด้วยการกระทำที่พอมีความรู้ความสามารถที่จะทำได้

ฉันไม่รู้หรอกว่าคุณเห็นฉันแล้วคุณคิดอย่างไร

ภาพนี้สวยจัง.. ล้าหลังจัง…เสียเวลาจัง..

ทำไมไม่ไปทำอะไรที่มีรายได้มากๆแล้วเอาเงินนั้นมาซื้อปลาเล่า ?

……ฯ……..

แล้วคุณคิดบ้างไหมว่า ฉันมองคุณอย่างไร ?


————

เช้าที่ลำน้ำโขง 521210 ณ.มุกดาหาร


สะเทือน

1006 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 8 ธันวาคม 2009 เวลา 23:09 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 4596

ภายในใจสะเทือนลั่น

เมื่อได้ดู ฅนค้นฅน เมื่อสักครู่นี้


ไก่โห่..แล้ว

531 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 8 ธันวาคม 2009 เวลา 20:13 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 10893

 

 

กราบสวัสดีปีใหม่

สมาชิกชาวลานผู้อาวุโสทุกท่าน ด้วยความรัก เคารพยิ่ง

สวัสดีปีใหม่

สมาชิก ชาวลาน พี่ เพื่อน น้อง ลูกหลาน ทุกท่าน

 

—————————–

มาแต่ไก่โห่เลย… เรา


 


บ้านติดวัด

616 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 7 ธันวาคม 2009 เวลา 12:11 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 7847

บ้านเดิมนั้นอยู่ติดกับวัด มีคลองเล็กๆคั่นอยู่ ทั้งหมู่บ้านก็มาทำบุญที่วัดนี้ หรือจะเรียกอีกอย่างคือ ชาวบ้านมีศรัทธาที่วัดนี้ แต่บ้านผมแม้จะมีบ้านติดวัดนี้ก็ไปทำบุญที่วัดกำแพง ซึ่งห่างออกไปสักสองร้อยเมตร เพราะเป็นวัดที่พ่อเป็นครูอยู่ที่นั่น คุณย่าไปจำศีลที่นั่นช่วงวันพระ อาจเรียกว่าเป็นวัดที่ตระกูลทางพ่อศรัทธา ส่วนวัดที่อยู่ติดบ้านนั้นเป็นศรัทธาของตระกูลทางแม่


แต่ก็มาทำบุญที่วัดติดบ้านเป็นครั้งคราว เมื่อหลวงตามาบิณฑบาตก็ถวายข้าวปลาอาหารเป็นประจำ ช่วงเข้าพรรษา พระที่วัดจะมีมาก จำได้ว่าประมาณ 10 กว่ารูปขึ้นไป สังคมสมัยก่อนนั้นเมื่อผู้ชายครบอายุบวชก็จะบวชไม่เว้นว่าง ทุกหลังคาเรือนจะมีคนที่บวชเรียนที่วัดข้างบ้านมาแล้วทั้งสิ้น มาสมัยที่มีการสนับสนุนการเรียนสูงๆ นี่แหละที่การบวชเรียนลดลงจนบางปีไม่มีใครบวชด้วยซ้ำไป มีแต่หลวงตาอยู่รูปเดียว.. สังคมเป็นอะไรไป..???

สมัยเด็กกับเพื่อนๆชอบไปเล่นที่วัดตูมที่ติดบ้านเพราะกว้างขวาง หลวงตาก็ใจดีไม่ดุด่าอะไร แถมบางวันก็ได้กินขนมด้วย

ที่หลังวัด จะมีส้วมพระ เขาเรียก “ถานพระ” เวลาพระท่านฉันท์เช้าแล้วสมัยนี้ก็เรียกไปเข้าห้องน้ำ สมัยก่อนเรียก “ไปถาน..” ซึ่งถานพระนั้นสร้างเป็นอาคารโบราณก่ออิฐถือปูนหลังคามุมกระเบื้อง ยกพื้นสูง แบ่งเป็นห้องๆ ใต้ถุนโล่ง ส้วมก็เป็นแบบนั่งยองๆแบบโบราณ พอเดาออกนะครับ ดังนั้นบริเวณถานนี้จึงส่งกลิ่นตลอด และมักจะมีต้นไม้มืดครึ้ม เพราะไม่มีใครมาทำอะไรแถวนี้ นอกจากมา ถานเท่านั้น เด็กๆจึงกลัวเพราะมืดครึ้ม อยากเข้าถานพระก็ได้ไม่ห้าม แต่มีแบ่งห้องเฉพาะไว้

แต่ไม่ไกลจากหลังวัดที่เป็นถานพระนั้นมีครอบครัว ตาปลั่ง ยายอ้อย มีลูกสองคน ชายคนหญิงคน ยากจน ไม่มีที่นาทำกินจึงทำมาค้าขายเล็กๆน้อยๆตามหมู่บ้าน หรือยามที่วัดมีงานต่างๆ เช่น งานศพ งานประเพณีท้องถิ่น และเวลามีฉายหนังกลางแปลง ยายอ้อยก็จะพาลูกๆมาขายข้าวเกรียบว่าวบ้าง น้ำแข็งใสบ้าง และขนมสำหรับเด็กๆ

ปกติยายอ้อยจะขายกล้วยทอด และข้าวเม่าทอด ก็พอเลี้ยงครอบครัว ตาปลั่งก็รับจ้างทั่วไป ลูกๆสองคนก็ไปช่วยตาปลั่งบ้าง ยายอ้อยบ้าง ลูกสาวยายอ้อยชื่อนกเล็ก ตัวดำปืด แต่ชอบทำตัวเป็นสาวเอาอะไรมาทาปากแดงแป๊ด พวกเราชอบแซวว่าเป็นอีกาคาบพริก..

สมัยเด็กๆผมสงสัยว่า ยายอ้อยไม่มีที่นาทำกินจะเอาข้าวมาจากที่ไหนกิน รายได้แกไม่มากอะไร วันหนึ่งผมไปหาหลวงตาบนกุฏิ แม่ให้เอาข้าวไปถวายหลวงตา เนื่องจากหลวงตาเป็นพระรูปเดียวที่วัดตูมนี่ และศรัทธาจากหมู่บ้านก็มากเกินที่หลวงตาจะฉันท์ภัตตาหารทั้งหมดได้ ผมเห็นหลวงตาแบ่งข้าวปลาอาหารให้ตาปลั่ง ยายอ้อยนั่นเอง

แม้ข้าวที่เหลือ หลวงตาก็จะเอาใส่กระด้ง ผึ่งแดด ให้แห้งดีแล้วก็เก็บไว้ แล้วเอาไปให้ ครอบครัวตาปลั่งยายอ้อยหลังวัดนั่นเอง

ข้าวสุกตากแห้งนี้เอาไปหุงกินต่อได้ แค่ต้มน้ำร้อนเอาข้าวตากแห้งนี้ใส่เข้าไป เมื่อได้ที่ เอาน้ำออก ดงให้สะเด็ดน้ำ ก็เหมือนข้าวหุง เอามากินได้ คนสมัยโบราณออกป่า ออกศึก เดินทางไกลต่างถิ่น ก็ใช้วิธีนี้..


ความเอื้ออาทรของวัดกับบ้านมีเคียงคู่มาตลอดของสังคมพุทธศาสนาของเรา

เดี๋ยวนี้วัดกับบ้าน มีความสัมพันธ์เปลี่ยนไปเยอะ เมื่อสังคมเปลี่ยนไป แต่ในชนบทยังคงมีความสัมพันธ์เดิมๆอยู่มาก

วัดเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของทุนทางสังคมเดิมๆของไทยเรา..


2012 วันสิ้นโลก

28 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 6 ธันวาคม 2009 เวลา 12:10 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1278

หากเราจัดความรู้ออกเป็น สามกลุ่ม คือ ความรู้ที่คนเราจะต้องรู้ ความรู้ที่ควรรู้ และความรู้ที่รู้ก็ได้ ไม่รู้ก็ได้ นั้นข้อมูลนี้อาจจะอยู่ในกลุ่มข้อมูลความรู้กลุ่มที่ สาม สำหรับบางท่านอาจจะจัดไว้ในกลุ่มที่สอง หรือที่หนึ่ง ก็แล้วแต่

ข้อมูลที่ผมเอามานี้เป็น FW เมล์ ตัวผมเองจัดข้อมูล ความรู้นี้อยู่ในประเภทที่สาม วันนี้เบาๆ(แม้จะมีงานที่ยังหนักอยู่) เลยเอามาเผื่อแผ่กัน ก็เท่านั้นครับ

——————-

อยากรู้ไหม? ทำไม 2012 มีข่าวลือเกี่ยวกับวันสิ้นโลกมากมายเหลือเกิน

ด้วยความสงสัยของผมว่าทำไม 2012 จะมีข่าวลือเกี่ยวกับวันสิ้นโลกมากมายเหลือเกินบางแหล่งก็อ้างน้ำท่วมจากเหตุโลกร้อนบางแหล่งก็อ้างไบเบิ้ลเพราะพระเจ้ากำหนดมา

แต่มีสิ่งหนึ่งที่มีทั้งหลักฐานทางวิทยาศาสตร์พร้อมกับปรากฎการณ์ที่อาจหลีกเลี่ยงไม่ได้ และถ้าเกิดขึ้นก็จบ… ไม่เหมือนกับ LHC ที่กลัวโอกาสว่าจะเกิดหรือเปล่าเท่านั้น

เรื่องนี้คือเรื่อง ดาวปริศนาดวงที่ 12 ของ ระบบสุริยะจักรวาล
ถ้าใครได้ดูข่าวปี 2002 จะได้ทราบว่า นักวิทยาศาสตร์ได้พบ ดาวดวงที่ 12 ขึ้นมาอยู่ในระบบกาแล็คซี่เราดื้อๆ แต่ความเป็นจริงนักดาราศาสตร์รู้จักดาวนี้มาตั้งแต่ปี 1982 แล้วซึ่งเป็นข่าวใหญ่โตมากช่วงเดือน พฤษภาคม เพราะผมก็ได้ดูเหมือนกัน
มันคือดาวที่มีชื่อตั้งทางวิทยาศาสตร์ว่า นิบิรุ (Nibiru)


ด้วยหลักฐานโบราณวัตถุ และนักโบราณคดีได้กล่าวไว้เนืองๆ ว่า..สิ่งของที่ไม่สามารถอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ได้เกิดจากดาวดวงนี้ แต่สิ่งที่เรารับรู้คือเจอดาวเคราะห์ดวงใหม่ แล้วก็จบ… ทำไมถึงกล่าวอ้างเช่นนั้น? สิ่งที่เราไม่รู้มันคือสิ่งนี้ครับ….


ดาวดวงนี้ทุนเดิมไม่ได้อยู่ในระบบกาแล็คซี่ทางช้างเผือกมาแต่เนิ่นๆ อยู่แล้ว
แต่… มีวงโคจรกว้างใหญ่ไพศาลมาก จนมาทับซ้อนลงบนกาแล็คซี่นี้

แปลว่า… ที่นักวิทยาศาสตร์เห็นเพิ่มมาดวงก็แปลว่ามันโคจรเข้ามาใกล้กาแล็คซี่เราสินะ
ถูกครึ่งเดียวครับ ความจริงมันเข้ามาทับวงโคจรทั้งแถบเลย

(ลักษณะทางกายภาพที่เป็นไปได้ของดาวนิบิรุครับ)


(ลักษณะทางกายภาพที่เป็นไปได้ของดาวนิบิรุครับ)

อันนี้ใช้เทคโนโลยี้ขั้นสูงในการถ่ายซูมครับ ทำให้รู้ได้ว่า ดาวนี้เป็น ดาวฤกษ์ครับ
และทับเข้ามาแค่ไหน

เส้นทางการเดินทางของวงโคจรดาว นิบิรุ เข้ามาทับเส้นเดียวกับโลกเลยครับ
แปลว่า… มันมีสิทธิชนโลก เราอย่างแน่นอน!!!

รูปนี้คือเส้นวงโคจรของดาวนิบิรุครับ มันเข้าใกล้ มาจริงเร้อ?

เส้นทางวงโคจร ทำให้เรารู้ได้ว่าทางเราส่องดาวบริเวณทิศใต้สุดของดาวโลกเราจะเห็น แต่ปัจจุบันนี้ ปีนี้สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าแล้ว

(เส้นขาวๆ คือลูกศรชี้ตำแหน่งดาวนิบิรุครับ)


และสำหรับคนที่อยากเห็นแต่ไม่มีตังไปออสเตรเลียหรือประเทศอะไรที่อยู่ทางใต้ของโลกนะครับ แนะนำให้ลองใช้โปรแกรม googleSky ดู ท่านจะเห็นเป็นวงแดงๆ อยู่วงเดียวทั้งท้องฟ้า นั่นหละครับ นิบิรุ… แล้วทำไม? มันเกี่ยวอะไรกับโบราณสถาน และวัตถุในอดีตหละ นักโบราณฯ สันนิษฐานว่า นิบิรุเคยโคจรเข้ามาใกล้ทีนึงแล้ว เมื่อหลายแสนปีก่อน แต่มารอบนี้ โลกหมุนมาเทียบ และทาบวงโคจรของดาวนิบิรุ คาดว่ามีโอกาสที่จะชนกันสูงหรือแม้เฉียดกันก็เกิดอันตราย

เพราะแกนของดาวมีสนามแม่เหล็กอยู่ อาจจะทำให้เกิดสภาพอากาศแปรปรวน เกิดภัยพิบัติธรรมชาติ เกิดภาวะน้ำขึ้นกระทันหัน เกิดพายุต่างๆ นานา

และเขาคาดการณ์ไว้แล้วว่า ปี 2012 เราสามารจะเห็นดาวนิบิรุ ใหญ่ขนาดดวงอาทิตย์ได้เลย เพราะมันเข้าใกล้เรามากแล้ว ข้อมูลอาจจะยังไม่แน่นพอ เพราะ NASA ปิดข่าว แต่นักดาราศาสตร์ออกมาอธิบายเรื่องทฤษฎีความเป็นไปได้กันอย่างจ้าละหวั่น

ข้อมูลที่ยังขัดแย้งกันอยู่คือ บางแหล่งบอก ดาวฤกษ์ และ อุกกาบาต เพราะขนาดของมันใหญ่กว่าดาวพฤหัส 2 เท่า!!! (ดาวพฤหัสเป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดในระบบนี้)

ปล. งานนี้ก็ถึงเวลาที่ธรรมชาติเลือกเรา ของแท้แล้วละนะครับ



Main: 0.10420703887939 sec
Sidebar: 0.047286987304688 sec