เฮฯหกกับบางทราย 1

4 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ พฤศจิกายน 30, 2008 เวลา 8:50 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 3013

เพราะเช้าวันเสาร์ต้องไปร่วมงานบุญครบรอบการเสียชีวิตหมอยุทธและแม่ชีป่านที่สกลนคร ผมและครอบครัวจึงเดินทางออกจากขอนแก่นเย็นแก่ๆ และมามืดที่เขาค้อ แล้วควานหาที่พักกัน เข้าไปหา 2 แห่งล้มเหลว…. หิวก็หิว แต่ก็ต้องหาที่พักก่อน

เราคุยกันว่า เออ สถานที่พักใหญ่โต แต่ไม่มีระบบแจ้งแขกที่จะมาหาที่พักว่า มีห้องพักว่างให้เช่าหรือไม่ เหมือนยุโรปที่เราเคยขับรถเที่ยวมา แค่ผ่านป้ายที่พักเขาก็มีสัญลักษณ์บอกว่าเหลือกี่ห้อง หรือเต็มแล้วจะได้ไม่เสียเวลาเข้าไปถาม เจ้าของเองก็ไม่เสียเวลาตอบคำถาม

เราตัดสินใจไปหาข้างหน้าลึกเข้าไปในภูเขาค้อแล้วเราก็พบป้ายบอกว่า ห้องว่าง 1 หลัง เราขับรถเข้าไปหาที่ติดต่อไม่มี นึกได้ว่าที่ป้ายตะกี้มีเบอร์โทรศัพท์บอกไว้เราโทรดู ได้เรื่อง เรามีที่พักเป็นบ้านหลังเบ่อเริ่ม ราคา 1000 บาท พักกัน 3 คน พ่อแม่ลูก ความจริงเขาจัดที่พักได้มากถึง 15 คน…

สองสามีภรรยาเป็นอดีตข้าราชการเก่ามาซื้อที่ดินไว้นานแล้ว ยามแก่เฒ่าก็มาทำบ้านพักให้เช่า…ชื่อที่พักคือ ตุ๋ยกะติ๋มเป็นชื่อเจ้าของแหละครับ ท่านมีบุตรสาว 1 คนกำลังเรียนปีสุดท้ายที่ธรรมศาสตร์รังสิตภาควิชาวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์

เราพอใจเป็นที่สุดที่โชคดีได้บ้านพักทั้งหลัง มีสองห้องนอนและห้องโถงที่ปูที่นอนได้มาก มี 2 ห้องน้ำ มีห้องครัว เครื่องครัวเพียบ ตู้เย็น ทีวี จานดาวเทียม

สภาพยังใหม่เลย ที่ปิดเปิดไฟพลาสติกยังหุ้มอยู่เลย สงบเงียบ กว้างขวาง ดีกว่าพักโรงแรมรีสอร์ทอีกเป็นไหนๆ

คุณติ๋มแสนจะน่ารัก เช้าขึ้นมาเธอเดินเอาขนมพร้อมแผนที่มาให้ และเอาใบเตยจับจีบเป็นดอกกุหลาบมาให้สามดอกให้เอาใส่ห้องน้ำและฝากใส่รถให้ไปด้วย น่ารักจริงๆ เธอช่างคุยจนเพลิน

เพื่อนๆใครผ่านมาทางนี้ก็เชิญมาอุดหนุนนะครับ


เสร็จเขาอีกแล้ว……

4 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ พฤศจิกายน 22, 2008 เวลา 21:27 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2913

ผมไม่ได้เข้าอู่รถใหญ่ๆเสียนานมาก ทั้งนี้เพราะมีลูกน้องช่วยทำหน้าที่ให้หมด เราก็มีเวลาลุยเรื่องอื่นๆต่ออย่างเต็มที่ ลูกน้องขอลาไปเกี่ยวข้าว ความที่ไม่ได้เอารถเข้าอู่นานดังกล่าว ผมก็แปลกใจและรู้ว่า เรานี่เกือบ ตกรุ่น ไปแล้ว อิอิ

วันนี้เป็นวันหยุด ผมอาสาคนข้างกายที่บ้านเอารถไปเปลี่ยนน้ำมันเครื่องและเช็คสภาพรถทุกอย่างก่อนลุยเชียงราย จึงเข้าอู่ใหญ่ที่ผมเชื่อมั่นในระบบของเขา อู่ในขอนแก่นมีมากมายที่มีขนาดใหญ่ เกือบทุกยี่ห้อ บางยี่ห้อมีหลายสาขา เช่น Toyota มีถึง 4 สาขาขนาดใหญ่ แน่นอนผมก็เอาเข้าอู่ประจำที่รถมีประวัติมาแล้วจะได้ง่ายต่อการตรวจสอบประวัติรถต่างๆ ระบบยังกับโรงพยาบาลแน่ะ

แรกเข้าไปมีพนักงานมาต้อนรับรถ พูดจาไพเราะ ลงทะเบียนแจ้งการซ่อมบำรุง แล้วเขาก็เอาประวัติรถมาตรวจสอบ แล้วก็แจ้งว่าตามกำหนดแล้วควรจะเปลี่ยนนั่นเปลี่ยนนี่ เหมือนอะไหล่เครื่องบิน เมื่อถึงชั่วโมงการใช้งานพอสมควรแล้วก็ถอดทิ้งเปลี่ยนอันใหม่เลย แต่อู่เล็กๆเขาจะดูสภาพว่าพอใช้ได้อีกไหม หากใช้ประสบการณ์พิเคราะห์ว่ายังพอใช้ได้ ก็จะแนะนำว่า อันนี้ยังพอใช้ได้ คราวหน้าค่อยมาเปลี่ยน หรือดูอีกที… นี่ความแตกต่างมันอยู่ตรงนี้เอง ราคาอู่นอกเล็กๆที่เชื่อใจกันจึงถูกกว่า…

เมื่อเสร็จขั้นตอนนี้แล้วพนักงานรับรถก็เอาแผ่นผ้ายางไปคลุมเบาะนั่งรถ นัยเพื่อป้องกันเบาะเปื้อนระหว่างการซ่อมบำรุง เอาแผ่นป้ายหมายเลขการซ่อมบำรุงรถไปติดไว้บนหลังคนรถ พนักงานก็เอารถเข้าห้องซ่อมบำรุง แล้วเชิญเราขึ้นไปห้องพักที่สวยงามสง่า มีสิ่งอำนวยความสะดวกไว้ต้อนรับมากมาย เริ่มตั้งแต่ เชิญเลือกดื่มน้ำ จะเอาเย็น อุ่น หรือกาแฟ..จะนั่งดูทีวีจอยักษ์ บนโซฟานิ่มๆ หรือจะหามุมอ่านนิตยสาร วารสาร ต่างๆมากมาย หรือจะเล่น เน็ท Wifi ที่อู่มีไว้ให้ หลายโต๊ะ หรือเราจะเอาเครื่องคอมมาเองก็เปิด wifi ฟรี บางแห่งมีที่สำหรับเด็กเล่นอีกด้วย….

พนักงานสาวสวยก็ขยันเดินมาถามว่าจะเอาอะไรอีกไหม.ค่ะ…ป๊าดด…ยังกะเราเป็นแขกบ้านแขกเมืองมีบ่อน้ำมันโน้น… น่าเอาไปไว้ที่บ้าน ไปดูแลเราแบบนี้ให้ตลอดจัง..อิอิ (รับรองโดนอีโต้หัวแบะแน่เล้ยยยย)

เราก็เลือกเน็ท ซิ..เล่นซะเพลินไปเลย มารู้ตัวอีกที พนักงานมาบอกว่า รถเสร็จแล้วครับ ขอเชิญที่เคาท์เตอร์ (กูจะงาบมึงหละทีนี้…) พนักงานอีกฝ่ายก็มาพูดจา..ดี๊.. ดี.. แจ้งให้ทราบว่าซ่อมบำรุงนั่นนี่อะไรบ้าง หันจอคอมพิวเตอร์แสดงการบันทึกประวัติการซ่อมบำรุงรถครั้งที่ผ่านๆมาและครั้งนี้ นัยว่านี่คือความโปร่งใส..แจ๋ว แล้วก็บอกราคา อิอิ..ท่านจะจ่ายเป็นเงินสดหรือบัตรเครดิตครับ… ท่านจะเอาใบเสร็จไหมครับ…ท่านจะ…ท่านจะ…. วุ้ย…ตั้งแต่เดินเข้ามาในอู่นี่ เป็นท่าน ไปแล้ว ผมเห็นเขาปฏิบัติเช่นนี้กับตาสีตาสาที่เอาปิคอัพเข้ามาซ่อมบำรุงเหมือนกันหมด….. แต่ออกจากอู่นี้ไปพบกันข้างนอกคงจะเรียก ลุง เรียกปู่ ไปหละมั๊ง…

นี่ไงล่ะ…ระบบธุรกิจ ทำได้หมด สร้างระบบบริการที่เอาใจลูกค้าแบบนี้ได้หมด

แต่คุณจ่ายนะ….เพราะทั้งหมดนั้นคือต้นทุน….ฮ้า

ตู..เสร็จเขาอีกแหล่ว……


ผ่านไปอีกวัน……

4 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ พฤศจิกายน 21, 2008 เวลา 21:24 ในหมวดหมู่ สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย #
อ่าน: 1747

ระบบโครงการใหญ่ที่ผมทำอยู่นี่ บางทีก็ดูเทอะทะ เวลาเจ้านายอยากประชุมทีก็เรียกกันลงมากรุงเทพฯต้องเหมารถตู้มากัน บ้างก็นั่งเครื่องฯมา ไปกลับเท่าไหร่ ค่าที่พัก ค่ากิน ค่าแท็กซี่ บางคนก็ชอบชีวิตแบบนี้…ผมเห็นว่ามันไม่คุ้นกันเลย บางคนมาแล้วไม่ได้พูดสักคำ นั่งรับฟังเฉยๆ บางทีผมยังสงสัยว่าที่นั่งเฉยๆน่ะ เข้าใจกันแค่ไหน..? เสียดายงบประมาณจริงๆ…เฮ่อ บ่นสักหน่อยวันนี้…

ลงกรุงเทพฯก็พยายามพักที่โรงแรมใกล้กระทรวงเกษตร เพราะตื่นเช้ามาก็เดินมาได้ คราวนี้น้องๆบอกมีโรงแรมราคาถูก ชื่อ Golden Horse จำได้ว่าสมัยทำงานกับสภาพัฒน์ฯมาพักที่นี่บ่อยมากเพราะเขาจองให้ว่ามันอยู่ใกล้ๆ เมื่อคืนกลับมาพัก โห….ผิดไปมากทีเดียว ก็โทรมจนหมดราคาเลย ไม่มีแขกพักซักเท่าไหร่ เมื่อผมเข้าพักแล้วก็นึกได้ว่ามันอยู่ใกล้ๆ ภูเขาทองวัดสระเกศ จึงเปิดผ้าม่านดู โฮ สวยจริงๆ…เหลืองอร่าม

ถ่ายรูปนี้ผ่านกิ่งไม้ข้างห้องพัก

การประชุมวันนี้เพื่อมาให้รับทราบว่าเบอร์หนึ่งจะเดินทางขึ้นไปประชุมพิเศษที่ขอนแก่น จะต้องเตรียมตอบคำถามท่านอย่างไรบ้าง จะเอางานอะไรมาบรรยายสรุปให้ท่าน ใครจะเตรียมฯลฯ เป็นที่ทราบกันดีว่า เบอร์หนึ่งของหน่วยงานนี้ท่านเป็นคนเช่นไร จึงต้องกำชับกันมากหน่อย…. เจ้านายสั่งงานแล้วก็นั่งคุยต่อกันนิดหน่อยแล้วก็แยกย้ายกันกลับ

แค่นี้..แค่มาประชุม 2 ชั่วโมงเสียงบประมาณไปมากมาย พวกเราเลยถือโอกาสไปดูพระเมรุที่สนามหลวง พนักงานขับรถที่เช่ามาเตือนว่า พี่ช่วงนี้รถติดมากนะครับ ทุกคนในรถก็ว่ามาแล้วไปดูซะหน่อยเป็นบุญตา…

โห..จริงๆ รถติดกันยังกะฝูงมดเดินกลับรัง…. เห็นรถบัสคันใหญ่จอดในสนามก็เดาว่าที่คงเป็นทัวร์ต่างจังหวัดที่เข้ามาชมเหมือนเราที่ตั้งใจ แต่เราหมดสิทธิ พนักงานขับรถไปถึงสามเหลี่ยมศาลหลักเมือง ก็ปรึกษากันว่าเลี้ยวกลับเถอะ ขืนไปต่อไม่ได้กลับขอนแก่นแน่

ก็อาศัยถ่ายรูปในรถเอา เราต่างกระหายบริโภคภาพพระเมรุมาศที่มีพี่น้องชาวไทยเข้ามาชมกันเต็มนั่น รถก็กระดึบๆไปข้างหน้า สวยมากจริงๆ อยากให้คงอยู่เช่นนี้นานๆ พี่น้องจะได้เดินทางมาชมศิลปกรรมของประเทศเรา ล้ำค่า เลอเลิศ สะแมนแตนจริงๆ บุญตาเรา คนข้างกายผมก็บ่นว่าอยากเข้ามาดู แต่ไม่มีโอกาส เลย ก็แค่เก็บรูปเท่าที่จะพอถ่ายได้เอาไปฝากกันเท่านั้น… อิจฉาคนกรุงเทพฯจัง…


ผมเข้าใจว่าพระเมรุนี้จะไม่เก็บไว้นานเพียง 1 เดือนประมาณนั้น จะต้องเก็บเพื่อเหตุผลของความเชื่อของวัฒนธรรมไทยเราตามที่โฆษกพระราชพิธีประกาศให้เราทราบช่วงพระราชพิธีอันงดงามนั้น

ผมเดินทางกลับขอนแก่นโดยเครื่องเพราะมีนัดกับคุณหมอเรื่องอวัยวะข้างในผม เลยแยกตัวจากเพื่อนที่นั่งรถตู้กลับ แต่เรื่องจริงเพื่อนๆที่นั่งรถตู้กลับถึงบ้านขอนแก่นก่อนผม เพราะเมื่อผมลงเครื่องก็เลยเข้าไปพบคุณหมอที่คลินิก

ป๊าดดดด แม่คุณทูนหัวทั้งผู้ป่วยและญาติที่มาส่งผู้ป่วยพบหมอนั้นลามออกมาข้างนอกห้อง เมื่อผมยื่นบัตรให้เจ้าหน้าที่สาว เธอก็บอกว่าคิวยาวมากนะคะ ผมก็พยักหน้า ยาวก็จะรอครับ เพราะคุณหมอนัดวันนี้

ผมอ่านหนังสือจบเป็นเล่มเลย ระหว่างนั้นคุณหมอก็ออกมาทักทายคนไข้ตามนิสัยสร้างบรรยากาศดีดี ครั้งหนึ่งคุณหมอประกาศดังๆต่อหน้าคนไข้ว่า มีใครมาไกลกว่าเมืองสะหวันนะเขต(เมืองลาว) บ้าง ต่างพยายามมองว่ามีใครมาไกลบ้าง มีคนยกมือจริงๆ มุมห้องโน้น มาจากไหนครับคุณหมอถาม ผมมาจากจันทรบุรีครับ…เอ้า มาเอารางวัลไปเลย…คุณหมอหยิบขนมปังที่ทำเป็นแบบแฮมเบอร์เกอร์ห่อด้วยพลาสติกใส 1 ชิ้น…

คนไข้ที่นั่งต่างหัวเราะและยิ้มให้แก่พฤติกรรมน่ารักของคุณหมอครับ… ท่ามกลางความทุกข์ที่ทุกคนมาเพื่อหาหมอนั้น ต่างก็ยิ้ม นี่เองที่ทำให้คนไข้คุณหมอแน่นทุกวัน…

ผมดูเวลา ห้าทุ่มแล้ว ก็ถึงคิวผม อิอิ เป็นคนสุดท้ายเลยครับ…..เห็นใจคุณหมอจริงๆที่ต้องรับภาระหนักเช่นนี้.. แต่ชื่นชมที่ท่านทำบุญให้แก่เพื่อนคนไทยที่มีทุกข์ต่างบากหน้ามาหาหมอ…

ผมว่าคุณเป็นนิ่ว..ไหนเอาแผ่นฟิล์มที่ทำอุนตราซาวน์ดูหน่อยซิ แทนที่คุณหมอจะหยิบคำวินิจฉัยที่คุณหมอที่ทำอุลตราซาวน์มาอ่านก่อน กลับไปหยิบแผ่นฟีล์มมาส่องไฟดู

นี่ไงเห็นไหม…นิ่วก้อนเล็กๆนี่ไง… แล้วคุณหมอจึงมาอ่านคำวินิจฉัยทีหลัง…

เอาไงดี..จะผ่าหรือจะกินยาต่อ.. ขอกินยาต่ออีกครั้งครับ หากยังไม่ดีขึ้นก็จะผ่าครับ ผมอ้อนวอนคุณหมอ..

เอางั้นเอายาไป… ผมเห็นคุณหมอเพลียมากจึงไม่ซักถามมากนัก ผมลาคุณหมอและเจ้าหน้าที่แล้วก็มุ่งหน้ากลับบ้าน เกือบเที่ยงคืน เพื่อนที่นั่งรถจากกรุงเทพฯมาถึงบ้านก่อนจริงๆ….

เฮ่อ…ผ่านไปอีกวันหนึ่ง…ชีวิต..

พักผ่อนเอาแรงไว้วันพรุ่งนี้ต่อดีกว่า…. อย่างไรเสียวันนี้ก็ได้กราบวัดพระแก้ว และพระเมรุ ผมหลับลงด้วยจิตใจที่ดีอีกวันหนึ่ง

คร๊อกฟี้ยยยยยย……


เกือบลงแดง……

8 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ พฤศจิกายน 18, 2008 เวลา 15:55 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2930

จำได้ว่าเมื่อสมัยเด็กๆ แถบบ้านผมนั้นใครต่อใครมุ่งหน้าไปเรียนวิทยาลัยพานิชกัน พ่อแม่หลายคนก็อวดกันว่าลูกฉันจบพานิชที่นั่น ที่นี่ ทำงานห้างนั่น ห้างนี่… ผมรู้ว่าเด็กพานิชนั้นต้องเรียนพิมพ์ดีดเก่งๆ แข่งกันว่าใครพิมพ์สัมผัสได้นาทีละเท่านั้นเท่านี้คำ โดยไม่ผิดเลย ถือว่าสุดยอด.. แถมหิ้วเครื่องพิมพ์ดีดกระเป๋าหิ้วยี่ห้อเรมิงตัน หรือ โอลิมเปีย ก็โก้ชะมัดเลย หลายคนยังเก่งชวเลขอีก ซึ่งเหมาะสำหรับเป็นอาชีพเลขานุการ หรือนักข่าว

เมื่อผมเข้าไปเรียนที่ มช. ก็มีโอกาสสัมผัสพิมพ์ดีดและชวเลข เพราะสนใจหาความรู้ แต่ไม่ได้เอาดีทางนี้ แม้ว่าเมื่อจบออกมาจะไปเป็นนักหนังสือพิมพ์อยู่เกือบปีก็ตาม แต่ผมก็ชอบพิมพ์และเก็บตังค์ซื้อเรมิงตัน มา เครื่องหนึ่ง ได้ใช้เต็มที่สมัยทำวิจัยให้สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย และ เอาไว้ไปตึ้ง เวลาไม่มีเงิน..อิอิ..(เอามือปิดปากเขิน..) แต่ผมไม่สามารถพิมพ์สัมผัสได้ แต่สองนิ้วก็ทำรายงานมาเป็นร้อยๆเล่มแล้วนะจะบอกให้….

ปี 25 ผมมาทำงาน USAID กับฝรั่งที่ท่าพระ ขอนแก่น ได้สัมผัสคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะเป็นครั้งแรก ยี่ห้อ Super Brain จอสีอำพัน ใช้ print ออกที่เครื่องพิมพ์ดีดยี่ห้อ Olympia ที่พัฒนาขึ้นมารองรับระบบคอมพิวเตอร์โดยมีแป้นพิมพ์เป็นจานพลาสติกวงกลม ซี่ๆ ปลายซี่มีตัวอักษรทั้งภาษาไทยและอังกฤษ หน่วยความจำจะสั่งให้จานนี้หมุน ตีพิมพ์ออกมาเป็นตัวอักษร สวยงามครับ ผมสนุกสนานกับเครื่องคอมพิวเตอร์นี้มากเมื่อเลิกงานรีบกลับบ้านแล้วกลับมาเล่นคอมพิวเตอร์จนดึกดื่น จนคนข้างกายทำ Thesis ที่ ISS ผมก็อาสาใช้เครื่องนี้พิมพ์ให้

ต่อมาผมตัดสินใจซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ตัวแรกยี่ห้อ Toshiba เป็น Laptop ใช้ Dos ใช้ External drive หน้าจอสีเขียว มี 16 บรรทัด แพงชะมัด ราคา 8 หมื่นบาท

ช่วงนั้นตลาดคอมพิวเตอร์ที่ขอนแก่นขยายตัวสุดขีด มีร้านที่ทำธุรกิจเรื่องนี้มากมาย มีโรงเรียนสอนการใช้เครื่องและการสร้างโปรแกรม ผมเองก็แอบไปเรียน การเขียนโดยใช้ FoxPro มาระยะหนึ่งแต่ทิ้งไปเพราะไม่นิ่งพอ ต่อมาก็เป็นผู้ใช้อย่างเดียว

เนื่องจากทำงานโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ ภารกิจที่สำคัญคือการเขียนรายงาน และเครื่องมือที่สำคัญคือ คอมพิวเตอร์ ผมจึงใช้และเปลี่ยนคอมฯเป็นว่าเล่น เช่น Compaq, Acer, Toshiba, IBM, Lenovo, Dell และยี่ห้อที่ไม่มีชื่อเสียง ที่เปลี่ยนเพราะมันพังครับ….. แบบ Desktop ก็โล๊ะไปสามชุด

ยิ่งใช้คอมฯก็ยิ่งราคาถูกลง ประสิทธิภาพสูงขึ้น แต่ผมก็ไม่รู้เรื่อง Hardware อยู่ดี แม้ Software ก็งูๆปลาๆ สนใจแต่ทำรายงานเท่านั้น เมื่อมีปัญหาก็หิ้วไปที่ร้าน แต่สมัยนั้นเจ้าของร้านออกมาบริการลูกค้าถึงบ้านเลยหละ..ตอนนี้ไม่มีแล้ว คนไข้ต้องไปหาหมอ มิใช่หมอมาหาคนไข้…..อิอิ..

คอมฯที่ซื้อมาหั่นราคากันแหลกลาน คนที่เป็น User อย่างผมส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าที่ลดราคาลงมานั้นอะไรบ้างที่ถูกลดสัดส่วนลงมา ไม่รุ…..ที่แน่ๆคือ Program Windows ที่ Install ลงไปนั้นไม่มี License ลูกสาวผมหัวฟัดหัวเหวี่ยงเอากับร้านมาครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อเธอได้คอมฯใหม่ ตามประสาวัยรุ่นก็ download เพลงมาจาก Internet เพลินเชียว โปรแกรมที่ใช้บางโปแกรมก็จะปฏิเสธการ Download หากทำต่อต้อง Upgrade เจ้า Windows ใหม่ หากใครไม่ทราบก็เรียบร้อย เพราะระหว่างการ Upgrade นั้นเมื่อเครื่องมันตรวจพบว่า ของที่มีอยู่เป็นของที่ไม่มี License เครื่องก็จะ Block หลายๆอย่างจนเราเล่นไม่ได้ จำเป็นต้องยกเครื่องไปที่ร้านที่ซื้อเครื่องมาบอกอาการเขา เขาก็จะ Reinstall windows ให้ใหม่ และ เมื่อไม่ใช่ของจริง เครื่องก็จะไม่ใช่ Full option ตามที่เขาโฆษณา ……

เมื่อวานผมเผลอไปกด Upgrade IE V7 เข้าโดยบังเอิญ ไม่ได้ตั้งใจ….หุหุ….เรียบร้อยเลย ต้องหิ้วลูกรักไปหาหมอ ที่ร้านก็ขอเวลาจัดการ 1 วัน เพราะลูกค้ามากมาย ผมก็เลยนั่งหง่าว….หงุดหงิด…..สวิงสวาย..เหมือนจะเป็นไข้บวกลงแดงขึ้นมา..

เออ…..อาการขาดคอมฯในกระแสเลือดนี่มันรุนแรงเอาการนะครับ…คุณเอ๋ย….


เปิดตัว……

10 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ พฤศจิกายน 15, 2008 เวลา 17:25 ในหมวดหมู่ เรื่องของชีวิต #
อ่าน: 1967

ผมเคยเขียนบันทึกเรื่อง โรคเหงาหงอยท่ามกลางฝูงชน ใน G2K ซึ่งเป็นสภาวะที่นักจิตวิทยาและคุณหมอทั้งหลายทราบรายละเอียดเรื่องนี้ดี ผมน่ะไม่รู้เรื่องร๊อก แต่ท่านอาจารย์ ดร.อำนวย ทะพิงค์แก อดีตอาจารย์ของผมท่านเล่าให้ฟังหลายสิบปีก่อน ว่าในเมืองที่เจริญรุ่งเรืองเช่นที่อเมริกาที่ท่านเคยไปเรียนหนังสือที่นั่นนั้น โรคนี้กำลังระบาดอย่างหนัก อาจารย์อธิบายว่า ก็คนเดินกันเต็มถนน เกือบจะชนกัน แต่ไม่รู้จักกัน แถมไม่คุยกันเลย รถวิ่งกันเต็มถนน เมื่อติดไฟแดง รถจอดนิ่งๆ ต่างคนต่างก็มองหน้ากันไปมาระหว่างคันนี้คันนั้น แต่ไม่พูดกัน ซึ่งลักษณะเมืองก็เหมือนกันทั่วโลก….??

แต่มันตรงกันข้ามกับสังคมชนบท สะเมิงที่ผมรู้จัก หรือที่ไหนๆก็ตาม (แต่น่าจะสำรวจว่าเปลี่ยนไปมากแค่ไหน) สังคมเมืองจึงมีความต่างกับชนบทอย่างน่าเป็นห่วงในหลายสาระ

เมื่อท่านจอมป่วนเปิดลานเรื่อง เล่าเรื่องตัวเองทำไม ? อ่านเรื่องคนอื่นทำไม ที่ http://lanpanya.com/jogger/?p=204#comment-530 ทำให้ผมนึกถึงสมัยเรียนที่ มช. เมื่อระหว่างปี 2512-2516 ซึ่งเป็นยุคของขวนนักศึกษา และนักศึกษาที่เรียกกันว่า activist ผมไม่ทราบว่าที่สถาบันอื่นเป็นเช่นไร แต่ที่ มช.และกลุ่มนักศึกษาที่ผมเกาะกลุ่มกันไว้นั้น มีลักษณะที่น่าสนใจ อยากจะเล่าความหลังไห้ฟัง

กลุ่มนี้เรียกตัวเองในหลายชื่อด้วยกัน ภายในเราเข้าใจกันดีคือ กลุ่ม วลัญชทัศน์ กลุ่มนี้ไม่ค่อยเรียนหนังสือ เอาแต่จับกลุ่มคุยกัน ทำงานเคลื่อนไหวให้การศึกษาในกลุ่มนักศึกษาด้วยกัน และออกชนบททั้งศึกษาชนบทและไปทำงานค่ายพัฒนาแบบต่างๆกันไม่ได้หยุด กลุ่มวลัญชทัศน์นี้มีรุ่นพี่คณะรัฐศาสตร์เป็นผู้นำ และในปีสุดท้ายพี่ท่านนี้ถูกถีบตกรถไฟเสียชีวิต เราเชื่อกันว่าเป็น การเก็บ ของฝ่ายบ้านเมือง

เรามีเพื่อนที่มีความคิดในครรลองเดียวกันทุกคณะทั้งชาย หญิง โดยเฉพาะฝั่งสวนดอก อันได้แก่ คณะแพทย์ คณะทันตแพทย์ คณะเภสัชฯ คณะเทคนิคการแพทย์ คณะพยาบาล มีจำนวนมากด้วย นอกจากนั้น คณะเกษตรฯ คณะวิศวะฯ ก็มีหลายคนไม่ต้องเอ่ยคณะทางสังคมศาสตร์ เป็นตัวหลักเชียวหละ

ก่อนที่เราจะไปทำกิจกรรมต่างๆร่วมกันนั้นเราจะมีค่ายหนึ่งที่ทุกคนจะต้องผ่าน เรียกว่าค่ายศึกษา ไปจัดในหมู่บ้านที่มีพื้นที่เหมาะสม เช่นเป็นสวนของผู้นำชาวนาที่เราคุ้นเคย ที่ไม่โจ่งแจ้งเกินไป เพราะสมัยนั้น การที่นักศึกษาออกสู่ชนบทนั้นจะเป็นเป้าสายตาของฝ่ายปกครองจะต้องรายงานให้ตำรวจและนายอำเภอ ผู้ว่าราชการทราบ

เราไปกินนอนกัน ประมาณ 1 สัปดาห์ เอาเต็นท์ไปกางนอนกันตามใต้ต้นไม้ กองฟาง เป็นต้น เช้าตื่นขึ้นมาก็ออกไปช่วยกันทำมาหากิน เก็บกวาดสถานที่ หรือช่วยทำงานของเจ้าของที่ที่มีคั่งค้างอยู่

กิจกรรมที่สำคัญที่สุดที่ทุกคนจะต้องทำคือ การเปิดตัวและการทำสามัคคีวิพากษ์ หรือสามัคคีวิจารณ์ วิธีการก็คือ พี่พี่ที่คุ้นเคยและผ่านเรื่องนี้มาก่อนจะทำการเปิดตัวตนเองอย่างสิ้นเปลือก เป็นใคร มาจากไหน พ่อแม่ เป็นไง….ละเอียดยิบ จนมาถึงทำไมถึงมาคิดเห็นต่อสังคมบ้านเมืองเช่นนี้ มีที่มาที่ไปอย่างไร มีเหตุผลอะไร….. ใช้เวลานานเท่าที่อยากจะพูด และเพื่อนๆสามารถซักถาม ได้บ้าง แต่ส่วนมากไม่ได้ถาม คนเล่าเล่าหมดสิ้น มันน่าจะเป็นการเริ่มพัฒนามาสู่ สุนทรีย์สนทนา ละมั๊งเพราะท่านเจ้าสำนักขวัญเมืองก็เป็นยุคเดียวกับผม และน่าที่จะผ่านกระบวนการนี้มาแล้ว

เป็นเรื่องเหลือเชื่อจริงๆ เราสนิทกันแบบเพื่อนรักมากๆ พี่กับน้อง น้องกับพี่ ที่รู้ใจกันหมดสิ้น ท่านคงเดาบรรยากาศในการเปิดตัวในกลุ่มคนที่มีอุดมการณ์เดียวกันออกนะครับว่า น่าจะเป็นเช่นไร…

นักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ปี 4 ตัวใหญ่เท่าช้าง ร้องให้อย่างก๊ะเด็ก เมื่อเขาเล่าสิ่งที่เขาสะเทือนใจในชีวิตเขาออกมา มันเป็นการปลดปล่อย…. ปลดปล่อยออกมาท่ามกลางเพื่อนที่รัก…..

นักศึกษาแพทย์สง่างามต้องหยุดพูดกลางคันเมื่อเขาเล่าถึงความต่ำต้อย ในฐานะทางบ้านและการสูญเสียแม่อันเป็นที่รักที่สุดของเขาไป…..

ลูกพ่อเลี้ยงใหญ่กลางเมืองเชียงใหม่ อึดอัดต่อครอบครัวที่คาดคั้นให้เขาเดินตามสิ่งที่ครอบครัวต้องการ…..

สาวสวยการศึกษาดีจากครอบครัวธุรกิจ Export เล่าอย่างไม่อายว่าเขาไม่รู้เรื่องชนบทเลยแม้ต้นข้าว เพราะบ้านเขาเนรมิตทุกอย่างให้เขาได้ แต่รักความยุติธรรม ความถูกต้อง และเห็นอกเห็นใจคนยากจนทำให้เธอเดินมาเส้นทางนี้โดยทางบ้านยังไม่รู้เรื่อง..

ดูเหมือนว่าสิ่งที่เหมือนกัน หรือสิ่งที่สามารถรวมศูนย์จิตใจให้มายอมรับกันได้คือ การรักความยุติธรรม ความถูกต้อง และต้องการช่วยเหลือสังคมโดยเฉพาะผู้ที่ด้อยกว่า…

การเปิดตัวแบบเปิดอก สมัยนั้นมีพลังมหาศาล

v มันสร้างความเข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกันแบบลึกซึ้งในกลุ่มคนร่วมอุดมการณ์อย่างไม่เคลือบแคลง

v และพัฒนาไปสู่ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น

สองสิ่งนี้ก็คือฐานที่มั่นคงในการที่กลุ่มจะทำงานเพื่อสังคมร่วมกัน หรืองานใดๆที่กลุ่มตกลงกัน

สิ่งที่มากไปกว่าการเปิดตัวแบบเปิดอกคือ การวิพากษ์วิจารณ์แบบสามัคคี โดยปกติคนเราย่อมมีจุดเด่นจุดด้อย เปิดออกมาเลยว่าตัวเองมีแบบไหนอย่างไร แล้วพี่ๆเพื่อนๆที่ใกล้ชิดจะช่วยแสดงความเห็นต่อเรื่องนั้นๆ หรือแม้แต่วิพากษ์เพิ่มเติม สิ่งเหล่านี้ช่วยให้เห็นตัวตนมากยิ่งขึ้นไปอีกแบบปอกเปลือกหมดสิ้นแดงแจ๋ ยิ่งทำงานด้วยกันนานๆก็ยิ่งเห็นตัวตนมากขึ้น

ตลก.. ที่ผมเอากระบวนวิธีนี้ไปทำกับเพื่อร่วมงานสมัยทำงานพัฒนาชนบทใหม่ๆ พบว่าเพื่อนๆรับได้ แต่หัวหน้างานรับไม่ได้ ไม่ยอมเข้าร่วมกระบวนนี้ เพราะท่านเป็นผู้ใหญ่กว่า ท่านคิดว่าไม่ควรเปิดเรื่องส่วนตัวให้ลูกน้องทราบในหลายๆเรื่อง แต่ลูกน้องควรรับฟังคำสั่ง หรือความคิด ข้อชี้แนะของหัวหน้างานเท่านั้น…

นี่คือ พลังเยาวชน ช่างตรงกับที่ บรรจง บรรเจิดศิลป์ เขียนไว้จริงๆ

ที่เขียนมาเพื่อต่อยอดท่านครูบาฯ และเฮียตึ๋ง ที่รักของเรานี่แหละ..ครับท่าน..


ร่องรอยบางทราย….๓

11 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ พฤศจิกายน 14, 2008 เวลา 14:44 ในหมวดหมู่ เรื่องของชีวิต #
อ่าน: 2809

ตอบท่านครูบาฯ

กระชากหน้ากากตัวเองหน่อย…

เปลี่ยนแปลง…

* ที่สุรินทร์นี่เองที่ผมกับเพื่อนๆวงการ NGO และรุ่นพี่ๆรวมตัวกันตั้ง NGO-CORD และจัดประชุมสัมมนาทุกปี ผมเป็นกรรมการอยู่พักหนึ่งก็ลาออกให้รุ่นน้องๆทำต่อ เพื่อนที่ขอนแก่นชวนมาทำงานกับโครงการ USAID ที่สำนักงานเกษตรท่าพระ ก็เปลี่ยนจาก NGO ร้อยเปอร์เซ็นต์มาเป็นที่ปรึกษา

* ทำงานกับฝรั่ง ในฐานะผู้เชี่ยวชาญสังกัดกรมวิเทศสหการ เงินเดือน 9,000 บาท เป็นครั้งแรกที่ทำงานร่วมกับฝรั่งเต็มทีม และส่วนใหญ่เป็นอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเคนตั๊กกี้ มีสิทธิพิเศษสามารถสั่งเหล้าฝรั่งทุกยี่ห้อในราคาสินค้า PX ผมก็ PX บ้างแต่ไม่รู้ว่ามันแปลว่าอะไร กินเหล้าฝรั่งยี่ห้อดังๆซะหมดทุกยี่ห้อแล้วในราคาไม่ถึงพันบาทต่อ ขวดใหญ่

* สถานที่ทำงานแห่งนี้เองที่ ผมได้เรียนรู้เครื่องมือทำงานวิจัยและสามารถนำมาใช้ในกระบวนการพัฒนาชนบทที่เรียก RAT (Rapid Assessment Technique) ซึ่งเข้ามาครั้งแรกในประเทศไทยที่สถาบันวิจัยระบบการทำฟาร์ม(FR/E) มหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝรั่งที่โครงการก็ร่วมมือกับคณะเกษตรเอาเข้ามาใช้ แล้วพัฒนาเครื่องมือนี้เป็น RRA (Rapid Rural Appraisal) และเป็น PRA(Participatory Rapid Appraisal) ในที่สุด ก่อนที่จะดัดแปลงไปอีกมากมายขยายไปทั่วโลกจนถึงปัจจุบันนี้

* เครื่องมือที่สำคัญอีกตัวหนึ่งที่เรียนรู้ในครั้งนั้นคือ Agro-ecosystem Analysis (AEA) เป็นเครื่องมือใช้วิเคราะห์พื้นที่ เหมาะที่จะใช้ประกอบการวางแผนงานพัฒนาพื้นที่โดยเฉพาะทางกายภาพ ต่อมาได้พัฒนาให้เป็นตัวเด่นตัวหนึ่งในการวิเคราะห์ PRA ประมาณปี 2525-2530 ที่ผมทำงานที่นั่น ได้เรียนรู้เทคนิคการทำงานต่างๆมากมาย ประสบการณ์ครั้งนั้นยังเอามาใช้ในการทำงานจนทุกวันนี้ อิอิ..

* แล้วผมก็ผันไปทำงานโครงการอื่นๆในวงการพัฒนา คือ โครงการไทย-ออสเตรเลีย เรื่องน้ำดื่มน้ำใช้ทั่วภาคอีสาน โครงการ ไทย-เนเทอร์แลนด์ เรื่องการพัฒนาน้ำในระดับไร่นาที่เขื่อนลำปาว กาฬสินธุ์ โครงการ NEWMASIP กับกลุ่มประเทศประชาคมยุโรปเรื่องน้ำชลประทานทั่วภาคอีสาน แล้วก็ย้อนไปทำงาน International NGO ที่ห้วยขาแข้ง นครสวรรค์ แล้วเข้ากรุงเทพฯไปทำงานกับบริษัทที่ปรึกษา 1 ปี แล้วย้ายออกมาอยู่ชนบทอีกครั้งจนถึงปัจจุบัน

บ่าย….

* ทำงานพัฒนาชุมชน ยิ่งทำก็ยิ่งมีสิ่งที่ต้องทำ เห็นโน่นก็อยากทำ เห็นนี่ก็อยากทำ แต่หันมามองสังขารตัวเองก็ปลง ก็เลยสนับสนุนน้องๆก้าวเข้ามาแทนที่เรา

* ถึงช่วงที่ถ่ายทอดประสบการณ์ผิดๆถูกๆให้น้องๆเรียนรู้ต่อยอดกันไป เท่าที่จะทำได้ และทำงานต่อไปเท่าที่กำลังจะมีเหลืออยู่ ใช้ประสบการณ์บ่งชี้ให้ผู้รับผิดชอบรับฟัง ส่วนเขาจะสำเหนียกเอาไปสู่การปฏิบัตินั้นเป็นเรื่องของการเห็นตรงกันหรือเห็นต่างกัน

* มันเป็นสัจธรรมของชีวิตที่เมื่อเข้าสู่ยามบ่าย ก็ต้องคิดถึงการเดินเข้าสู่การปรับตัวตามวัยเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับชีวิตใหม่

วิธีการเรียน

* โดยส่วนตัวชอบอ่านหนังสือหนักๆ ไม่ใช่น้ำหนักของเอกสารนะครับ สาระหนักๆต่างหาก แล้วเอามาเขียนย่อให้ตัวเองเข้าใจ สรุปสาระนั้นๆไว้เป็นส่วนตัว เพราะการเขียนเป็นการกลั่นกรองความคิดออกมา เอาเฉพาะแก่นออกมา (แต่ไม่ได้ทำทุกเรื่อง)

* ส่วนตัวชอบ เทคนิค flowchart, diagram, mind map, graph, note ย่อ วิธีการเขียนก็เอาตามแบบสไตล์ตัวเองที่ชอบ ที่เข้าใจง่าย ซึ่งคนอื่นอาจจะไม่ชอบ หรือเข้าใจยากกว่า แต่เราเข้าใจ จับหลักให้ได้ แล้วขยายรายละเอียดทีหลัง การที่เราสนใจดังกล่าว รู้สึกว่าเราจะได้มุมมองเรื่องราวต่างๆได้ดี เราเห็นทั้ง Overview และเฉพาะเจาะลึก

* เทคนิคที่เราเรียนมาจากการร่วมลงมือทำ กรณี AEA นั้นทำให้เรามีมุมมอง Overview มากกว่าเพื่อนคนอื่นๆบางคน และเมื่อเราคุ้นเคยกับการใช้เครื่องมือต่างๆของ PRA ทำให้เราสามารถเจาะลึกถึงข้อมูลต่างๆได้ดี และพยายามหาข้อมูลด้านนี้มาประกอบการตัดสินใจด้วยเสมอ มุมมองของเราจึงกว้าง ลึกและรอบด้านมากกว่า อันนี้เป็นการมองตัวเอง ประเมินตัวเอง

* การที่เราผ่านการใช้เครื่องมือการหาข้อมูลต่างๆมาพอสมควร ช่วยให้เรามี จินตนาการ ได้ดีกว่า เมื่อเอ่ยถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่ง(Subject) เราสามารถกวาดข้อมูลมาจากแหล่งต่างๆได้ (Subject area) แม้จะไม่มีข้อมูลเราก็รู้ว่าจะไปหาที่ไหน (Information sources)

* การเรียนที่ดีที่สุดคือทำเอง ปฏิบัติเอง เพราะมันมีช่องว่างระหว่างภาษาอักษรกับภาษาความรู้สึก ตัวอักษรไม่มีรายละเอียดเท่า หรือหากจะบรรยายให้เทียบเท่าก็ไม่ใช่ความรู้สึกจริงๆ การปฏิบัติจริงมันมีความรู้สึกเข้ามาอยู่ในผลของการเรียนรู้ด้วยที่ต่างจากการเรียนจากตัวหนังสือ หรือเพียงการบอกเล่า ความรู้สึกจะช่วยให้เราชั่งน้ำหนักในขั้นตอนสุดท้ายได้ (อันนี้เป็นส่วนตัวนะครับ)

* ความรู้สึกเป็นอุบายหนึ่งของการฝึกสมาธิในหลักทางพุทธศาสนา หากเราคู้แขนเข้าออก เดินจงกรม นั่งพิจารณากายสัมผัสสิ่งต่างๆ การจับจ้องที่ความรู้สึกนั้นๆช่วยให้เราหยั่งรู้ หากนิ่งและสงบจริงก็จะเป็นขั้นตอนแรกๆที่จะก้าวเข้าสู่สมาธิขั้นสูงขึ้น สูงขึ้น ความรู้สึกจะเกิดได้ก็ต้องสัมผัส การจะสัมผัสได้ก็ต้องลงมือทำจริง

* ครั้งที่ตัดสินใจกินเจ (ต่อมาลดลงแค่มังสวิรัติ) ก็เพราะต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิตไปเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เบื่อชีวิตเก่าๆ ก็ตัดสินใจคืนเดียวแล้วกระโดดเข้าวงการคนกินเจ ที่มีข้อห้ามมากมาย ทุกวันหยุดก็ไปรวมตัวกันนั่งสมาธิติดต่อกันมากกว่า 5 ปี การกระโดดลงไปปฏิบัติเองนั้นเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะได้ความคิดใหม่ ความรู้สึกใหม่ มุมมองโลกใหม่ๆ และรวมถึงสุขภาพที่ดีกว่าเดิม

* เนื่องจากเราเป็นมนุษย์สามโลก คือโลกในเมือง โลกในชนบท และโลกในจินตนาการ การคลุกคลีสองโลกเมืองกับชนบทจึงเห็นโลกที่สามว่าภาพรวมควรเป็นอย่างไร ความเข้าใจเหล่านี้ช่วยให้เรามีทัศนคติกว้างต่อสังคมโดยรวม และเฉพาะส่วนที่เราเข้าไปทำงานด้วย

คิดอะไร…..

* เป็นคนจัดอยู่ในประเภท Introvert ก็แค่คนเล็กๆคนหนึ่งในสังคมใหญ่ที่หนาแน่นไปด้วยคนที่แก่งแย่งกันไปยืนอยู่ข้างหน้า หรือสถานที่เหนือกว่า สูงกว่า…… ผมจะเลือกตรงข้าม

* เพราะเป็นคนชนบท ยากจน และบังเอิญผ่านกระบวนการ 14-16 ตุลาเต็มๆ จึงตั้งใจว่าจะทำงานเกี่ยวกับชนบท…..และได้ทำสมใจอยาก

* คิดเยอะ แต่ทำได้น้อย แต่เพียงนิดหน่อยก็ขอให้ได้ทำเถอะ….ดีกว่าคิดเฉยๆหรือพูดเฉยๆ

* ยังมีเพื่อนที่คิดคล้ายเรา ทำคล้ายเราอีกมาก ไปจับมือกับเขาสิ….

* ไม่จำเป็นต้องมาทำเหมือนกันหมด ยืนตรงไหนก็ทำดีที่ตรงนั้นได้ เพราะสังคมมิใช่มีแต่ชาวนา เกษตรกร มีอีกหลายกลุ่ม ทุกกลุ่มประกอบกันเป็นสังคม ประเทศ ที่ต่างพึ่งพาอาศัยกันและกัน แต่อย่าเอารัดเอาเปรียบกัน ขี่คอกันขึ้นไป…… ผมจะอยู่ตรงข้ามทันที

* คำสอนทางศาสนาทุกศาสนาคือสิ่งที่เราพยายามดัดแปลงตนเองให้เข้าใกล้มากที่สุด เห็นว่าเส้นทางเดินตามคำสอนนั้นคือทางรอดของมวลมนุษยชาติ…เอกายิโน อะยังภิกขะเวมัคโคฯ …ดูกรภิกษุทั้งหลาย…ทางสายนี้เป็นทางสายเดียว ไปได้คนเดียว คือผู้ปฏิบัติเท่านั้น…

* ธรรมชาติคือสรรพสิ่ง เราก็เป็นเสี้ยวส่วนของธรรมชาติ เราไม่มีทางอยู่รอดได้หากไม่มีธรรมชาติ แต่ธรรมชาติอยู่ของเขาได้แม้ไม่มีเรา

* ให้อภัยเขาก่อนให้อภัยตัวเอง..

ยิ่งสูงอายุขึ้นก็เห็นสัจธรรมของธรรมชาติที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสั่งสอนไว้นานแสนนานแล้ว ช่วงเหลือของชีวิตจึงบันทึกร่องรอย ความเห็น แลกเปลี่ยน ทำงาน และศึกษา ปฏิบัติคำสอนประเสริฐเหล่านั้น..


ร่องรอยบางทราย….๒

2 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ พฤศจิกายน 14, 2008 เวลา 12:08 ในหมวดหมู่ เรื่องของชีวิต #
อ่าน: 2935

ตอบท่านครูบาฯ

กระชากหน้ากากตัวเองหน่อย…

เที่ยงแล้ว…..

* เมื่อเกิด 16 ตุลา เพื่อนๆเข้าป่าหมด ผมพลาดการติดต่อ เลยเข้าป่าหลังดอยสุเทพ เป็นโครงการพัฒนาชนบท ของมูลนิธิเยอรมัน สังกัดสำนักงานเกษตรภาคเหนือ ที่ตั้งร้านกาแลปัจจุบัน มี ดร.ครุย บุญยสิงห์เป็น ผอ. สมัยนั้น

* พูดถึงการทำงานของตำรวจลับก็น่าขำ เพราะเขามีวิธีมากมายที่จะหาข้อมูลพิสูจน์ว่าเราคือใครกันแน่ โดยคนใกล้ตัวเรามากที่สุดนั่นแหละจะเป็นผู้ให้ข้อมูลที่เรียก แหล่งข่าว หรือสายให้ตำรวจ

* บ่อยครั้งที่เราไม่ได้นอนพักที่สำนักงานที่หน้าอำเภอสะเมิง แต่ไปพักตามบ้านชาวบ้านและที่พักที่ตำบลที่โครงการไปสร้างไว้แบบง่ายๆ เพื่อนผมคนหนึ่งเขาเอาแฟนเข้าไปพักด้วย เราก็อาศัยเธอได้ช่วยทำอาหารให้ ต่อมาเพื่อนสังเกตว่าทำไมเธอต้องออกจากพื้นที่เข้าจังหวัดทุกเดือน แรกๆเธอก็บอกว่ากลับบ้าน ก็ปกตินี่ ใครๆก็อยากกลับบ้านบ้าง แต่หากสังเกตอย่างละเอียดเธอผิดปกติไป ในที่สุดเรารู้ว่าเธอเป็นสายให้ตำรวจเพราะในสมุดบันทึกเธอนั้นทำรายงานไว้ว่าใครทำอะไรที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร แล้วที่เธอออกไปในเมืองเพราะเอารายงานไปส่งให้ตำรวจลับ…

* เมื่อเรารู้ว่าเธอเป็นสายตำรวจ เพื่อนก็ให้เธอออกไปจากพื้นที่… แล้วเราก็มุ่งหน้าทำงานกันต่อและระวังตัว แต่งานของเรานั้นต้องพบปะชาวบ้าน ประชุมกับชาวบ้าน ยามค่ำคืนเพราะกลางวันชาวบ้านไปไร่นาทำงาน ว่างตอนเย็นเป็นต้นไปเราก็ไม่รบกวนการทำงานจึงใช้เวลากลางคืนประชุม ในสายตาราชการนั้นผิดปกติเพราะการประชุมต้องใช้เวลากลางวันเท่านั้น …เราสนิทสนมกับเจ้าหน้าที่อนามัยตำบลที่เป็นสตรีเพราะเธอห้าวเหมือนผู้ชาย และคบผู้ชาย เล่นกีฬาแบบผู้ชายขี่มอเตอร์ไซด์เอนดูโร่ลุยๆ แถมพูดภาษาก้าวหน้า แต่แล้ววันหนึ่งเราขี่มอเตอร์ไซด์ไปทำงานพบซองจดหมายตกอยู่ระหว่างทาง เราหยิบขึ้นมาดูเห็นลายมือเรารู้ว่าเป็นของอนามัยตำบลท่านนั้น แต่ส่งถึงตู้ป.ณ.แห่งหนึ่งที่เชียงใหม่ เราและเพื่อนสงสัยตัดสินใจเปิดดู….ตายกับตายเลย..นี่คือจดหมายส่งรายงานให้ตำรวจลับที่เชียงใหม่ โดยใช้หมายเลขแทนตัวบุคคล ที่สาระเรื่องราวคือการทำงานของเราที่ไปประชุมกับชาวบ้านในที่ต่างๆ….!!!!!?????

* สำนักงานเล็กๆของเราในพื้นที่ก็จ้างชาวบ้านที่เรียนจบ ปวช.มาเป็นเลขาสำนักงาน ทำหน้าที่เลขาทั่วไป บันทึกการประชุม พิมพ์รายงาน ฯลฯ ไปประชุมที่ไหนหัวหน้างานก็เอาเธอไปด้วย ปีละครั้งที่เราออกนอกพื้นที่ไปเปลี่ยนบรรยากาศประชุมสรุปงานกันตามชายทะเลบ้าง หรือที่ที่ทุกคนลงความเห็นว่าอยากไป เลขาท่านนี้ก็ลุยๆ สามารถนั่งวงดื่มกับพวกเราที่กำลังแตกเนื้อหนุ่มได้ยันสว่าง ไม่รู้คุยอะไรกันนักหนา..อิอิ.. ทุกครั้งที่เธอออกไปในตัวเมืองก็มักอ้างว่าขอไปเยี่ยมเพื่อนที่นั่นที่นี่… แต่แล้วเราก็จับได้ว่า เธออีกคนที่เป็นสายลับให้ตำรวจ..หมดตูด…อะไรต่อมิอะไรที่เป็นเอกสารในการทำงาน ที่เราคุยกันแบบส่วนตัว มุมมอง ความคิดเห็นต่างๆที่เป็นส่วนตัว สาระที่เราคุยกันในวงเหล้า เธอเก็บรายละเอียดหมดสิ้นแล้วถูกส่งไปที่….. เป็นอันว่าคนรอบข้างเราถูกตำรวจลับซื้อตัวไปหมดสิ้น…..ทราบต่อมาว่าสตรีที่เป็นอนามัยตำบลท่านนั้นถูกฆ่าตายเมื่อเธอย้ายที่ทำงานไปอยู่ที่จังหวัดอื่น…????

* นอกจากเรื่องราวเครียดๆแบบนี้แล้วผมยังพบเรื่องเหลือเชื่ออีกหลายอย่าง พื้นที่ที่มีสภาพป่าเขาอย่างสะเมิงสมัยนั้นเป็นเมืองปิด..วิถีชาวบ้านยังเดิมๆความเชื่อเรื่องสิ่งเหนือธรรมชาติมีมากและมักมีปรากฏการณ์ที่ทำให้ต้องเชื่อ นี่เองที่เป็นเบ้าหล่อหลอมให้คนชนบทมีพฤติกรรมความเชื่อที่ต่างไปจากคนเมือง

* เรื่องเหลือเชื่อมีหลายครั้ง ครั้งที่สำคัญคือ ผมร่วมมือกับคุณหญิงกนก สามเสนวิลล์ ท่านนายกสมาคมสตรีผู้บำเพ็ญประโยชน์แห่งประเทศไทยสาขาภาคเหนือ จัดค่ายเยาวสตรีขึ้นในพื้นที่โครงการ ก็เอาสนามฟุตบอลเป็นลานกว้างที่ที่กางเต็นท์เป็นวงกลมให้เยาวสตรีที่มาจากต่างหมู่บ้านต่างอำเภอต่างเผ่าพันธุ์มาอยู่ร่วมกัน ทำกิจกรรมต่างๆตามหลักสูตร เรานักพัฒนาพื้นที่ก็เป็นพี่เลี้ยงช่วยดูแลความเรียบร้อยและเข้าร่วมเป็นวิทยากรบางส่วน เรื่องเกิดเพราะเยาวสตรีท่านหนึ่งเธอกรีดร้องเสียงหลงยามถึงเวลานอน เสียงของเธอทำให้ทุกคนตื่น และตกใจ ความผิดปกตินี้ผู้นำชาวบ้านที่มาร่วมดูแลบอกว่า เธอผีเข้าไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่มีทางสงบลงได้จนสว่าง ผู้เฒ่าผู้แก่ก็มาเยี่ยมดู ซักถามรายละเอียดกัน และแนะนำทำพิธีกรรมต่างๆตามความเชื่อ เราทำหมดทุกอย่างก็ไม่ดีขึ้น เดือดร้องไปถึงพระอาจารย์หนุ่มที่วัดใกล้ๆมาดูแล้วก็ทำพิธีให้แล้วก็ให้ทุกคนไปกราบพระในโบสถ์ ท่านจะประพรมน้ำมนต์ให้ เด็กทุกคนเข้าไปในโบสถ์ได้ แต่เด็กคนนี้ไม่สามารถก้าวผ่านธรณีประตูโบสถ์ได้ … ในที่สุดค่ายเยาวสตรีก็แตกต้องจบลงอย่างอกสั่นขวัญหาย เด็กทุกคนกลับบ้านแต่เด็กคนนี้บ้านอยู่ อ.พร้าวต้องนอนค้างอยู่ที่สำนักงานในเมือง คืนนั้นก็เกิดเรื่องอีกเด็กสตรีคนนี้มีการผีเข้า แล้วก็ประกาศว่า ….มึงไม่เคารพกู…กูคือเจ้าพ่อข้อมือเหล็ก…มึงทำสิ่งไม่ดีกับกู…ฯ เจ้าหน้าที่ทุกคนต่างมารุมล้อมฟังคำประกาศนี้ แล้วเมื่อยุติเด็กคืนสติ ก็มีการซักถามกันอย่างละเอียดว่าตั้งแต่เข้าไปในพื้นที่เธอไปทำอะไรที่ไหนบ้างอย่างไร… ในที่สุดลงความเห็นว่า เป็นเพราะ เย็นวันหนึ่งเธอชวนเพื่อนไปเล่นน้ำลำห้วยเล็กๆกลางทุ่งนาที่มี   “หอเจ้านาย” อยู่ เธอไม่ได้คิดอะไร ระหว่างเล่นน้ำเธอก็ฉี่..โดยไม่ได้บอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางอย่างใด…ฯ…. แค่นั้นเองเป็นเรื่อง เมื่อเรื่องนี้เข้าหูผู้เฒ่าผู้แก่ในพื้นที่ท่านก็บอกวิธีขอขมาลาโทษให้ทำเสีย…ทุกอย่างก็เรียบร้อย ต่อมาท่านอาจารย์ฉลาดชาย รมิตานนท์แห่ง มช.ทำวิจัยเรื่อง ผีเจ้านาย พบว่า เจ้าพ่อข้อมือเหล็กก็คือผีเจ้านายตนหนึ่งที่มีพื้นที่ดูแล เขตป่าเขาตั้งแต่ อ.แม่ริม อ.สะเมิง….เฮ่อ อย่าลบหลู่เป็นเด็ดขาด…

* อีกเรื่องที่เหลือเชื่อ..ต่อเนื่องจากเรื่องผีเจ้านาย ในช่วงกระบวนการทำค่ายเยาวสตรีนั้น ผู้จัดต้องทำจดหมายราชการไปขออนุญาตผู้ปกครองเด็กเยาวสตรีทุกคน เมื่องานค่ายจบสิ้นไปแล้ว วันหนึ่งสมาคมฯได้รับซองจดหมายที่เคยส่งไปถึงผู้ปกครองเยาวสตรีตีกลับมาที่สำนักงานตามที่อยู่หัวซองจดหมาย หลังจากตรวจสอบแล้วพบว่า เป็นการใช้ซองจดหมายสมาคมลบการจ่าหน้าซองเดิมออกแล้วจ่าหน้าซองใหม่ ส่งไปให้คนคนหนึ่งที่สมาคมไม่เกี่ยวข้องด้วย แต่จดหมายไม่ถึงผู้รับจึงตีกลับ(เข้าใจว่าที่อยู่ผิดพลาด) เมื่อเปิดอ่านความภายในทุกคนก็ต้องตกตะลึง….. เพราะเป็นจดหมายที่ส่งไปจากผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งในพื้นที่ทำงานของผมที่สะเมิง จดหมายไปถึงคนหนึ่งสาระคือ คนเดิมที่ส่งรายละเอียดวันเดือนปีเกิดมาให้นั้นคนนั้นตายไปแล้ว คราวนี้ส่งเพิ่มมาให้ใหม่ขอให้ทำพิธีไสยศาสตร์ฆ่าคนนี้…!!!!???? รายชื่อที่ระบุนี้เป็นผู้นำชาวบ้านของเรา…มีความขัดแย้งกับผู้นำหมู่บ้าน…. ทำไงดีล่ะเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ ผมเข้าไปตรวจสอบข้อมูลพื้นที่พบว่ามีคนตายในหมู่บ้านจริงโดยไม่ทราบสาเหตุ และเราก็เอาจดหมายนี้ไปแจ้งความตำรวจไว้ก่อน….พร้อมกับไปแจ้งให้ผู้มีรายชื่อนั้นทราบ แล้วก็ทำพิธีแก้เคล็ด…วุ้ย…เสียว….อย่าลบหลู่เป็นเด็ดขาด…

* ความอ่อนด้อยในประสบการณ์ชีวิตแบบนี้ และความบริสุทธิ์ในความตั้งใจทำงาน คิดอะไรพูดอย่างนั้น แต่ในสถานการณ์บ้านเมืองที่ระแวดระวังเรื่องลัทธินั้น เรากลายเป็นพวกสุ่มเสี่ยง … แค่ปีเดียว ผมก็โดนตำรวจพื้นที่ซิวในฐานะ ผู้เป็นภัยต่อสังคมตามข้อหานักเคลื่อนไหวสมัยนั้น ที่ศูนย์การุณยเทพภาคเหนือ ผมพบอาจารย์มหาวิทยาลัยหลายท่าน อาจารย์วิทยาลัยครู นักศึกษา แม้กระทั่งผู้นำชาวนามากมายเต็มศูนย์ไปหมด

* ทหารและตำรวจ เอาตัวเราไปอบรมประชาธิปไตยเสียใหม่ สามเดือนก็ปล่อยออกมาพร้อมใบประกาศว่าผ่านการอบรมมาแล้ว และให้กลับเข้าไปทำงานเดิมได้ แต่อยู่ภายใต้การติดตามของตำรวจลับ ท่านอาจารย์ ดร.ชัยอนันท์ สมุทรวาณิช เป็นท่านหนึ่งที่ช่วยเจรจากับ กอ.รมน.ผ่านอาจารย์ที่ปรึกษาผมที่สนิทสนมกันคือ ดร.ชยันต์ วรรธนภูติ ว่าเด็กคนนี้ไม่มีอะไร ปล่อยออกมาให้เขาทำงานเถอะ

* ที่ศูนย์การุณยเทพฯเชียงใหม่นั้น(อยู่ตรงข้ามกับรพ.สวนปรุง) ผมได้พบนักศึกษาสาว มช.รุ่นน้องคนหนึ่ง เธอสวยงามและเธอเป็นผู้มีอันจะกินคนหนึ่งในเชียงใหม่ เป็นบุตรสาวร้านหนังสือที่ใหญ่ที่สุดในเชียงใหม่ และเป็นพระสหายด้วย ผมพบอดีตดาวจุฬาที่มาเป็นอาจารย์ มช. และเป็นอาจารย์ผม ท่านอาจารย์ท่านนี้มีสมบัติเป็นที่ดินในกลางกรุงเทพฯราคานับหลายร้อยล้าน(ปัจจุบันคงเป็นพันล้านบาท) แต่ท่านอาจารย์ได้บริจาคให้เป็นที่ตั้งของสถาบันปรีดีพนมยงค์ ผมพบน้องนักศึกษา ปวช.ที่มีความสามารถทางการวาดการ์ตูน และต่อมาเขาโด่งดังในเรื่องความสามารถของเขาเพราะเป็นการ์ตูนนิสในหนังสือพิมพ์ที่ขายดีของเมืองไทยทั้งรายวันและรายสัปดาห์…..

* แม้ว่าที่ทำงานเก่าจะยินดีรับกลับเข้าทำงาน แต่ฝรั่งเจ้าของงานอิดออดที่จะให้ทำต่อ อ้างว่ายังส่งผลกระทบต่อหน่วยงานราชการที่เคลือบแคลงใจในตัวผม ผมบวชซะเลย ที่สำนักวิปัสสนาไทรงาม สุพรรณบุรี 1 พรรษา แล้วมาสึกในพื้นที่ทำงานโดยพระอาจารย์ท่านเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวงเมืองเชียงใหม่และท่านก็เป็นเจ้าอาวาสวัดป่าดาราภิรมณ์ที่ อ.แม่ริมอีกด้วย

* การทำงานพัฒนาชนบทที่สะเมิง ผมพบคนข้างกายที่เธอเป็นบัญฑิตอาสารุ่น 6 มธ เธอจบจุฬา ภาษาเยอรมัน จึงพูดกับเจ้าของโครงการที่เป็นชาวเยอรมันได้ ครั้งหนึ่งรัฐมนตรีกระทรวงหนึ่งของเยอรมันเดินทางมาดูงานที่เยอรมันให้การสนับสนุน โดยมี ท่านอานันท์ ปัญยารชุน อดีตเอกอัคราชทูตไทยประจำเยอรมันพามาพื้นที่ คนข้างกายถือโอกาสนำเสนองานเป็นภาษาเยอรมัน ท่านรัฐมนตรีสตรีดูเหมือนจะชื่อ  มิส แฮมบรูเชอร์ เมื่อฟังจบ ท่านทูตก็ควักนามบัตรออกมามอบให้แล้วก็กล่าวว่า หากต้องการไปศึกษาต่อที่เยอรมันที่ไหนก็ได้ ยินดีสนับสนุน

* สถานการณ์ผมไม่ดีขึ้นโดยเฉพาะฝ่ายบริหารโครงการ ผมเลยไม่สร้างความอึดอัดอีกต่อไป ลาออก ไปหางานอีสานทำดีกว่าและได้งานทำที่สุรินทร์ โดยการแนะนำของพี่ใหญ่ในวางการพัฒนาชนบทคือ พี่บำรุง บุญปัญญา หรือพี่เปี๊ยก คนข้างกายผม ก็เดินทางไปเรียนต่อที่เยอรมันโดยทุนของมูลนิธิหนึ่ง…….

* ที่สุรินทร์ผมทำงานชายแดนกับชาวเขมรแถบ กาบเชิง สังขะ บัวเชด เป็นช่วงที่ทหารเขมรมักจะบุกเข้ามาปล้นเอาข้าวไปกิน ฆ่าชาวนาตาย หรือชาวนาเข้าป่าไปเหยียบกับระเบิดตาย ผมมาเรียนภาษาเขมรกับวิทยาลัยครูสุรินทร์ ขะหมาดยัยขะแมร์บาน….


ร่องรอยบางทราย….๑

10 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ พฤศจิกายน 13, 2008 เวลา 15:21 ในหมวดหมู่ เรื่องของชีวิต #
อ่าน: 2945

ตอบท่านครูบาโดย

กระชากหน้ากากตัวเองหน่อย…

เช้ามืด….

· บ้านริมแม่น้ำน้อย วิเศษชัยชาญสมัยนั้นเป็นชนบทไปไหนมาไหนก็เดินด้วยเท้าเปล่า อย่างดีก็จักรยานหรือพายเรือ ชาวบ้านเกือบทั้งหมดคือชาวนา ชีวิตผันไปตามฤดูกาล ชนบทคือโรงเรียนที่กล่อมเกลาจิตใจให้คุ้นเคยกับทำนอง เพลงชีวิต เป็นครอบครัวใหญ่ ปู่มีย่าสองคน แต่ละย่ามีลูก 7 คน พ่อเป็นลูกย่าใหญ่และเป็นคนโตจึงต้องรับภาระเลี้ยงน้องสองแม่มาทั้งหมด กระนั้นพ่อยังกระเสือกกระสนเรียนจนจบ ม 3 และได้สิทธิเป็นครูเลย แม่เป็นชาวนาธรรมดาที่กำพร้าพ่อมาแต่เล็ก ซึ่งสัตย์และจิตใจเหมือนพุทธศาสนิกชนทั่วไป ชอบทำบุญ ไหว้พระ เข้าวัด ฟังเทศน์ เลี้ยงลูก 6 คนด้วยการทำนา พยายามให้ได้เรียนหนังสือทั้งหมด

· เนื่องจากปู่มีเชื้อจีน จึงรู้จักทำมาค้าขายแต่มาแต่งงานกับชาวนาจึงผันมาทำนา เป็นคนดุมากๆ น้องพ่อคนถัดมาจึงทนไม่ไหว เพียงขโมยปืนปู่ไปเล่นก็แจ้งตำรวจมาจับลูกเข้าคุกเลย อาคนนี้ออกจากคุกได้ก็ไม่กลับบ้านเข้าป่าเป็นเสือปล้นเขากินไปเลยแต่ก็มาถูกเสือด้วยกันฆ่าตาย พ่อมีนิสัยดุเหมือนปู่ เอะอะอะไรก็ไม้เรียวที่เหน็บข้างฝาตลอดสองอัน เกือบทุกวันที่บ้านจะต้องมีลูกคนใดคนหนึ่งถูกตี….

สาย….

· หน้าฤดูทำนาก่อนไปเรียนหนังสือทุกคนต้องตื่นแต่ตี 4 แบกไถบ้าง จูงควายบ้างออกไปทำนากับพ่อ เดินทางไกลเป็นกิโล กลัวผีก็กลัวเพราะต้องเดินผ่านวัด ผ่านป่าช้า ขณะเดินตาก็หลับ จึงล้มลุกคลุกคลาน ไปกับโคลนบ้าง ขี้ควายบ้าง ถึงนาก็ฟ้าสางพอดี เอาควายเทียมไถ ไถนาพอเหนื่อย สว่างเต็มที่แม่กับพี่สาวก็หาบกระจาดข้าวมาถึง จึงหยุดพักกินข้าว แล้วก็รีบกลับบ้านไปอาบน้ำไปโรงเรียน

· หน้าแล้งก็เอาควายไปเลี้ยงกับพี่ กับน้องและเพื่อนบ้าน เอาผ้าขาวม้าปูท้องนาบ้างใต้ต้นไม้ใหญ่บ้าง ดูท้องฟ้า เห็นเครื่องบินพ่นควันสีขาวออกมาทางก้น ใจก็ฝันอยากเป็นนักบิน เห็นนักเรียนนายสิบแต่งตัวด้วยเครื่องแบบหล่อ เท่ห์กลับบ้าน ใจก็อยากแต่งชุดแบบนั้นบ้าง

· โรงเรียนวัด พ่อเป็นครูใหญ่ จึงถูกตีเป็นตัวอย่างเสมอหากทำอะไรผิด

· โรคคางทูมระบาด เป็นกันทั้งโรงเรียน อีสุกอีใสระบาด เป็นกันทั้งตำบล โรคอหิวาระบาด เป็นกันทั้งอำเภอ เจ็บตายกันมาก มีตายทั้งกลม(คลอดลูกไม่ออกเสียชีวิต) กลัวผีที่สุด ปีปีหนึ่งมีชาวบ้านถูกงูกัดตายหลายคน สถานที่อนามัยที่ดีที่สุดคือไปหาหมอมิชชันนารี ที่มาเปิดโรงพยาบาลเล็กๆที่ตลาดวิเศษชัยชาญ รักษาได้ทุกโรค…ราคาถูก แถมแจกเอกสารศาสนาด้วยเป็นการ์ตูน

· สิ่งที่ชอบที่สุดคือ งานวัด หนังกลางแปลง งานบุญกลางบ้าน งานประเพณีต่างๆ ได้กินขนมแปลกๆ ได้กินน้ำแข็งใสใส่น้ำสีแดงสีเขียวและนมข้นโรย ข้าวโพดคั่ว ตังเม … ถ้าเป็นงานศพก็ได้กิน ข้าวตัง ก้นกระทะใบบัวใหญ่ที่เขาใช้หุงข้าวเลี้ยงคนทั้งวัดที่มาในงาน คืนไหนมีหนังกลางแปลงมาฉาย ไม่เคยดูหนังจบสักเรื่องหลับก่อน พ่อต้องแบกกลับบ้านทุกที แต่ตื่นเช้ามืดกับพี่ชายจะวิ่งกันมาที่บริเวณฉายหนัง เพื่อเดินหน้ากระดานหาสตางค์ที่อาจจะมีคนมาดูหนังทำหล่นตามพื้นเมื่อคืน ก็มักจะได้บ่อยๆ…

· ชอบวิ่งเกาะท้ายรถชลประทานที่มาขุดคูน้ำขนาดใหญ่ที่เรียกระบบส่งน้ำ เป็นรถสีส้ม กับเพื่อนๆเคยวิ่งเกาะท้ายรถแล้วปีนขึ้นไปท้ายรถได้ ก็ไปกับรถเขาเรื่อยๆเพราะรถไม่หยุด เลยไม่ได้ไปโรงเรียน ข้าวปลาไม่ได้กิน กลับมาบ้านโดนพ่อตีตูดลายเลย

· วันนั้นมีงานศพคนเฒ่า เพื่อนชวนไปเล่นที่กองฟางข้างบ้านงานศพ ริสูบบุหรี่กับเพื่อน ติดไฟเสร็จไฟเกิดหล่นลงพื้นติดกองฟาง ดับเท่าไหร่ก็ไม่ได้ ต่างวิ่งหนีกันคนละทิศละทาง ชาวบ้านเขาเห็นเราคนเดียว ก็ตะโกนว่าลูกครูใหญ่จุดไฟเผากองฟาง คนที่อยู่ในงานต่างวิ่งกันมาช่วยดับไฟ เราวิ่งหนีไม่รู้ไปไหนก็ไปแอบนอนที่หน้าโบสถ์วัดข้างบ้าน พ่อตามมาเห็นลากไปตีต่อหน้าแขกที่มาในงานทุกคน อายสุดๆในชีวิต

· ขึ้นชั้นมัธยมก็ไปโรงเรียนประจำอำเภอ ต้องเดินวันละ 10 กิโลไป-กลับ ผ่านตลาดวิเศษชัยชาญ บ้านอาจารย์เจิมศักดิ์เป็นร้านขายหนังสือในตลาด พ่ออาจารย์กับพ่อเราเป็นเพื่อนกัน แต่เด็กตลาดเรียนเก่ง เด็กบ้านนอกอย่างเราเข็นแล้วเข็นอีก กำลังจำดีดี พ่อตะคอกหน่อยเดียวความรู้วิ่งหนีไปหมด กลัวจนลาน แอบร้องให้ น้อยใจที่เห็นพ่อลูกคนอื่นเขาเล่นกัน กอดกัน แต่บ้านเราไม่มีเลย

· กระแสการสร้างชีวิตคือการเรียนหนังสือและเข้ารับราชการอย่างใดอย่างหนึ่ง เก้าสิบเปอร์เซ็นต์จะส่งลูกเรียนให้จบ ม 3 แล้ว ไปเรียนต่อครู ปกศ. ที่ อยุธยา ใครเก่งก็เข้าสวนสุนันทา บ้านสมเด็จ ที่กรุงเทพฯ สมัยนั้นมีครูคนเดียวที่จบปริญญาตรีมาจากประสานมิตร

ยามสายแก่ๆ….

· โชคดีที่คุณตาเดินทางไปเยี่ยมญาติพี่น้องที่วิเศษชัยชาญมานอนค้างที่บ้าน เพราะเป็นบ้านหลังเดียวที่มีส้วมซึม (เพราะพ่อเป็นครูใหญ่) เห็นเราทำงานบ้าน ตักน้ำใส่ตุ่ม กวาดบ้านถูบ้าน ตัดไม้ รดน้ำต้นไม้ ก็ออกปากให้ไปเรียนต่อ มศ. 4-5 ที่ธนบุรีที่คุณตาเป็นอาจารย์ใหญ่ที่นั่น บุญหล่นทับแล้วเรา ดีใจสุดจะควบคุมได้ เที่ยวเดินแหกปากบอกเพื่อนๆว่า กูจะเข้ากรุงเทพฯแล้ว ไปเรียนที่นั่น ไปอยู่กับคุณตา….

· คืนแรกที่ธนบุรี คลองสำเหร่ บ้านสวน ก็น้ำตาตก เมื่อมาอยู่สภาพเมืองที่เราไม่เคย อึดอัดไปหมด จะทำอะไรก็ย่องๆ ไม่กล้าคุยกับใคร อยู่บ้านนอกกินข้าวทีเป็นจานพูนเต็มๆ ตักเพิ่มเอาเต็มที่ ก็บ้านเราทำนา ข้าวปลาเหลือเฟือ คนเมืองกรุงเขากินข้าวนึ่งเป็นก๊อกเล็กๆ มันจะไปอิ่มอย่างไง จะกินหลายก๊อกก็ไม่ได้ อายเขา คนอื่นเขากินอย่างมากก็ก๊อกครึ่ง เราหรือ 3-4 ก็ไม่อิ่ม ก็เด็กกำลังโต กลางคืนท้องร้อง หิว นอนร้องให้ คิดถึงแม่ที่บ้านนอก คิดถึงน้อง คิดถึงพี่ แต่ก็ต้องทนเพราะมาเรียนหนังสือ…

· เช้าตื่นขึ้นมาคุณน้ามีลูกสาวสองคนเรียนชั้นประถมโรงเรียนเดียวกันก็ต้องจูงมือไปโรงเรียนด้วยกัน แหกปากร้องทุกวันเดินไปด้วยร้องไปด้วย เราก็ถือกระเป๋ามือหนึ่ง อีกมือก็จูงน้องไปด้วย

· บางคืนนั่งดูหนังสือเรียนทนไม่ไหว หิวข้าว ค้นกระเป๋ากางเกงมีเหรียญสิบบาทติดก้นกระเป๋า แอบออกจากบ้านลงใต้ถุนไปปากซอยซื้อราดหน้ากินห่อหนึ่งแล้วแอบเข้าบ้าน หมาเสือกเห่าเสียงดังลั่น เลยความแตกว่าเราหนีออกจากบ้านไปปากซอย พ่อรู้เรื่องจึงขึ้นมาจากวิเศษชัยชาญมาสั่งสอนเสียยกใหญ่……โอย..ไม่อยากอยู่แล้วเมืองหลวงเมืองหลอน อยากกลับบ้านนอกดีกว่า…อิอิ..

ใกล้เที่ยง….

· โชคดีอะไรที่สอบผ่าน ม.ศ. 5 แล้วติด มช. ทั้งๆที่ไปสอบครูพิเศษที่อยุธยาก็ได้ แต่สละสิทธิเพราะเลือกเอามหาวิทยาลัย ทราบข่าวว่าพ่อดีใจเป็นที่สุดที่ลูกคนแรกได้เรียนมหาวิทยาลัย เที่ยวเดินอวดคนโน้นคนนี้ว่าลูกสอบได้ แต่แม่เล่าว่า ตกกลางคืนพ่อก็นอนเอามือก่ายหน้าผาก แล้วบ่นกันว่า ..แล้วจะเอาเงินที่ไหนส่งลูกเรียนกันเนี่ย… พี่สาวก็เรียน ผมก็กำลังเข้ามหาวิทยาลัย น้องอีก 4 คนก็กำลังเรียนไล่ๆขึ้นมา ครูประชาบาลกับแม่บ้านที่เป็นชาวนาจะเอาเงินที่ไหนส่งลูกเรียน

· จำได้ว่าแม่ไปขอยืมเงินพระที่วัด พ่อต้องกู้เงินครู และทำนามากขึ้น ที่จำแม่นที่สุด ครั้งหนึ่งปิดเทอมกลับมาบ้าน ตอนถึงเวลาต้องกลับไปเรียน มช. ทางบ้านไม่มีเงินเลย แม้ค่ารถจะเดินทางไปเชียงใหม่ แม่บอกให้ผมลงไปใต้ถุนบ้านหาเก็บเศษขวดที่หลงเหลืออยู่รวบรวมไว้พรุ่งนี้เอาไปขาย ได้เท่าไหร่ก็เอา แล้วจะไปขอยืมเงินหลวงพ่อที่วัดอีก…..

· ……..

· ที่เชียงใหม่ ผมมีโลกกว้างมีเพื่อนใหม่ทุกภูมิภาค เพื่อนปักษ์ใต้สนิทกันที่สุดเพราะบ้านมันส่งของกินมาให้เรื่อยๆ อย่างปลาแห้งงี้ เอามาทอดกินกับข้าวต้มกลางคืนดึกๆที่ดูหนังสือกัน ไอ้ศักดิ์ มันบ้าจะสอบใหม่เอาวิศวะให้ได้ จึงไม่เรียนเอาแต่ดูหนังสือจะเอ็นใหม่ เราก็เป็นคนชงโอวัลตินกระป๋องบักเอ็บให้มัน เวลาเราเดินออกไปหน้ามอ ก็ซื้อข้าวผัดมาให้มัน ยังไม่ขึ้นไปให้ ก็เรียกมันจากชั้นสามให้ส่งปลายเชือกลงมา เราผูกห่อข้าวมันก็ชักขึ้นไป กินข้าวแล้วดุหนังสือต่อ เราก็เดินเล่นกับเพื่อนคนอื่นๆหรือไปทำกิจกรรมอื่นๆ กลับมาห้อง ไอ้ศักดิ์ยังนั่งดูหนังสือ เราก็ชงกาแฟให้มันอีก …วันสุดท้ายที่มันสอบเอนใหม่เสร็จวิ่งมาบอกพวกเราว่า กูติดวิศวะแน่ๆ ผลประกาศ ไม่มีชื่อมัน…. มันเลยลาออกไปเรียนที่ฟิลิปปินส์เสียเลย ปัจจุบันเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทฟีนิกส์ พัลพ์ แอนเปเปอร์ ที่ขอนแก่น แต่ไม่ค่อยเจอะกัน.อิอิ..

· สมัยนั้นเข้าสู่ 14 ตุลา บรรยากาศมหาวิทยาลัยอบอวลไปด้วยการอภิปราย การทำกิจกรรมนอกหลักสูตร บังเอิญเราอยู่ในกลุ่มเด็กบ้านนอกที่สนใจเรื่องความยากจน ปัญหาชนบท บ้านเมืองจึงเข้ากลุ่ม และมีท่านอาจารย์หลายท่านมาเป็นที่ปรึกษา และรุ่นพี่พี่ที่แรงสุดๆ

· เราทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัยมากมาย เช่น ล้มระบบเชียร์แบบเก่าๆที่เป็นระบบ ว๊ากเกอร์ จับกลุ่มศึกษาหนังสือป็อกเก็ทบุ๊คที่ออกมามากมายในช่วงนั้นที่เป็นหนังสือที่เรียนว่าก้าวหน้า เช่น หนังสือเรื่อง การพัฒนาความด้อยพัฒนา หนังสือของจิตรภูมิศักดิ์ ยูโทเปีย สรรนิพนธ์ของเหมาเจ๋อตุง สตาลิน แม่ของกอร์กี้ หนังสือโฉมหน้าศักดินา ที่เป็นหนังสือต้องห้าม เดอ แคปปิตัลลิส และมากมาย…. เราอ่านกันอย่างจะไปสอบ(ทีหนังสือเรียนหละไม่เอา) เอามาเสวนากัน คุยกัน ถกกัน แลกเปลี่ยนความเห็นกัน เชิญอาจารย์มาแสดงความเห็น เชิญรุ่นพี่พี่มาแสดงความเห็น และที่บ้าๆสุดขีดคือเราไปล้มงานบอลที่นักศึกษาอีกกลุ่มหนึ่งชอบจัดงานแบบนั้น…

· ในที่สุดเราจัดค่ายศึกษา เอาเพื่อนนักศึกษาที่สนใจทิศทางเดียวกันออกชนบท สนุกมาก ออกกันเอง จัดกันเอง ควักกระเป๋ากันเอง แล้วมาแลกเปลี่ยนชีวิตที่ไปอยู่ชนบทกัน มันสุดๆเพราะสารพัดสิ่งที่พบมา รับรองว่าทุกคนที่ผ่านค่ายศึกษาจดจำจนถึงวันนี้ ครั้งนั้นมีคนไปค่ายยี่สิบกว่าคน ล้วนเป็นนักศึกษาแพทย์ เภสัช ทันต เทคนิคการแพทย์ พยาบาล ที่เรามักเรียกกันว่าฝั่งสวนดอก มีพวกสังคมไม่กี่คน เข้าป่ากันหมดเลย…

· จัดตั้งพรรคการเมืองในมหาวิทยาลัยเสนอตัวเป็นนายกองค์การนักศึกษา มช. โดยผมเป็นเลขาธิการพรรค ฟอร์มทีมกันมีจาตุรนต์ลงเลือกตั้งเป็นนายกองค์การ ผมอยู่เบื้องหลัง และทีมเราได้รับเลือก…

· เอาแต่ทำกิจกรรมชนบท ไม่ค่อยได้เรียน……. แต่เราก็จบออกมา


ดีใจที่เป็นนิ่ว….

10 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ พฤศจิกายน 12, 2008 เวลา 0:59 ในหมวดหมู่ เรื่องของชีวิต #
อ่าน: 3576

เมื่อสิบกว่าปีก่อนผมต้องบินด่วนจากกรุงเทพฯกลับขอนแก่น เพื่อนฝรั่งเอารถไปรับผมที่สนามบินพาเข้าโรงพยาบาลเอกชนทันที เพราะผมปวดอาการของนิ่ว หมอให้เข้าห้องเพื่อทำการส่องและคีบเอาก้อนนิ่วออกมาทันที…

คุณหมอคนนี้เป็นรุ่นน้องที่เรียน มช.เรารู้จักกันดี ต่อมาครอบครัวผมก็เป็นคนไข้ของคุณหมอท่านนี้ทั้งบ้านรวมทั้งภรรยาคุณหมอท่านนี้ก็เป็นหมอด้วย เมื่อคุณหมอทั้งสองท่านย้ายไปอยู่โรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่เพราะโรงพยาบาลเอกชนเดิมปิดกิจการ ครอบครัวผมก็ตามไปเป็นคนไข้อีกเหมือนเดิม.. ก็ติดใจในบริการคุณหมอ

การเอานิ่วออกครั้งนั้นผมไม่ต้องนอนโรงพยาบาลแค่คีบเอาออกมา พักสักพักก็กลับบ้านได้ แล้วก็มีความรู้ว่าคนกินใบไม้ใบหญ้าอย่างผม(พวกมังสวิรัติ)นั้นเสี่ยงต่อการเป็นนิ่วไม่น้อยเพราะผักประเภทใบหลายชนิดมีส่วนสร้างก้อนนิ่วได้หากระบบขับถ่ายสารไม่มีคุณภาพดีพอ ที่สำคัญผักที่ผมชอบคือ ใบชับพลู หน่อไม้…..

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาผมเป็นไข้ครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดกล้ามเนื้อ จึงไปซื้อยามาทานอาการก็ลดลงแต่กลับมีอาการเจ็บจี๊ดๆที่พุงด้านขวามือ เมื่อวันอาทิตย์ตั้งใจจะไปพบคุณหมอพิศาล ไม้เรียง ญาติป้าจุ๋มของเรา แต่คุณหมอไม่ได้เข้าเวรแพทย์กว่าจะมาเข้าเวรก็วันอังคาร วันจันทร์อาการเจ็บที่พุงด้านขวามือหนักขึ้น ผมเสียวเรื่องตับจึงเปิดอินเตอร์เนทดูเปรียบเทียบอาการต่างๆแล้วก็เบาใจว่า หากเกี่ยวกับตับก็น่าจะเป็นอาการของตับอักเสบ จึงตัดสินใจไปตรวจเลือดที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เพราะทนไม่ไหว…ใจร้อนทั้งๆที่เสียวลึกๆว่ามันอะไรกันแน่

ผลการตรวจเลือดที่ต้องนั่งคอย 1 ชั่วโมงพบว่า ตับผมไม่มีสิ่งผิดปกติใดๆ ค่าต่างๆอยู่ในเกณฑ์ดี แต่เนื่องจากช่วงที่ผมไปตรวจนั้นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้กลับบ้านไปแล้ว แพทย์ที่รับไข้ก็ยังเด็กและไม่มีความชำนาญด้านนี้ ก็ไม่สามารถบอกอะไรได้มาก เพียงแต่อ่านค่าตามการตรวจเลือดมาเท่านั้น

ผมดีใจที่มันไม่เกี่ยวกับตับ แต่คำถามคือ ก็มันยังปวดอยู่ แล้วมันคืออะไร พรุ่งนี้ผมต้องไปพบคุณหมอพิศาล ไม้เรียงผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ให้ได้ โดยผมไปตามปกติเหมือนคนไข้ทั่วไปโดยไม่ได้ใช้อ้างอิงว่าป้าจุ๋มแนะนำมา เพราะอยากจะดูว่าระบบเป็นเช่นไรบ้าง..

เมื่อผมไปถึงคลินิกคุณหมอเวลาประมาณ หกโมงครึ่ง คุณหมอเข้ามาพอดี คนไข้เต็มจนไม่มีที่นั่ง และเป็นเช่นนี้ทุกวัน…..ผมแจ้งประสงค์แล้วก็บังเอิญมีที่นั่งพอดีเนื่องจากมีคนไข้หนึ่งคนเสร็จสิ้นแล้ว

เมื่อนั่งสายตาก็สำรวจความเป็นไปในคลีนิคที่ทุกคนต่างมาหาคุณหมอด้วยมีทุกข์มาทั้งนั้น แต่คุณหมอก็ใจเย็นออกมาทักทายคนไข้ ล้อเล่นกับคนไข้ แหย่บ้าง จนบรรยากาศดูดี คนไข้คนหนึ่งพูดกับเพื่อนข้างๆว่า ผมเป็นคนไข้คุณหมอมานาน คุณหมอใจดีมาก ผู้ช่วยแพทย์จำนวน 3 คนวิ่งกันวุ่นเพื่อจัดคนไข้เข้าพบคุณหมอ แล้วก็วิ่งมาจ่ายยา แต่เธอก็ยิ้มตลอด

ผมรู้ตัวว่าต้องนั่งยาวจึงหยิบเอาหนังสือจากบ้านมาอ่านเล่มหนึ่ง ชื่อ เดินสู่อิสรภาพ ของอาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ ที่ลือลั่นมาแล้วเพราะเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แล้วลาออก ทำการเดินด้วยเท้าจากเชียงใหม่ไปบ้านเกิดที่เกาะสมุย…. ผมอ่านเพลินสลับกับการสังเกตความเป็นไปในคลินิกแห่งนี้ที่น่าสนใจมาก…

สามทุ่มไปแล้วคนไข้เริ่มบางตาแต่ผมยังไม่ได้รับการเรียกชื่อ แต่แล้วคุณหมอก็ออกมาดูคนไข้แล้วให้ผู้ช่วยขานชื่อแล้วให้จัดลำดับเข้าพบคุณหมอ ตามห้องเล็กๆ 4 ห้อง ผมได้อันดับที่ 3 ห้องหมายเลข 4

เกือบสี่ทุ่มผู้ช่วยพยาบาลก็ขานชื่อผมให้เข้าไปนั่งรอคุณหมอ

ไม่พร่ำทำเพลง ผมอธิบายสาเหตที่มาหาคุณหมอขณะที่คุณหมอตรวจสอบใบประวัติผม แล้วก็กล่าวว่า คราวนี้ต้องผ่าตัดสาละมั๊ง….ผมหยุดอธิบายไปนิดหนึ่ง คุณหมอมองหน้ายิ้มๆ แล้วก็กล่าวว่า ยาที่ให้ไปทานน่ะ ทานประจำไหม.. เอายาใหม่ไปอีกชุดหนึ่งก็แล้วกัน แล้วอีกสองสัปดาห์มาหาหมอใหม่พร้อมเอาแผ่นอุลตร้าซาวมาให้ดูด้วย ว่าจะต้องผ่าหรือไม่ นิ่วแน่นอน อาการของคุณนี่ไม่ใช่อะไร นิ่วที่คุณเป็นอยู่นั้นเอง….

คุณหมอสั่งยาแล้วก็บอกว่า..ค่อยพบกันตามนัดนะครับ…

ผมกราบลาคุณหมอด้วยแอบดีใจลึกๆว่ามันไม่ใช่ตับก็ดีหลายแล้ว แค่นิ่วแม้จะต้องผ่าก็ดีกว่าเรื่องเกี่ยวกับตับมากมายหลายเท่าตัวนัก…อิอิ

ก็เพื่อนฝูง น้องนุ่ง ญาติพี่น้อง เป็นมะเร็งที่ตับกันมากมาย จะไม่ให้ผมดีใจได้อย่างไรที่เป็นนิ่ว …. แม้จะเป็นนิ่วที่ไตก็ตาม…


“ดาวเหนือ” แห่งวัดป่าอาชาทอง เชียงราย

10 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ พฤศจิกายน 6, 2008 เวลา 22:13 ในหมวดหมู่ สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย #
อ่าน: 4186

พระอาจารย์ เจ้าอาวาสวัดป่าอาชาทอง

คืนนี้พักผ่อนตัวเอง  วางงาน แล้วมาดู UBC ซึ่งนานๆจะมาดูที โดยบังเอิญไปดูช่อง 46 พบรายการที่กำลังบรรยายประวัติของพระขี่ม้า ที่ประหลาด ที่เชียงราย ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ เฮฯหกจะแวะไปใส่บาตร (จริงป๊ะ)

ผมคว้ากล้องมาถ่ายรูปท่านจากหน้าจอ ทีวีเป็นร้อยๆ แต่พอจะใช้ได้ไม่กี่ภาพ ตามที่คัดมา

เป็นการดีที่ได้รู้จักท่านก่อนที่จะมีโอกาสมาพื้นที่นี้ในเฮฯหก เป็นการดีมากๆ

“ม้า” สัญลักษณ์ของวัดแห่งนี้

พระ เณร วัดนี้มีความสามารถในการขี่ม้า

พระอาจารย์ท่านสอนเณรในการขี่ม้า คุ้นชินกับม้า

พระอาจารย์มีอดีตเป็นนักมวยชื่อดัง จึงมีความสามารถทางการต่อยมวย และตั้งค่ายมวยที่วัดนี้ด้วย

ความสามารถเชิงมวยของท่านเคยสามารถเอาชนะกลุ่มพ่อค้ายาบ้าจำนวนหลายคนมาแล้วในอดีต

เด็กคนนี้มาอยู่กับพระอาจารย์ ซึ่งกว่าจะละทิ้งความเป็นเด็กและมาอยู่ในโอวาทของท่านได้ ท่านใช้เวลานานพอสมควรที่ให้เด็กได้ปรับตัว  เมื่อเห็นว่าจะสั่งสอนหลักธรรมได้แล้วก็นำมาสอนเรื่องการนั่งสมาธิ

ดูรายกา่รนี้แล้วเห็นความตั้งใจท่าน และศรัทธาท่านที่ใช้ธรรมสร้างคนใหม่ตั้งแต่เด็กขึ้นมา

นี่คือ เด็กชาย “ดาวเหนือ” ที่ต่อมาบวชเป็นสามเณร “ดาวเหนือ” เด็กคนนี้มาจากบ้านหัวแม่คำ ผมประทับใจวิธีการอบรมเด็กของท่าน ท่านเข้าใจธรรมชาติเด็กและขั้นตอนที่ควรจะอบรมกับเด็กที่ยังไม่สามารถใช้เหตุผลอย่างผู้ใหญ่ได้  ท่านให้เด็กทำอะไรตามใจ เช่นชอบต่อยมวยก็ให้ไปต่อยมวย ท่านก็สอนให้จนสามารถชนะการต่อยมวย  แล้วเด็กคนนี้ก็หมดพยศแล้วก็ก้าวเข้ามาอยู่ในร่มของศาสนาเต็มตัว

ผมไม่สามารถบรรยายเรื่องราวทั้งหมดได้ แต่เอาภาพมาให้ท่านได้ดู เพื่อเป็นการกระตุ้น เฮหกก็แล้วกันครับ



Main: 0.48913288116455 sec
Sidebar: 0.11552309989929 sec