ร่องรอยบางทราย….๓

11 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ พฤศจิกายน 14, 2008 เวลา 14:44 ในหมวดหมู่ เรื่องของชีวิต #
อ่าน: 2809

ตอบท่านครูบาฯ

กระชากหน้ากากตัวเองหน่อย…

เปลี่ยนแปลง…

* ที่สุรินทร์นี่เองที่ผมกับเพื่อนๆวงการ NGO และรุ่นพี่ๆรวมตัวกันตั้ง NGO-CORD และจัดประชุมสัมมนาทุกปี ผมเป็นกรรมการอยู่พักหนึ่งก็ลาออกให้รุ่นน้องๆทำต่อ เพื่อนที่ขอนแก่นชวนมาทำงานกับโครงการ USAID ที่สำนักงานเกษตรท่าพระ ก็เปลี่ยนจาก NGO ร้อยเปอร์เซ็นต์มาเป็นที่ปรึกษา

* ทำงานกับฝรั่ง ในฐานะผู้เชี่ยวชาญสังกัดกรมวิเทศสหการ เงินเดือน 9,000 บาท เป็นครั้งแรกที่ทำงานร่วมกับฝรั่งเต็มทีม และส่วนใหญ่เป็นอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเคนตั๊กกี้ มีสิทธิพิเศษสามารถสั่งเหล้าฝรั่งทุกยี่ห้อในราคาสินค้า PX ผมก็ PX บ้างแต่ไม่รู้ว่ามันแปลว่าอะไร กินเหล้าฝรั่งยี่ห้อดังๆซะหมดทุกยี่ห้อแล้วในราคาไม่ถึงพันบาทต่อ ขวดใหญ่

* สถานที่ทำงานแห่งนี้เองที่ ผมได้เรียนรู้เครื่องมือทำงานวิจัยและสามารถนำมาใช้ในกระบวนการพัฒนาชนบทที่เรียก RAT (Rapid Assessment Technique) ซึ่งเข้ามาครั้งแรกในประเทศไทยที่สถาบันวิจัยระบบการทำฟาร์ม(FR/E) มหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝรั่งที่โครงการก็ร่วมมือกับคณะเกษตรเอาเข้ามาใช้ แล้วพัฒนาเครื่องมือนี้เป็น RRA (Rapid Rural Appraisal) และเป็น PRA(Participatory Rapid Appraisal) ในที่สุด ก่อนที่จะดัดแปลงไปอีกมากมายขยายไปทั่วโลกจนถึงปัจจุบันนี้

* เครื่องมือที่สำคัญอีกตัวหนึ่งที่เรียนรู้ในครั้งนั้นคือ Agro-ecosystem Analysis (AEA) เป็นเครื่องมือใช้วิเคราะห์พื้นที่ เหมาะที่จะใช้ประกอบการวางแผนงานพัฒนาพื้นที่โดยเฉพาะทางกายภาพ ต่อมาได้พัฒนาให้เป็นตัวเด่นตัวหนึ่งในการวิเคราะห์ PRA ประมาณปี 2525-2530 ที่ผมทำงานที่นั่น ได้เรียนรู้เทคนิคการทำงานต่างๆมากมาย ประสบการณ์ครั้งนั้นยังเอามาใช้ในการทำงานจนทุกวันนี้ อิอิ..

* แล้วผมก็ผันไปทำงานโครงการอื่นๆในวงการพัฒนา คือ โครงการไทย-ออสเตรเลีย เรื่องน้ำดื่มน้ำใช้ทั่วภาคอีสาน โครงการ ไทย-เนเทอร์แลนด์ เรื่องการพัฒนาน้ำในระดับไร่นาที่เขื่อนลำปาว กาฬสินธุ์ โครงการ NEWMASIP กับกลุ่มประเทศประชาคมยุโรปเรื่องน้ำชลประทานทั่วภาคอีสาน แล้วก็ย้อนไปทำงาน International NGO ที่ห้วยขาแข้ง นครสวรรค์ แล้วเข้ากรุงเทพฯไปทำงานกับบริษัทที่ปรึกษา 1 ปี แล้วย้ายออกมาอยู่ชนบทอีกครั้งจนถึงปัจจุบัน

บ่าย….

* ทำงานพัฒนาชุมชน ยิ่งทำก็ยิ่งมีสิ่งที่ต้องทำ เห็นโน่นก็อยากทำ เห็นนี่ก็อยากทำ แต่หันมามองสังขารตัวเองก็ปลง ก็เลยสนับสนุนน้องๆก้าวเข้ามาแทนที่เรา

* ถึงช่วงที่ถ่ายทอดประสบการณ์ผิดๆถูกๆให้น้องๆเรียนรู้ต่อยอดกันไป เท่าที่จะทำได้ และทำงานต่อไปเท่าที่กำลังจะมีเหลืออยู่ ใช้ประสบการณ์บ่งชี้ให้ผู้รับผิดชอบรับฟัง ส่วนเขาจะสำเหนียกเอาไปสู่การปฏิบัตินั้นเป็นเรื่องของการเห็นตรงกันหรือเห็นต่างกัน

* มันเป็นสัจธรรมของชีวิตที่เมื่อเข้าสู่ยามบ่าย ก็ต้องคิดถึงการเดินเข้าสู่การปรับตัวตามวัยเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับชีวิตใหม่

วิธีการเรียน

* โดยส่วนตัวชอบอ่านหนังสือหนักๆ ไม่ใช่น้ำหนักของเอกสารนะครับ สาระหนักๆต่างหาก แล้วเอามาเขียนย่อให้ตัวเองเข้าใจ สรุปสาระนั้นๆไว้เป็นส่วนตัว เพราะการเขียนเป็นการกลั่นกรองความคิดออกมา เอาเฉพาะแก่นออกมา (แต่ไม่ได้ทำทุกเรื่อง)

* ส่วนตัวชอบ เทคนิค flowchart, diagram, mind map, graph, note ย่อ วิธีการเขียนก็เอาตามแบบสไตล์ตัวเองที่ชอบ ที่เข้าใจง่าย ซึ่งคนอื่นอาจจะไม่ชอบ หรือเข้าใจยากกว่า แต่เราเข้าใจ จับหลักให้ได้ แล้วขยายรายละเอียดทีหลัง การที่เราสนใจดังกล่าว รู้สึกว่าเราจะได้มุมมองเรื่องราวต่างๆได้ดี เราเห็นทั้ง Overview และเฉพาะเจาะลึก

* เทคนิคที่เราเรียนมาจากการร่วมลงมือทำ กรณี AEA นั้นทำให้เรามีมุมมอง Overview มากกว่าเพื่อนคนอื่นๆบางคน และเมื่อเราคุ้นเคยกับการใช้เครื่องมือต่างๆของ PRA ทำให้เราสามารถเจาะลึกถึงข้อมูลต่างๆได้ดี และพยายามหาข้อมูลด้านนี้มาประกอบการตัดสินใจด้วยเสมอ มุมมองของเราจึงกว้าง ลึกและรอบด้านมากกว่า อันนี้เป็นการมองตัวเอง ประเมินตัวเอง

* การที่เราผ่านการใช้เครื่องมือการหาข้อมูลต่างๆมาพอสมควร ช่วยให้เรามี จินตนาการ ได้ดีกว่า เมื่อเอ่ยถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่ง(Subject) เราสามารถกวาดข้อมูลมาจากแหล่งต่างๆได้ (Subject area) แม้จะไม่มีข้อมูลเราก็รู้ว่าจะไปหาที่ไหน (Information sources)

* การเรียนที่ดีที่สุดคือทำเอง ปฏิบัติเอง เพราะมันมีช่องว่างระหว่างภาษาอักษรกับภาษาความรู้สึก ตัวอักษรไม่มีรายละเอียดเท่า หรือหากจะบรรยายให้เทียบเท่าก็ไม่ใช่ความรู้สึกจริงๆ การปฏิบัติจริงมันมีความรู้สึกเข้ามาอยู่ในผลของการเรียนรู้ด้วยที่ต่างจากการเรียนจากตัวหนังสือ หรือเพียงการบอกเล่า ความรู้สึกจะช่วยให้เราชั่งน้ำหนักในขั้นตอนสุดท้ายได้ (อันนี้เป็นส่วนตัวนะครับ)

* ความรู้สึกเป็นอุบายหนึ่งของการฝึกสมาธิในหลักทางพุทธศาสนา หากเราคู้แขนเข้าออก เดินจงกรม นั่งพิจารณากายสัมผัสสิ่งต่างๆ การจับจ้องที่ความรู้สึกนั้นๆช่วยให้เราหยั่งรู้ หากนิ่งและสงบจริงก็จะเป็นขั้นตอนแรกๆที่จะก้าวเข้าสู่สมาธิขั้นสูงขึ้น สูงขึ้น ความรู้สึกจะเกิดได้ก็ต้องสัมผัส การจะสัมผัสได้ก็ต้องลงมือทำจริง

* ครั้งที่ตัดสินใจกินเจ (ต่อมาลดลงแค่มังสวิรัติ) ก็เพราะต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิตไปเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เบื่อชีวิตเก่าๆ ก็ตัดสินใจคืนเดียวแล้วกระโดดเข้าวงการคนกินเจ ที่มีข้อห้ามมากมาย ทุกวันหยุดก็ไปรวมตัวกันนั่งสมาธิติดต่อกันมากกว่า 5 ปี การกระโดดลงไปปฏิบัติเองนั้นเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะได้ความคิดใหม่ ความรู้สึกใหม่ มุมมองโลกใหม่ๆ และรวมถึงสุขภาพที่ดีกว่าเดิม

* เนื่องจากเราเป็นมนุษย์สามโลก คือโลกในเมือง โลกในชนบท และโลกในจินตนาการ การคลุกคลีสองโลกเมืองกับชนบทจึงเห็นโลกที่สามว่าภาพรวมควรเป็นอย่างไร ความเข้าใจเหล่านี้ช่วยให้เรามีทัศนคติกว้างต่อสังคมโดยรวม และเฉพาะส่วนที่เราเข้าไปทำงานด้วย

คิดอะไร…..

* เป็นคนจัดอยู่ในประเภท Introvert ก็แค่คนเล็กๆคนหนึ่งในสังคมใหญ่ที่หนาแน่นไปด้วยคนที่แก่งแย่งกันไปยืนอยู่ข้างหน้า หรือสถานที่เหนือกว่า สูงกว่า…… ผมจะเลือกตรงข้าม

* เพราะเป็นคนชนบท ยากจน และบังเอิญผ่านกระบวนการ 14-16 ตุลาเต็มๆ จึงตั้งใจว่าจะทำงานเกี่ยวกับชนบท…..และได้ทำสมใจอยาก

* คิดเยอะ แต่ทำได้น้อย แต่เพียงนิดหน่อยก็ขอให้ได้ทำเถอะ….ดีกว่าคิดเฉยๆหรือพูดเฉยๆ

* ยังมีเพื่อนที่คิดคล้ายเรา ทำคล้ายเราอีกมาก ไปจับมือกับเขาสิ….

* ไม่จำเป็นต้องมาทำเหมือนกันหมด ยืนตรงไหนก็ทำดีที่ตรงนั้นได้ เพราะสังคมมิใช่มีแต่ชาวนา เกษตรกร มีอีกหลายกลุ่ม ทุกกลุ่มประกอบกันเป็นสังคม ประเทศ ที่ต่างพึ่งพาอาศัยกันและกัน แต่อย่าเอารัดเอาเปรียบกัน ขี่คอกันขึ้นไป…… ผมจะอยู่ตรงข้ามทันที

* คำสอนทางศาสนาทุกศาสนาคือสิ่งที่เราพยายามดัดแปลงตนเองให้เข้าใกล้มากที่สุด เห็นว่าเส้นทางเดินตามคำสอนนั้นคือทางรอดของมวลมนุษยชาติ…เอกายิโน อะยังภิกขะเวมัคโคฯ …ดูกรภิกษุทั้งหลาย…ทางสายนี้เป็นทางสายเดียว ไปได้คนเดียว คือผู้ปฏิบัติเท่านั้น…

* ธรรมชาติคือสรรพสิ่ง เราก็เป็นเสี้ยวส่วนของธรรมชาติ เราไม่มีทางอยู่รอดได้หากไม่มีธรรมชาติ แต่ธรรมชาติอยู่ของเขาได้แม้ไม่มีเรา

* ให้อภัยเขาก่อนให้อภัยตัวเอง..

ยิ่งสูงอายุขึ้นก็เห็นสัจธรรมของธรรมชาติที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสั่งสอนไว้นานแสนนานแล้ว ช่วงเหลือของชีวิตจึงบันทึกร่องรอย ความเห็น แลกเปลี่ยน ทำงาน และศึกษา ปฏิบัติคำสอนประเสริฐเหล่านั้น..


ร่องรอยบางทราย….๒

2 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ พฤศจิกายน 14, 2008 เวลา 12:08 ในหมวดหมู่ เรื่องของชีวิต #
อ่าน: 2935

ตอบท่านครูบาฯ

กระชากหน้ากากตัวเองหน่อย…

เที่ยงแล้ว…..

* เมื่อเกิด 16 ตุลา เพื่อนๆเข้าป่าหมด ผมพลาดการติดต่อ เลยเข้าป่าหลังดอยสุเทพ เป็นโครงการพัฒนาชนบท ของมูลนิธิเยอรมัน สังกัดสำนักงานเกษตรภาคเหนือ ที่ตั้งร้านกาแลปัจจุบัน มี ดร.ครุย บุญยสิงห์เป็น ผอ. สมัยนั้น

* พูดถึงการทำงานของตำรวจลับก็น่าขำ เพราะเขามีวิธีมากมายที่จะหาข้อมูลพิสูจน์ว่าเราคือใครกันแน่ โดยคนใกล้ตัวเรามากที่สุดนั่นแหละจะเป็นผู้ให้ข้อมูลที่เรียก แหล่งข่าว หรือสายให้ตำรวจ

* บ่อยครั้งที่เราไม่ได้นอนพักที่สำนักงานที่หน้าอำเภอสะเมิง แต่ไปพักตามบ้านชาวบ้านและที่พักที่ตำบลที่โครงการไปสร้างไว้แบบง่ายๆ เพื่อนผมคนหนึ่งเขาเอาแฟนเข้าไปพักด้วย เราก็อาศัยเธอได้ช่วยทำอาหารให้ ต่อมาเพื่อนสังเกตว่าทำไมเธอต้องออกจากพื้นที่เข้าจังหวัดทุกเดือน แรกๆเธอก็บอกว่ากลับบ้าน ก็ปกตินี่ ใครๆก็อยากกลับบ้านบ้าง แต่หากสังเกตอย่างละเอียดเธอผิดปกติไป ในที่สุดเรารู้ว่าเธอเป็นสายให้ตำรวจเพราะในสมุดบันทึกเธอนั้นทำรายงานไว้ว่าใครทำอะไรที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร แล้วที่เธอออกไปในเมืองเพราะเอารายงานไปส่งให้ตำรวจลับ…

* เมื่อเรารู้ว่าเธอเป็นสายตำรวจ เพื่อนก็ให้เธอออกไปจากพื้นที่… แล้วเราก็มุ่งหน้าทำงานกันต่อและระวังตัว แต่งานของเรานั้นต้องพบปะชาวบ้าน ประชุมกับชาวบ้าน ยามค่ำคืนเพราะกลางวันชาวบ้านไปไร่นาทำงาน ว่างตอนเย็นเป็นต้นไปเราก็ไม่รบกวนการทำงานจึงใช้เวลากลางคืนประชุม ในสายตาราชการนั้นผิดปกติเพราะการประชุมต้องใช้เวลากลางวันเท่านั้น …เราสนิทสนมกับเจ้าหน้าที่อนามัยตำบลที่เป็นสตรีเพราะเธอห้าวเหมือนผู้ชาย และคบผู้ชาย เล่นกีฬาแบบผู้ชายขี่มอเตอร์ไซด์เอนดูโร่ลุยๆ แถมพูดภาษาก้าวหน้า แต่แล้ววันหนึ่งเราขี่มอเตอร์ไซด์ไปทำงานพบซองจดหมายตกอยู่ระหว่างทาง เราหยิบขึ้นมาดูเห็นลายมือเรารู้ว่าเป็นของอนามัยตำบลท่านนั้น แต่ส่งถึงตู้ป.ณ.แห่งหนึ่งที่เชียงใหม่ เราและเพื่อนสงสัยตัดสินใจเปิดดู….ตายกับตายเลย..นี่คือจดหมายส่งรายงานให้ตำรวจลับที่เชียงใหม่ โดยใช้หมายเลขแทนตัวบุคคล ที่สาระเรื่องราวคือการทำงานของเราที่ไปประชุมกับชาวบ้านในที่ต่างๆ….!!!!!?????

* สำนักงานเล็กๆของเราในพื้นที่ก็จ้างชาวบ้านที่เรียนจบ ปวช.มาเป็นเลขาสำนักงาน ทำหน้าที่เลขาทั่วไป บันทึกการประชุม พิมพ์รายงาน ฯลฯ ไปประชุมที่ไหนหัวหน้างานก็เอาเธอไปด้วย ปีละครั้งที่เราออกนอกพื้นที่ไปเปลี่ยนบรรยากาศประชุมสรุปงานกันตามชายทะเลบ้าง หรือที่ที่ทุกคนลงความเห็นว่าอยากไป เลขาท่านนี้ก็ลุยๆ สามารถนั่งวงดื่มกับพวกเราที่กำลังแตกเนื้อหนุ่มได้ยันสว่าง ไม่รู้คุยอะไรกันนักหนา..อิอิ.. ทุกครั้งที่เธอออกไปในตัวเมืองก็มักอ้างว่าขอไปเยี่ยมเพื่อนที่นั่นที่นี่… แต่แล้วเราก็จับได้ว่า เธออีกคนที่เป็นสายลับให้ตำรวจ..หมดตูด…อะไรต่อมิอะไรที่เป็นเอกสารในการทำงาน ที่เราคุยกันแบบส่วนตัว มุมมอง ความคิดเห็นต่างๆที่เป็นส่วนตัว สาระที่เราคุยกันในวงเหล้า เธอเก็บรายละเอียดหมดสิ้นแล้วถูกส่งไปที่….. เป็นอันว่าคนรอบข้างเราถูกตำรวจลับซื้อตัวไปหมดสิ้น…..ทราบต่อมาว่าสตรีที่เป็นอนามัยตำบลท่านนั้นถูกฆ่าตายเมื่อเธอย้ายที่ทำงานไปอยู่ที่จังหวัดอื่น…????

* นอกจากเรื่องราวเครียดๆแบบนี้แล้วผมยังพบเรื่องเหลือเชื่ออีกหลายอย่าง พื้นที่ที่มีสภาพป่าเขาอย่างสะเมิงสมัยนั้นเป็นเมืองปิด..วิถีชาวบ้านยังเดิมๆความเชื่อเรื่องสิ่งเหนือธรรมชาติมีมากและมักมีปรากฏการณ์ที่ทำให้ต้องเชื่อ นี่เองที่เป็นเบ้าหล่อหลอมให้คนชนบทมีพฤติกรรมความเชื่อที่ต่างไปจากคนเมือง

* เรื่องเหลือเชื่อมีหลายครั้ง ครั้งที่สำคัญคือ ผมร่วมมือกับคุณหญิงกนก สามเสนวิลล์ ท่านนายกสมาคมสตรีผู้บำเพ็ญประโยชน์แห่งประเทศไทยสาขาภาคเหนือ จัดค่ายเยาวสตรีขึ้นในพื้นที่โครงการ ก็เอาสนามฟุตบอลเป็นลานกว้างที่ที่กางเต็นท์เป็นวงกลมให้เยาวสตรีที่มาจากต่างหมู่บ้านต่างอำเภอต่างเผ่าพันธุ์มาอยู่ร่วมกัน ทำกิจกรรมต่างๆตามหลักสูตร เรานักพัฒนาพื้นที่ก็เป็นพี่เลี้ยงช่วยดูแลความเรียบร้อยและเข้าร่วมเป็นวิทยากรบางส่วน เรื่องเกิดเพราะเยาวสตรีท่านหนึ่งเธอกรีดร้องเสียงหลงยามถึงเวลานอน เสียงของเธอทำให้ทุกคนตื่น และตกใจ ความผิดปกตินี้ผู้นำชาวบ้านที่มาร่วมดูแลบอกว่า เธอผีเข้าไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่มีทางสงบลงได้จนสว่าง ผู้เฒ่าผู้แก่ก็มาเยี่ยมดู ซักถามรายละเอียดกัน และแนะนำทำพิธีกรรมต่างๆตามความเชื่อ เราทำหมดทุกอย่างก็ไม่ดีขึ้น เดือดร้องไปถึงพระอาจารย์หนุ่มที่วัดใกล้ๆมาดูแล้วก็ทำพิธีให้แล้วก็ให้ทุกคนไปกราบพระในโบสถ์ ท่านจะประพรมน้ำมนต์ให้ เด็กทุกคนเข้าไปในโบสถ์ได้ แต่เด็กคนนี้ไม่สามารถก้าวผ่านธรณีประตูโบสถ์ได้ … ในที่สุดค่ายเยาวสตรีก็แตกต้องจบลงอย่างอกสั่นขวัญหาย เด็กทุกคนกลับบ้านแต่เด็กคนนี้บ้านอยู่ อ.พร้าวต้องนอนค้างอยู่ที่สำนักงานในเมือง คืนนั้นก็เกิดเรื่องอีกเด็กสตรีคนนี้มีการผีเข้า แล้วก็ประกาศว่า ….มึงไม่เคารพกู…กูคือเจ้าพ่อข้อมือเหล็ก…มึงทำสิ่งไม่ดีกับกู…ฯ เจ้าหน้าที่ทุกคนต่างมารุมล้อมฟังคำประกาศนี้ แล้วเมื่อยุติเด็กคืนสติ ก็มีการซักถามกันอย่างละเอียดว่าตั้งแต่เข้าไปในพื้นที่เธอไปทำอะไรที่ไหนบ้างอย่างไร… ในที่สุดลงความเห็นว่า เป็นเพราะ เย็นวันหนึ่งเธอชวนเพื่อนไปเล่นน้ำลำห้วยเล็กๆกลางทุ่งนาที่มี   “หอเจ้านาย” อยู่ เธอไม่ได้คิดอะไร ระหว่างเล่นน้ำเธอก็ฉี่..โดยไม่ได้บอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางอย่างใด…ฯ…. แค่นั้นเองเป็นเรื่อง เมื่อเรื่องนี้เข้าหูผู้เฒ่าผู้แก่ในพื้นที่ท่านก็บอกวิธีขอขมาลาโทษให้ทำเสีย…ทุกอย่างก็เรียบร้อย ต่อมาท่านอาจารย์ฉลาดชาย รมิตานนท์แห่ง มช.ทำวิจัยเรื่อง ผีเจ้านาย พบว่า เจ้าพ่อข้อมือเหล็กก็คือผีเจ้านายตนหนึ่งที่มีพื้นที่ดูแล เขตป่าเขาตั้งแต่ อ.แม่ริม อ.สะเมิง….เฮ่อ อย่าลบหลู่เป็นเด็ดขาด…

* อีกเรื่องที่เหลือเชื่อ..ต่อเนื่องจากเรื่องผีเจ้านาย ในช่วงกระบวนการทำค่ายเยาวสตรีนั้น ผู้จัดต้องทำจดหมายราชการไปขออนุญาตผู้ปกครองเด็กเยาวสตรีทุกคน เมื่องานค่ายจบสิ้นไปแล้ว วันหนึ่งสมาคมฯได้รับซองจดหมายที่เคยส่งไปถึงผู้ปกครองเยาวสตรีตีกลับมาที่สำนักงานตามที่อยู่หัวซองจดหมาย หลังจากตรวจสอบแล้วพบว่า เป็นการใช้ซองจดหมายสมาคมลบการจ่าหน้าซองเดิมออกแล้วจ่าหน้าซองใหม่ ส่งไปให้คนคนหนึ่งที่สมาคมไม่เกี่ยวข้องด้วย แต่จดหมายไม่ถึงผู้รับจึงตีกลับ(เข้าใจว่าที่อยู่ผิดพลาด) เมื่อเปิดอ่านความภายในทุกคนก็ต้องตกตะลึง….. เพราะเป็นจดหมายที่ส่งไปจากผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งในพื้นที่ทำงานของผมที่สะเมิง จดหมายไปถึงคนหนึ่งสาระคือ คนเดิมที่ส่งรายละเอียดวันเดือนปีเกิดมาให้นั้นคนนั้นตายไปแล้ว คราวนี้ส่งเพิ่มมาให้ใหม่ขอให้ทำพิธีไสยศาสตร์ฆ่าคนนี้…!!!!???? รายชื่อที่ระบุนี้เป็นผู้นำชาวบ้านของเรา…มีความขัดแย้งกับผู้นำหมู่บ้าน…. ทำไงดีล่ะเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ ผมเข้าไปตรวจสอบข้อมูลพื้นที่พบว่ามีคนตายในหมู่บ้านจริงโดยไม่ทราบสาเหตุ และเราก็เอาจดหมายนี้ไปแจ้งความตำรวจไว้ก่อน….พร้อมกับไปแจ้งให้ผู้มีรายชื่อนั้นทราบ แล้วก็ทำพิธีแก้เคล็ด…วุ้ย…เสียว….อย่าลบหลู่เป็นเด็ดขาด…

* ความอ่อนด้อยในประสบการณ์ชีวิตแบบนี้ และความบริสุทธิ์ในความตั้งใจทำงาน คิดอะไรพูดอย่างนั้น แต่ในสถานการณ์บ้านเมืองที่ระแวดระวังเรื่องลัทธินั้น เรากลายเป็นพวกสุ่มเสี่ยง … แค่ปีเดียว ผมก็โดนตำรวจพื้นที่ซิวในฐานะ ผู้เป็นภัยต่อสังคมตามข้อหานักเคลื่อนไหวสมัยนั้น ที่ศูนย์การุณยเทพภาคเหนือ ผมพบอาจารย์มหาวิทยาลัยหลายท่าน อาจารย์วิทยาลัยครู นักศึกษา แม้กระทั่งผู้นำชาวนามากมายเต็มศูนย์ไปหมด

* ทหารและตำรวจ เอาตัวเราไปอบรมประชาธิปไตยเสียใหม่ สามเดือนก็ปล่อยออกมาพร้อมใบประกาศว่าผ่านการอบรมมาแล้ว และให้กลับเข้าไปทำงานเดิมได้ แต่อยู่ภายใต้การติดตามของตำรวจลับ ท่านอาจารย์ ดร.ชัยอนันท์ สมุทรวาณิช เป็นท่านหนึ่งที่ช่วยเจรจากับ กอ.รมน.ผ่านอาจารย์ที่ปรึกษาผมที่สนิทสนมกันคือ ดร.ชยันต์ วรรธนภูติ ว่าเด็กคนนี้ไม่มีอะไร ปล่อยออกมาให้เขาทำงานเถอะ

* ที่ศูนย์การุณยเทพฯเชียงใหม่นั้น(อยู่ตรงข้ามกับรพ.สวนปรุง) ผมได้พบนักศึกษาสาว มช.รุ่นน้องคนหนึ่ง เธอสวยงามและเธอเป็นผู้มีอันจะกินคนหนึ่งในเชียงใหม่ เป็นบุตรสาวร้านหนังสือที่ใหญ่ที่สุดในเชียงใหม่ และเป็นพระสหายด้วย ผมพบอดีตดาวจุฬาที่มาเป็นอาจารย์ มช. และเป็นอาจารย์ผม ท่านอาจารย์ท่านนี้มีสมบัติเป็นที่ดินในกลางกรุงเทพฯราคานับหลายร้อยล้าน(ปัจจุบันคงเป็นพันล้านบาท) แต่ท่านอาจารย์ได้บริจาคให้เป็นที่ตั้งของสถาบันปรีดีพนมยงค์ ผมพบน้องนักศึกษา ปวช.ที่มีความสามารถทางการวาดการ์ตูน และต่อมาเขาโด่งดังในเรื่องความสามารถของเขาเพราะเป็นการ์ตูนนิสในหนังสือพิมพ์ที่ขายดีของเมืองไทยทั้งรายวันและรายสัปดาห์…..

* แม้ว่าที่ทำงานเก่าจะยินดีรับกลับเข้าทำงาน แต่ฝรั่งเจ้าของงานอิดออดที่จะให้ทำต่อ อ้างว่ายังส่งผลกระทบต่อหน่วยงานราชการที่เคลือบแคลงใจในตัวผม ผมบวชซะเลย ที่สำนักวิปัสสนาไทรงาม สุพรรณบุรี 1 พรรษา แล้วมาสึกในพื้นที่ทำงานโดยพระอาจารย์ท่านเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวงเมืองเชียงใหม่และท่านก็เป็นเจ้าอาวาสวัดป่าดาราภิรมณ์ที่ อ.แม่ริมอีกด้วย

* การทำงานพัฒนาชนบทที่สะเมิง ผมพบคนข้างกายที่เธอเป็นบัญฑิตอาสารุ่น 6 มธ เธอจบจุฬา ภาษาเยอรมัน จึงพูดกับเจ้าของโครงการที่เป็นชาวเยอรมันได้ ครั้งหนึ่งรัฐมนตรีกระทรวงหนึ่งของเยอรมันเดินทางมาดูงานที่เยอรมันให้การสนับสนุน โดยมี ท่านอานันท์ ปัญยารชุน อดีตเอกอัคราชทูตไทยประจำเยอรมันพามาพื้นที่ คนข้างกายถือโอกาสนำเสนองานเป็นภาษาเยอรมัน ท่านรัฐมนตรีสตรีดูเหมือนจะชื่อ  มิส แฮมบรูเชอร์ เมื่อฟังจบ ท่านทูตก็ควักนามบัตรออกมามอบให้แล้วก็กล่าวว่า หากต้องการไปศึกษาต่อที่เยอรมันที่ไหนก็ได้ ยินดีสนับสนุน

* สถานการณ์ผมไม่ดีขึ้นโดยเฉพาะฝ่ายบริหารโครงการ ผมเลยไม่สร้างความอึดอัดอีกต่อไป ลาออก ไปหางานอีสานทำดีกว่าและได้งานทำที่สุรินทร์ โดยการแนะนำของพี่ใหญ่ในวางการพัฒนาชนบทคือ พี่บำรุง บุญปัญญา หรือพี่เปี๊ยก คนข้างกายผม ก็เดินทางไปเรียนต่อที่เยอรมันโดยทุนของมูลนิธิหนึ่ง…….

* ที่สุรินทร์ผมทำงานชายแดนกับชาวเขมรแถบ กาบเชิง สังขะ บัวเชด เป็นช่วงที่ทหารเขมรมักจะบุกเข้ามาปล้นเอาข้าวไปกิน ฆ่าชาวนาตาย หรือชาวนาเข้าป่าไปเหยียบกับระเบิดตาย ผมมาเรียนภาษาเขมรกับวิทยาลัยครูสุรินทร์ ขะหมาดยัยขะแมร์บาน….



Main: 0.05319619178772 sec
Sidebar: 0.028678894042969 sec