ร่องรอยบางทราย….๒

โดย bangsai เมื่อ พฤศจิกายน 14, 2008 เวลา 12:08 ในหมวดหมู่ เรื่องของชีวิต #
อ่าน: 2839

ตอบท่านครูบาฯ

กระชากหน้ากากตัวเองหน่อย…

เที่ยงแล้ว…..

* เมื่อเกิด 16 ตุลา เพื่อนๆเข้าป่าหมด ผมพลาดการติดต่อ เลยเข้าป่าหลังดอยสุเทพ เป็นโครงการพัฒนาชนบท ของมูลนิธิเยอรมัน สังกัดสำนักงานเกษตรภาคเหนือ ที่ตั้งร้านกาแลปัจจุบัน มี ดร.ครุย บุญยสิงห์เป็น ผอ. สมัยนั้น

* พูดถึงการทำงานของตำรวจลับก็น่าขำ เพราะเขามีวิธีมากมายที่จะหาข้อมูลพิสูจน์ว่าเราคือใครกันแน่ โดยคนใกล้ตัวเรามากที่สุดนั่นแหละจะเป็นผู้ให้ข้อมูลที่เรียก แหล่งข่าว หรือสายให้ตำรวจ

* บ่อยครั้งที่เราไม่ได้นอนพักที่สำนักงานที่หน้าอำเภอสะเมิง แต่ไปพักตามบ้านชาวบ้านและที่พักที่ตำบลที่โครงการไปสร้างไว้แบบง่ายๆ เพื่อนผมคนหนึ่งเขาเอาแฟนเข้าไปพักด้วย เราก็อาศัยเธอได้ช่วยทำอาหารให้ ต่อมาเพื่อนสังเกตว่าทำไมเธอต้องออกจากพื้นที่เข้าจังหวัดทุกเดือน แรกๆเธอก็บอกว่ากลับบ้าน ก็ปกตินี่ ใครๆก็อยากกลับบ้านบ้าง แต่หากสังเกตอย่างละเอียดเธอผิดปกติไป ในที่สุดเรารู้ว่าเธอเป็นสายให้ตำรวจเพราะในสมุดบันทึกเธอนั้นทำรายงานไว้ว่าใครทำอะไรที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร แล้วที่เธอออกไปในเมืองเพราะเอารายงานไปส่งให้ตำรวจลับ…

* เมื่อเรารู้ว่าเธอเป็นสายตำรวจ เพื่อนก็ให้เธอออกไปจากพื้นที่… แล้วเราก็มุ่งหน้าทำงานกันต่อและระวังตัว แต่งานของเรานั้นต้องพบปะชาวบ้าน ประชุมกับชาวบ้าน ยามค่ำคืนเพราะกลางวันชาวบ้านไปไร่นาทำงาน ว่างตอนเย็นเป็นต้นไปเราก็ไม่รบกวนการทำงานจึงใช้เวลากลางคืนประชุม ในสายตาราชการนั้นผิดปกติเพราะการประชุมต้องใช้เวลากลางวันเท่านั้น …เราสนิทสนมกับเจ้าหน้าที่อนามัยตำบลที่เป็นสตรีเพราะเธอห้าวเหมือนผู้ชาย และคบผู้ชาย เล่นกีฬาแบบผู้ชายขี่มอเตอร์ไซด์เอนดูโร่ลุยๆ แถมพูดภาษาก้าวหน้า แต่แล้ววันหนึ่งเราขี่มอเตอร์ไซด์ไปทำงานพบซองจดหมายตกอยู่ระหว่างทาง เราหยิบขึ้นมาดูเห็นลายมือเรารู้ว่าเป็นของอนามัยตำบลท่านนั้น แต่ส่งถึงตู้ป.ณ.แห่งหนึ่งที่เชียงใหม่ เราและเพื่อนสงสัยตัดสินใจเปิดดู….ตายกับตายเลย..นี่คือจดหมายส่งรายงานให้ตำรวจลับที่เชียงใหม่ โดยใช้หมายเลขแทนตัวบุคคล ที่สาระเรื่องราวคือการทำงานของเราที่ไปประชุมกับชาวบ้านในที่ต่างๆ….!!!!!?????

* สำนักงานเล็กๆของเราในพื้นที่ก็จ้างชาวบ้านที่เรียนจบ ปวช.มาเป็นเลขาสำนักงาน ทำหน้าที่เลขาทั่วไป บันทึกการประชุม พิมพ์รายงาน ฯลฯ ไปประชุมที่ไหนหัวหน้างานก็เอาเธอไปด้วย ปีละครั้งที่เราออกนอกพื้นที่ไปเปลี่ยนบรรยากาศประชุมสรุปงานกันตามชายทะเลบ้าง หรือที่ที่ทุกคนลงความเห็นว่าอยากไป เลขาท่านนี้ก็ลุยๆ สามารถนั่งวงดื่มกับพวกเราที่กำลังแตกเนื้อหนุ่มได้ยันสว่าง ไม่รู้คุยอะไรกันนักหนา..อิอิ.. ทุกครั้งที่เธอออกไปในตัวเมืองก็มักอ้างว่าขอไปเยี่ยมเพื่อนที่นั่นที่นี่… แต่แล้วเราก็จับได้ว่า เธออีกคนที่เป็นสายลับให้ตำรวจ..หมดตูด…อะไรต่อมิอะไรที่เป็นเอกสารในการทำงาน ที่เราคุยกันแบบส่วนตัว มุมมอง ความคิดเห็นต่างๆที่เป็นส่วนตัว สาระที่เราคุยกันในวงเหล้า เธอเก็บรายละเอียดหมดสิ้นแล้วถูกส่งไปที่….. เป็นอันว่าคนรอบข้างเราถูกตำรวจลับซื้อตัวไปหมดสิ้น…..ทราบต่อมาว่าสตรีที่เป็นอนามัยตำบลท่านนั้นถูกฆ่าตายเมื่อเธอย้ายที่ทำงานไปอยู่ที่จังหวัดอื่น…????

* นอกจากเรื่องราวเครียดๆแบบนี้แล้วผมยังพบเรื่องเหลือเชื่ออีกหลายอย่าง พื้นที่ที่มีสภาพป่าเขาอย่างสะเมิงสมัยนั้นเป็นเมืองปิด..วิถีชาวบ้านยังเดิมๆความเชื่อเรื่องสิ่งเหนือธรรมชาติมีมากและมักมีปรากฏการณ์ที่ทำให้ต้องเชื่อ นี่เองที่เป็นเบ้าหล่อหลอมให้คนชนบทมีพฤติกรรมความเชื่อที่ต่างไปจากคนเมือง

* เรื่องเหลือเชื่อมีหลายครั้ง ครั้งที่สำคัญคือ ผมร่วมมือกับคุณหญิงกนก สามเสนวิลล์ ท่านนายกสมาคมสตรีผู้บำเพ็ญประโยชน์แห่งประเทศไทยสาขาภาคเหนือ จัดค่ายเยาวสตรีขึ้นในพื้นที่โครงการ ก็เอาสนามฟุตบอลเป็นลานกว้างที่ที่กางเต็นท์เป็นวงกลมให้เยาวสตรีที่มาจากต่างหมู่บ้านต่างอำเภอต่างเผ่าพันธุ์มาอยู่ร่วมกัน ทำกิจกรรมต่างๆตามหลักสูตร เรานักพัฒนาพื้นที่ก็เป็นพี่เลี้ยงช่วยดูแลความเรียบร้อยและเข้าร่วมเป็นวิทยากรบางส่วน เรื่องเกิดเพราะเยาวสตรีท่านหนึ่งเธอกรีดร้องเสียงหลงยามถึงเวลานอน เสียงของเธอทำให้ทุกคนตื่น และตกใจ ความผิดปกตินี้ผู้นำชาวบ้านที่มาร่วมดูแลบอกว่า เธอผีเข้าไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่มีทางสงบลงได้จนสว่าง ผู้เฒ่าผู้แก่ก็มาเยี่ยมดู ซักถามรายละเอียดกัน และแนะนำทำพิธีกรรมต่างๆตามความเชื่อ เราทำหมดทุกอย่างก็ไม่ดีขึ้น เดือดร้องไปถึงพระอาจารย์หนุ่มที่วัดใกล้ๆมาดูแล้วก็ทำพิธีให้แล้วก็ให้ทุกคนไปกราบพระในโบสถ์ ท่านจะประพรมน้ำมนต์ให้ เด็กทุกคนเข้าไปในโบสถ์ได้ แต่เด็กคนนี้ไม่สามารถก้าวผ่านธรณีประตูโบสถ์ได้ … ในที่สุดค่ายเยาวสตรีก็แตกต้องจบลงอย่างอกสั่นขวัญหาย เด็กทุกคนกลับบ้านแต่เด็กคนนี้บ้านอยู่ อ.พร้าวต้องนอนค้างอยู่ที่สำนักงานในเมือง คืนนั้นก็เกิดเรื่องอีกเด็กสตรีคนนี้มีการผีเข้า แล้วก็ประกาศว่า ….มึงไม่เคารพกู…กูคือเจ้าพ่อข้อมือเหล็ก…มึงทำสิ่งไม่ดีกับกู…ฯ เจ้าหน้าที่ทุกคนต่างมารุมล้อมฟังคำประกาศนี้ แล้วเมื่อยุติเด็กคืนสติ ก็มีการซักถามกันอย่างละเอียดว่าตั้งแต่เข้าไปในพื้นที่เธอไปทำอะไรที่ไหนบ้างอย่างไร… ในที่สุดลงความเห็นว่า เป็นเพราะ เย็นวันหนึ่งเธอชวนเพื่อนไปเล่นน้ำลำห้วยเล็กๆกลางทุ่งนาที่มี   “หอเจ้านาย” อยู่ เธอไม่ได้คิดอะไร ระหว่างเล่นน้ำเธอก็ฉี่..โดยไม่ได้บอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางอย่างใด…ฯ…. แค่นั้นเองเป็นเรื่อง เมื่อเรื่องนี้เข้าหูผู้เฒ่าผู้แก่ในพื้นที่ท่านก็บอกวิธีขอขมาลาโทษให้ทำเสีย…ทุกอย่างก็เรียบร้อย ต่อมาท่านอาจารย์ฉลาดชาย รมิตานนท์แห่ง มช.ทำวิจัยเรื่อง ผีเจ้านาย พบว่า เจ้าพ่อข้อมือเหล็กก็คือผีเจ้านายตนหนึ่งที่มีพื้นที่ดูแล เขตป่าเขาตั้งแต่ อ.แม่ริม อ.สะเมิง….เฮ่อ อย่าลบหลู่เป็นเด็ดขาด…

* อีกเรื่องที่เหลือเชื่อ..ต่อเนื่องจากเรื่องผีเจ้านาย ในช่วงกระบวนการทำค่ายเยาวสตรีนั้น ผู้จัดต้องทำจดหมายราชการไปขออนุญาตผู้ปกครองเด็กเยาวสตรีทุกคน เมื่องานค่ายจบสิ้นไปแล้ว วันหนึ่งสมาคมฯได้รับซองจดหมายที่เคยส่งไปถึงผู้ปกครองเยาวสตรีตีกลับมาที่สำนักงานตามที่อยู่หัวซองจดหมาย หลังจากตรวจสอบแล้วพบว่า เป็นการใช้ซองจดหมายสมาคมลบการจ่าหน้าซองเดิมออกแล้วจ่าหน้าซองใหม่ ส่งไปให้คนคนหนึ่งที่สมาคมไม่เกี่ยวข้องด้วย แต่จดหมายไม่ถึงผู้รับจึงตีกลับ(เข้าใจว่าที่อยู่ผิดพลาด) เมื่อเปิดอ่านความภายในทุกคนก็ต้องตกตะลึง….. เพราะเป็นจดหมายที่ส่งไปจากผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งในพื้นที่ทำงานของผมที่สะเมิง จดหมายไปถึงคนหนึ่งสาระคือ คนเดิมที่ส่งรายละเอียดวันเดือนปีเกิดมาให้นั้นคนนั้นตายไปแล้ว คราวนี้ส่งเพิ่มมาให้ใหม่ขอให้ทำพิธีไสยศาสตร์ฆ่าคนนี้…!!!!???? รายชื่อที่ระบุนี้เป็นผู้นำชาวบ้านของเรา…มีความขัดแย้งกับผู้นำหมู่บ้าน…. ทำไงดีล่ะเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ ผมเข้าไปตรวจสอบข้อมูลพื้นที่พบว่ามีคนตายในหมู่บ้านจริงโดยไม่ทราบสาเหตุ และเราก็เอาจดหมายนี้ไปแจ้งความตำรวจไว้ก่อน….พร้อมกับไปแจ้งให้ผู้มีรายชื่อนั้นทราบ แล้วก็ทำพิธีแก้เคล็ด…วุ้ย…เสียว….อย่าลบหลู่เป็นเด็ดขาด…

* ความอ่อนด้อยในประสบการณ์ชีวิตแบบนี้ และความบริสุทธิ์ในความตั้งใจทำงาน คิดอะไรพูดอย่างนั้น แต่ในสถานการณ์บ้านเมืองที่ระแวดระวังเรื่องลัทธินั้น เรากลายเป็นพวกสุ่มเสี่ยง … แค่ปีเดียว ผมก็โดนตำรวจพื้นที่ซิวในฐานะ ผู้เป็นภัยต่อสังคมตามข้อหานักเคลื่อนไหวสมัยนั้น ที่ศูนย์การุณยเทพภาคเหนือ ผมพบอาจารย์มหาวิทยาลัยหลายท่าน อาจารย์วิทยาลัยครู นักศึกษา แม้กระทั่งผู้นำชาวนามากมายเต็มศูนย์ไปหมด

* ทหารและตำรวจ เอาตัวเราไปอบรมประชาธิปไตยเสียใหม่ สามเดือนก็ปล่อยออกมาพร้อมใบประกาศว่าผ่านการอบรมมาแล้ว และให้กลับเข้าไปทำงานเดิมได้ แต่อยู่ภายใต้การติดตามของตำรวจลับ ท่านอาจารย์ ดร.ชัยอนันท์ สมุทรวาณิช เป็นท่านหนึ่งที่ช่วยเจรจากับ กอ.รมน.ผ่านอาจารย์ที่ปรึกษาผมที่สนิทสนมกันคือ ดร.ชยันต์ วรรธนภูติ ว่าเด็กคนนี้ไม่มีอะไร ปล่อยออกมาให้เขาทำงานเถอะ

* ที่ศูนย์การุณยเทพฯเชียงใหม่นั้น(อยู่ตรงข้ามกับรพ.สวนปรุง) ผมได้พบนักศึกษาสาว มช.รุ่นน้องคนหนึ่ง เธอสวยงามและเธอเป็นผู้มีอันจะกินคนหนึ่งในเชียงใหม่ เป็นบุตรสาวร้านหนังสือที่ใหญ่ที่สุดในเชียงใหม่ และเป็นพระสหายด้วย ผมพบอดีตดาวจุฬาที่มาเป็นอาจารย์ มช. และเป็นอาจารย์ผม ท่านอาจารย์ท่านนี้มีสมบัติเป็นที่ดินในกลางกรุงเทพฯราคานับหลายร้อยล้าน(ปัจจุบันคงเป็นพันล้านบาท) แต่ท่านอาจารย์ได้บริจาคให้เป็นที่ตั้งของสถาบันปรีดีพนมยงค์ ผมพบน้องนักศึกษา ปวช.ที่มีความสามารถทางการวาดการ์ตูน และต่อมาเขาโด่งดังในเรื่องความสามารถของเขาเพราะเป็นการ์ตูนนิสในหนังสือพิมพ์ที่ขายดีของเมืองไทยทั้งรายวันและรายสัปดาห์…..

* แม้ว่าที่ทำงานเก่าจะยินดีรับกลับเข้าทำงาน แต่ฝรั่งเจ้าของงานอิดออดที่จะให้ทำต่อ อ้างว่ายังส่งผลกระทบต่อหน่วยงานราชการที่เคลือบแคลงใจในตัวผม ผมบวชซะเลย ที่สำนักวิปัสสนาไทรงาม สุพรรณบุรี 1 พรรษา แล้วมาสึกในพื้นที่ทำงานโดยพระอาจารย์ท่านเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวงเมืองเชียงใหม่และท่านก็เป็นเจ้าอาวาสวัดป่าดาราภิรมณ์ที่ อ.แม่ริมอีกด้วย

* การทำงานพัฒนาชนบทที่สะเมิง ผมพบคนข้างกายที่เธอเป็นบัญฑิตอาสารุ่น 6 มธ เธอจบจุฬา ภาษาเยอรมัน จึงพูดกับเจ้าของโครงการที่เป็นชาวเยอรมันได้ ครั้งหนึ่งรัฐมนตรีกระทรวงหนึ่งของเยอรมันเดินทางมาดูงานที่เยอรมันให้การสนับสนุน โดยมี ท่านอานันท์ ปัญยารชุน อดีตเอกอัคราชทูตไทยประจำเยอรมันพามาพื้นที่ คนข้างกายถือโอกาสนำเสนองานเป็นภาษาเยอรมัน ท่านรัฐมนตรีสตรีดูเหมือนจะชื่อ  มิส แฮมบรูเชอร์ เมื่อฟังจบ ท่านทูตก็ควักนามบัตรออกมามอบให้แล้วก็กล่าวว่า หากต้องการไปศึกษาต่อที่เยอรมันที่ไหนก็ได้ ยินดีสนับสนุน

* สถานการณ์ผมไม่ดีขึ้นโดยเฉพาะฝ่ายบริหารโครงการ ผมเลยไม่สร้างความอึดอัดอีกต่อไป ลาออก ไปหางานอีสานทำดีกว่าและได้งานทำที่สุรินทร์ โดยการแนะนำของพี่ใหญ่ในวางการพัฒนาชนบทคือ พี่บำรุง บุญปัญญา หรือพี่เปี๊ยก คนข้างกายผม ก็เดินทางไปเรียนต่อที่เยอรมันโดยทุนของมูลนิธิหนึ่ง…….

* ที่สุรินทร์ผมทำงานชายแดนกับชาวเขมรแถบ กาบเชิง สังขะ บัวเชด เป็นช่วงที่ทหารเขมรมักจะบุกเข้ามาปล้นเอาข้าวไปกิน ฆ่าชาวนาตาย หรือชาวนาเข้าป่าไปเหยียบกับระเบิดตาย ผมมาเรียนภาษาเขมรกับวิทยาลัยครูสุรินทร์ ขะหมาดยัยขะแมร์บาน….

« « Prev : ร่องรอยบางทราย….๑

Next : ร่องรอยบางทราย….๓ » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

2 ความคิดเห็น


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.71076893806458 sec
Sidebar: 0.19540596008301 sec