เปิดตัว……

โดย bangsai เมื่อ พฤศจิกายน 15, 2008 เวลา 17:25 ในหมวดหมู่ เรื่องของชีวิต #
อ่าน: 1981

ผมเคยเขียนบันทึกเรื่อง โรคเหงาหงอยท่ามกลางฝูงชน ใน G2K ซึ่งเป็นสภาวะที่นักจิตวิทยาและคุณหมอทั้งหลายทราบรายละเอียดเรื่องนี้ดี ผมน่ะไม่รู้เรื่องร๊อก แต่ท่านอาจารย์ ดร.อำนวย ทะพิงค์แก อดีตอาจารย์ของผมท่านเล่าให้ฟังหลายสิบปีก่อน ว่าในเมืองที่เจริญรุ่งเรืองเช่นที่อเมริกาที่ท่านเคยไปเรียนหนังสือที่นั่นนั้น โรคนี้กำลังระบาดอย่างหนัก อาจารย์อธิบายว่า ก็คนเดินกันเต็มถนน เกือบจะชนกัน แต่ไม่รู้จักกัน แถมไม่คุยกันเลย รถวิ่งกันเต็มถนน เมื่อติดไฟแดง รถจอดนิ่งๆ ต่างคนต่างก็มองหน้ากันไปมาระหว่างคันนี้คันนั้น แต่ไม่พูดกัน ซึ่งลักษณะเมืองก็เหมือนกันทั่วโลก….??

แต่มันตรงกันข้ามกับสังคมชนบท สะเมิงที่ผมรู้จัก หรือที่ไหนๆก็ตาม (แต่น่าจะสำรวจว่าเปลี่ยนไปมากแค่ไหน) สังคมเมืองจึงมีความต่างกับชนบทอย่างน่าเป็นห่วงในหลายสาระ

เมื่อท่านจอมป่วนเปิดลานเรื่อง เล่าเรื่องตัวเองทำไม ? อ่านเรื่องคนอื่นทำไม ที่ http://lanpanya.com/jogger/?p=204#comment-530 ทำให้ผมนึกถึงสมัยเรียนที่ มช. เมื่อระหว่างปี 2512-2516 ซึ่งเป็นยุคของขวนนักศึกษา และนักศึกษาที่เรียกกันว่า activist ผมไม่ทราบว่าที่สถาบันอื่นเป็นเช่นไร แต่ที่ มช.และกลุ่มนักศึกษาที่ผมเกาะกลุ่มกันไว้นั้น มีลักษณะที่น่าสนใจ อยากจะเล่าความหลังไห้ฟัง

กลุ่มนี้เรียกตัวเองในหลายชื่อด้วยกัน ภายในเราเข้าใจกันดีคือ กลุ่ม วลัญชทัศน์ กลุ่มนี้ไม่ค่อยเรียนหนังสือ เอาแต่จับกลุ่มคุยกัน ทำงานเคลื่อนไหวให้การศึกษาในกลุ่มนักศึกษาด้วยกัน และออกชนบททั้งศึกษาชนบทและไปทำงานค่ายพัฒนาแบบต่างๆกันไม่ได้หยุด กลุ่มวลัญชทัศน์นี้มีรุ่นพี่คณะรัฐศาสตร์เป็นผู้นำ และในปีสุดท้ายพี่ท่านนี้ถูกถีบตกรถไฟเสียชีวิต เราเชื่อกันว่าเป็น การเก็บ ของฝ่ายบ้านเมือง

เรามีเพื่อนที่มีความคิดในครรลองเดียวกันทุกคณะทั้งชาย หญิง โดยเฉพาะฝั่งสวนดอก อันได้แก่ คณะแพทย์ คณะทันตแพทย์ คณะเภสัชฯ คณะเทคนิคการแพทย์ คณะพยาบาล มีจำนวนมากด้วย นอกจากนั้น คณะเกษตรฯ คณะวิศวะฯ ก็มีหลายคนไม่ต้องเอ่ยคณะทางสังคมศาสตร์ เป็นตัวหลักเชียวหละ

ก่อนที่เราจะไปทำกิจกรรมต่างๆร่วมกันนั้นเราจะมีค่ายหนึ่งที่ทุกคนจะต้องผ่าน เรียกว่าค่ายศึกษา ไปจัดในหมู่บ้านที่มีพื้นที่เหมาะสม เช่นเป็นสวนของผู้นำชาวนาที่เราคุ้นเคย ที่ไม่โจ่งแจ้งเกินไป เพราะสมัยนั้น การที่นักศึกษาออกสู่ชนบทนั้นจะเป็นเป้าสายตาของฝ่ายปกครองจะต้องรายงานให้ตำรวจและนายอำเภอ ผู้ว่าราชการทราบ

เราไปกินนอนกัน ประมาณ 1 สัปดาห์ เอาเต็นท์ไปกางนอนกันตามใต้ต้นไม้ กองฟาง เป็นต้น เช้าตื่นขึ้นมาก็ออกไปช่วยกันทำมาหากิน เก็บกวาดสถานที่ หรือช่วยทำงานของเจ้าของที่ที่มีคั่งค้างอยู่

กิจกรรมที่สำคัญที่สุดที่ทุกคนจะต้องทำคือ การเปิดตัวและการทำสามัคคีวิพากษ์ หรือสามัคคีวิจารณ์ วิธีการก็คือ พี่พี่ที่คุ้นเคยและผ่านเรื่องนี้มาก่อนจะทำการเปิดตัวตนเองอย่างสิ้นเปลือก เป็นใคร มาจากไหน พ่อแม่ เป็นไง….ละเอียดยิบ จนมาถึงทำไมถึงมาคิดเห็นต่อสังคมบ้านเมืองเช่นนี้ มีที่มาที่ไปอย่างไร มีเหตุผลอะไร….. ใช้เวลานานเท่าที่อยากจะพูด และเพื่อนๆสามารถซักถาม ได้บ้าง แต่ส่วนมากไม่ได้ถาม คนเล่าเล่าหมดสิ้น มันน่าจะเป็นการเริ่มพัฒนามาสู่ สุนทรีย์สนทนา ละมั๊งเพราะท่านเจ้าสำนักขวัญเมืองก็เป็นยุคเดียวกับผม และน่าที่จะผ่านกระบวนการนี้มาแล้ว

เป็นเรื่องเหลือเชื่อจริงๆ เราสนิทกันแบบเพื่อนรักมากๆ พี่กับน้อง น้องกับพี่ ที่รู้ใจกันหมดสิ้น ท่านคงเดาบรรยากาศในการเปิดตัวในกลุ่มคนที่มีอุดมการณ์เดียวกันออกนะครับว่า น่าจะเป็นเช่นไร…

นักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ปี 4 ตัวใหญ่เท่าช้าง ร้องให้อย่างก๊ะเด็ก เมื่อเขาเล่าสิ่งที่เขาสะเทือนใจในชีวิตเขาออกมา มันเป็นการปลดปล่อย…. ปลดปล่อยออกมาท่ามกลางเพื่อนที่รัก…..

นักศึกษาแพทย์สง่างามต้องหยุดพูดกลางคันเมื่อเขาเล่าถึงความต่ำต้อย ในฐานะทางบ้านและการสูญเสียแม่อันเป็นที่รักที่สุดของเขาไป…..

ลูกพ่อเลี้ยงใหญ่กลางเมืองเชียงใหม่ อึดอัดต่อครอบครัวที่คาดคั้นให้เขาเดินตามสิ่งที่ครอบครัวต้องการ…..

สาวสวยการศึกษาดีจากครอบครัวธุรกิจ Export เล่าอย่างไม่อายว่าเขาไม่รู้เรื่องชนบทเลยแม้ต้นข้าว เพราะบ้านเขาเนรมิตทุกอย่างให้เขาได้ แต่รักความยุติธรรม ความถูกต้อง และเห็นอกเห็นใจคนยากจนทำให้เธอเดินมาเส้นทางนี้โดยทางบ้านยังไม่รู้เรื่อง..

ดูเหมือนว่าสิ่งที่เหมือนกัน หรือสิ่งที่สามารถรวมศูนย์จิตใจให้มายอมรับกันได้คือ การรักความยุติธรรม ความถูกต้อง และต้องการช่วยเหลือสังคมโดยเฉพาะผู้ที่ด้อยกว่า…

การเปิดตัวแบบเปิดอก สมัยนั้นมีพลังมหาศาล

v มันสร้างความเข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกันแบบลึกซึ้งในกลุ่มคนร่วมอุดมการณ์อย่างไม่เคลือบแคลง

v และพัฒนาไปสู่ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น

สองสิ่งนี้ก็คือฐานที่มั่นคงในการที่กลุ่มจะทำงานเพื่อสังคมร่วมกัน หรืองานใดๆที่กลุ่มตกลงกัน

สิ่งที่มากไปกว่าการเปิดตัวแบบเปิดอกคือ การวิพากษ์วิจารณ์แบบสามัคคี โดยปกติคนเราย่อมมีจุดเด่นจุดด้อย เปิดออกมาเลยว่าตัวเองมีแบบไหนอย่างไร แล้วพี่ๆเพื่อนๆที่ใกล้ชิดจะช่วยแสดงความเห็นต่อเรื่องนั้นๆ หรือแม้แต่วิพากษ์เพิ่มเติม สิ่งเหล่านี้ช่วยให้เห็นตัวตนมากยิ่งขึ้นไปอีกแบบปอกเปลือกหมดสิ้นแดงแจ๋ ยิ่งทำงานด้วยกันนานๆก็ยิ่งเห็นตัวตนมากขึ้น

ตลก.. ที่ผมเอากระบวนวิธีนี้ไปทำกับเพื่อร่วมงานสมัยทำงานพัฒนาชนบทใหม่ๆ พบว่าเพื่อนๆรับได้ แต่หัวหน้างานรับไม่ได้ ไม่ยอมเข้าร่วมกระบวนนี้ เพราะท่านเป็นผู้ใหญ่กว่า ท่านคิดว่าไม่ควรเปิดเรื่องส่วนตัวให้ลูกน้องทราบในหลายๆเรื่อง แต่ลูกน้องควรรับฟังคำสั่ง หรือความคิด ข้อชี้แนะของหัวหน้างานเท่านั้น…

นี่คือ พลังเยาวชน ช่างตรงกับที่ บรรจง บรรเจิดศิลป์ เขียนไว้จริงๆ

ที่เขียนมาเพื่อต่อยอดท่านครูบาฯ และเฮียตึ๋ง ที่รักของเรานี่แหละ..ครับท่าน..

« « Prev : ร่องรอยบางทราย….๓

Next : เกือบลงแดง…… » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

10 ความคิดเห็น

  • #1 น้ำฟ้าและปรายดาว ให้ความคิดเห็นเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2008 เวลา 17:35

    รวบยอดจากการตามรอยพี่บางทรายทั้งสามบันทึกที่ผ่านมาเลยนะคะ

    เห็นด้วยว่าการเปิดตัวเองนั้นทรงพลังมากค่ะ เพราะแสดงความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ความร้าวรานที่เก็บไว้ก็ระบายออกมา ผลที่ได้คือความชัดเจนในตัวเองและก้าวข้ามเกราะที่มองไม่เห็น ที่สวมครอบรอยแผลนั้นเอาไว้ จากผู้เก็บกดทุกข์ทน เราจะกลายเป็นผู้เฝ้าดูที่เห็นตัวเองชัดขึ้น โดยไม่รานร้าวกับสิ่งที่เก็บไว้เพราะกลายเป็นพื้นที่เปิดไปแล้ว

    ชีวิตพี่บางทรายงดงามมากค่ะ ความชัดเจนและทรงพลังในความต้องการ เข็มมุ่งของตนเองทำให้ก่อเกิดพี่บางทรายพี่ชายที่น่ารักคนนี้ได้อย่างน่าประทับใจ

    ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆและมีคุณค่านะคะ

  • #2 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2008 เวลา 17:49

    ผมไม่แปลกใจที่หัวหน้าไม่เห็นด้วยกับวิธีการนี้หรอกครับพี่ มี “ความเชื่อสามัญ” ว่าหัวหน้าควรอ่านลูกน้องออกเหมือนอ่านฝ่ามือ แต่ถ้าลูกน้องอ่านหัวหน้าออกแล้ว จะเป็นอันตรายในการปกครอง; ทางหนึ่งคือการประจบสอพลอ อีกทางหนึ่งคือการใช้จุดอ่อนของหัวหน้าเพื่อ manipulate งานบางประการ; ร้ายอย่างเบาคือ upward deligation ร้ายอย่างหนักคือ blackmail

    ถ้าเปิดตัวแบบเปิดอก แต่ไม่ได้เปิดใจ-เชื่อใจ ก็คงไม่ได้เข้ากระบวนการนี้อย่างแท้จริงครับ หรืออาจจะไม่กล้าเข้ามาเลยด้วยซ้ำ

    มีอีกมุมหนึ่งคือ “ความกลวง” (ซึ่งแตกได้เป็น กลวงจริง ความรู้สึกกลวง กับการคิดไปเองว่ากลวง) ทำให้ไม่กล้าครับ ของจริงทนทานต่อการพิสูจน์ แล้่วก็ไม่แปลกว่าใครจะเข้าใจเขาอย่างไร

  • #3 จอมป่วน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2008 เวลา 20:48

    คงไม่เปิดโล่งโจ้งทีเดียวหรอกนะครับ

    ค่อยๆปล่อยออกมาทีละน้อยเท่าที่จะรู้สึกว่าปลอดภัย ถ้าได้คุยกันตัวเป็นๆอาจเปิดมากขึ้น แล้วแต่บรรยากาศและคู่สนทนาครับ

  • #4 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2008 เวลา 20:56

    น้องแก้มยุ้ยครับ

    หนึ่ง ตอบสนองท่านครูบาที่เสนอให้ลูกหลานช่วยกันเขียนตัวตนออกมา
    สอง พื้นที่นี้แม้จะเป็นที่สาธารณะ แต่ก็เป็นวงเฉพาะ จึงยินดีเปิด ครับ

    อย่างที่เฮียตึ๋งกล่าว เปิดแล้วดี ก็เปิดเลยครับ ความฝันมีมาก แต่ทำได้จริงน้อยมากนะน้องแก้มยุ้ย
    แต่ความรู้สึกที่เกิด หากสักคนก้าวออกมาเป็นคนดีเพราะเรามีส่วนสร้าง แค่นี้ก็เป็นความสุขทางใจที่เป็นน้ำทิพย์หล่อหลอมให้เราเดินเข็นครกขึ้นภูเขาต่อไปอีก

    ใครจะเลือกทางเดินไหนๆ … ก็เป็นไปตามความชอบ สนใจ
    ใครจะร่ำรวยล้นฟ้า … ก็ยินดีด้วย
    ใครจะมีชื่อเสียงสะท้านฟ้า … ก็ดีใจด้วย
    ใครจะเป็นเสนาบดีมีเกียรติ.. เราชื่นชมความสามารถท่านเหล่านั้น
    เราขอให้เขาเป็นคนดีของสังคมเถอะ…

    เราหรือ แค่เป็น อิฐเล็กๆอีกก้อน ที่ปูทางเดินของสังคมไปสู่ความอำไพ แม้จะยาวไกลก็ตาม
    ทำมาหาเลี้ยงชีพด้วย และทำงานในฝันไปด้วย
    โดยมิต้องการให้เป็นภาระแก่ใครๆ
    ตรงข้ามเราจะช่วยแบกภาระใครต่อใครเท่าที่บ่าเราจะแบกได้
    ก็แค่นั้นแหละ
    เดี๋ยวก็ เปลี่ยนสถานภาพของชีวิตไปเป็นอย่างอื่นกันหมดแล้ว
    แม้ยุคสมัยจะผันเปลี่ยนไป
    เราจะกลายเป็นเพียงซาก ในหลายทัศนะก็ตาม
    ใบหน้าที่ยิ้ม และเสียงหัวเราะของชนบท คือ สิ่งทิพย์

    นี่คือความมีสาระในความไม่มีสาระครับน้องสาวครับ

  • #5 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2008 เวลา 21:14

    ท่านคอนครับ

    ใช่แล้ว ผมเห็นด้วย กระบวนการนี้มิใช่สามารถนำไปใช้ได้หมดสิ้น คงไม่เหมาะในรูปบริษัทนอกจากจะพัฒนาไปสู่ความเหมาะสมกว่า เพราะวัตถุประสงค์คงต่างกันครับ

    เมื่อหัวหน้างานไม่เห็นด้วยกับวิธีดังกล่าวพี่ท่านก็แค่สังเกตการณ์สิ่งที่เราทำ และต่อมาหลังๆพี่ท่านก็ยอมบ้างเท่าที่จะพอเปิดมาได้ ก็โอเค เราไม่ต้องการ “คาดคั้น” หรือมิใช่ “เวทีสอบสวน” แต่บุคคลคนนั้นเปิดให้เพื่อนเท่าที่เขาจะเปิดได้ คงไม่เอาทุกสิ่งทุกอย่างออกมาแผ่ สอง-สาม-สี่ สลึง แน่นอน อิอิ

    แต่กระบวนการนี้ผมก็ไม่ได้เอาไปใช้ทุกแห่ง เพราะฐานความคิดที่ต่างกันมากๆ ก็ยากที่จะเปิด ยกเว้นว่าจะมีกระบวนการที่พัฒนาเครื่องมือนี้จนมีประสิทธิภาพสูงมากขึ้น ก็อาจจะมีประโยชน์ เช่น สุนทรียสนทนา เป็นต้น

    ความจริงผมเองก็เป็นพวกลองของ น่าดู เพราะเมื่อมองย้อนหลังไปสมัยที่เข้าไปทำงานในชนบทใหม่ๆนั้น ในวงเพื่อนร่วมงานด้วยกันนั้น ก็ขำๆ ตลกๆ เพราะเหมือนผมแบกคัมภีร์จากมหาวิทยาลัยออกไปและเอาไปใช่กับเพื่อนๆในงานพัฒนาชุมชนด้วย ซึ่งบางอย่างมันทำไม่ได้ หรือได้ไม่ดี เพราะต่างกลุ่มคนกัน ต่างอุดมการณ์ ต่างความคิด ต่างทัศนคติกันเพียงมาทำงานร่วมกันเท่านั้น

    ตรงข้ามในกลุ่ม activist จะเข้มงวด อย่างกับค่ายฝึกนักบวช ผิวปากเพลงที่จีบสาวในห้องน้ำยังไม่ได้เลย พูดจาจีบสาวๆก็โดนวิพากษ์แรงด้วย ว่านิสัยไม่ถูกต้องต่อสตรีเพศ ต้องดัดแปลงใหม่ให้เหมาะสม…….

    เห็นด้วยกับ คอน ครับ

  • #6 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2008 เวลา 21:17

    เฮียตึ๋งครับ

    คงเปิดเฉพาะที่เป็นประโยชน์ในการเรียนรู้น่ะครับ อะไรที่ไม่เกิดประโยชน์ หรือประโยชน์น้อยก็ละเว้นเสียบ้างก็ดีครับ
    เปิดแบบส่วนตัวเป็นๆน่ะดีที่สุดครับ หากใครน้ำตาไหลก็จะได้ช่วยเช็ดน้ำตาให้ อิอิ อิอิ

  • #7 ครูสุ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2008 เวลา 11:55

    โดน…

    เราหรือ แค่เป็น อิฐเล็กๆอีกก้อน ที่ปูทางเดินของสังคมไปสู่ความอำไพ แม้จะยาวไกลก็ตาม
    ทำมาหาเลี้ยงชีพด้วย และทำงานในฝันไปด้วย
    โดยมิต้องการให้เป็นภาระแก่ใครๆ
    ตรงข้ามเราจะช่วยแบกภาระใครต่อใครเท่าที่บ่าเราจะแบกได้
    ก็แค่นั้นแหละ
    เดี๋ยวก็ เปลี่ยนสถานภาพของชีวิตไปเป็นอย่างอื่นกันหมดแล้ว
    แม้ยุคสมัยจะผันเปลี่ยนไป
    เราจะกลายเป็นเพียงซาก ในหลายทัศนะก็ตาม
    ใบหน้าที่ยิ้ม และเสียงหัวเราะของชนบท คือ สิ่งทิพย์

    นี่คือความมีสาระในความไม่มีสาระ…

  • #8 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2008 เวลา 19:17

    คำรำพึง…….. แด่ครูสุครับ

    เพราะเราตัดสินใจยืนอยู่ตรงนี้ เงียบๆ
    ให้ธรรมชาติขับเคลื่อนไป
    ตามเงื่อนไขของความสมดุล
    และการปรับตัวที่มีตลอดเวลา….

    เมื่อเวลาผ่านมา เราก็คิดถึงว่า
    อย่าถามหาอาหารที่อร่อย แต่จงถามหาประโยชน์ของอาหารนั้น
    แต่อย่าเลือกอาหาร หากไม่มีให้เลือก มันก็แค่ประทังชีวิต

    มนุษย์เป็นสัตว์ที่ฉลาดมาก
    แต่ความฉลาดกลับเป็นดาบที่ฆ่ามนุษย์เอง

    มนุษย์ค้นพบสัจธรรมมานานเมื่อพันปีที่ผ่านมา
    แต่วันนี้มนุษย์ก็ไม่ได้ใช้ความฉลาดนั้น
    สร้างเครื่องมือที่ยิ่งใหญ่ที่เอาสัจจธรรมมาเป็น DNA ของความเป็นมนุษย์

    ฤา เราเป็นเพียงเสี้ยวส่วน ดั่งปุยนุ่นเล็กๆ
    ที่ปลิวว่อนไปในกระแสหลักของโลกนี้
    หาน้ำหนักไม่ได้เลย ในปุยนั้น

    แต่ฉันก็เลือกที่จะเป็นปุยนุ่น พร้อมที่จะปลิวไป
    เพราะอย่างน้อยที่สุดฉันก็พาเมล็ดพันธุ์เล็กๆติดตัวไปด้วย
    เขาจะงอกเมื่อสัมผัสพื้นดิน
    เขาจะกลายเป็นต้นไม้ที่ใหญ่โตในวันหน้า
    และเขาจะแข็งแรงแกร่งกล้ามากพอที่จะทานกระแสลมนั้น

    …….

  • #9 Lin Hui ให้ความคิดเห็นเมื่อ 19 พฤศจิกายน 2008 เวลา 14:53

    การเรียนในสิ่งที่ เราไม่สามารถหาเรียนได้ในห้องเรียน แต่เราได้เรียนรู้จากนอกห้องเรียน จากธรรมชติแวดล้อม ความรักที่แน้นแฟ้นเกิดจากความสนิทใจ จากการทำงานร่วมอุดมการ มันจะฝังแน่นในดวงใจของทุกคนค่ะ พี่รับรู้ได้ค่ะ นี่คือพื้นฐานของคนที่รู้จักชีวิตค่ะ

  • #10 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 20 พฤศจิกายน 2008 เวลา 16:44

    ขอบคุณครับพี่หลิน ผมมากรุงเทพฯ กำลังจะเดินทางกลับขอนแก่นครับ

    เส้นทางเดินชีวิตนั้นหากเรามีเวบาทบทวนและบีบคั้นหาสัจธรรมเราก็จะรู้ว่า สิ่งที่โบราณสอนว่า ผู้ใหญ่อาบน้ำมาก่อนนั้น เป็นความจริงและมีประโยชน์ที่จะสละเวลานั่งคุยและเรียนรู้จากท่านเหล่านั้น เพราะเราจะเดินทางลัดถึงสัจธรรมต่างๆได้ ในทำนองเดียวกันเราก็สามารถกลั่นสิ่งที่ตกผลึกของเส้นทางเดินของเรานี้ไปสั่งสอนแลกเปลี่ยนกับลูกหลานเราต่อไป ครับพี่ครับ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.055147886276245 sec
Sidebar: 0.031373023986816 sec