ผลกระทบน้ำท่วมไทยไปถึงประเทศลาว

208 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 30 พฤศจิกายน 2010 เวลา 11:36 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 3927

ไปทำงานในหมู่บ้านพื้นที่รับน้ำชลประทานในประเทศลาวนั้น ผมชอบที่ได้ลงสัมผัสข้อมูลตัวจริง(สำนวนลาว) ของชุมชนชนบทลาว มีเรื่องเล่าอีกยาวทีเดียวหละครับ


มีบางคนเป็นห่วงผมว่าแล้วไปกินข้าวที่ไหน เป็นมังสะวิรัติ ในหมู่บ้านลาวจะไม่มีให้กินนะ เดี๋ยวผอมแย่เลย อิอิ

มีครับ อาหารหลักคือเฝ๋อ(ก๊วยเตี๋ยว).. ถ้วยบักเอ้บ(ใหญ่จริงๆ) สาวไทยสั่งแล้วกินไม่หมดแน่ๆ ก็สั่งแบบไม่เอาเนื้อสัตว์ ไม่เอาลูกชิ้น ส่วนน้ำมันจะปนเนื้อต้มมาบ้างก็ยอม เพื่อนชาวลาวที่เป็นทีมงานก็พาเราออกมากินเฝ๋อที่ร้านริมถนนสาย 13 ใต้ เราก็มากินอาหารกลางวันที่นี่ประจำ

เจ้าของร้านพูดจาคล่องแคล่ว มีสามีเป็นนายตำรวจ เธอทำอาหารคนเดียวมีลูกสาวที่เป็นนักเรียนมาช่วยตอนเที่ยงทุกวันน่ารักจริงๆ เธอสมกับเป็นแม่ค้า พูดจาไพเราะเพื่อให้ลูกค้าสบายใจ เพราะบางทีก็ทำอาหารช้าไปหน่อย เพราะมีคนมากินอาหารกลางวันตรงกันหลายชุด

เธอบอกว่า ผักแพงมาก หลายชนิดที่นำมาประกอบอาหาร เหตุผลเพราะ ผักที่ปลูกตามริมโขงและเอามาขายในตลาดสดเวียงจันนั้น ถูกพ่อค้าไทยกว้านซื้อไปหมด เพราะน้ำท่วมเมืองไทยทำให้ผักขาดตลาด ต้องมากว้านซื้อถึงเวียงจัน ผมก็เดาว่า คงตลอดแนวแม่น้ำโขงแหละ พ่อค้าผักคนไหนมีความสัมพันธ์กับพ่อค้าถิ่นที่ไหนก็คงติดต่อค้าขายกัน

ระบบตลาดเชื่อมกันหมด แม้ผักที่กินกับเฝ๋อ…

ฮื่อ…..น้ำท่วมเมืองไทย

ผักในตลาดเวียงจันแพงกว่าหนึ่งถึงสองเท่าตัว…???!!!


Bob ณ เวียงจัน

436 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 28 พฤศจิกายน 2010 เวลา 16:22 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 4936

ผมต้องการแผนที่ประเทศลาวที่เหมาะสมกับงาน นอกจากจะดูจาก Google แล้วอยากได้ที่เป็น hard copy จึงมองหาร้านหนังสือ ร้านแรกที่พบคือ ร้านโอเรียลตัล ที่ผมพบหนังสือประวัติศาสตร์ลาวราคา 1 ล้านกีบ มีแผนที่อยู่หลายฉบับแต่ไม่ถูกใจ จึงเดินหาไปเรื่อยๆ


แต่แล้วก็ไม่ได้ ยังคิดว่ากลับไปขอนแก่นไปหาที่นั่นดู แต่ก็ผิดหวังอีก เพราะมีแต่แผนที่รวมสามประเทศ มาเวียงจันคราวนี้ เมื่อเลิกงานก็เดินไปริมโขง ถ่ายรูป ดูฝั่งไทย และชื่นชมธรรมชาติโดยเฉพาะอากาศยามนี้ เมื่อเย็นย่ำก็เดินกลับที่พัก ผ่านร้านหนังสือแห่งหนึ่งบนเส้นทางกลับที่พักจึงเข้าไปดู มีแต่หนังสือฝรั่ง ไหนลองไปดูซิว่ามีแผนที่ไหม

สายตาผมไปสะดุด หนังสือที่วางหลายเล่มที่มีชื่อผู้เขียน Robert Cooper ผมตรงไปหยิบมาพลิกดู เอ ชื่อผู้เขียนนี้คือคนที่เรารู้จักเมื่อสามสิบปีที่แล้วนี่ ใช่หรือเปล่าหนอ.. สกุลใช่ Cooper ใช่แน่ พอดีมีคนในร้านเดินมา แล้วเอ่ยปากพูดว่า เชิญดูหนังสือตามสบายนะ อ้อดูหนังสือเล่มนั้นหรือคะ เป็นเจ้าของร้านนี่แหละ… คุณ Cooper อยู่ข้างในร้านค่ะ นั่นภรรยาของเขาค่ะ


เมื่อมีจังหวะผมเข้าไปถามสุภาพสตรีที่ถูกแนะนำว่าเป็นภรรยา Cooper ผมขออภัยเธอที่จะถามคำที่ไม่สุภาพว่า คุณ Cooper เคยมีภรรยาเป็นคนไทยใช่หรือไม่ครับ เธอมองหน้าผมแล้วตอบว่าใช่ ที่เชียงใหม่ ผมไม่มีข้อสงสัยอีกต่อไปแล้ว Cooper คนนี้ก็คือเพื่อนเก่าเมื่อสามสิบปีที่ผ่านมา และภรรยาคนแรกของเขาก็เป็นเพื่อนร่วมงานของผม


ผมตรงไปหา Bob หรือ Robert แนะนำตัว ดูเขางง งง แล้วเขาค่อยๆรื้อฟื้นความจำ แต่ก็ยังไม่ค่อยเชื่อใจ จนเมื่อผมเอ่ยชื่อเพื่อนเก่าๆสมัยนั้น…ดูเหมือนเขายิ้มออก และเมื่อเอ่ยชื่อสินี เขาร้องอ๋อ ที่ขี่มอเตอร์ไซด์ไปทำงานสะเมิงใช่ไหม ..ฯลฯ เขายิ้มกว้างที่สุดเลย ผมจำได้แล้ว….Bob พูดลาวใส่ผม เราใช้เวลาคุยกันสักครึ่งชั่วโมงแล้วขอตัวกลับ โดยบอกว่าที่พักอยู่ใกล้ๆนี่เอง และก่อนกลับไทยจะแวะมาอีก

ผมขออนุญาตถ่ายรูปโดยภรรยาปัจจุบันเป็นคนถ่ายให้ Bob เอื้อมมือมาโอบไหล่ผมอย่างสนิทสนม แล้วบอกว่าอย่าเพิ่งไปเดี๋ยวจะเอาหนังสือให้เล่มหนึ่ง แล้วเขาก็ให้ภรรยาไปหยิบหนังสือมา แล้ว Bob เซนต์ให้ผม


จริงๆภรรยาคนแรกของ Bob คือเพื่อนสนิทของผมและเพื่อนๆร่วมงานสมัยที่ทำงานพัฒนาชนบทครั้งแรกที่สะเมิง เชียงใหม่ Bob เป็นคนหล่อมาก สาวติดกันงอมแงม และเป็นนักเขียน พูดจาไพเราะ ฯ การมาพบ Bob อีกครั้งในวัยที่ต่างก็ร่วงโรยไปมากแล้ว แน่นอน ผมดีใจจนบอกไม่ถูก ว่าจะมาพบเขาที่เวียงจันและอยู่ใกล้ๆที่พักเดินไม่ถึง 50 ก้าวเอง

อือ..ชีวิตก็เป็นอย่างนี้แหละ..


จุ กับ จุ้ม

121 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 27 พฤศจิกายน 2010 เวลา 20:19 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3005

ผมจำได้ว่าการพัฒนาชุมชนด้วยแนวทางวัฒนธรรมนั้น ท่านพ่อนิพจน์ เทียรวิหาร แห่งสภาแคทอลิคเชียงใหม่เป็นผู้จุดประการขึ้น อันเนื่องจากท่านไปทำงานกับชนเผ่า ปะกาเกอญอในหลายสิบปีที่ผ่านมา การทำงานของท่านศึกษาพฤติกรรม ความเชื่อ การกระทำ วิถีของชนเผ่าไปด้วย พบว่า กิจกรรมต่างๆที่ลงไปทำ ที่ชนเผ่าดำเนินตามวิถีของเขานั้นมีความเชื่อ มีกระบวนการที่สะท้อนว่าเป็นความเชื่อ เป็นวัฒนธรรมของชนเผ่าเข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย


ในช่วงเวลาเดียวกันนักพัฒนาองค์กรเอกชนทางอีสานก็สร้างนวัตกรรมด้านนี้ขึ้นมาในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน วงสัมมนา การประชุมของงานพัฒนาชนบทก็ต้องมีหัวข้อนี้เป็นหลัก แล้วนักวิชาการใหญ่คือท่าน อาจารย์ ฉัตรทิพย์ นาถสุภา ท่านก็เขียนหนังสือเรื่องเหล่านี้ออกมาหลายต่อหลายเล่มเป็นการยืนยันศักยภาพของหมู่บ้านในมุมของวิถีชุมชน ซึ่งเป็นภาพที่ไม่เคยมีนักวิชาการเขียนตรงๆมาก่อน

แล้วก็เอาแนวคิดลงสู่การปฏิบัติ มากมาย หลากหลายแตกต่างไปตามภูมิภาค ท้องถิ่น เช่น บวชป่า ทอดผ้าป่าต้นไม้ ฯลฯ……รวมต่อไปจนค้นหาปราชญ์ชุมชน อันเป็นการค้นหาศักยภาพในชุมชนต่อๆกันมา ที่เรียกภูมิปัญญาชาวบ้าน

ยืนยันว่าการนำเข้าองค์ความรู้ใหม่ๆจากข้างนอกนั้นแม้เป็นสิ่งจำเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงของสังคม แต่ การค้นหาศักยภาพภายในชุมชนก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรละเลย ก้าวผ่าน..

ผมได้ยินคำว่า “จุ้ม” ครั้งแรกในการเข้าทำงานทางอีสานนานมาแล้วแต่ “ไม่คลิก” จนมูลนิธิหมู่บ้านใช้คำนี้มาเป็นแนวทางในการทำงานกับชุมชนที่อินแปง ผมก็สนใจและศึกษาว่าเขาใช้วัฒนธรรมชุมชนเข้ามาทำงานในลักษณะไหนบ้าง

จุ้ม เป็นภาษาถิ่นอีสาน ผมไม่ทราบภาคอื่นเรียกแบบไหน ผมคิดว่าน่าจะมีคำที่มีความหมายใกล้เคียงกันแบบนี้ในทุกภาค แต่เรียกต่างกันและทำกิจกรรมที่อาจแตกต่างกันบ้าง

จุ้ม ในความหมายที่ผมเข้าใจ (หากผิดพลาดกรุณาเพิ่มเติมแก้ไขให้ด้วยครับ) หมายถึงกลุ่มที่มีลักษณะทางธรรมชาติ เหมือนเสี่ยว เหมือนเพื่อนสนิท เหมือนเพื่อนร่วมคอกัน ซึ่งจะมีจำนวนหนึ่งไม่มากมายแต่ก็มากกว่าสองสามคน

การทำกิจกรรมที่เรานำเข้ามาจากข้างนอก หรือชุมชนคิดสร้างขึ้นมาเองก็เลยถือโอกาส อิงจุ้ม ใช้จุ้มเป็นฐานการทำ เพราะจุ้มมีความเป็นองค์กรแบบ Informal structure มีความสนิมสนม รู้ใจกัน ดุด่าว่ากล่าวกันได้เองภายใน ไม่จำเป็นต้องไปสร้างใหม่ ต่อยอดไปจากเดิม ใช้ฐานเดิม


ในลาวที่ผมไปทำงานมานี้มีอีกคำหนึ่ง คือ “จุ” มีลักษณะคล้ายกันแต่ต่างกัน จุอาจจะเรียกอีกคำคือหน่วย หรือ Unit เป็นของดั้งเดิมที่โครงสร้างการปกครองของลาวในปัจจุบันก็เอามาใช้ อาจจะเทียบในเมืองไทยได้ว่า “คุ้ม” หรือกลุ่มบ้านที่มีฐานการนับจากลักษณะทางกายภาพ ภูมิศาสตร์ เช่นตั้งบ้านติดต่อกัน อยู่บนถนนเส้นเดียวกัน ทางเหนือน่าจะเรียก “ป๊อก” ในจุอาจจะไม่ใช่จุ้ม หรืออาจจะใช่ก็ได้

จุ้มกับจุ๊นั้นต่างกันตรงที่ ในความหมายที่พี่น้องลาวระบุคือ “จุ้ม” นั้นเป็น “จุ้มเจื้อ” มีฐานการนับจากลักษณะความสัมพันธ์ที่เป็นเครือญาติ พี่น้องมากกว่าเป็นแค่เพื่อนบ้านที่คอเดียวกัน ซึ่งอาจจะไม่ใช่ตั้งบ้านเรือนในลักษณะที่ติดกัน ทางกายภาพ หรือภูมิศาสตร์ ดังนั้นการนำวัฒนธรรมดั้งเดิมมาใช้ในงานพัฒนานั้น จึงเป็นเรื่องที่จะต้องเข้าใจให้ถึงแก่นแท้ของวัฒนธรรม และผู้เอามาใช้ก็ต้องปรับตัวให้มีลักษณะเป็นคนในด้วย ผมมีความเชื่อส่วนตัวว่า การทำงานพัฒนาอิงวัฒนธรรมนั้นน่าจะเป็นองค์ประกอบหนึ่งของความยั่งยืนด้วย…

แต่ทั้งหมดนี้ผู้ที่สนใจจะเอาไปใช้ต้องไปศึกษาชุมชนของตนเองให้ทะลุปรุโปร่งก่อน มิเช่นนั้นก็เป็นเพียงผู้หวังดี ทั้งหมดนี้ผมเพียงตั้งข้อสังเกตไว้ ยังไม่ได้ทำกิจกรรมที่อยู่บนจุ้ม หรือ จุ หรือทำไปแล้วโดยไม่ได้เข้าใจ..

คนที่ทำงานพัฒนาชุมชนก็สนใจอะไรที่ชาวบ้านชาวเมืองเขาไม่พูดถึงน่ะครับ


สิ่งตอบแทน

198 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 26 พฤศจิกายน 2010 เวลา 20:26 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3828

เป็นธรรมดาที่คนเราย่อมตอบแทนประโยชน์ให้แก่กัน ในเรื่องใดๆ ด้วยสิ่งใดๆก็ตามที่ผู้ให้เห็นว่าเหมาะสม และเงื่อนไขต่างๆที่มีอยู่


การเก็บข้อมูลในสนามหมู่บ้านลาวครั้งนี้เป็นคนหนึ่งเข้าร่วมทีมจัดเก็บข้อมูลพื้นที่ชลประทาน แต่ผมจะแยกประเด็น หัวข้อมาเฉพาะตามที่วางแผนและตกลงกันไว้ เพียงแต่ร่วมเวลาร่วมหมู่บ้านกัน การเก็บข้อมูลหลักก็เป็นทีมงานของทีมลาวที่มีประสบการมามาก เรียนจบปริญญาโทที่รัสเซียและที่ KU

หากจะวิเคราะห์กันเต็มๆแล้ว แบบสัมภาษณ์ยังมีจุดที่เติมได้อีก ซึ่งผมก็เสนอไป

การนัดหมายเกษตรกรเป้าหมายดูจะวุ่นวายพอสมควรเพราะระบบของเขาไม่เหมือนบ้านเรา ก็ให้ทีมลาวจัดการ กระนั้นก็ใช้เวลามากเพราะข้อจำกัดต่างๆ ซึ่งก็ทำใจได้

หัวหน้าทีมลาวที่ผมอาศัยรถไปด้วยคราวนี้หอบเอาถุงอะไรบางอย่างถุงใหญ่ทีเดียวเอาลงมาจากรถหลังจากที่เกษตรเริ่มทยอยมาให้สัมภาษณ์ และเริ่มสิ้นสุด ผมลุกขึ้นไปดูว่าถุงอะไร

จ๊ากสสสส ถุงใส่ผงชูรสจำนวนมาก ตามรูปข้างบน


หัวหน้าทีมลาวบอกผมว่านี่คือค่าตอบแทนที่ให้เกษตรกรที่เสียเวลามาให้ข้อมูล…???

มีคำถามมากมาย มาความเห็นมากมายที่อยากจับเอาตัวหัวหน้าทีมลาวมาคุยด้วย แต่ผมต้องระงับไว้เอาไว้หมดสาระนี้ก่อนค่อยคุยยาวๆกัน…..


โจทย์เดียวกัน

179 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 25 พฤศจิกายน 2010 เวลา 21:03 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 4905

ระหว่างนั่งรถ ขอนแก่น-เวียงจัน ทริปนี้คนมากกว่าคราวที่แล้วแต่ก็ไม่เต็มคัน ยังมีที่ว่างสัก 40% แน่นอนทุกครั้งจะมีฝรั่งที่มีเมียไทยเมียลาวมาด้วยอย่างต่ำ 1 คู่ ลาวก็คงนิยมมีสามีฝรั่งเหมือนสาวบ้านนอกไทย

ยังนึกขำ วันก่อนไปรับสินีที่สนามบิน ก็พบชาวบ้านมากันเต็มคันรถมาส่งฝรั่งกับภรรยา คงไปต่างประเทศ ชาวบ้านที่มาด้วยก็คงเป็นญาติพี่น้องฝ่ายภรรยาถือโอกาสมาดูเครื่องบินเพราะดูกันไม่วางตา มีหนุ่มๆสองสามคนถือโอกาสดี ตั้งวงเล็กๆท้ายรถนั่น เอาเบียร์มาดื่มกัน ส่งเสียงกันดังลั่นเทียว

สักพักก็มีเด็ก ก็คงเป็นลูกหลานภรรยาฝรั่ง ที่ถือโอกาสขอตังค์ไปซื้อขนมมา ได้ยินเขาเรียกชัดเจนว่า จิมมี่ จิมมี่ มานี่… ผมฟังชัดเจน ไม่ผิดตัว เขาเรียกเด็กลาวคักๆนั่นแหละ ลูกหลานอีสานบ้านเฮากลายเป็นจิมมี่ไปแล้ว…

ย้อนมาในรถ ขอนแก่น-เวียงจัน ราคามันช่างถูกกระเป๋าดีแท้ 180 บาทครับท่าน หากถือพาสปอร์ตมาก็เขียนใบผ่านแดนก็ผ่านฉลุย ไปเสียค่าเหยียบแผ่นดินดินลาว 40 บาท

ที่สถานีรถปรับอากาศขอนแก่นก่อนรถออก ผมเห็นวันรุ่นหนุ่มสามสี่คน แต่งตัวงี้ อย่าให้พูด อิอิ เราเข้าใจได้ มีคนหนึ่งนอนหลับไปน้ำลายไหลยืด เพื่อนๆมาเขย่าทำนองว่า เฮ้ยรถจะออกแล้ว เขาตื่นขึ้นมางัวเงีย หยิบเอาหมวกมาสรวมเข้าไปแถมบิดแก็ปไปข้างๆอีก จ๊ากสส์ ผมนั่งขำอยู่คนเดียว นี่มันเพิ่งตื่นหน้าตาดูไม่ได้เลยยังกลัวไม่เท่ห์..

ทำไปทำมา โธ่ ไปรถคันเดียวกัน ดันมานั่งติดกันอีก….ผมเดาสถานการณ์ไว้เลยว่า เป็นแรงงานลาวที่มาทำงานในไทยแล้วนัดกันกลับบ้าน….

เมื่อรถออก หนุ่มแต่ละคนก็หยิบเอามือถือใหม่เอี่ยมมาเล่นกัน หยิบเข้าหยิบออกนั่นแหละ เปิดโน่นเปิดนี่ แล้วก็หันไปคุยกัน ผมแอบฟังเขาพูดกัน ผมเลยหันไปยิ้มแล้วถามเขาว่า มา เฮ็ดเวียก ในไทยที่ไหนครับ เขาบอกว่า ไปทำงานที่มาเลเซีย..???

จ๊ากสส ผมผิด… แล้วเขาก็เล่าต่อว่า ไปทำงานลงเรือประมง มีไต้ก๋งเป็นคนไทยเลยสื่อสารกันได้ ไปไกลถึงอินโดโน่น….. กลับมานี่มาเกี่ยวข้าว…..ฯลฯ

ผมถามบ้านว่าอยู่ที่ไหนเผื่ออยู่ในพื้นที่ที่ผมจะไปทำงาน…แต่ไม่ใช่..

 

นครเวียงจันกำลังฉลองครบรอบ 450 ปีสร้างบ้านแปงเมือง กำลังจะมีวันชาติวันที่ 2 ธันวานี้ เพิ่งฉลอง อนุสาวรีย์วีระกษัตริย์ เจ้าอนุวงศ์ เพิ่งจะฉลองอายุครบ 90 ปีท่านไกรสอน พมวิหาน งานก่อสร้างเต็มบ้านเต็มเมือง งานที่ผมมาทำก็เป็นหนึ่งในแผนงานสร้างชาติแปงเมืองของเขา

แต่การไหลบ่าของทุน ไม่มีทางสกัดกั้น และดูเหมือนความพยายามรัฐบาลจะ “สร้างตัวกรอง” แต่เราก็เห็นคนลาวรุ่นใหม่นำเข้าวิถีชีวิตจากไทย จากสังคมทุนเข้ามาอย่างที่ผมเห็นวันนี้ มันไม่ต่างไปจากสังคมบ้านเราหรอก

กลางนครเวียงจัน รัฐประกาศระเบียบว่า ให้แม่หญิงลาวนุ่งผ้าถุงแม้ว่าจะเดิอนบนถนนหรือที่ไหนๆก็แล้วแต่ ปกติแม่หญิงลาวก็นุ่งอยู่แล้ว แต่เด็กวัยรุ่นเริ่มนุ่งกางเกงขาสั้นกันหนาตาแล้ว อย่างน้อยในรถที่ผมนั่งมานั้น แม่หญิงลาวหลายคนที่มาด้วยไม่มีสักคนที่นุ่งผ้าถุงกลับบ้าน…?

ท่ามกลางการสร้างชาตินั้น สิ่งที่เป็นเปลือกเหล่านี้มันเข้ามามากกว่าสาระแท้จริงที่ควรจะเป็น…

มันเป็นโจทย์เดียวกันไปหมดพี่น้องลาวเอ๋ย..


รองเท้า

134 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 25 พฤศจิกายน 2010 เวลา 0:58 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 24925

 

เรียกรองเท้า แหมไม่ต้องบอกก็รู้

ทำจากวัสดุท้องถิ่น จากชุมชน

การพึ่งตนเองนั้นไม่จำเป็นที่ทุกครัวเรือนแบ่งเวลามาทำสิ่งนี้ ….

    ทำในสิ่งที่ทำได้ มีเงื่อนไขอำนวยให้ทำได้

ส่วนที่ทำไม่ได้ก็พึ่งพาชุมชนอื่น

การพึ่งตนเอง ไม่ได้หมายความว่าต้องมุ่งทำทุกอย่างเองทั้งหมด

แต่ต้องสามารถสร้างเงื่อนไขครอบครัว ให้มีพลังในการหามาเติมเต็ม


หลุดแล้ว

131 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 23 พฤศจิกายน 2010 เวลา 16:23 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2605

(รูปนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่อง เอามาใส่เฉยๆ)

ไม่ถึงสัปดาห์ ฟันที่ไปอุดกับโครงการประกันสังคมที่ขอนแก่น หลุดออกมาแล้ว

โอ้พระเจ้า…. คุณภาพมันแค่ไม่กี่วันเองหรือนี่…

ใจคิดว่าจะไปใช้บริการต่อ ก็ฟันซี่ที่คุณหมอดูไม่ทั่ว

ตกค้างการอุดเมื่อวันก่อนน่ะซี

โธ่…ประเทศไทย โธ่…หลักประกันสุขภาพ

โธ่..จำนวนเงินที่ส่งประกันสังคมไปมากกว่า 10 ปี แต่ใช้บริการไม่ถึงสามครั้ง

.


จดหมายฉบับนั้น..

118 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 21 พฤศจิกายน 2010 เวลา 11:27 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2162

ผมอยากบันทึกเพื่อสะท้อน อารมณ์ ความรู้สึกของพี่น้องชาวใต้ที่ถูกน้ำท่วม นี่เป็นกรณีเล็กๆที่เชื่อว่ามีเรื่องราวมากมายนับไม่ถ้วนเกิดขึ้นที่นั่น และที่น้ำท่วมในพื้นที่อื่นๆด้วย หากมีการบันทึกไว้คงจะเป็นมหากาพย์ทีเดียว

ชุมชนหนึ่งที่คุณตุ๊ได้เข้าไปพบปะเพื่อพูดคุยในงานวิจัยของเธอ สตรีท่านหนึ่งให้ข้อมูลด้วยน้ำตานองหน้า ว่าการโดนน้ำท่วมนั้นมิใช่เรื้องเพิ่งจะเกิดขึ้นกับครอบครัวเธอ ชุมชนที่เธออาศัย มันโดนมาหลายครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้สาหัสมากกว่า

บทเรียนครั้งก่อนๆนั้นทำให้เธอรู้ว่าเธอต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง เพื่อรับมือน้ำที่จะมา เธอก็ทำทุกอย่าง เช่น ขนของไปไว้ที่สูงๆ อะไรที่โยกย้ายได้ก็ทำ อะไรที่ไม่ไหวเกินกำลังก็หนุนให้สูงขึ้น เตรียมอาหาร ของใช้ที่จำเป็น แม้ของรักของหวงเธอก็อุตสาห์ซื้อถุงพลาสติกมาห่อหุ้มเอาไว้แล้วเก็บไว้บนที่สูงเผื่อไว้ก่อน นี่คือสิ่งที่คนมีประสบการณ์เตรียมไว้ก่อนล่วงหน้า

คืนนั้นน้ำมามากจริงๆ มากกว่าทุกครั้งที่เธอจะคาดคิดถึง ตู้ที่ยกพื้นให้สูงก็ไม่วายโดนน้ำท่วม ที่สำคัญความแรงของน้ำพัดพาตู้ล้มลง จนสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตเธอที่อุตสาห์เอาถุงพลาสติกห่อหุ้มไว้ ก็ถูกน้ำพัดพาหายไปสิ้น คุณตุ๊กล่าวว่า เธอพูดไปร่ำให้ไป จนต้องหยุดพูดคุยเป็นช่วงๆ

คุณตุ๊ถามว่า สิ่งของที่สำคัญที่เธอห่อใส่ถุงพลาสติกนั้นคือเงินทอง โฉนดที่ดินหรืออะไร

สตรีชาวบ้านท่านนั้นตอบด้วยเสียงสะอื้นว่าไม่ใช่ เงินทอง โฉนดที่ดิน ของพวกนั้นหายไปก็ไม่เป็นไร แต่สิ่งที่เธอเสียใจมากๆเพราะของรักของมีค่าที่สุดที่หายไปนั้นคือ “จดหมายของลูกชาย ลูกชายที่เธอรักที่เขียนถึงเธอ ก่อนที่จะเสียชีวิตในเหตุการณ์ภาคใต้…” เธอเก็บไว้อย่างดีที่สุดและเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับเธอ แต่มันหายไปกับสายน้ำในครั้งนี้…..

คุณตุ๊บอกว่า เธอรับรู้ถึงความรู้สึกของคนที่เป็นแม่ที่รักลูก.. จนอดไม่ไหวที่จะต้องหยุดการพูดคุย เพื่อปรับอารมณ์เสียใจไปกับเธอด้วย

สิ่งที่มีค่าของคนบางคนนั้นอาจไม่ใช่เงินทอง ทรัพย์สินแต่อย่างใด…


มอ. มหาวิทยาลัยเพื่อท้องถิ่น

182 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 21 พฤศจิกายน 2010 เวลา 10:42 ในหมวดหมู่ งานพัฒนาสังคม, เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 10227

คุณตุ๊เพิ่งกลับมาจากภาคใต้ที่เธอไปตระเวนมาหลายจังหวัด เพราะงานในหน้าที่นักวิจัย เธอก็มาเล่าให้ฟังหลายเรื่อง ซึ่งปรกติก็จะเอามาแลกเปลี่ยนกันบนโต๊ะอาหารประจำ

เธอแสดงความเห็นชอบอกชอบใจ ชื่นชม มอ.  ว่า  มอ.ตั้งทีมด่วนสำรวจสภาวะหลังน้ำท่วมในหลายด้าน เพื่อเอาข้อมูลมาวิเคราะห์ และใช้ประโยชน์เพื่อการแก้ปัญหาในหลายๆเรื่อง เช่น แนวทางการแก้ปัญหาน้ำท่วม แนวทางการช่วยเหลือแบบถูกต้องตามความต้องการจริงของผู้ถูกน้ำท่วม ไม่ใช่เอะอะก็บะหมี่ ก็มันไม่มีไฟ ไม่มีฟืนจะหุงข้าวต้มหมี่ได้อย่างไร ความช่วยเหลือนั้นดี แต่ดีกว่าหากช่วยตรงจุด งานเก็บข้อมูลสนามจึงมีความสำคัญมากๆ และมหาวิทยาลัยท้องถิ่นได้ทำหน้าที่นี้ได้สุดยอด

งานนี้เป็นความร่วมมือหลายภาคส่วนมิใช่มหาวิทยาลัยเพียงหน่วยเดียว หน่วยงานราชการอื่น NGO อปท. แม้สถาบันการเงิน กลุ่มธนาคารก็เข้ามาร่วมสนับสนุนการเก็บข้อมูล ชื่นใจจริงๆพี่น้องเรา… การทำเช่นนี้เป็นแบบอย่างให้คุณตุ๊เอาไปพูดคุยกันในมหาวิทยาลัยขอนแก่นด้วย ผมเห็นว่าสำคัญจึงขอหยิบเอามาเขียนที่นี่

จริงๆมีผู้บริจาคทั่วประเทศมากมายไปสู่พี่น้องที่โดนน้ำท่วม ไม่เฉพาะภาคใต้ อีสานทั้งหมด และอื่นๆ ทั้งวัสดุ สิ่งของกิน ของใช้ แม้เงินทอง หลายร้อยล้านบาท หากเอาทุกแห่งมารวมกัน นี่คือน้ำใจสังคมไทย นี่คือทุนสังคมไทย นี่คือวัฒนธรรมไทย

แต่หากผมเป็นผู้บริหารจัดการความช่วยเหลือ เช่นหากผมเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่า ช่วยแบบไหนที่จะถูกต้องตามความต้องการที่สุด คิดไม่ออกก็สั่งการไปก่อน อะไรก็ได้ที่สามัญสำนึกจะคิดได้ ก็หนีไม่พ้นอาหารของใช้ ยารักษาโรค ก็ถูกต้องในระดับพื้นฐาน แต่สิ่งอื่นเล่า… อันนี้ก็จนปัญญา ดังนั้นการศึกษาวิเคราะห์โดยนักวิชาการท้องถิ่นจึงตอบสนองเรื่องนี้โดยตรง

วันก่อนที่ฟัง ผู้จัดการรายการทีวีรายการหนึ่งมากล่าวว่า เขาศึกษาเบื้องต้นแล้ว และพบวิธีจัดของความช่วยเหลือให้เพียงพอกับคนในครอบครัวหนึ่งๆอยู่ได้ตลอดหนึ่งสัปดาห์นั้นคืออะไรบ้าง… จัดเป็นชุด เป็น Packages ฟังดูก็คิดว่า การช่วยเหลือเข้าไปใกล้ความต้องการอีกขั้นหนึ่ง ผมเชื่อว่าผลงานศึกษาครั้งนี้น่าจะช่วยการปรับกระบวนการช่วยเหลือได้เข้าไปใกล้คามต้องการจริงมากขึ้น… แล้วก็อาจจะออกเป็นคู่มือมาให้กับผู้บริหารบ้านเมืองในทุกพื้นที่ เป็นกรณีศึกษาเพื่อเอาไปปรับใช้ให้เหมาะสมต่อไปในเงื่อนไขเฉพาะถิ่นอื่นๆ…

เธอบอกว่า การเยียวยาช่วยเหลือช่วงประสบเหตุนั้นเป็นเรื่องด่วนที่ต้องทำกัน แต่ที่สำคัญมากๆอีกเรื่องคือ ความช่วยเหลือหลังน้ำท่วมเพราะเป็นเรื่องฟื้นฟูที่ต้องระดมทรัพยากรทุกด้าน บูรณาการกันอย่างต่อเนื่อง ฯลฯ การที่ มอ.ใช้โอกาสนีระดมนักวิชาการ นักศึกษา บุคลากรของสถาบัน เอกชน ฯลฯมาช่วยกันเข้าถึงผู้ทุกข์ยากเพื่อรับฟังและเก็บข้อมูลจึงมีประโยชน์มากๆ

ชื่นชม มอ. มหาวิทยาลัยท้องถิ่น มากจริงๆ นี่ซิถึงจะพูดได้เต็มปากว่า เป็นสถาบันการศึกษาเพื่อสนับสนุนความเจริญของท้องถิ่น…

ขอปรบมือให้ มอ.ครับ


Mrs. I

117 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 21 พฤศจิกายน 2010 เวลา 1:54 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2112

ผมนั่งทำงานที่มุกดาหารนั้น บ่อยครั้งที่ชาวบ้านเดินเข้ามาพร้อมทั้งยื่นเอกสารให้ เขาบอกว่า ตึกหน้าให้เอาเอกสารมายื่นที่นี่…. ความจริงชาวบ้านเดินมาผิด ต้องไปอีกตึกหนึ่งถัดไป แต่ชาวบ้านจะไปเข้าใจคำอธิบายเจ้าหน้าที่ที่บอกว่าให้ไปยื่นเอกสารที่ตึกด้านหลัง ก็มันมีหลายตึก ชาวบ้านก็เดาไว้ก่อน ซึ่งเราเห็นหน้าตาแล้วก็บ่งบอกความ งง งง เปิ่นๆ งุ่มง่าม เกรงๆ…. สรุปว่าน่าสงสาร

นี่คือปัญหาเล็กๆ ที่ชาวบ้านไปติดต่อราชการ บางเรื่องบางราวมันเสียหายมาก เช่นชาวบ้านจะโอนที่ดินกันในครอบครัว แกจะไปรู้รึว่าจะต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง เดินทางเช่า เหมารถมาเป็นร้อยกิโล เจ้าหน้าที่บอกว่าทำไมไม่เอาใบ ส.ป.ก. 4-01 ทั้งหมดมาด้วย โธ่ กลับไปเอาอีก กลับมาแล้วก็เอาอีกแล้ว การโอนนั้นลูกทุกคนต้องมาพร้อมหน้ากันต่อหน้าเจ้าหน้าที่…ตาย ตาย ตาย….ก็อีดำ ไปอยู่กรุงเทฑ ไอ้น้อยไปอยู่ปักษ์ใต้ ไอ้หมานเพิ่งขึ้นไปเชียงใหม่ อีเขียวมันได้ผัวฝรั่งไปอยู่ออสสะเตเลียโน่นเมื่อไหร่มันจะมาพร้อมหน้ากันล่ะ….. ตาย ตาย..ตาย…

เรื่องแบบนี้มีทุกที่ทุกแห่ง ทุกหน่วย ทั้งอดีตและปัจจุบัน ผมว่าหน่วยงานก็พยายามแก้ไข แต่ก็ยังมีเหตุการณ์เหล่านี้เกิดให้เศร้าใจ บางทีก็ขำไม่ออก เช่น เอ้า..ลุงต้องเอาเมียมาลงชื่อด้วยนะ ตรงนี้ ตรงกากะบาดนี่ ลุงแกก็พาซื่อ ถามเจ้าหน้าที่ว่า จะเอาเมียคนไหนเซนต์ล่ะครับ……ผมมีสามเมีย..???!!!!

นานมาแล้วสมัยที่คนข้างกายได้ทุนไปเรียนที่เยอรมัน ผมก็เก็บหอมรอมริบ เดินทางไปเยี่ยมเธอ ถือโอกาสเที่ยวยุโรป มีเพื่อนที่ทำงานการบินไทยถือโอกาสพาเมียไปฮันนิมูนด้วยกัน เราไปเช่ารถแล้วขับเที่ยวยุโรปหลายประเทศ ค่ำไหนกางเต้นท์นอนซึ่งเมืองนอกเขามีสถานที่จัดให้ ที่เรียก camping place มีร้านค้าเล็กๆ มีห้องน้ำ และสามารถหุงหาอาหารได้เลย ฝรั่งที่เที่ยวโยมอเตอร์ไซด์ใหญ่ๆ พากันมากางเต้นท์นอนที่สถานที่แบบนี้กันมาก

ครั้งหนึ่งเราเปลี่ยนเป็นนั่งรถไฟ ผมชอบการบริการเขามาก ที่สถานีรถไฟคนจะมากมาย ทั้งต่างชาติ หรือฝรั่งต่างถิ่นเอง ดังนั้นปัญหาเรื่องการซื้อตั๋ว การเข้าห้องน้ำ ร้านค้า การจะเดินทางต่อ การตรวจสอบเส้นทางเดินรถ และความต้องการข้อมูลต่างๆมากมายจะเกิดขึ้นกับกลุ่มคนที่สถานีรถไฟนั้น แม้กลุ่ม 4 คนสองคู่อย่างของผม แต่ไม่เป็นปัญหาเลย เขาจะมี เจ้าหน้าที่ รถไฟ สรวมหมวกทรงสูง ข้างหน้าหมวกจะเขียนตัว I ขนาดใหญ่ เห็นชัดเจน เขาเดินไปมา บางทีก็ส่งเสียงว่า ใครมีคำถามอะไรเชิญถามได้เลย..

จริงๆ ตัว I คือ information โฮ สุดยอดจริงๆ เขามีคนบริการแบบนี้เรียกเชิงรุกนะ เพราะไม่ใช่นั่งอยู่ในห้องแอร์เย็นเฉียบ เปิดช่องเล็กๆไว้สำหรับผู้มาถามแถบฟังไม่ชัดอีก.. แต่นี่เขาใส่หมวกสัญลักษณ์ I เดินบริการถึงคนที่มีปัญหาเลย ไม่ใช่มีคนเดียวด้วย มีหลายคน…สุดยอดจริงๆ นี่ขนาดเยอรมันที่ก้าวหน้าทั้งการศึกษาและเทคโนโลยี่ ก็ยังใช้วิธีบริการแบบพื้นฐาน ง่ายๆ และได้ประสิทธิภาพเต็มที่ เราไปใช้บริการอยู่ครับ ทราบมาว่า คนที่ทำหน้าที่นี้พูดได้หลายภาษาด้วย ….โฮ…ดีจริงๆ

วันที่ผมไปใช้บริการประกันสังคมที่ รพ.ศูนย์ขอนแก่น ผมนึกถึง Mr. I ที่เยอรมันทันที เพราะชาวบ้านมาใช้บริการ ประกันสังคมมากมาย และเรื่องไม่รู้จะทำอะไรก่อนหลัง และเรื่องเปิ่นๆมากมายแค่ไหนเดาได้นะครับ แต่แล้วผมเห็น Mrs. I จำนวน สาม สี่ท่าน เป็นคุณป้า ไม่ได้ใส่หมวกเหมือนที่เยอรมัน แต่ห้อยคอด้วยแถบกระดาษเขียนว่าอย่างไรอ่านไม่ถนัด คุณป้าเดินไปมา เห็นใคร เก้ๆ กังๆ ก็ปราดเข้าไปถามทันที มาทำอะไร ..ฯลฯ แล้วก็แนะนำไปตรงนั้น ไปช่องนี้ ไปยื่นนั่นก่อน เขียนนี่ให้ครบ โอย..ผมทึ่งมาก สุดยอดเลย ศูนย์ขอนแก่น คุณป้านั่นน่าจะเป็นข้าราชการที่ใกล้เกษียร หรืออาสาสมัครมาก็ไม่รู้ วันหลังต้องไปสัมภาษณ์ ผมไม่กล้าใช้มือถือถ่ายรูป เพราะใน รพ.เขาห้ามถ่ายรูป

ความจริงผมรู้จักท่าน ผอ. รพ.ศูนย์ขอนแก่นทางอ้อมเพราะเป็นสามีอาจารย์ใน มข.ที่ผมสนิทท่าน เคยทำงานมาด้วยกัน ผอ.รพ.ศูนย์ขอนแก่นท่านนี้เป็นแพทย์ดีเด่นสมัยหนึ่ง และเป็นแพทย์ที่มีชื่อเสียงเรื่องการเป็นคนทำงานรับใช้สังคม ผมเดาเอาว่าท่านคงพยายามพัฒนางานบริการให้ดีที่สุด เพราะ ศูนย์ขอนแก่นเห็นป้ายรางวัลหลายเรื่องติดอยู่

ต้องชื่นชมครับที่มีบริการ Information แบบนี้ ชาวบ้านร้านถิ่นมาก็พึ่งพาได้ รวดเร็วขึ้น ทุกฝ่ายได้

ชื่นชมด้วยความจริงใจครับ


อยู่กับนิ่ว

118 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 19 พฤศจิกายน 2010 เวลา 23:51 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2221

 

รู้มาสองปีแล้วว่าในร่างกายมีนิ้วขนาดเล็กอยู่ที่ถุงน้ำดี พบโดยบังเอิญคราวที่ไปตรวจร่างกายประจำปี ที่โรงพยาบาลเอกชน พบแล้วก็จิตใจวุ่นวาย ไปหาคุณหมอ ญาติป้าจุ๋ม ท่านชำนาญเรื่องนี้ก็บอกไปทำสแกนซะให้มันชัดๆไปเลย ท่านก็ออกใบสั่งไปให้ รพ.ศรีนครินทร์จัดการด้วยทุนตัวเองทั้งที่มีประกันสังคมก็ไม่ได้ใช้

ผลออกมาก็ย้ำชัดเจนว่ามีก้อนนิ่วเล็กๆ คุณหมอถามย้ำว่ามีอาการอะไรไหม ผมก็ว่าไม่มี ไม่เคยมี จะมีก็เมื่อรู้ว่ามีนิ่วนี่แหละแม้ว่าก้อนจะเล็ก แต่จิตเราบอกว่ามันใหญ่ อิอิ เมื่อไม่มีอาการก็ไม่เป็นไร จะเอาออกก็ได้ คุณหมอก็ให้ยามาทาน

แล้วไปทำงานเพลินไปเลย ยาหมดก็ไม่ไปหาคุณหมออีก เพราะมันไม่มีอาการนี่แหละ อาศัยพยายามปรับตัวใหม่ ทานน้ำมากๆ งดเว้นอาหารที่มีมันๆ และใบไม้หลายชนิดก็ไม่ทาน แหมฟังดูอย่างกับวัว ควายที่กินใบไม้แน่ะ.. ก็ผมกินมังสะวิรัติ ส่วนใหญ่เป็นผักใบไม้ จริงๆก็ใกล้วัวควายเข้าไปทุกทีแล้วนา..อิอิ

คราวนี้เกิดสนใจร่างกายขึ้นมา เพราะจะข้ามไปทำงานฝั่งลาว แม้ว่าช่วงนี้ชั่วคราว แต่ต่อไปงานระยะยาวรอคอยอยู่ จึงอยากจัดการเรื่องสุขภาพให้เรียบร้อยก่อน อย่างอาวเปลี่ยนต้องข้ามมาหาหมอบ้านเรา สั่งยาจากบ้านเรา

เมื่อวานไปหาหมอฟัน แหมจริงๆน่าจะเรียก “หมอแข่ว” เพราะ “หมอฟัน” นี่มันแทงใจดำจริงๆ วันนี้ไปหาหมอนิ่ว จริงๆก็อยากไปหาข้อมูลเช่นเคย เพราะเคยทราบมาว่า หมอชำนาญการเฉพาะด้านนั้น จะมานั่งให้กลุ่มประกันสังคมเฉพาะบางวันเท่านั้น ก็อยากไปเชคว่าหมอมานั่งวันไหน เมื่อถามแล้วก็ทราบว่าเดี๋ยวนี้หมอพลัดกันมานั่งทุกวัน งั้นก็ตรวจซะเลย

ผมเตรียมข้อมูลเดิมเอาไว้ในรถพร้อมแล้วจึงไปเอาแผ่น Xray สองชุดมา เดินตามขั้นตอนของระบบโรงพยาบาล จากหนึ่งไปสองไปสาม ตามที่เจ้าหน้าที่เขาจัดการให้ ซึ่ง 1 นั้นคือการคัดกรองว่าเป็นอะไรมาจะมาหาหมอเรื่องอะไร เขาก็จะเขียนใส่กระดาษให้เราถือไป ที่หมายเลข 2 ตรวจเชคว่ามีสิทธิประกันสังคมจริงหรือไม่ หรือหน้าตาเราเป็นพม่า เขมรปลอมตัวมา อิอิ เมื่อผ่านก็แทงตรงไปที่คุณหมอเฉพาะด้านเลย

ไปเริ่มเลขหนึ่งใหม่ ตรวจเชคว่าเคยมาไหม ชื่อที่อยู่จริงไหม โทรศัพท์ติดต่อเบอร์ไหน ฯลฯ แล้วก็บอกไปห้องเบอร์ 10 เธอพูดอย่างนั้นจริงๆ ผมก็หอบแผ่นฟีลม์ไปเดินดุ่ยๆไปหาหมอหนุ่มที่กำลังใช้โทรศัพท์อยู่ เสียงนางพยาบาลสองท่านหน้าห้องเรียกให้กลับมาก่อน ต้องมาผ่านโต๊ะสองโต๊ะนี่ก่อน เอ้า ก็อีหนูคนนั้นบอกให้ไปหมายเลข 10 ซึ่งเป็นห้องคุณหมอ ทำไมไม่บอกว่าไปที่โต๊ะหน้าห้องก่อนล่ะ นี่เรานึกในใจนะ ไม่ได้เปร่งเสียงออกมาให้บรรยากาศขุ่นไปหรอก เธอก็วัดความดัน(ชักจะทุรังบ้างหละ อิอิ) ถามน้ำหนัก การเต้นหัวใจ แล้วก็ไปหาคุณหมอได้

หมอหนุ่มหน้าตายิ้มแย้มครับ คงจะคุยโทรศัพท์เสร็จแล้วและคงเป็นเรื่องดีดีมั๊งครับ เราก็เริ่มเล่าเรื่องให้ฟังพร้อมทั้งยื่นเอกสาร แผ่นฟีล์มให้ทั้งหมด หมอเอามาอ่านโน่นนี่แล้วก็บอกว่า ชิ้นเล็กนิดเดียวนี่ มีอาการอะไรไหม ไม่มีก็ไม่ต้องทำอะไร ปล่อยมันไว้อย่างนั้นดูแลสุขภาพเอา หรือจะเอาออกก็ได้ แต่การผ่าตัดทุกเรื่องมันมีความเสี่ยงทั้งนั้นนะครับ….หมอขู่ใส่เลย…ทีแรกก็ว่าจะตัดสินใจเอาออกไปซะให้รู้แล้วรู้รอดไป หมอมาพูดอย่างนี้ หดเลยเรา…

ถามว่ามันจะมีอันตรายสร้างปัญหาอื่นๆไหม หมอบอกว่าหากมันไม่ใหญ่และไม่มีอาการอะไรก็ไม่มีผลอะไร ยกเว้นว่ามันใหญ่และมีการอักเสบ ก็จำเป็นต้องตัดเอาออก แล้วเอาถุงน้ำดีออกมันมีผลอะไรไหม หมอก็ว่า ไม่มีอะไร แค่ละเว้นอาหารมันๆ นะ หมอว่าอยู่กับมันซะ เอาไว้มันอักเสบก็ค่อยมาดูอีกที หรือไปตรวจสแกนใหม่หากมันใหญ่ขึ้นก็ค่อยมาพบหมอใหม่ก็แล้วกัน….

เราแม้ตัวใหญ่แต่ก็เคารพเหตุผลของหมอ( เอ..ตัวใหญ่ตัวเล็กไม่เกี่ยวกับเหตุผลเลยน้า) ขอบคุณคุณหมอแล้วก็หิ้วเอกสาร แผ่นฟีล์มพะรุงพะรังกลับไปทำงานต่อ…

ขับรถไปนึกถึงเรื่องราวเมื่อครู่ที่ผ่านมาทั้งหมด ทันใดนั้นก็นึกถึงป้าหวาน หันหัวรถกลับเข้าเมืองไปหาป้าหวานเจาะเลือดดูโน่นดูนี่อีกดีกว่า……


ประสบการณ์กับประกันสังคม

366 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 18 พฤศจิกายน 2010 เวลา 16:14 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 10249

วันนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ไปใช้บริการประกันสังคมที่หน่วยสาขาของ โรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น มีสำนักงานใกล้ๆบ้าน นานมากแล้วที่ไปใช้บริการสมัยที่ทำงานที่มุกดาหาร ตอนนั้นเป็นฝีที่เปลือกตา หมอก็ผ่าสดๆเอาหนองออกให้ แล้วก็ไม่เกี่ยวข้องอีกเลย นอกจากส่งเงินค่าประกันโดย หัก ณ ที่จ่าย

วันนี้ตั้งใจไปขอใช้บริการเรื่องฟัน เมื่อวานไปหาข้อมูลมาก่อนแล้วว่าไม่จำเป็นต้องไปที่ โรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น มาที่สาขาในหมู่บ้านนี้ก็ได้ มีคุณหมอมาประจำตามตารางที่ประชาสัมพันธ์ไว้ที่หน้าสำนักงาน น้องๆเลยจัดการเรื่องเอกสารให้ตั้งแต่เมื่อวาน เช้าวันนี้มาก็เร็ว ทั้งๆที่มีสตรี สว.สามสี่คนมานั่งขอรับบริการก่อนแล้ว

เจ้าหน้าที่ถามข้อมูล ชั่งน้ำหนัก วัดความดัน(ไม่ทุรัง) แล้วก็มอบเอกสารให้ไปเข้าห้องที่คุณหมอฟันอยู่พร้อมแล้ว ผมเดินเข้าไปเห็นคุณหมอหนุ่ม ทำคอมพิวเตอร์อยู่ มองในแง่บวกคือคงกำลังดูข้อมูลอยู่ หมอสอบถามมาทำอะไรบ้าง แล้วก็ให้นอนลงที่เตียงทำฟัน มีผู้ช่วยมาจัดการเครื่องมือ ก๊อกแก๊กๆ พักหนึ่ง คุณหมอก็มาอ้าปากดูฟัน แล้วก็สั่ง พนักงานให้เตรียมนั่นเตรียมนี่เพิ่มเติม คุณหมอก็ไปนั่งหน้าคอมพ์อีก เราก็นอนมองเพดาน และหลอดไฟ

พักหนึ่งหมอก็มาจับอ้าปาก สั่งให้ผู้ช่วยทำโน่นทำนี่ เสร็จแล้วก็ บอกให้ไปนั่งคอยนอกห้อง ผมก็มานั่งมองฝาห้องทำงาน มองไปรอบๆสำรวจว่าอาคารนี้มีอะไรบ้าง สะอาดครับ ทุกคนต้องถอดรองเท้าเข้ามา มีป้ายนิทรรศการแสดงวิสัยทัศน์ ของสำนักงาน มีหลายข้อที่เป็นเรื่องที่ เจ้าหน้าที่สรุปร่วมกันแล้วเอามาประกาศให้สาธารณะทราบ ผมนึกในใจ แต่ละข้อสุดยอดทั้งนั้นเลย แต่ทำได้แค่ไหนก็อีกเรื่อง แต่เริ่มต้นดีแล้ว…

พักหนึ่งเจ้าหน้าที่ก็เอาเอกสารสองแผ่นมาให้ แล้วบอกให้ไปยืนที่ฝ่ายการเงิน ช่องที่ 4 พอไปยื่น เจ้าหน้าที่ดูๆแล้วก็บอกว่า 250 บาทค่ะ.. เจ้าหน้าที่เขียนใบเสร็จให้ แล้วก็ส่งคืนมาให้ บอกว่านี่เอาไปเบิกคืนได้ ผมงง เพราะมาทำแบบนี้เป็นครั้งแรก อยากรู้การบริการ และคุณภาพ ประสิทธิภาพ ฯลฯ ผมถามเธอว่าเอาไปเบิกที่ไหน เธอมองหน้าแล้วบอกว่า เบิกที่ศาลากลางจังหวัด ฝ่ายประกันสังคม ผมก็ขอบคุณ บอกเธอว่าเป็นครั้งแรก ยังไม่เคย..

สองจิตสองใจว่าจะกลับไปทำงานหรือจะไปเบิกคืนเลย ไหนๆก็ออกมาแล้ว ไปเบิกเลยดีกว่า เลยบึ่งรถไปสำนักงานประกันสังคมที่ศาลากลางจังหวัด โอยรถเต็มไปหมด แต่ก็มีที่จอดอยู่มากเพราะใช้สนามฟุตบอลเป็นที่จอดเสริม เดินไกลหน่อย ไม่เป็นไร

เมื่อเดินทางเข้าไปก็พยายามเรียนรู้ว่าจะเริ่มตรงไหนดี… เออ เราต้องเติมข้อมูลที่ได้เอกสารมาจากสถานพยาบาลเมื่อสักครู่ก่อน จึงไปหามุมเขียน พอเริ่มลงมือเท่านั้น มีสาวกลางคนท่านหนึ่งมาบอกว่า พ่อ..เติมได้ไหม หนูจะเขียนให้… เอ้า กลายเป็นพ่อไปแล้วเรา เธอก็คว้าแบบฟอร์มไปเขียนให้เสร็จ ดีจริงๆ แล้วก็มีเสียงบอกว่าหมายเลขนี้ให้ไปที่โต๊ะนั้น เราก็เดินไปยื่นเอกสาร เจ้าหน้าที่เป็นสตรีหมด ก็เอาไปตรวจสอบความสมบูรณ์ของเอกสาร พิมพ์ข้อมูลลงในคอมพ์ แล้วก็บอกให้ไปที่โต๊ะเบอร์ 8 ผมเอาเอกสารยื่นให้ สาวๆมองหน้าเราแล้วก็ยิ้มๆพร้อมรับเอาเอกสารไปตรวจสอบ พิมพ์ข้อมูลลงคอมพ์แล้วก็คืนเงิน 250 บาทให้เรา เสร็จแล้ว…..

ผมถามเธอว่า วันๆมีคนมาใช้บริการกับเธอจำนวนเท่าไหร่ เธอบอกว่า ประมาณ 100 เคส ว่างั้น

ผมต้องชมสำนักงานประกันสังคมที่จังหวัดขอนแก่น ยอดเยี่ยมมาก ยกนิ้วให้เลย มิใช่เธอมาช่วยเขียน แต่การจัดระบบ ความว่องไว เพียง 15-20 นาทีเสร็จแล้ว ชื่นชมครับ..

ส่วนที่หน่วยอนามัยใกล้บ้านที่ผมไปทำฟันนั้น พอใช้ได้ แต่พบว่า หมอฟันดูฟันผมไม่ทั่วปาก มีซี่หนึ่งเป็นรูอยู่หมอไม่ได้ทำการอุดให้ จะกลับไปอีกทีก็เกรงใจหมอ ขอไปใหม่วันหลังก็แล้วกัน

หากจะเทียบบริการทำฟันที่หน่วยอนามัยนี้กับร้านหมอทำฟันก็คนละระดับเลย ที่ร้านหมอทำฟันเราจ่ายเงินเต็มที่ เขาบริการดีมาก ดีเพราะจะฟันเงินเรา อิอิ ซึ่งแพงระยิบไปเลย แต่ที่หน่วยนี้ก็แค่สมกับระดับ ประกันสังคมมั๊ง…. แต่คิดว่า ทำดีกว่านี้ก็ได้อยู่….แต่ก็ขอบคุณครับ….


ข้าว

111 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 17 พฤศจิกายน 2010 เวลา 8:04 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 4480

 

ข้าวสำหรับบางคนนั้น คืออาหารหลัก แค่มีเงินซื้อก็เลือกบริโภคได้ตามความชอบ

สำหรับบางคนนั้น ข้าวคือ “ยา”

บางคนบอกว่าเอาไปทำขนมอร่อยได้

คนที่มีเงินเดือนนั้น ตั้งหน้าตั้งตาหาเงินเพื่อทุกอย่างและเอาเงินไปซื้อ “ข้าว”

บางคนกล่าวว่า เงินคือพระเจ้า เนรมิตทุกอย่างได้

 

แต่สำหรับชาวนานั้น “ข้าว” คือจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง

เวลาเข้าป่า สิ่งที่ชาวบ้านเอาติดตัวไปคือข้าวเหนียวและมีด กับข้าวมีอยู่ในป่า

 

เมื่อครอบครัวต้องการสิ่งอื่นๆ

ก็เอาข้าวไปแลก หรือเอาไปขายเพื่อ ให้ได้เงิน แล้วเงินก็คือทุกอย่าง

 

สำหรับชาวนา ข้าวคือชีวิต……


สตรีลาว

223 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 16 พฤศจิกายน 2010 เวลา 23:10 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 4151

 

หากทุกวันที่เราตื่นมาแต่เช้าแล้วมีโอกาสได้ใส่บาตรพระ ทำซ้ำๆ กันประจำจะส่งผลต่อจิตใจเราอย่างไรบ้าง

ตรงข้ามหากทุกเช้าตื่นขึ้นมามีแต่ข่าวสารอาชญากรรม ข่าวคราวที่เสียดแทงใจ ซ้ำๆ บ่อยๆ จิตใจเราจะเป็นเช่นไร


เพื่อชาวลาวกล่าวว่า คนลาวนั้นหากเป็นสตรีต้องถอดรองเท้า ยืนใส่บาตรไม่ได้ ต้องนั่งราบ นั่งเก้าอี้ต่ำ หรือนั่งเข่า เท่านั้น

(เก็บตกจากเวียงจัน)


ทำไมน้ำไม่ท่วมตัวเมืองขอนแก่น

2562 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 14 พฤศจิกายน 2010 เวลา 21:05 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 15579


น้ำท่วมคราวนี้สาหัสจริงๆ สงสารพี่น้องที่ทุกข์เพราะน้ำอย่างหลีกหนีไม่ได้ .. ที่ขอนแก่นก็มีพื้นที่หลายอำเภอถูกน้ำท่วมเหมือนกันแต่ไม่เป็นข่าวมากนัก เมื่อหลายปีก่อนขอนแก่นก็โดนน้ำท่วมนั่นมาจากน้ำฝนที่ตกทางอีสานเหนือ ไหลลงเขื่อนอุบลรัตน์ แล้วลงลำน้ำพอง เขื่อนก็ทนไม่ไหวระบายน้ำออกมามากมาย ท่วมครั้งนั้นปริ่มๆตัวอำเภอเมือง หรือตัวเมืองขอนแก่นทีเดียว บ้านผมต้องเตรียมถุงทรายกันแล้ว โชคดีที่ฝนหยุดตกและเขื่อนลดการระบายน้ำออก

มาคราวนี้ฝนไม่ได้ตกทางอีสานเหนือแต่มาตกอีสานใต้มากมาย น้ำชีล้นฝั่งเข้าท่วมนาสองฝั่งมากมาย แต่ตัวเมืองและที่บ้านผมเฝ้าคอยดูระดับน้ำขึ้น ไปทำงานที่ไหนๆก็โทรถามตลอดว่าน้ำขึ้นถึงไหน เพิ่มขึ้นไหม พบว่าน้ำท่วมบึงอย่างมากก็ 1 เมตรโดยประมาณ พื้นบ้านสูงจากพื้นบึง 4 เมตร ที่รู้เพราะหมู่บ้านที่ผมอยู่เป็นดินถม เจ้าของบ้านบอกว่าเขาถมสูง 4 เมตรจากพื้นบึงทุ่งสร้าง


ผมขับรถตระเวนดูรอบตัวเมืองตามถนนวงแหวน พบว่า ทางตะวันออกของตัวเมืองซึ่งมีระดับต่ำกว่าทางตะวันตก เฉพาะตัวมหาวิทยาลัยขอนแก่นที่เขาเรียกมอดินแดง “มอ” คือที่ดอน ที่สูง หากน้ำท่วมมหาวิทยาลัยละก็ ตึกโรงแรม Pullman คงท่วมไปครึ่งตึกสูงๆ ตัวเมืองทั้งหมดคงมิดน้ำแน่ๆ

ทางราชการเอาดินมาถมตรงวงแหวนที่เป็นทางออกน้ำจากด้านในวงแหวน หมายถึงตัวเมือง หลายแห่งแล้วตั้งเครื่องสูบน้ำเอาน้ำออกนอกวงแหวน ผมกะระดับน้ำที่ต่างกันระหว่างภายนอกกับภายในนั้นประมาณ 1 เมตร ถึง 1.50 เมตร


โชคดีที่ลำน้ำชีด้านใต้ตัวเมืองนั้นอยู่นอกวงแหวน และด้านเหนือตัวเมืองมีลำน้ำพองก็อยู่นอกวงแหวน กล่าวอีกที ถนนวงแหวนล้อมรอบตัวเมืองขอนแก่นไว้ในอ้อมกอด ไม่ให้น้ำล้นลำน้ำชีลำน้ำพองเข้าตัวเองได้ และภายในวงแหวน หรือรอบตัวเมืองนั้นมีบึงธรรมชาติขนาดใหญ่ล้อมรอบที่ตั้งตัวเมืองอีก ทั้งสี่มุมเมืองเลย โดยเฉพาะบึงทุ่งสร้างใหญ่ที่สุดรองรับปริมาณน้ำได้มาก

แรกๆผมสงสัยว่าทำไมได้ยินเสียงเครื่องสูบน้ำทั้งวันทั้งคืน เดาเอาว่าเอนชนใกล้ๆคงสูบน้ำออกจากพื้นที่ของเขา แต่เมื่อไปดูก็เห็น เครื่องสูบน้ำจากกรมชลประทานสามเครื่องกำลังสูบน้ำออกสลับกัน จากในวงแหวนออกนอกวงแหวน


บ้านผมติดบึงทุ่งสร้าง 2 ที่เลือกตรงนี้เพราะหลังบ้านไม่ติดใคร มีอิสระดี เท่าที่อยู่มาสามสิบปีแล้วนี่ไม่มีปัญหาเรื่องขโมยแต่อย่างใด เราทำรั้วสองชั้น ชั้นนอก ลุ่มกว่าก็ทำรั้วลวดหนาม อย่างที่เห็น พื้นบึงต่ำลงไปอีกประมาณ 1 เมตร ตอนนี้น้ำมาปริ่มๆโคนเสาลวดหนาม ซึ่งคาดว่าคงไม่สูงไปกว่านี้แล้ว เพราะน้ำชี น้ำพองถูกระบายออกไปมากแล้ว ที่ขีดแดงด้านบนนั้นคือระดับหลายปีก่อนที่ท่วมมากจริงๆเกือบเข้าตัวบ้านแล้ว น้ำลดเสียก่อน คนทั้งหมู่บ้านโล่งใจกันหมดทั้งที่เตรียมถุงทรายกันนับหลายร้อยถุงไว้แล้ว…

เมื่อดูโครงสร้างตัวเมืองงานก่อสร้างถนนวงแหวนน่ามีส่วนสำคัญในการกันน้ำจากลำน้ำพองและลำน้ำชีไม่ให้เข้าไปภายในวงแหวนซึ่งเป็นตัวเมือง และทางราชการเอาดินมาถมช่องทางเปิด หรือช่องทางเชื่อมภายในกับภายนอกวงแหวน แล้วสูบน้ำออก

เอาปัญหาไปให้ชาวนา โธ่..โธ่….

เรื่องนี้คือเรื่องใหญ่ คราวนี้รอดคราวต่อไปจะเป็นอย่างไร ระยะยาวการออกแบบขยายเมืองคงต้องคิดกันมากขึ้นในเรื่องการเผชิญปริมาณน้ำฝนมากผิดปรกติจะทำอย่างไร…ทุกเมือง ทุกจังหวัด ทุกภูมิภาค…

ไม่ใช่เอาแต่เล็งประโยชน์ทางธุรกิจเฉพาะหน้าอย่างเดียว เห็นว่าหาดใหญ่น้ำท่วมก็เพราะถนนนี่แหละ..แทนที่จะกันน้ำเข้าตัวเมืองเหมือนขอนแก่น แต่กลายเป็นกันน้ำออก น้ำก็ท่วมซิ… สงสารชาวบ้านชาวเมืองที่เสียหายมากมาย…

คิดกันไกลๆหน่อย… บทเรียนครั้งนี้คงตระหนักกันมากขึ้นนะครับ


ควายตัวเดียว

120 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 14 พฤศจิกายน 2010 เวลา 10:05 ในหมวดหมู่ งานพัฒนาสังคม #
อ่าน: 2177

เพื่อนชาวลาวผมตั้งชื่อ “คำ” ให้ใหม่แล้วกัน มีคุณพ่อเป็นอดีตทหารปฏิวัติ บ้านก็อยู่ในเขตสู้รบ เพราะมีเครื่องบินอเมริกัน จากไทยไปทิ้งระเบิดไม่หยุดหย่อน เป็นอันตรายมาก พ่อของคำจึงส่งไปเรียนที่เวียตนามเพื่อความปลอดภัยและเพื่ออนาคตลูก เมื่อคำจบชั้นมัธยมศึกษาก็ได้ทุนไปเรียนปริญญาตรีที่รัสเซีย ทางด้านสังคมวิทยาแล้วก็กลับมาทำงานรับใช้ประเทศ ซึ่งได้รับการปลดปล่อยแล้ว และได้ทุนไปเรียนปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์บางเขนด้านพัฒนาสังคม ดูเหมือนสนิทสนมกับอาจารย์คนไทยมาก มีโอกาสท่องไปหลายจังหวัดในเมืองไทย

คำ ออกปากตั้งแต่เจอะกันวันแรกๆว่า อาจารย์ ผมเป็นคนพูดตรงๆนะ โผงผางพูดเสียงดัง หัวเราะเสียงดัง ปานฟ้าถล่ม เมื่อเขาออกตัวเช่นนั้นก็ทำให้ผมสนิทสนมกับคำอย่างรวดเร็ว ซึ่งปรกติผมเป็นคนเฉยๆ เงียบ ไม่ชอบพูดเล่นกับคนที่ไม่สนิท เราออกสนามกันก็เลยนั่งติดกัน เป็นโอกาสดีที่ผมถือจังหวะนี้สอบถามความรู้ต่างๆเกี่ยวกับสังคมลาวจากคำ..

เนื่องจากคำมีภาษาอังกฤษดี จึงได้ทำงานกับองค์กรต่างประเทศ ที่เข้ามาช่วยเหลือลาวมากมาย เขาเล่าให้ฟังหมด หากคนที่ไม่รู้จักกันก็อาจจะกล่าวว่า อีตานี่ขี้โม้จัง คำเตรียมแบบสำรวจชุมชนเข้าพื้นที่เพื่อ pretest ผมได้ดูแล้วก็เก็บความเห็นไว้ในที่ประชุม โดยรวมก็ใช้ได้


แขนงชลประทานนครหลวง เป็นตำแหน่ง เหมือนเจ้าหน้าที่ชลประทาน ชื่อ บุญ เป็นคนพาเข้าพื้นที่เพื่อให้คณะและ คำ Pretest แบบสำรวจนั้น ผมเองก็เดินเก็บสภาพทั่วไปของชุมชน ก็เหมือนหมู่บ้านภาคอีสานทั่วไป มีร้านค้าแบบชาวบ้าน ในรั้วรอบบ้านก็มีพืชผักสานครัวเกือบทุกหลังคาเรือน มีพ่อค้าเร่มาขายของกินของใช้ใส่รถปิคอับเก่าๆบ้าง ใส่ท้ายมอเตอร์ไซด์บ้าง…

ผมไปนั่งฟัง คำ สำรวจข้อมูลชาวบ้าน ไปผมก็จดบันทึกไปและตั้งคำถามในใจหลายต่อหลายเรื่อง แต่คนที่ทำงานสำรวจข้อมูลนั้นจะไม่ไปถามขัดที่ คำ กำลังเป็นผู้ถามหลัก ยกเว้น คำถามนั้นจะสอดคล้องกับสาระที่ผู้ถามหลักถามอยู่ และไม่ได้ฉีกประเด็นออกไป เพื่อให้การสอบถามไหลรื่นไปตามผู้สำรวจหลัก แม้ว่าเราอยากจะรู้อะไรมากมายก็ต้องปล่อยให้เขาดำเนินการไปจนสิ้นสุดก่อน นี่เป็นความเข้าใจพื้นฐานของคนทำงานสำรวจแบบมีส่วนร่วม


แพะ ที่นี่นิยมเลี้ยงแพะกัน เหมือนวัวเหมือนควาย และบ่อยครั้งเราจะเห็นแพะมาเดินบนถนนที่เราขับรถผ่านจนเกิดอุบัติเหตุก็มีบ่อยๆ

ระหว่างทางเดินเข้าหมู่บ้านนั้น ผมถาม คำ ว่า ทำไมนิยมเลี้ยงแพะ คำ ตอบว่า อาจารย์ เนื้อเพาะอร่อย คนที่นี่ชอบมากกว่าเนื้อควาย แม้วัว เหตุผลที่สำคัญประการหนึ่งคือ แพะตัวเล็กกว่าวัว ควายเยอะ ขนาดพอดีที่จะซื้อไปฆ่าเอาเนื้อพอดีกับขนาดครอบครัว หรือวงเพื่อนฝูงที่มาสังสรรค์กันที่บ้าน ไก่ก็เล็กไป วัว ควายก็ใหญ่ไป แพะกำลังพอดี ราคาตัวละ 1,000-3,000 บาท กำลังพอดี..

ที่บ้านคำนั้นอยู่ในเมืองเวียงจัน แต่เขาซื้อวัวแล้วให้ชาวบ้านเลี้ยงแบ่งลูกกัน เหมือนคนไทย ที่เรียกว่า จ้างเลี้ยงวัวแบ่งครึ่ง ชาวบ้านบางครอบครัวไม่มีทุนซื้อวัว แต่มีแรงงาน คนพอมีเงินก็ซื้อมาให้เลี้ยงแล้วแบ่งลูกกัน เลี้ยงไปมาเผลอหลายปีก็กลายเป็นวัวฝูง แล้วคนออกเงินก็ขายยกฝูงไปได้เงินก้อน ที่เขาเรียกวัวออมสิน

ระหว่างที่ คำ สำรวจข้อมูล พบว่า หมู่บ้านลาวเปลี่ยนไปใช้รถไถนาเดินตามกันหมดแล้ว นี่คือประเด็นใหญ่สำหรับผมที่ต้องเอาไปคิดต่อในการทำคำแนะนำการพัฒนาพื้นที่ชลประทาน.. แล้วก็มาถึงคำถาม “นายบ้าน” ว่า “บ้านเจ้าทั้งหมู่บ้านนี่มีรถไถเดินตามกี่ครัวเรือน” นายบ้านตอบว่า ร้อยละ 90 มี แล้ว คำ ถามต่อว่า “แล้วมีวัวจั๊กโต๋” มีร้อยป๋าย.. ร้อยสามสิบนี่แหละ คำถามต่อว่า แล้วหมู่บ้านนี้มีควายจั๊กโต๋”

เสียงนายบ้านตอบผมได้ยินชัดเจนว่า “มีโต๋เดียว”

ขณะที่จำนวนรถไถเดินตามเพิ่มมากขึ้นในหมู่บ้าน และควายที่อดีตคือแรงงานหลักในการทำนา และผูกพันกับวิถีเกษตรกรมานานนับร้อยนับพันปี เขาควายเอาไปทำประโยชน์ หนังควายเอาไปทำรองเท้า กระเป๋า มากมาย

ควายกำลังจะสิ้นสุดลงแล้วหรือ..?


คิดถึง..เวียงนคร

171 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 13 พฤศจิกายน 2010 เวลา 14:13 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2575


ภารกิจที่ผมไปลาวคราวนี้เป็นสัญญาแบบ Part time consultant ด้าน Institutional ในพื้นที่ชลประทาน โครงการสูบน้ำเพื่อการเกษตรของเขื่อนน้ำงึม หน่วยงานหลักที่ผมต้องไปประสานงานติดต่อด้วยคือกรมชลประทาน เป็นตึกเก่าๆ เดินขึ้นชั้นสี่ เอาเรื่องเหมือนกันคนน้ำหนักมากอย่างผม โส.น้า.น่า ตัวเอง..

ความทันสมัยอย่ามาเทียบกับบ้านเรา แม้ในห้องหับที่ทำงานก็ไม่กล้าเอารูปมาลง มันไม่เหมือนห้องทำงาน แต่จริงๆสำหรับผมไม่มีปัญหา เรารู้ เข้าใจ และรับสภาพได้ เพราะงานของเราอยู่ในพื้นที่มากกว่า

ทั้งผมและคุณตุ๊ เกี่ยวข้องกับกรมชลประทานลาวมาบ้างแล้วในหลายสิบปีก่อน เพราะมหาวิทยาลัยขอนแก่นเคยไปจัดฝึกอบรมพนักงานรัฐที่เขื่อนน้ำงึมนี่แหละ ผมก็ไปเป็นวิทยากรด้วย และคุณตุ๊เองก็ไปอีกหลายครั้งรวมทั้งเกี่ยวข้องกับโรงเรียนชลประทานของลาวด้วย ส่วนมากก็เป็นการถ่ายทอดวิชาการความรู้สู่พนักงานรัฐ


ครั้งหนึ่งคุณตุ๊กลับมาขอนแก่นพร้อมกับเจ้าหน้าที่กรมชลประทานและครอบครัวของเขา เธอบอกว่า พนักงานของรัฐกรมชลประทานคนนี้ชื่อ “เวียงนคร” ลูกสาวคนเดียวของเธอไม่สบายพุงป่อง ตัวซีด เจ็บออดแอด จึงอยากพามาหาหมอที่ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ซึ่งเราก็พอรู้จักหมอบ้างพอจะขอคำปรึกษาหารือ สงสารเขาเพราะในลาวนั้นสมัยนั้น ขีดความสามารถเรื่องโรคภัยไข้เจ็บนั้นน้อยกว่าบ้านเรามาก

ผลการตรวจพบว่าลูกสาว เวียงนคร เป็น “ทาลาสซีเมีย” แนะนำให้ผ่าตัดเอาอวัยวะบางส่วนออก ม้ามหรืออะไรนี่แหละ (น้องหมอตาบอกด้วยครับ) ผมเดาออกว่า เวียงนครกับภรรยาเขาคงไม่มีงบประมาณเรื่องการผ่าตัดแน่ๆเพราะสีหน้าเขาบอกเรา หลังจากที่ผมและคุณตุ๊ปรึกษาหมอแล้วก็มาคุยกับเวียงนครกับภรรยาเขาว่า เราจะช่วยรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลให้ทั้งหมด…

หลังจากที่เวียงนครกลับไปลาวพร้อมครอบครัวเพื่อทำเรื่องราวการขออนุญาตรัฐบาลลางานและเตรียมตัวสำหรับลูกสาวแล้ว ครอบครัวเขาก็กลับมาอีกครั้งเพื่อการผ่าตัด เราให้มาพักที่บ้านเรา ทุกอย่างเราจัดการให้หมด โดยไม่ได้คิดอะไรนอกจากอยากช่วยเหลือเขา

การผ่าตัดเป็นไปด้วยดี คุณหมอเข้ามาแนะนำการปฏิบัติตัวของลูกสาวหลังการผ่าตัด อาหารการพักผ่อน ฯลฯ หลังจากที่พักที่บ้านผมอีกสองสามวันครอบครัวเวียงนครก็กลับลาวไป โดยผมเองเก็บเสื้อผ้าที่พอจะแบ่งให้เขาได้เอาไปใช้อีกหอบหนึ่ง

คุณตุ๊เดินทางเข้าไปลาวอีกหลายครั้ง พบเวียงนครทุกครั้งก็บอกว่าลูกสาวเขาดีขึ้นมาก เขาขอบอกขอบใจเราไม่มีหยุด และคุณตุ๊บอกว่า ทุกครั้งที่พบเวียงนคร เขาใส่เสื้อที่เรามอบให้เขาทุกครั้ง..ผมแอบยิ้ม…. เวียงนครเคยโทรมาหาผมสองครั้ง…

แล้วเราก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย นานนับสิบปี…..

ผมไปทำงานกับกรมชลประทานลาวคราวนี้ก็นึกได้ว่า เวียงนครทำงานที่นั่นจึงเอ่ยปากกับเจ้าหน้าที่โครงการ ก็ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครได้ยินชื่อนี้

เนื่องจากการไปทำงานแบบ Part time นั้นต้องเร่งเก็บข้อมูลและทำงานตามแผนเพราะเวลาน้อยจึงไม่ได้พยายามถามหาเวียงนครจนคราวที่ออกสนามกับ แขนงชลประทานนครหลวง จริงๆชื่อนี้ก็เป็นตำแหน่งเจ้าหน้าที่ชลประทาน ผมจึงตัดสินใจสอบถามถึงเวียงนครอีก เขาก็ไม่รู้จัก แต่รับปากว่าจะไปหาข้อมูลที่สำนักงานให้

เมื่อวันศุกร์ที่ 12 พ.ย. 53 แขนงชลประทานนครหลวง เอาเอกสารมาให้ตามที่ร้องขอ และบอกผมว่า ได้ไปสอบถามเพื่อนๆร่วมงานหลายคนแล้ว เขาบอกว่า…..

เวียงนครเสียชีวิตไปนานแล้ว


ด่วนภายในวันนี้..

143 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 11 พฤศจิกายน 2010 เวลา 15:26 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1878

สวัสดี บางทราย (bangsai) นี่คืออีเมลติดต่อจากผู้อ่าน กรุณาตอบโดยตรงไปยังผู้อ่านนั้น ———————————————————– ชื่อ……………………………. ประวัติปู้เจ้าผ้าดำ

ข้อความ: เรียนคุณบางทราย ที่เคารพ

ดิฉันขอรบกวนขอประวัติปู้เจ้าผ้าดำโดยละเอียดด้วยค่ะ
					

ถ้าไม่เป็นการรบกวนอยากได้ด่วนภายในวันนี้ค่ะ

ขอแสดงความนับถือ
					

------------------------------------------------------------

 

เรื่องราวแบบนี้เราเคยพูดถึงกันบ้างแล้ว และก็ยังมาให้เห็นอีก ผมหล่ะอยากจะเรียกเธอมาหยิกให้เขียวไปเลย

 

  • ไม่เคยบอกเลยว่าเป็นใคร อยู่ที่ไหน เอาไปทำอะไร …
    
  • และมาแบบด่วนจี๋จะเอาเดี๋ยวนี้  โธ่…โธ่…แม่เจ้าประคูณทูนหัว ข้าพเจ้าไม่ได้นั่งอยู่เฉยๆนะเจ้าคะ ทำงานเจ้าค่ะ
    
  • สงสารก็สงสาร อยากจะเขกหัวก็อยาก
    
  • เฮ่อ คอยไปก่อนนะ….
    

 

ขอเป็นคนใจดำหน่อยเถอะวันนี้ เฮ่อ…..


วีระกษัตริย์ลาว

204 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 11 พฤศจิกายน 2010 เวลา 13:08 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3238

เมื่อวันที่ไปถึงนครเวียงจันทร์ พอดีเป็นวันทำพิธีเปิดอุสาวรีย์เจ้าอนุวงษ์พอดี แม้ว่าจะยังสร้างบริเวณข้างๆเคียงไม่เรียบร้อยดี แต่ท่านจูมมะลี ประธานประเทศ ก็มาทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการแล้ว ใต้อนุสาวรีย์นั้นบันทึกไว้ว่า

” อะนุสาวะลี เจ้าอานุวง วีละกะสัดแห่งอาณาจักลาวล้านซ้างเวียงจัน”

มีประชาชนมากราบไหว้มากมายไม่ได้หยุดหย่อนจนค่ำมืด

(วันนี้อยู่สำนักงานเขียนรายงาน เลยแว๊ปมา อิอิ)


สาวลาวริมโขง

1719 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 10 พฤศจิกายน 2010 เวลา 8:21 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 14480

ยามเย็นไปเดินเล่นริมโขงนครเวียงจันทร์ ที่กำลังก่อสร้างชายฝั่งโดยการดูดทรายจากแม่น้ำโขงมาถม มหึมามหาศาล กลายเป็นแหล่งเดินเล่นคนเมืองเวียงจันทร์ และสาวๆหนุ่ม สาวน้อยสาวใหญ่ หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่มาออกกำลังกายกัน

ทั้งลาวทั้งฝรั่งและพี่ไทย อิอิ

สาวเอ๊าะๆเธอท่านนี้มาออกกำลังกายโชว์คนที่นั่งริมฝั่งนับร้อยนับพันให้ดูโดยเธอไปยืนริมน้ำช่วงพระอาทิตย์กำลังตก เล่นห่วงยางนี้ (เขาเรียกอะไรล่ะ) ที่กำลังฮิตกันทั้งไทยทั้งลาว เธอแสดงให้ดูน่ารักมากครับ

อย่างงี้แล้ว สาวบึบบับเมืองไทยต้องรีบหน่อยแล้วนา….อิอิ

แต่อย่างไรก็คิดถึงสาวไทยอยู่ดี ห้า ห้า ห้า



Main: 0.10207104682922 sec
Sidebar: 0.05563497543335 sec