ฤทธิ์เดชของคำว่า “ไม่ใช่….”

โดย สาวตา เมื่อ 4 กันยายน 2009 เวลา 21:45 ในหมวดหมู่ ประสบการณ์ชีวิต, สังคม, เล่าสู่กันฟัง #
อ่าน: 1241

ไม่กี่วันมานี้ ฉันมีความในใจบางอย่างที่คอยใคร่ครวญหาคำตอบอยู่เรื่อยๆ แล้วก็ยังไม่พบกับคำตอบนั้นเลย มิหนำซ้ำในระหว่างการใคร่ครวญสืบค้นนั้น กลับมีบางครั้งที่ฉันพบว่า มันนำพาไปสู่การเปิดเทปม้วนเก่าที่คอยแต่จะป้อนข้อมูลด้านลบให้เกิดการตัดสินผู้คนอีกด้วย

แน่นอนว่าเมื่อข้อมูลลบมันส่งเสียงเข้ามาให้รับรู้อยู่แพลมๆนั้น มันย่อมพาให้ความคิดทำงานในด้านลบไปด้วย โชคดีที่คอยขืนตัวตนไว้ เพื่อให้ไม่พาตัวคล้อยไปตามอารมณ์ลบ สติที่ตามหลังมาจึงพอจะช่วยให้ดำรงไว้ซึ่งภาวะความช้าของความคิดตัดสินเอาไว้ได้

โชคดีอีกเหมือนกันที่เมื่อวานระหว่างการนั่งคุยกันในกลุ่มผู้ทำงานด้วยกัน ที่รู้ทันว่าเกือบไปแล้วที่เทปม้วนเก่ากำลังจะเปิดทำงานเพื่อนำพาให้ไปตกร่องตกหลุมด้วยกันทั้งกลุ่ม ความรู้ทันทำให้ยั้งตัวได้ทัน

การณ์กลับเป็นว่ามีน้องคนหนึ่งในกลุ่มกลายเป็นผู้ตกร่องตกหลุมจนตะกายไม่ขึ้นอีกแล้วเมื่อคุยกันเรื่องผลสำเร็จของงาน  มีคำหนึ่งที่เธอหลุดเสียงออกมาให้ได้ยิน แล้วสะกิดใจ คำนั้นคือ “เดี๋ยวนี้….กลายเป็นคนที่สูญเสียความมั่นใจในตัวเองไปซะแล้ว……”


รับรู้เสียงที่ได้ยินว่าเธอหวั่นไหวอะไรบางอย่างอยู่ในใจ  รับรู้มาตลอดว่ามีอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอตกอยู่ในร่องอารมณ์

เพิ่งรับรู้เมื่อวานนี้ว่า สิ่งที่แสดงต่อกันมาตลอดก่อนหน้าว่า ยอมรับในความสามารถของเธอ ทำให้ไม่มีอะไรที่จะต้องเข้าไปดูแลเธอเป็นพิเศษ แม้แต่ข้อเสนอแนะ มันกลับเป็นการทำร้ายเธอ

แต่ก่อนเวลาที่เธอนำงานที่มอบหมายมาบอกเล่านั้น ฉันจะมีความเห็นของฉันแลกเปลี่ยนให้เธอรับรู้เสมอ  และส่วนใหญ่ก็เป็นความเห็นที่ต่างมุมมองออกไป  เพิ่งมานึกได้เมื่อวานนี้เองว่า คำที่ติดปากเสมอเวลาที่พูดออกมาเวลาประชุมด้วยกันในทีมเมื่อแต่ละคนจะบอกเล่าความเห็นที่ต่างมุมมองของตัวเอง คือ คำว่า “ไม่ใช่…..” แล้วให้ความเห็นต่อว่า….เป็นอย่างนี้ อย่างนั้น แล้วก็จบคำพูดลง มันเหมือนคำพูดที่ได้ยินนายกรูปหล่อให้สัมภาษณ์เมื่อเช้านี้เลยอะไรอย่างนั้น “ไม่ใช่…..”

นึกย้อนไปแล้วก็เห็นภาพปฏิกิริยาสะท้อนตอบของเธอขึ้นมารำไรแล้ว สิ่งที่กระทำโต้ตอบของเธอจะมีอยู่ 2 รูปแบบ รูปแบบหนึ่งก็คือ เงียบ เงียบ และ เงียบ ตลอดการสนทนาด้วยกัน และอีกรูปแบบก็คือการกล่าวคำแย้งที่เต็มไปด้วยอารมณ์ลบผสมผสานเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้น ตราบเท่าที่การสนทนายังไม่จบสิ้นลง และมีบางครั้งที่เธอเองจะเป็นผู้ที่ลุกผละจากวงสนทนาไปพร้อมด้วยอารมณ์ลบ จนทำให้หลายคนที่สนทนากันอยู่อึ้งกันไปและไม่สบายใจไปตามๆกัน

เมื่อวานนี้ก็มีเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อฉันเอ่ยปากตอบเธอไปตรงๆ หลังจากที่ฉันได้ยินคำบอกว่า เธอสูญเสียความมั่นใจไปหมดแล้วด้วยเสียงโกรธๆ ฉันบอกเธอไปว่าฉันอยากให้เธอพิจารณาหยุดการทำร้ายตัวเองของเธอลงซะเถอะนะ  สิ้นเสียงที่ฉันบอกเธอไป เธอก็ยังคงอยู่ในร่องอารมณ์ลบของเธอ และเงียบอยู่เป็นครู่ แล้วก็ขอตัวลุกออกไปจากกลุ่มด้วยกริยาที่เต็มไปด้วยความโกรธโดยที่การสนทนาของกลุ่มยังไม่จบลง


วันนี้พอมีเวลาว่างให้เปิดอ่านบทความในเว็บ เปิดเข้า g2k ก็เจอบทความของอาจารย์นกไฟอยู่ตรงหน้า เมื่อเห็นเป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับลูกศิษย์ของอาจารย์จึงเปิดเข้าไปอ่าน ก็ได้เจอเรื่องเล่าของลุงเหม อ่านจบแล้วปิ๊งกับเรื่องราวเกี่ยวกับความรู้สึกของเธอขึ้นมาฉับพลันทันที

หวนนึกไปแล้ว ก็บอกตัวเองให้ครองสติเพื่อให้มีเวลาขออภัยความรู้สึกของตัวเองทันทีเช่นกัน เป็นการขออภัยเพื่อเตือนให้ไม่นำพาตัวเองตกลงไปในร่องหลุมอารมณ์เสพติดความรู้สึกผิดเหมือนที่เคยเกิดมาแล้วกับเหตุการณ์ของน้องอีกคนหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว ที่กว่าตัวฉันจะพาตัวเองหลุดออกมาจากการเสพติดความรู้สึกผิดในตอนนั้นได้ก็ทอนพลังของตัวเองไปมากมายจนเกือบหมดความอยากทำงานไปเลยเชียวแหละ แล้วใช้เวลากว่าปีเชียวนะ กว่าที่จะให้อภัยตัวเองได้

ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่า

แค่คำว่า “ไม่ใช่…..”

แค่การยอมให้เธอทำอะไรตามใจตัวเองได้ทุกอย่างที่เธอปฏิเสธไม่อยากทำ ด้วยเหตุผลที่ยอมรับกันว่า เธอมีโรคประจำตัวที่ควรเอื้อให้ทำงานน้อยกว่าคนอื่นๆ

แค่การไม่มอบหมายงานที่เธอเคยทำได้ให้เธอลงมือทำ ด้วยความเห็นว่า ไม่จำเป็นต้องใช้ฝีมือระดับเธอก็ได้

แค่การคิดว่า ไม่ต้องการให้เธอไปตรากตรำคลุกคลีกับใครโดยไม่จำเป็นจะเป็นการดี  การให้เธอทำงานแค่ใช้ความคิด  ขอการเสนอความคิดในมุมมองของเธอ โดยไม่จำเป็นต้องบอกขอบเขตของงาน แล้วให้เธอตัดสินใจเองภายใต้บริบทความคิดและความเป็นไปได้ของการลงมือทำงานของเธอ ไม่้ชี้แจงความปรารถนาดีที่ซ่อนอยู่จะเป็นการดีกว่าู้ เพื่อเธอจะได้ไม่รู้สึกว่าถูกสงสาร จนทำให้กลายเป็นกรณีทำร้ายจิตใจของเธอจนทอนความมั่นใจของเธอลงไปได้

กลับให้ผลที่ไม่อยากให้เกิด….เกิดขึ้นมาได้


วันนี้ขอบคุณเรื่องราวของลุงเหมจริงๆ ที่มาชี้บอกมุมนี้ให้เห็นว่าเธอเป็นแผ่นเสียงตกร่องเพราะอะไร

อิสรภาพที่เคยมีมันหายไปหมดเลยนี่เอง เธอเลยเครียด หงุดหงิด

ความเป็นคนไม่เคยเรียกร้องอะไร ทำให้เมื่อทำอะไรไม่ได้ ก็เลยขัดใจไปหมด จนกลายเป็นไม่พอใจมากๆ มากๆเข้าก็เลยระบายออกมาจนทำให้คนรอบๆข้างรวมทั้งตัวเองเครียดไปพักใหญ่

ขอบคุณน้องนักเรียนแพทย์ด้วยที่ชี้ประเด็นสำคัญของผลกระทบความเจ็บป่วยในมุมมองที่น่าสนใจ เกี่ยวกับการมอบหน้าที่การงานที่ฉันและคนรอบข้างในงานอื่นๆได้กระทำลงไป รวมไปถึงการตอบสนองต่อการกระทำของเธอในยามที่เธอระบายอารมณ์ลบออกจากตัว ที่กลายเป็นการแยกเธอออกจากสังคมรอบตัวอย่างไม่ได้ตั้งใจ

เธอเครียดกับความรู้สึกว่า้ เธอถูก “แยก” ออกจากสังคมเดิม นี่เอง

วันนี้เข้าใจทุกข์ของเธอแล้วละ เป็นอะไรที่เป็น “ทุกข์” เสียยิ่งไปกว่าการมีโรคประจำตัวที่พวกเราๆในทีมงานมองเป็น “เรื่องใหญ่” ของเธอซะอีก

“รังสี” ความไม่ลงรอยระหว่างกัน การถูกมองคล้ายๆกับจะเป็น “difficult personel” หรือ “คนเจ้าปัญหา” ของคนรอบข้างยิ่งทำให้เธอทุกข์มากขึ้น เพราะทำให้เธอถูก “ไม่เข้าใจ” ซ้ำเข้าไปอีก

มองย้อนกลับไปวันนี้ เข้าใจแล้วว่าเมื่อวานนี้เธอโกรธอะไร เธอน่าจะโกรธเพราะ “การไม่ฟังเธอ” เท่าที่ควรนะเออ

ขอโทษนะน้องนะ ที่ไม่ได้สะท้อนให้น้องรับรู้ว่า ได้รับรู้ “อารมณ์ความรู้สึก” ที่น้องกำลังทุกข์อยู่ให้เข้าใจกัน อะไรที่ฉันทำไปทุกเรื่องที่ผ่านมานั้นไม่ได้ต้องการทำร้ายน้องเลยนะ ขอโทษนะที่กลายเป็นเผลอทำร้ายไปอย่างไม่้ตั้งใจไปซะนี่

ที่บอกน้องว่า โปรดหยุดทำร้ายตัวเองซะเถอะนั่นนะ พูดจากใจที่ซื่อตรงกับใจตัวเองนะจะบอกให้ มองเห็นน้องทุกข์จนตกอยู่ในร่องอารมณ์ลบอยู่ตลอดเวลาเลยแหละนะน้องเอ๋ย เวลาน้องยิ้มมันก็รู้สึกว่าเป็นยิ้มที่น้องฝืนยิ้มอยู่นะ

ภาวนาอยู่ทุกค่ำคืนให้น้องสามารถก้าวข้ามมันไปได้

หมายเหตุ

บันทึกเรื่องนี้ไว้เตือนใจ สำหรับหมอ พยาบาล หรือใครก็แล้วแต่ที่มีีคนทำงานรอบกายป่วยเป็นมะเร็ง หรือโรคอะไรก็แล้วแต่ หรือมีคนที่เผลอไปแยกตัวเขาออกจากสังคมด้วยการไม่ใช้งานเขาโดยไม่ตั้งใจทั้งๆที่เขาเป็นคนเก่ง นะจ๊ะ นะจ๊ะ

บันทึกอื่น

1.เอาไว้เตือนใจ

2.ใช้ความกลัวเป็นครู

3.กลับมาบ้านก็เจอฝน

4.ก่อนที่ฝนจะหล่อเลี้ยงให้ใจได้ความชุ่มชื่น

5.ยอมรับ เรียนรู้ และเข้าใจ

6.ไม่รู้ก็ไม่เป็นไร จะรู้ไปทำไม

7.เซ็ง เหงา เบื่อ คนละเรื่องหรือเรื่องเดียวกัน

8.น้ำผึ้งหยดเดียว

9.สมรภูมิใจ

10.วงเวียนอารมณ์

11.หลักการ-หลักกู

12.เรื่องธรรมดา

« « Prev : ใช้แก้วเปล่านะน้องนะ

Next : คิดอะไรหรือลูก » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

6 ความคิดเห็น

  • #1 จันทรรัตน์ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 5 กันยายน 2009 เวลา 8:24

    บันทึกน่าอ่านอีกเ่ช่นเคยค่ะ

    เห็นด้วยนะคะว่าควรใส่ใจกับเรื่องแบบนี้ เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ….การที่ใครไม่ค่อยสบายแล้วไปมองว่าเขาควรได้รับการยกเว้น มันไม่ช่วยให้เขาเกิดความภาคภูมิใจในสิ่งที่เขายังทำได้หรือพอจะช่วยได้

    ขอเล่าประสบการณ์แลกเปลี่ยนค่ะ
    วันก่อนเจอคนทำงานไม่ค่อยสบายออกโรงพยาบาลมาได้สักสามสี่วัน …เขาก็บอกใครๆ ว่า ทำนั่นไม่ได้ ทำนี่ไม่ได้ …แต่ประเมินแล้วเขายังพอช่วยตัวเองได้ ยังมีสติปัญญาคิดวิเคราะห์เรื่องต่างๆได้ เพียงแต่ร่างกายยังอ่อ่นเพลียไม่ค่อยมีแรงเท่าที่เคย
    ถามเขาว่า ลองคิดอีกมุมซิว่า ถ้าเราบอกว่า “ทำได้ แต่ได้ในระดับไหน” กับการที่เราบอกว่า “ทำไม่ได้” …อย่างไหนมีความสุขมากกว่ากัน

    สองวันเจอเขาอีกที รีบมาบอกว่า ตอนนี้นะ ทำนั่นก็ได้ ทำนี่ก็ได้ ดูมีความสุขกับการที่จะได้ทำสิ่งเล็กๆน้อยๆ และค้นหาว่ากับสภาพกล้ามเนื้อไม่แข็งแรงมันเริ่มแข็งแรงขึ้นเพราะการได้ออกแรงนิดๆหน่อยๆ

    เรื่องนี้ก็มาคิดว่าคนเราก็อย่างนี้แหล่ะนะคะพี่สาวตา ต้องการดูแลตัวเองช่วยตัวเองไม่เป็นภาระของสังคม….แต่คนที่ใกล้ชิดต้องป้อนข้อมูลให้ถูกทางด้วย

  • #2 ป้าหวาน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 7 กันยายน 2009 เวลา 12:50

    ขอบคุณ พี่หมอตา และอุ้ยค่ะ
    ป้าหวานก็เคยเจอเพื่อนคนหนึ่ง มีอุบัติเหตุ ทำให้ขาต้องถูกผ่าตัดเรื่องกระดูกและผลคือได้มีขาที่ไม่เท่ากัน เขาทุกข์  ป้าหวานเข้าใจความทุกข์ แต่ไม่เข้าใจเรื่องการช่วยเหลือ  เขาปฎิเสธการช่วยเหลือ และโกรธ เวลามีใครจะประคอง  มาอ่านเรื่องนี้แล้วสบายใจขึ้นค่ะ  ขอบคุณค่ะ

  • #3 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 9 กันยายน 2009 เวลา 21:22

    #1 ได้แต่…อิอิ…กับเรื่องราวที่อุ๊ยแลกเปลี่ยนค่ะ…..เมื่ออุ๊ยเอ่ยถึงคนที่ใกล้ชิด….พี่ก็มองเห็นภาพอีกมุมนะอุ๊ยนะ…..หากว่าคนป่วยเขาฟังด้วยทัศนคติที่มองลบกับตัวเองอยู่….และมีคำสวนแย้งมาตั้งกะฟังยังไม่จบคำบอกเลย……..คนใกล้้ชิดจะป้อนข้อมูลยังไงก็ตาม….ได้เรื่องได้เหมือนกันนะน้องนะ…..ขอบอก……มันทำให้…เฮ้อ…เฮ้อ…เฮ้อ…แล้ววางอุเบกขาในใจกับความเป็นเช่นนั้นเอง….ก่อนเดินต่อ…..คนใกล้ชิดต้องใช้พลังใจมากเหมือนกันน้องเอ๋ยในการเบิกเนตรคนป่วยประเภทนี้

  • #4 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 9 กันยายน 2009 เวลา 21:23

    #2  ดีใจที่ป้าหวาน ได้ประโยชน์ต่อมุมมองกับเรื่องราวคล้ายๆกันค่ะ

  • #5 จันทรรัตน์ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 10 กันยายน 2009 เวลา 6:45

    ใช้พลังใจมากแล้วต่อเนื่องด้วยค่ะพี่ตา

    สำหรับน้องแล้ว น้องพบว่าคนรอบข้างบางครั้งเขาก็ติดจำว่า เราเคยเป็นคนอย่างนั้นๆๆๆ เวลามีปัญหาเราก็ตัดสินแทนได้ทุกเรื่อง ..สุดท้ายก็เท่ากับโยนความรับผิดชอบทุกอย่างให้เรา…..แล้วเขาก็ชินกับการพึ่งพา….ก็มาคิดทบทวนว่า เออ..เราก็มีส่วนในการทำให้เขาเป็นอย่างนั้นด้วย

    ระยะหลังมานี้ เจอหลายโจทย์ จนคิดว่า เราไม่ได้ให้ใครเขาได้ทำในสิ่งที่เขาอยากทำเลย…หรือเปล่า…ทำให้เขาจะทำได้หรือไม่ได้ ก็ยังไม่มีโอกาส….ก็เลยไม่ตัดสินใจแทนใคร…ปล่อยให้เขารับผิดชอบการกระทำและการตัดสินใจของเขาด้วยตัวเขาเอง

    ก็เจอหลายคำตอบเหมือนกันค่ะ

    บางทีก็เจอว่า ข้อมูลเดียวกัน คนหนึ่งฟังแล้วนำไปคิดหาทางแก้ไขด้วยการพึ่งพาตัวเอง….อีกคนหา”คนผิด” ไม่รับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นในฟากของตัวเอง เพื่อให้รู้สึกดีกับตัวเอง….เขาก็ยิ่งกลายเป็นพึ่งพาคนอื่นมากขึ้น…คือพึ่งพาทั้งอารมณ์และจิตใจไปด้วย ให้คนอื่นรู้สึกผิดที่ไปทำอย่างนั้นอย่างนี้กับเขา….น้องก็มองว่า สิ่งที่เขาคิดอย่างนั้นมันทำให้เขาอ่อนแอมากกว่า….และเป็นวิธีคิดมองโลก ขาวกับดำ คือ มีถูกกับผิดเท่านั้น….ถ้าเจอคนแบบหลัง….สำหรับน้องนะคะ….ยากและใช้เวลา…ถ้าไปเจอช่วงที่ “ของขึ้น” ก็เลี่ยงๆๆ ปล่อยให้เขาบ้ากับความคิดของตัวเองไปก่อนดีกว่า….รักษาใจของตัวน้องเองดีกว่า…อิอิ

  • #6 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 10 กันยายน 2009 เวลา 23:45

    เห็นด้วยกับอุ๊ยอีกนะแหละในเรื่องแลกเปลี่ยน 

    พี่เจอประสบการณ์ที่พี่รู้ว่าพี่รักษาใจตัวเองได้มั่นแล้ว และเดินหน้าต่อในเรื่องการใช้มุมบวกเอื้อโอกาสให้เขาได้ลองกับเรื่อง “ถูก-ผิด” ของตัวเองมายาวนาน เพราะรู้ว่ามันยากและใช้เวลานะแหละน้อง แล้วพี่ก็ได้เจอกับผลกระทบกับเรื่องการหา “คนผิด” ของเขาจังๆ

    ขนาดว่าพี่ตั้งมั่นกับอารมณ์ตัวเองอยู่แล้วนะน้อง ฤทธิ์เดชของวิธีหา “คนผิด” ของเขาก็ทำให้พี่สะเทือนใจเหมือนกัน สะเทือนใจว่า เมื่อคนเรามีทางออกด้านอารมณ์ในรูปแบบนี้ มันทำให้เขาตาบอดจนลืมแผ่เมตตาให้ตัวเองไปเลย เมื่อเมตตาไม่เป็น ต่อให้พี่รักเขา เมตตาเขาอย่างไร มันก็สื่อไม่ถึงอยู่ดี  เรียกว่า สะเทือนใจกับความปรารถนาดีที่ถูกเมินเฉย ก็คงได้

    มิหนำภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสายตาคนที่มองเห็นพฤติกรรมตัวเขาและพฤติกรรมของตัวพี่ มันกลับยิ่งส่งผลด้านลบต่อ “ภาพ” ของเขาเอง และ “สร้างภาพลบ” ที่เกี่ยวกับตัวพี่ในสายตาของคนอื่นที่ไม่อยู่ในเหตุการณ์ด้วยซะอีก….จนไม่วายต้องร้อง..เฮ้อ..เฮ้อ..เฮ้อ…ในใจ…อิอิ

    2 วันมานี้ พี่ใช้เวลากับผู้คนรอบตัวที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ เล่าและแลกเปลี่ยนกันถึงสิ่งที่อยู่ในใจพี่และสิ่งที่อยู่ในใจเขาเพื่อให้เกิดความเข้าใจในสิ่งที่พี่ทำ  เล่าเพื่อให้พวกเขาได้ทวนความรู้สึก คำตัดสินของตัวเองเกี่ยวกับตัวคนที่หา “คนผิด” “ภาพลบที่ถูกสร้างขึ้น” เกี่ยวกับตัวพี่  และความรู้สึกเครียดแทนพี่ 

    เล่าไปแล้วก็มีคำถามกลับมาที่พี่ว่า “หมอเครียดไหม”   พี่เพิ่งนึกออกตอนเขาถามนี่แหละว่า ทำไมเขารู้สึกเครียดแทนพี่ 

    อืม! ช่วงนี้พี่อยู่กับการอยู่ในห้วงคิดจนพฤติกรรมที่ออกมาคือขรึม เงียบ และเงียบ  พี่ตอบไปว่า พี่ขรึมไปเพราะพี่กำลังคิดว่าทำอย่างไรให้อารมณ์ของผู้คนที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับคนๆนี้เกิดความลงตัวด้วยกันทุกฝ่าย ส่วนใจพี่นั้นสบายดี 

    พี่บอกให้พวกเขารู้ว่า การที่คนๆหนึ่ง กำลังหา “คนผิด” อยู่นั้น เขากำลังต้องการความช่วยเหลือมากๆๆๆๆ  การรู้สึกแทนพี่เป็นเรื่องที่พี่ขอบคุณ  แต่พี่อยากให้แปรมันไปเป็นความเข้าใจต่อคนๆหนึ่ง ที่เขาไม่ได้มีความผิดอะไรที่หลงเป็น “เหยื่ออารมณ์ของตัวเอง”  การรู้สึกไม่พอใจแทนพี่ มันเป็นการซ้ำเติมเขา ขอให้ยุติความรู้สึกไม่พอใจ หยุดคำวิจารณ์กันซะเถอะ เปลี่ยนไปเป็นการให้เวลาคนๆนี้เขาเรียนรู้ตัวเองต่อไปเถอะนะ  ช่วยกันหาความลงตัวให้เขากันดีกว่า 

    ความลงตัวสำหรับใจพี่ในวันนี้ พี่มีคำตัดสินให้ตัวเองว่า ต่อไป พี่ทำแค่ “รอ”  ก็เป็นการทำดี ปรารถนาดีแล้ว ส่วน “ภาพลบ” จะเป็นอย่างไร พี่ไม่ใส่ใจตามแก้ให้เหนื่อย  พี่ไม่ได้ต้องการมีชัยชนะต่อใครๆ  ขอแค่ชนะใจตัวเองพอแล้ว มันสงบดีอยู่แล้ว  นั่นคือ คำตอบที่พี่ได้บอกไปกับผู้คนที่ได้นั่งคุยด้วย


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.069405078887939 sec
Sidebar: 0.15782690048218 sec