คิดอะไรหรือลูก

โดย สาวตา เมื่อ 9 กันยายน 2009 เวลา 2:16 ในหมวดหมู่ ประสบการณ์ชีวิต, สังคม, เล่าสู่กันฟัง #
อ่าน: 1195

หลายวันมานี้ มีเหตุให้ได้ลงมือทำหน้าที่ของแม่และหมอในการดูแลลูกชาย แล้วก็ได้เรียนโลกอีกบทหนึ่งแล้วโดยมีผู้เป็นที่รักของฉันสองคนทำหน้าที่เป็นทั้งครูและนักเรียนที่ได้เรียนด้วยกัน ทีแรกที่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดไม่ได้คิดว่ามันเป็นบทเรียนโลกหรอกนะ จนกระทั่งวินาทีหนึ่งที่เกิดคำถามขึ้นมาในใจเมื่อเห็นภาพอะไรบางอย่างที่เกิดต่อหน้า

เรื่องของเรื่องก็คือเจ้าลูกชายคนดี เขามีอาการเจ็บคอ ซึ่งทุกๆเช้าก่อนจะออกจากบ้านไปกินข้าวเช้าด้วยกัน เขาจะถือไฟฉายมาให้กับฉัน แล้วก็บอกว่า แม่ดูคอหน่อย ดูกันทุกวัน จนกระทั่งผ่านไป 2 วัน ฉันก็เริ่มเห็นว่ามีหนองสีขาวๆขนาดหัวเข็มหมุดแปะอยู่ประปรายตรงบริเวณอวัยวะที่เรียกกันในภาษาการงานของฉันว่าทอนซิล เห็นแล้วก็นึกรู้ทันทีว่า การป่วยคราวนี้ของเจ้าลูกชายต้องการยาแรงกว่าทุกๆครั้งที่เคยเป็น จึงเสนอไปว่า ไปนอนร.พ.เถอะลูก แต่คิดต่อว่าจะทำอย่างไรในการดูแลกันและกันให้เขาดีขึ้น

ด้วยวางใจว่า การตัดสินใจของผู้คน มักจะมีที่มาที่ไปเสมอ การเลือกจะทำอะไรลงไปในแต่ละครั้ง มีเหตุผลอยู่เบื้องหลังของผู้ตัดสินใจเสมอ และตัวฉันเองก็มีทางเลือกรออยู่อีกหลายช่องทางในการลงมือดูแลเขาให้ปลอดภัยได้ แม้ว่ามันจะไม่ใช่วิธีที่ควรเลือกเป็นวิธีแรกสุด ฉันจึงไม่เซ้าซี้ให้เขาทู่ซี้กับการฝืนใจเข้าไปนอนร.พ.

เหตุการณ์ผ่านไป 2 วัน เราสามคนพ่อแม่ลูกก็ได้มีประสบการณ์เรียนรู้ร่วมกัน ตัวเจ้าลูกชายได้เรียนรู้ว่า เมื่อเขาตัดสินใจเลือกวิธีการรักษาแบบที่เขาเลือก เขาได้เผชิญกับอะไรอย่างไรบ้าง ตัวฉันเองได้เรียนรู้ว่า ใจคนเป็นแม่ เมื่อห่วงลูกในยามเจ็บป่วย ทั้งๆที่พอจะทำอะไรได้มากกว่าที่ได้ทำไปแล้ว แต่หากเจ้าตัวเขาไม่ยินยอมให้เราฝืนใจเขา เราควรทำอย่างไรในการจัดการกับใจตัวเอง ให้ไม่เกิดความหงุดหงิดต่อกันไปทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งคนที่จะแย่กว่า ก็คือคนที่ป่วยอยู่

สิ่งที่ได้ทำลงไปกับใจก็คือ รอ รอการตัดสินใจของลูกชาย เมื่อลูกชายเขาตัดสินใจไม่เข้านอนร.พ.เขาก็ตัดสินใจลงมือทำอะไรที่ยังพอทำได้ด้วยตัวเองในเรื่องการดูแลความป่วยของตัวเองโดยไม่พยายามที่จะพึ่งพาพ่อและแม่

สิ่งที่ฉันทำได้นอกจากการหาหยูกยามาให้ในการดูแล กาย ในระหว่างรอ คือ การชวนพูดคุย เสนอในสิ่งที่รู้ว่าเขาทำเองได้ไม่ดีเท่ายอมให้คนอื่นทำ ซึ่งเขาได้ผ่านประสบการณ์การได้ทำเองลงไปแล้ว อย่างเช่นการเช็ดตัวลดไข้

เมื่อลงมือเช็ดตัวให้เขารู้สึกดีที่ได้ทำ เป็นการได้ดูแลเขาอย่างนี้เป็นครั้งแรกนับแต่เขาเติบโตเป็นหนุ่มขึ้นมา ด้วยว่าน้อยครั้งที่เขาจะป่วยขนาดที่ต้องลงมือทำอะไรให้อย่างเช่นครั้งนี้ ดูเหมือนสัมผัสมันสื่อกัน รับรู้เหมือนว่า ลูกชายเขารู้ว่าฉันรู้สึกดีกับมัน สัมผัสได้ว่าความรู้สึกของเขาอ่อนโยนขึ้น ด้วยความรู้สึกดีกะมันเช่นกัน

ในระหว่างการรอคอยการตัดสินใจเข้านอนร.พ.ของเขา ฉันว่าประสบการณ์ที่เขาได้เจอกับความป่วยทำให้เขาได้เรียนรู้ ตัดสินได้จากสิ่งที่เขาคอยปฏิเสธในบางเรื่องมีการตอบรับเพิ่มมากขึ้นๆ การร่วมตัดสินใจและวิเคราะห์ต่อจากประสบการณ์ของตัวเขาเองเกิดขึ้นทุกเวลาที่ผ่านไปเป็นสื่อบอก แต่ก็ยังหรอกนะยังถึงกับทำให้เขายอมรับการเข้านอนร.พ.

แหละนี่ก็สอนฉันให้เข้าใจวิธีคิดของคนป่วยที่คิดว่าตัวเองพอจะมีกำลังที่จะดูแลตัวเองได้และอยู่ในความกลัวอะไรบางอย่างที่ทำให้หลีกเลี่ยงที่จะนำตัวเข้าไปสู่การรักษาที่ดีกว่า  ด้วยในวันต่อๆมาเมื่อถามเรื่องการไปนอนร.พ.ซ้ำอีก คำตอบกลับมาเป็นเสียงบ่นว่า จะให้ไปติดเชื้อกลับมาเหรอ

ในใจเมื่อได้ยินคำตอบนี้ ก็แปลไปว่า มีอะไรบางอย่างที่ลูกชายเขากลัวอยู่นะ ไม่ได้คิดต่อว่ากลัวอะไรหรอก แต่คิดต่อว่าได้เรื่องแล้ว เขาเริ่มสนใจที่จะได้รับการดูแลต่อในร.พ.แล้ว ด้วยสิ่งที่เขาบอกเพิ่มมานั้นคือ การช่วยฉันคิดหาวิธีให้ตัวเขาได้รับการตรวจเพิ่มเติมโดยไม่จำเป็นต้องไปปะปนกับคนป่วยที่เข้าร.พ.ให้มากคน

เมื่อเข้าทางที่อยากให้เป็นไป ฉันก็ยังไม่เร่งรัดให้เขาตัดสินใจหรอกนะ ทำแค่ดูแลเขาต่อ บอกให้รู้ว่าในแต่ละวัน เห็นอย่างไรกับสภาพในคอที่ได้เห็นทุกวัน เพิ่มการดูคอตามที่เขาร้องขอให้ตามแต่ใจที่เขาเรียกร้องมาแล้วบอกให้รับรู้ บอกให้รู้ว่าฉันคาดการณ์ว่าอีกนานเท่าไร อาการป่วยจึงจะทุเลา แล้วก็จบ

สำหรับคนข้างกาย ไม่ได้ช่วยอะไรมากไปกว่า เดินเข้าห้องลูกชาย ช่วยจัดการสถานที่ด้วยความเห็นที่ตัดสินด้วยตัวเองว่า นี่แหละเป็นเรื่องดีสำหรับคนป่วย ทำโน่นทำนี่ เอื้อความสะดวก เปิดแอร์ ปิดพัดลม ปิดม่าน จนดูวุ่นวายกว่าที่เคยเป็น เป็นสัญญาณที่ฉันดูออกว่า เขาเป็นห่วงลูกชายมาก แต่ไม่เอ่ยปากบอกด้วยความเป็นคนไม่พูดมาก

แต่การลงมือทำอย่างนี้เป็นอะไรที่ทำให้เจ้าลูกชายเขาหงุดหงิดแฮะ ฉันจึงแปลความให้ลูกรู้ว่า ที่พ่อทำลงไปอย่างนั้นนะ พ่อเขาเป็นห่วงลูกมากนะ แต่พ่อไม่รู้ควรจะทำอย่างไร จึงลงมือทำอะไรที่คิดไปว่าเมื่อเขาเป็นคนไข้ เคยทำอะไรแล้วสบายขึ้น เขาก็ทำให้ไงเล่า

ฟังคำบอกแล้วเจ้าลูกชายก็หยุดอารมณ์กรุ่นๆลงได้ แต่ก็มีบ่น เสียงบ่นนะบอกให้รู้ว่า แท้ที่จริง เขากำลังต้องการให้รับฟังความต้องการของเขาก่อนจะทำอะไรให้ และความต้องการที่แท้จริงของเขาก็หลุดออกมาให้รู้ว่า เขามีงานที่จะต้องนำไปส่งอาจารย์ผู้สอนกับมือในวันเสาร์ที่จะถึง และวันอาทิตย์มีการสอบซึ่งเขาไม่อยากจะต้องแยกเดี่ยวเพื่อขอสอบคนเดียวเนื่องจากการป่วย

ผ่านเวลาไปสามวันแล้ว เจ้าแผ่นหนองที่คอของลูกชายเพิ่มมากขึ้น ทอนซิลขนาดเพิ่มขึ้น เจ็บคอมากขึ้น กินอะไรได้น้อยลง เสียงพูดเริ่มไม่ชัดด้วยทอนซิลขวางคออยู่ ฉันบอกลูกชายไปว่าน่าจะไปหาหมอหู คอ จมูก ให้เขาดูให้อีกคนน่าจะดีกว่า

เช้าวันต่อมา พ่อก็อาสานำพาลูกไปห้องสอบ หลังจากพาลูกชายไปสอบกลับมาแล้ว สองคนพ่อลูกก็พาตัวหายไปจากบ้านด้วยกัน กลับมาอีกครั้งก็บอกฉันว่า ได้ห้องเข้านอนร.พ.แล้ว บอกกันแล้ว ไม่นานก็หายตัวกันไป อ้าว แล้วกันไปนอนร.พ.กันแล้ว พากันไปหาหมอหู คอ จมูกตามที่บอกไว้ก่อนแล้ว ไวจริงๆ คนข้างกายบอกไว้ก่อนหายแวบไปว่า คืนนี้พ่อจะนอนเฝ้าลูกเอง

เมื่อบอกลูกชายว่า คืนนี้พ่อจะอยู่นอนเฝ้า เขาก็ปฏิเสธว่าไม่ต้องเฝ้า ลูกอยู่คนเดียวได้ ฉันก็ได้แต่ฟังเขาเงียบๆ สังเกตดูแล้วคิดว่าเขามีเรื่องราวบางอย่างที่ทำให้เขาอยากอยู่คนเดียว เมื่อลูกชายบอกกับพ่อตรงๆว่า ไม่ให้อยู่เฝ้าเขา แล้วพ่อลังเลและจะตัดสินใจฝืนคำร้องขอของลูกชาย ฉันจึงให้ความเห็นว่า แล้วแต่พ่อตัดสินใจแล้วกัน สุดท้ายคนข้างกายก็ยินยอมละความคิดของการนอนเฝ้าไข้ ซึ่งฉันว่าเป็นการตัดสินใจที่เหมาะควรสำหรับลูกชายแล้ว

เหตุผลที่ฉันสรุปอย่างนี้ก็ด้วยเหตุว่า คนป่วย คือ คนที่รู้ดีที่สุดว่า ใจเขาต้องการอะไร การให้เกียรติและฟังเขาก่อนตัดสินใจทำอะไรให้นั้นคือ การร่วมกันวางแผนการดูแลที่ดีที่สุดแล้ว การตัดสินใจภายใต้ความลงตัวของทุกฝ่ายหลังการตัดสินใจของคนป่วยคือเรื่องที่ควรทำอย่างยิ่ง

ก่อนที่ฉันจะตัดสินใจทำอย่างที่ได้ทำลงไปในครั้งนี้ ฉันมั่นใจว่าลูกชายมีความปลอดภัยนะ เรื่องยารักษาโรค เขาได้รับพร้อมสรรพแล้ว เรื่องการดูแลเสริม ในเมื่อเขามั่นใจว่าจะดูแลตัวเองได้และรับกับผลของการตัดสินใจได้ก็โอเคแล้ว เรื่องของใจที่สบายใจกว่าหากได้อยู่ตามลำพังก็โอเคเช่นกัน

ทุกๆเรื่องของการป่วยที่ห่วงใยมีทางออกหมดแล้ว บ้านรึก็ไม่ไกลจากร.พ.ซะจนต้องห่วงว่าจะมาให้เร็วไม่ได้เมื่อลูกชายต้องการตัว อาการป่วยก็ไม่ได้มีอะไรรุนแรงที่จะทำให้เกิดเรื่องฉุกเฉิน

ได้ข้อมูลอย่างนี้แล้ว ถึงจะห่วงลูกยังไง ฉันก็ให้เกียรติกับการตัดสินใจของลูก แล้วปฏิบัติตอบให้เขารับรู้ว่า ยอมรับความรู้สึกที่เขาอยากลอง ไม่มีการใช้อำนาจความห่วงใยเข้าไปบังคับให้ตามใจเราพ่อแม่ ไม่โน้มน้าวให้เขาเชื่ออย่างที่พ่อแม่เชื่อ  เตรียมตัวพร้อมเดินก้าวไปพร้อมกับการตัดสินใจของเขา เตรียมพร้อมที่จะลงมือเติมความช่วยเหลือหากจะมีต่อไป อย่างนี้แหละที่ได้ทำลงไป

เรื่องนี้บันทึกไว้เพื่อเรียนรู้การเติบโตในโลกของคนสามคนในบ้าน จากการแค่เปลี่ยนมุมคิดไปจากเดิม ซึ่งได้คืนมาซึ่งความสงบในใจของคนสามคน โดยเฉพาะคนป่วยไข้ที่เป็นแก้วตาดวงใจคนสำคัญ ที่ตัวเขานั้นแอบความห่วงใยพ่อและแม่ ซึ่งเขาเผลอหลุดปากบอกมาให้รู้  แล้วใช้การตัดสินใจดูแลพ่อและแม่ไปด้วย

รู้สึกดีใช่ไหมลูกรักของแม่ ที่ได้คอยดูแลกันและกัน

บันทึกอื่น

เอาไว้เตือนใจ

วันนี้แม่ลูกชวนกันดูหนัง

« « Prev : ฤทธิ์เดชของคำว่า “ไม่ใช่….”

Next : ลองวางไว้ก่อน » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

10 ความคิดเห็น

  • #1 สุวรรณา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 9 กันยายน 2009 เวลา 4:13

    สวัสดีค่ะพี่หมอคะ คิดอะไรอยู่หรือลูก คนเป็นแม่ได้ฉุกคิดอยู่เสมอๆๆนะคะ คุณพ่อทำถูกต้้องค่ะที่อำนวยความสะดวกตรงนั้น เพราะมีคุณหมอแม่ดูแลเช็ดตัวให้อย่างใกล้ชิด คุณพ่อก็ดูเชิงเค้า ทำให้เค้ารู้สึกว่าคุณพ่อห่วงนะ ไม่ไหวจริงๆ ค่อยลุยกันอีกครั้งค่ะ  2 สาวเมื่อก่อน 10 ขวบ เคยทอนซิลโตบ่อย พอ12 ขวบไปแล้ว อาการเงียบหายทั้งคู่เลยค่ะ ขณะนี้ 13 กับ 15 ค่ะ จบท้ายด้วย อิอิ พี่หมอสบายดีนะคะ

  • #2 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 9 กันยายน 2009 เวลา 13:01

    ลูกสาวผมตัดเจ้าต่อมนี้ทิ้งไปแล้ว คุณหมอบอกว่า มันบวมบ่อย อักเสบบ่อย ทั้งๆที่มันมีประโยชน์ แต่ก็แนะนำให้ตัดทิ้งไป แต่ต้องดุแลตัวเองมากขึ้นให้เป็นนิสัย.. แม่กับลูกมีสายสัมพันธ์มากกว่าที่ีคิด

  • #3 จันทรรัตน์ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 9 กันยายน 2009 เวลา 21:14

    ….ความรักของพี่และโกเหลียงต่อน้องจักร…แจ่มชัดมากผุดพรายจากในบันทึกเลยค่ะ…

    ตอนนี้หายป่วยหรือยังคะ…ฝากความห่วงใยมาถึงน้องจักรด้วยค่ะ

  • #4 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 9 กันยายน 2009 เวลา 21:37

    #1 น้องนิดค่ะ พี่มองไปแล้วก็ขำปนเหนื่อยใจกับการปะทะอารมณ์ของ 2 คนพ่อลูกค่ะ ข้างหนึ่งกั๊กไม่ยอมบอกเอาแต่ดูเชิง อีกข้างหนึ่งอยากให้เอ่ยปากบอกให้ได้ยินให้ชื่นใจแล้วก็คอยแอบดูว่าเมื่อไรจะวางเชิงลงซะที  ต่างคนต่างดูเชิงกันจนเหนื่อยใจแล้วลงเอยด้วยกระตุกอารมณ์ลบต่อกันเพราะใจที่เหนื่อยล้า ใจแทนที่่จะได้บวกคือความสุขกลับได้ลบคือความหงุดหงิดคืนมาโดยไม่ใช่เรื่อง ไม่ใช่เรื่องดีๆที่ควรทำเลย ใช่ไหมจ๊ะ

    พี่รู้สึกว่าลูกเขาอยากให้พ่อแม่บอกความรู้สึกที่มีต่อเขาให้ฟังตรงๆแบบให้เกียรติ หากพ่อแม่กำลังรู้สึกลบ เช่น โกรธ ไม่สบายใจ เป็นห่วง เมื่อได้บอกกันตรงๆ พี่รู้สึกว่าเขารู้สึกดีกว่าเสียงบ่นนะพี่ว่า  ดังนั้นเดี๋ยวนี้พี่รู้สึกไม่ดีอย่างไร พี่จึงบอกเขาตรงๆทันทีที่รับรู้ว่าเขากำลังฟังพี่อยู่ บอกแล้วพี่ก็บอกเขาว่า พี่แค่อยากบอก แล้วพี่ก็จบ ไม่ต่อด้วยคำอธิบายอะไรอีกยืดยาวให้มากความค่ะ

  • #5 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 9 กันยายน 2009 เวลา 21:45

    #2  ขอบคุณที่แลกเปลี่ยนประสบการณ์ค่ะ การป่วยคราวนี้น่าจะเป็นครั้งแรกที่สุดท้ายจะลงเอยด้วยการปาดทอนซิลทิ้ง  น้องก็เลยบอกลูกชายให้คุยต่อกับน้องหมอเจ้าของไข้ เพื่อให้เขาได้รับรู้ข้อมูลด้วยตัวเอง บอกเขาไปว่า ไม่ได้คิดกะเกณฑ์ว่าให้ผ่าตัดในครั้งนี้  ด้วยว่าการผ่าตัดนั้นควรเป็นการยินยอมที่ลงตัวกันของทั้งคนตัดและคนถูกตัด แค่ให้ถามไถ่เป็นความรู้ไว้ จะได้ตัดสินใจว่าจะเอายังไงต่อไปกับเรื่องของตัวเอง แล้ววางแผนเรื่องของเวลาให้ลงตัวทั้ง 2 ฝ่ายแค่นั้นเอง 

    ก็คนที่ป่วยคือตัวลูกชาย ความเจ็บที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้ น้องไม่ได้เป็นคนเจ็บ น้องจึงไม่สามารถรู้ว่ามันหนักหนาแค่ไหนสำหรับเขา  การมีข้อมูลทำให้เขาชั่งใจได้ลงตัวด้วยตัวเอง จริงมั๊ยพี่ คนเป็นแม่ก็ได้แต่รอเพื่อเป็นกำลังเสริมในเรื่องการอำนวยความสะดวกและอื่นๆที่เขาทำเองไม่ได้ แค่นั้นเองค่ะ

  • #6 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 9 กันยายน 2009 เวลา 21:55

    #3  น้องสร้อยค่ะ  ขอบคุณสำหรับกำลังใจสู่ลูกชายค่ะ  มีโกเหลียงคอยคานพี่ในเรื่องการดูแล นี้ก็ดีเหมือนกัน ความที่คอยดูแลคนอื่น ตัดสินใจแทนคนอื่นในเรื่องแผนการดูแล วันนี้ก็เลยเผลอไป ใช้เกณฑ์ด่วน ไม่ด่วน ในการตัดสินใจปรึกษาการเปลี่ยนแผนการรักษากับน้องหมอเจ้าของไข้  ด้วยรู้สึกว่า เป็นเรื่องไม่ด่วน ในใจคิดว่า ไม่เป็นไร รอได้สักครู่ ปรากฏว่าโกเหลียงไม่ทันใจที่ไม่ลงมือปรึกษาทันที  แกก็เลยลงมือปรึกษาซะเอง พี่มารู้เฉลยว่าตัวเองตัดสินใจช้าก็เมื่อกลับไปเจอน้องจักรแล้วเล่าให้เขาฟังว่า พี่คิดอย่างไร แล้วโกเหลียงทำอย่างไร  เขาก็สวนมาว่า พ่อทำดีแล้ว 

    พี่ก็ได้เรียนรู้ใจคนป่วยอีกครั้งแล้วน้องในวันนี้ ได้ข้อคิดไว้เตือนสติเหมือนกันว่าเรื่องบางเรื่องที่หมอ-พยาบาลเรา คิดว่าไม่เป็นไร มันเป็นไรสำหรับคนป่วยเขานะ

    ดังนั้นก่อนตัดสินทำอะไรลงไป ถ้าให้คนป่วยได้แชร์ความรู้สึกเขาด้วยกับเราจะดีไม่น้อย ข้อตัดสินใจก็จะลงตัวด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย 

    ยิ่งคนใกล้ตัว พี่ว่าเรื่องไม่เป็นไรเพราะเรารู้ว่าไม่เป็นไร แต่คนใกล้ตัวเขาเป็นไรนี่ มันสำคัญมากๆเช่นกัน

  • #7 อัยการชาวเกาะ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 10 กันยายน 2009 เวลา 6:52

    อ่านแล้วเข้าใจความรู้สึกของโกเหลียงและพี่ตา เพราะเคยประสบปัญหาเหล่านี้มาก่อน เพราะเราเป็นห่วงเราจึงอยากทำในสิ่งที่ดีที่สุดให้กับชีวิตเขา แต่เขารู้สึกว่าเราวุ่นวายเกินไป เป็นธรรมชาติของวัยรุ่นเพราะเขากำลังพัฒนาร่างกายและจิตใจของเขา อิอิ

  • #8 Lin Hui ให้ความคิดเห็นเมื่อ 10 กันยายน 2009 เวลา 8:33

    อาจมีมุมมองแตกต่างไปบ้างเล็กน้อย แต่โดยภาพรวมแล้วรักคือรัก รักที่ไม่มีเงื่อนไข และห่วงนั้นห่วงแน่แท้ ไม่มีอะไรที่คนเป็นพ่อแม่จะรักและห่วงใยผูกพันเท่าลูกของเรา ยิ่งยามที่เจ็บไข้ได้ป่วย มันคือโอกาสที่ให้ทุกคนได้รับรู้ ได้สัมผัส ถึงความรักความห่วงใยที่แท้จริง อย่างไม่มีเงื่อนไขซึ่งกันและกันที่งดงามยิ่ง น้องหมอตา ทำหน้าที่นางฟ้าสำหรับคนอื่นมานานแล้ว วันนี้คือนางฟ้าที่แท้จริง ซึ่งเป็นแม่ของลูก ที่ลูกได้แสดงความรักและห่วงใย ให้แม่และพ่อให้รับรู้ ขอบคุณความเจ็บป่วยที่ทำให้ความรักความห่วงใย ออกมาโลดแล่นอย่างสวยงามยิ่ง อา้ม่าหายห่วงเลยค่ะ วันนี้คงจะหายแล้วกระมั้ง นี่แหละยาใจมันรักษาได้ทุกโรคค่ะ

  • #9 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 10 กันยายน 2009 เวลา 22:44

    #7  ใช่เลย น้องฑูรเอ๋ย คนวัยรุ่นนี่เขาถือสากับเรื่องความรู้สึกที่เขามีอยู่เป็นอย่างยิ่ง เจ้าลูกชายเขาหงุดหงิดด้วยความรู้สึกว่า พ่อห่วงเขาจนเกินพอดี จนทำให้เขาอึดอัดกับความห่วงใยนั้น แหละนะน้องเอ๋ย  อันที่จริงแค่โกเหลียงเอ่ยปากบอกให้รู้ว่าห่วงมากแค่ไหน และจะ่ทำอะไรลงไปเพราะอยากให้สบาย ถามไถ่สักหน่อยว่าต้องการแค่ไหน มันก็หมดเรื่องกัน แต่ความที่เอาเชิงมากไปหน่อย แทนที่เจ้าลูกชายจะรู้สึกดี เลยกลายเป็นรำคาญตาเขาไปซะนี่กับการที่วุ่นวายทำโน่นทำนี่ให้แบบเดาเอาเองว่าถูกใจตัวเอง ก็น่าจะถูกใจลูก  บางทีรูปการณ์มันเลยออกมาดูเหมือนการลองเชิงเพื่อเอาชนะกันไปซะก็มีระหว่าง 2 คนพ่อ-ลูก  เดี๋ยวนี้เลยมีหน้าที่ใหม่ เป็น “ล่ามแปลพฤติกรรม” ให้คนหนึ่งคนใดทำ

  • #10 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 10 กันยายน 2009 เวลา 22:50

    #8  อาม่าค่ะ ขอบคุณสำหรับกำลังใจจากคนที่ผ่านโลกมานานกว่า  หมอเจ๊เดินทางมาถึงวันนี้ได้ ก็ด้วยมีวาสนาได้เจอกัลยาณมิตรที่หลากหลายช่วยเป็นครูสอนค่ะ และเครื่องมือสำคัญที่หมอเจ๊ใช้อยู่เสมอในการเดินทางทุกวันนี้กับโลกภายในของตัวเอง ก็คือ เจ้าดอกอะไร ค่ะแม่ยกขา

    วันนี้ลูกชาย เริ่มไข้ลงแล้วค่ะ เพิ่งเริ่มจะกินอาหารได้ใกล้เคียงปกติ และนอนหลับได้นานขึ้น และยังนอนอยู่ในร.พ. แต่กว่าจะไข้ลง น้องหมอเจ้าของไข้ ก็มีความรู้สึกกดดันกับความคาดหวังจากโกเหลียงมากมายเหมือนกันค่ะพี่


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.27194619178772 sec
Sidebar: 0.55940198898315 sec