ตีแตกสวนป่า(4)-วัฒนธรรม
อ่าน: 5446วันแรกที่ไปเหยียบสวนป่า ณ เวทีตีแตกอีสาน ตาก็เหลือบไปเห็นราวที่พาดวางไว้เรียงรายอยู่มุมหนึ่งของสวนป่า เป็นผ้าไทยที่น้องนายออตนำมานะเอง สีสันของผ้าเป็นโทนสีขรึมๆ มีเสื้อที่ตัดสำเร็จรูปมาด้วย อากาศสวนป่าในวันนั้น ช่างท้าทายการสวมใส่ผ้าไทยยิ่งนักว่า ระหว่างใยผ้าสมัยใหม่กับผ้าทอมือที่เป็นผ้าไทยนั้น อย่างไหนใส่สบายกว่ากัน
แต่ฉันก็ไม่ได้ลองหรอกนะ ได้แต่ไปเยี่ยมๆมองๆว่ามีสักชิ้นไหมที่ฉันสามารถใช้มันเป็น ที่ใช้คำว่าสามารถกับตัวเองก็เพราะว่ารู้สึกว่าตัวเองเป็นสตรีที่ไม่สามารถจัดการกับความสวยงามให้อยู่กับตัวตามที่เขานิยมกันได้เลย สามารถก็แต่สวมใส่อะไรที่ง่ายๆที่ตัวเองอยากสวมมัน มองเสื้อผ้าแค่เพียงสิ่งจำเป็นสำหรับทำให้ร่างกายอบอุ่น จึงไม่ใคร่ได้ “ใส่ใจ” ลงทุนลงเงินอะไรกับมันมากนัก เวลาได้ของงามๆที่มีคนให้มาก็ไม่สามารถใช้งานมันได้ถนัดมือซะอีก อีกทั้งเรื่องของสีสันที่สะดุดตาก็เป็นเรื่องที่ไม่ถนัดอีกด้วย ความไม่ถนัดนี้เป็นปมที่ก่อเกิดและสะสมมาตั้งแต่ปฏิเสธการเรียนรู้มันมาตั้งแต่เป็นเด็กโน่นแล้ว
ฉันรู้สึกดีกับการได้เห็นผู้คนที่เข้ามาในสวนป่าจากถิ่นอีสาน นับแต่เด็กนักเรียนที่มาต้อนรับผู้ใหญ่จากแดนไกล และผู้เข้ามาช่วยงานทั้งหลายสวมใส่เสื้อผ้าไทยมาให้ได้ยล ในขณะที่รู้สึกดีก็รู้สึกเปรียบเทียบด้วยนะ บ้านฉันนะเขาไม่มีเอกลักษณ์ของผ้าประจำถิ่นอย่างที่ได้เห็นเอาซะเลย ไม่มีผ้าพื้นถิ่นที่สามารถทำมือขึ้นมาได้จากความสามารถของคนพื้นที่จริงๆนะ แล้วก็เกิดเอ๊ะว่า ทำไมหรือจึงไม่มี รึว่ามันมีอยู่แต่ถูกไปซ่อนไว้ที่ไหนจนไม่รู้กัน รึว่าที่แท้ไม่มีรากของเรื่องนี้ในถิ่นฐานของฉัน น่าสนใจเหมือนกันนะนี่
การร่วมอยู่เมื่อถึงวันตีแตกอีสานอย่างแท้จริงนั้น มีปรากฎการณ์ของรูปแบบการปรับตัวเพื่อการอยู่ร่วมแทรกอยู่ให้สัมผัส จากเด็กๆของครูคิม ผู้มาเยือน และ เหล่าชาวเฮฮาศาสตร์ จะเป็นอย่างไรขอไม่ถอดบทเรียนนะค่ะ ขอแต่เอาภาพบรรยากาศวันนั้นที่เก็บภาพไว้เองมาให้ดูกันเอาเองค่ะ
ฉันเห็นการช่วยเหลือกันผ่านความอยากซื้อและอยากช่วยค่ะ นี่คือสิ่งหนึ่งที่ฉันไม่รู้ว่าจะเรียกมันเป็นวัฒนธรรมที่แฝงฝังอยู่ได้รึไม่ เพราะว่าในความอยากซื้อที่เห็นนั้นฉันได้รับรู้ถึงการแสดงน้ำใจผ่านการช่วยอุดหนุนสินค้าของญาติมิตรค่ะ
สำหรับตัวฉันในที่สุดแล้ว ฉันก็ตกลงใจซื้อผ้าไทยที่แขวนโชว์นำกลับมาด้วย เลือกสีสันที่ดูเรียบสวยในสายตาของตัวเองมาค่ะ
ในวันตีแตกอีสานนั้นมีผู้คนร่วมให้ความรู้อยู่หลายคน พ่อใหญ่บำรุงหรือพี่เปี๊ยกเป็นคนหนึ่งที่ทำให้ฉันได้สัมผัสความอึดของคนอีสาน นี่คือแง่งามของคนอีสานโดยแท้หากช่วยกันรักษามันไว้ เพราะว่ามันคือ “ทอง” มิใช่ “ฝุ่น” นะค่ะ หลายเรื่องราวที่บอกเล่าออกมาจากปากคนอีสาน และ จากสิ่งที่รับรู้ด้วยตาที่เห็น บอกให้ฉันรู้ว่า คนอีสานนั้นมีธาตุดีอยู่ในตัวใช่แต่เรื่องของความอึด หากแต่ “สมอง” นั้นเล่าสุดยอดเช่นกัน แต่เหตุใดเล่า ผลพวงที่ปรากฏอยู่ในหลายพื้นที่ อีสานจึงยังเป็นอย่างที่เป็นอยู่ คนจรเข้ามาอย่างฉันหาคำตอบไม่เจอค่ะ
ส่วนเสี้ยวของเรื่องราวที่กล่าวถึงระบบการศึกษาให้ได้ยิน ได้กล่าวหามันว่าเป็นต้นเหตุ มันทำให้ฉันนึกถึงเรื่องราวของ “ไก่เกิดก่อนไข่ และ ไข่เกิดก่อนไก่” ทั้งสองเรื่องราวนี้เป็นเรื่องสอนใจนะฉันว่า หากคนมีแต่ถกเถียงเพื่อหาคำตอบอยู่แค่นี้ มันก็เหมือนพายเรือในอ่างอยู่นะเอง เวลาต้องการใช้งานทั้ง “ไก่” และ “ไข่” มีใครบ้างไหมที่มัวถามว่า อะไรเกิดก่อนอะไร ไม่ถามทั้งนั้นใช่ไหม แต่ที่แน่ๆมันถูกใช้พร้อมกันได้เสมอ
ธรรมชาติได้บอกเรื่อง “ไก่เกิดก่อนไข่” และ “ไข่เกิดก่อนไก่” เอาไว้แล้วอย่างโต้เถียงไม่ได้ สำคัญอย่างไรหรือที่จะต้องรู้ว่าเรื่องอะไรผิด-ถูกหรือใช่-ไม่ใช่ ธรรมชาติไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้สักนิด คนจะอยากรู้กับเรื่องจิ๊บจ๊อยอย่างนี้ไปทำไมกัน เรื่องเล่าจากพี่เปี๊ยกจึงสะดุดใจฉันให้เอ๊ะ ในเรื่องของการเรียนผ่านบ้านพร้อมกับการเรียนผ่านโรงเรียน ที่เอ๊ะเพราะว่าเจอคนที่คิดเห็นเหมือนกันอีกคนแล้วซิ
เช้าก่อนพากันเดินทางหลังงานตีแตกสิ้นสุดลง มีเสียงคล้ายคนคำราม(ขออภัยหากใช้คำเพี้ยน) เสียงดังเชียว ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าเสียงมาจากไหน ไม่แปลกใจที่ได้ยินหรอกนะ แค่เอ๊ะว่าเขาทำอะไรกัน ระหว่างรอๆกัน ฉันเดินออกมาที่หน้าบ้าน มองเห็นคนสี่คนกำลังรำมวยกันอยู่ที่ลานไผ่ ความอยากลองทำให้พาตัวเดินไปที่ลานไผ่ แล้วลงมือเรียนรู้จากพวกเขา สนุกดีค่ะ ในตอนแรกนึกว่ายาก ไม่ยากเลยแฮะ ลองไปสักพักก็เริ่มมีเหงื่อ พอดีเขาวางมือยุติกัน ก็เลยเลิกและพากันมาเตรียมตัวออกจากสวนป่า
ก่อนจากกันจริงก็มีมหกรรมการกอดเกิดขึ้น คราวนี้เป็นการล้อมวงกอด ก็เมื่อคืนมีข้อสนทนากันแล้วมีข้อสัญญาว่าจะให้รางวัลกับอุ๊ยจั๋นตาด้วยให้อุ๊ยกอดและกอดตอบ เป็นครั้งแรกที่เห็นอุ๊ยเขินจนเกือบตัดสินใจไม่ได้ แต่ในที่สุดความมีสติก็ทำให้อุ๊ยตัดสินใจ คนที่อุ๊ยตัดสินใจกอดเป็นคนแรกคือพ่อครู ฉันเชื่อว่าในวันนั้น อุ๊ยได้เรียนรู้อัตตาตัวเองหลายเรื่องทีเดียว อีกคนที่ได้ลองของกับอัตตาของตัวเองก็คือน้องแป๊ด นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันก่อนจากกันกับทีมชาวเฮฮาศาสตร์ทีมลำพูน
น้องฑูรได้ตกลงไว้ตั้งแต่เมื่อคืนว่า จะรออยู่ที่บุรีรัมย์ จะได้เป็นการเดินทางพบกันครึ่งทางโดยไม่ต้องย้อนทาง ทุกคนได้รับการนำพาออกจากสวนป่าเพื่อไปท่องเที่ยวบุรีรัมย์ด้วยกันสักครั้ง เพราะตั้งแต่มาสวนป่ายังไม่เคยสัมผัสแหล่งท่องเที่ยวเมืองนี้เลย ปรากฎว่าเช้านี้พากันโอ้เอ้และไม่มีรายละเอียดให้รู้ว่าพ่อครูจะนำทางไปไหนบ้าง เมื่อรับรู้ว่าทุกคนมีที่นั่งอย่างสบายๆในการเดินทาง น้องฑูรนั้นอยากลองอาหารอร่อยของบุรีรัมย์คือข้าวขาหมูและอยากบริหารเวลาให้ได้สัมผัสอีสานให้มากขึ้น จึงส่งข่าวมาบอกว่าจะล่วงหน้ากันไปก่อนกับน้องแอ๊ด
เดินทางมาถึงบุรีรัมย์โดยฉัน น้องเขียว ครูปู และน้องขจิต นั่งรถมากับตาหยูและ GPS ประจำตัว พี่ตึ๋ง น้องอึ่งอ๊อบ น้องราณี และน้องครูมิมมารถคันเดียวกัน บรรดาผู้ใหญ่ทั้งหลายนั่งรถที่มีโชเฟอร์ชอบกินซาละเปายี่ห้อเลขเจ็ด-สิบเอ็ดเป็นคนขับ ความเร็วของการขับรถที่แตกต่าง รวมทั้งบุรีรัมย์มีถนนแยกเข้าเมืองได้หลายสาย จึงทำให้รถตาหยูและรถน้องครูมิมล่วงหน้าออกมาก่อนหน้า ระหว่างที่มีคนขอให้แวะหากาแฟดื่ม ก็มีเสียงกริ๊งเข้ามา เป็น GPS สายพ่อครูบาบอกว่า ให้วกกลับเข้าเมืองไปที่สถานีรถไฟเดี๋ยวนี้ โต้แย้งถามว่าทำไมต้องไป ก็อมเลศนัยไม่ยอมบอก คนส่วนใหญ่จึงมาเจอกันที่สถานีรถไฟ น้องฑูรได้รับทราบข่าวสารเมื่อนำรถออกจากเมืองไปไกลซะแล้ว ที่แท้พ่อครูเห็นว่าใกล้สิบเอ็ดโมงแล้ว จึงเรียกรวมพลให้มาชิมข้าวมันไก่อร่อยๆหน้าสถานีรถไฟด้วยกัน
ท้องอิ่มก็เดินทางต่อไปที่เขาพนมรุ้ง เพื่อเรียนรู้เรื่องราวความคิดของคนรุ่นก่อน มีคนแซวฉันเรื่องการวัดพื้นก่อนลาจากกัน ฝากไว้ก่อนเหอะโอฬาร เจอหน้าอีกครั้งจะ…. ระหว่างการเดินชมสถานที่ ต่างคนต่างหามุมกล้องที่ชอบ เก็บเกี่ยวภาพเป็นที่ระลึก สวยและใหญ่โตจริงๆ หลายมุมของที่นี่มีสัญญลักษณ์ของลายไทยปรากฎอยู่ให้ได้เรียนรู้ นับว่าเป็นแหล่งเรียนรู้ที่น่ามาแล้วมาอีกจริงๆ ที่น่าสนใจสำหรับฉันก็คือเรื่องของเชิงช่าง คนโบราณสร้างสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไรโดยไม่ต้องใช้เครื่องจักรกล รึว่าเคยมีเครื่องจักรกลอยู่แต่มันอยู่ในรูปต่างๆที่ธรรมดาๆซะจนคนสมัยนี้ดูไม่ออก
หลายมุมของปราสาทที่เห็น บอกว่าเมื่อก่อนคนไม่ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งนี้ การแก้ไขในส่วนที่บกพร่องลงไปของส่วนใดๆของปราสาท จึงเป็นแบบสุกเอาเผากิน ฉันไม่คิดว่าที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลจากการทำลายโบราณสถานอย่างตั้งใจเท่าไร เพราะที่จังหวัดของฉันก็เคยเกิดปรากฏการณ์คล้ายๆกันนี้ เหตุเกิดเพราะการที่คน “ไม่ให้ค่า” มากกว่าเหตุอื่น เหตุอื่นตามมาทีหลังเมื่อคน “ให้ค่า” ซะมากกว่าค่ะ
ก่อนที่จะเดินกลับมารวมกลุ่มเพื่อเอ่ยคำลากัน ฉันก็เอ๊ะกับกิจกรรมหนึ่งที่น้องเขียวกำลังสนใจลงมือทำ น้องเขียวนั่งเรียงหินอยู่ที่พื้นค่ะ ชาวบ้านผู้ใหญ่สองสามคนที่นั่งอยู่ใกล้น้องเขียวเฉลยให้ฉันรู้ว่า กองหินที่เห็นอยู่นั้น เกิดขึ้นจากชาวบ้านพากันมาอธิษฐานจิตขอต่ออายุของตนที่สถานที่แห่งนี้ ความเชื่อนี้เผยแพร่ขึ้นได้อย่างไร เริ่มต้นอย่างไร ไม่มีใครให้คำตอบได้ เขาให้คำตอบกับฉันแค่ว่า การขอต่ออายุนั้นมิใช่ขอให้อายุยืนยาวนานจนไม่ตาย หากแต่ขอต่ออายุตามแต่ที่ตนพอใจเท่านั้น อีกทั้งยังสามารถอธิษฐานจิตตนเพื่อตัวเองในเรื่องอื่นๆได้อีก ซึ่งฉันว่าหากการสะกดจิตหมายถึงการบอกจิตใต้สำนึกให้รับรู้ละก็ วันนั้นเขียวได้สะกดจิตตัวเองให้จิตไร้สำนึกรับรู้และบันทึกเรื่องราวที่อธิษฐานเอาไว้แล้ว ส่วนมันจะปรากฎผลขึ้นเป็นจริงเมื่อไรนั้น ก็เป็นการรอคอยให้จิตสำนึกทำงานของมันต่อไป
เที่ยวร่วมกันแล้วก็ลาจากกัน แยกตัวกันขึ้นรถคันใหม่ของตน ฉัน น้องแป๊ดและน้องเขียวย้ายมานั่งรถรถน้องฑูรเพื่อเข้ากรุงเทพฯ กอดกันก่อนลาเช่นเคย แต่ขอมาทวงไว้ที่นี่นะค่ะ ขอประท้วงตาหยูที่ไม่ยอมกอดลาฉันเลยอ่ะ รึว่าเกรงใจ GPS ที่อยู่ใกล้ๆค่ะ นี่ก็อีกคนฝากไว้ก่อนเถอะโอฬารตาหยู
« « Prev : ตีแตกสวนป่า(3)-เรียนรู้
Next : เสี้ยวหนึ่งของชีวิตหมอเจ๊ » »
8 ความคิดเห็น
คุณหมอ…วันก่อนจากกันที่พนมรุ้ง ไม่รู้ว่ากอดใครไปบ้าง
แต่คนหนึ่งที่นึกได้ว่าลืมกอดคือพี่ครูปู น่าโขกหัวตัวเองแท้ๆ
กอดกันจนหมด แต่ลืมกอดพี่สาวสุดที่รักเสียนี่
เลยโทรไปกอดทางโทรศัพท์แทนค่ะ……เสียดายๆ
การไปตีแตกอีสานครั้งนี้ประทับใจหลายอย่างค่ะ
อย่างที่คุณหมอได้เล่า
ขอบคุณคุณหมอนะคะที่ให้กอดอุ่นๆ อย่างที่มิมตั้งใจไปครั้งนี้ว่าจะกอดหมอให้ได้
แล้วก็สมใจค่ะ ประทับใจจริงๆค่ะ
คิดถึงคุณหมอนะคะ
ก็แหม…พี่สาวตาขา…นึกว่าพ่อครูบาจะลืมแล้ว อุตส่าห์ดีใจ…แต่วาระกอดนี้เกิดขึ้นจากความตั้งใจของพ่อครูบา ก็เลยเลือกกอดขอบคุณท่านคนแรกค่ะ
มาอ่านและมาอ้อน พี่สาวตา..
ตีแตกสวนป่า(4) นี่ เอาไว้ที่นิ้วไหนคะ..อิ อิ
เล่าเรื่องได้ดีจริงๆๆ
#1 รับกอดครูมิมแล้วรู้สึกเหมือนกอดน้องสาวที่มอบให้ อุ่นดีจริงค่ะ คราวหน้ากอดกันอีกเน้อ….ไม่อาววววววววววนะ…เรียกคุณหมอนะ….เรียกเหมือนคนอื่นเค้าเหอะ…นะ..นะ..น่านะ…น้องมิมนะ……คุณหมอนะเอาไว้เรียกพี่ตึ๋งคนเดียวละกันค่า
#2 หน้าตาอุ๊ยตอนนั้นนะบอกให้รู้ว่าตัดสินใจบ่ถูกจริงๆ เลยรู้ว่าเขิล….5555
#3 จุ๊ จุ๊ จุ๊ น้องอึ่งเจ้า อย่าเอ็ดไปเดี๋ยวจะมีใครมาแซวว่ายังเรียนนับนิ้วอยู่อีกเรอะ…..
มาถึงวันนี้ที่นับนิ้วไว้จำได้ว่ามีแค่สี่นิ้ว แต่นิ้วไหนเรื่องอะไรจำบ่ได้กา ลืมหมดแหล่ว
มันครือๆอย่างที่เอามาเขียนตีแตกนี่….มั๊ง….ที่คุยกันอ่ะ
กลายเป็นคนไม่จำอะไรไปตั้งกะเมื่อไรไม่รู้ตัวเองเหมือนกัน…..มักจะเจอว่าวันนี้นึกไม่ออก แต่วันหน้านึกออกเองบ่อย…..
อุตส่าห์คุยกันตั้งนานจนทำให้น้องนอนดึก….จำได้แล้วว่าเรื่องนี้ไม่อยู่ในนิ้วไหนสักกะนิ้วค่า…..งั้นเอาไว้นิ้วที่ห้าก็แล้วกัน…ดีมั๊ยก๊ะ
#4 พ่อครูเจ้าขา เขียนแบบไม่วางโจทย์นี่เขียนง่ายค่ะ แต่ถ้าโดนวางโจทย์เมื่อไรติดทันที…..เขียนไม่ออกค่ะ