เสี้ยวหนึ่งของชีวิตหมอเจ๊
อ่าน: 6041ชีวิตหนึ่งที่ถือกำเนิดมามีเรื่องราวแห่งอดีตมากหลายที่ผู้คนได้พบเจอและเรียนรู้ ใครบ้างเล่าที่เคยคิดได้ว่าชีวิตที่กำลังดำเนินอยู่ของตนเป็นผลพวงของการเรียนรู้นับแต่ถือกำเนิดจนเติบใหญ่จำเริญวัย จะมีใครสักกี่คนที่จำได้ว่ามีผู้คนสักเท่าไรที่ผ่านเข้ามาเป็นครูให้กับตนแล้วจากไป
เมื่อเด็กหญิงคนหนึ่งได้ถือกำเนิดมา ณ บ้านหลังน้อยในถิ่นฐานบ้านเมืองที่เป็นเกาะใหญ่ เธอได้เรียนรู้มากมายจากผู้คนรอบข้าง ชีวิตที่เติบโตมามีเพื่อนของพ่อแม่เป็นครูอยู่เคียงข้างสอนให้รับรู้วิธีปฏิบัติตัวต่อเด็กของผู้ใหญ่ มีญาติทางพ่อและแม่เลี้ยงดูให้ร่างกายเติบใหญ่พร้อมกับการหล่อเลี้ยงอารมณ์ในตัวซึ่งมีทั้งด้านบวกและด้านลบ มีเพื่อนเล่นอันน้อยนิดที่บ้านคอยเป็นเพื่อนและเป็นครูให้ได้เรียนรู้ทักษะสังคม มีญาติผู้น้องเป็นครูสอนเรื่องราวที่ควรอดทนกับร่องอารมณ์แห่งตนแล้วปรับตัวเข้าสู่โหมดปกป้องตน
มีพ่อและแม่ที่ได้เติมเต็มน้ำใจรักหล่อเลี้ยงตนที่แม้จะก่อเกิดความสับสนในการดูแลร่องอารมณ์แห่งตนอยู่ด้วย หากแต่เธอก็ได้แลกคืนซึ่งการมีอิสรภาพในการเรียนรู้ซึ่งได้สร้างพลังชีวิตให้กับตัวตนของเธอ พ่อแม่ได้แถมการเรียนรู้และการฝึกฝนการปรับร่องอารมณ์ไม่ให้ตกร่องมันเนิ่นนานจนฝังลึกเกินไปให้กับเธอด้วย
เมื่อเธอเติบใหญ่จนเข้าวัยเริ่มสาว เพื่อนในโรงเรียนคือครูกลุ่มสำคัญที่สอนวิชาสร้างความสัมพันธ์ในสังคมให้ได้เรียนรู้ และเพื่อนนะเองที่สอนให้เธอรู้รสชาติของร่องอารมณ์เศร้า เสียใจ และผิดหวัง บทเรียนที่ได้สอนแบบไม่สอน ที่มีสมดุลระหว่างความสุขและความทุกข์ซึ่งแฝงฝังอยู่ในบริบทของการใช้ชีวิตร่วมกันกับเพื่อนและผู้ใหญ่ที่พ่อแม่ไปฝากฝังให้ได้อยู่ร่วมหล่อหลอมให้เธอเป็นผู้คนที่รู้จักดูแลชีวิตแห่งตน
พ่อแม่เป็นคนสำคัญที่หยิบยื่นโอกาสให้เธอได้ฝึกการใช้ชีวิตโดยลำพังในโลกกว้างซึ่งแตกต่างจากโลกในบ้านน้อยหรือบ้านญาติที่เคยอาศัย การให้อิสรภาพเธอได้ฝึกตนภายในแวดวงของเพื่อนที่พ่อแม่ให้ความวางใจ การเอื้อโอกาสให้นี่เองที่ทำให้เธอมีความสามารถอยู่ในโลกนี้อย่างมั่นคงและกล้าตัดสินใจในเรื่องราวต่อหน้า
เมื่อเธอย่างเข้าวัยรุ่น อันเป็นเวลาพอดีกับการเข้าเรียนชั้นอุดมศึกษา ความเป็นเด็กบ้านนอกที่หูตาแคบ รู้จักแต่ซน-เล่น-เรียน-ฝันไปวันๆ รู้จักโลกรอบตัวแค่จังหวัดภาคใต้บางพื้นที่ที่แม่พาตระเวนไปเยี่ยมพ่อ รู้จักโลกว่าเป็นพื้นที่ชนบทที่มีแต่ดิน น้ำ ลำธาร คลอง ต้นไม้ ป่า สัตว์ตัวน้อย ลิง ค่างและผู้คนที่ใช้ชีวิตติดดินใกล้ผืนป่า รู้จักว่ากรุงเทพฯคือเมืองหลวงของประเทศไทยผ่านแผนที่ในห้องเรียน รู้จักว่ากรุงเทพฯคือผืนดินที่เคยเหยียบเมื่อครั้งวัยเด็กและประทับใจกับมันเพราะได้ตื่นเต้นกับขบวนแห่ขององค์พระประมุขแห่งประเทศไทยและสวนสัตว์เขาดินวนา ได้มอบบทเรียนแรกให้กับเธอเมื่อจากบ้านมาสู่เมืองกรุง
บทเรียนบทสำคัญนี้เกิดขึ้นเมื่อเธอสอบผ่านเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯได้ เป็นบทเรียนที่ใจเธอตอนนั้นหล่นไปอยู่แทบเท้าทีเดียว เธอเชื่อว่าเธอเกือบไม่ได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยซะแล้วในวันนั้น
เรื่องของเรื่องก็คือเธอไม่รู้ว่ามหาวิทยาลัยเขามีข้อกำหนดให้นำเอกสารสำคัญหลายฉบับมาแสดงตัวเพื่อเข้าสอบสัมภาษณ์ โอ๊ยโย่ ทำยังไง หันมองไปรอบตัวไม่มีใครเลยที่รู้จักและปรึกษาได้ ทำยังไงๆๆๆ เสียงในใจดังขึ้นมาเรื่อยๆ แล้วจู่ๆก็มีคำตอบผุดพรายขึ้นมา ออกไปนอกรั้วมหาวิทยาลัยดูหน่อยน่า เผื่อจะหามันได้
นับว่าโชคดีที่ไหวทัน ทำให้สามารถติดต่อ ติดตามและรวบรวมเอกสารสำคัญมาได้ทันเวลา แต่ก็ทำให้เหงื่อซึมผิว ใจสั่นเต้นโครมๆอยู่ในอก ณ เวลานั้นไม่เบา เอกสารนั้นคือใบรับรองแพทย์และรูปถ่ายนะเอง หน้าตาใบรับรองแพทย์เป็นยังไงไม่เคยเห็น เป็นครั้งแรกที่รู้จักมันเลยนะนั่น ความเชยของเด็กบ้านนอกอย่างเธอมันเกือบทำให้เสียหายแล้วไง
ไม่เชื่อก็ให้เชื่อนะว่า เธอไม่รู้จริงๆว่ามหาวิทยาลัยเขาสื่อสารไว้ที่ไหนกับเรื่องที่ให้นำอะไรมาด้วยเพื่อเข้าสอบสัมภาษณ์ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถ้าไม่นำมาด้วยนะจะถูกตัดสิทธิ์เข้าเรียนรึไม่ พ่อแม่ก็ไม่รู้ว่าต้องมีการเตรียมตัวในเรื่องราวเหล่านี้ เธอไม่มีใครเป็นที่ปรึกษาในเรื่องนี้เลยจริงๆแม้แต่เพื่อน
ในตอนนั้นทุกๆคนมัวแต่พะวงกับการดูแลตัวเอง อีกทั้งไม่มีเอกสารใดๆจากมหาวิทยาลัยบอกไปที่บ้านให้รู้ เวลาที่กำหนดให้เข้ามารายงานตัวก็กระชั้น สงสัยเขาคงคิดว่าเด็กบ้านนอกนะเก่งสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายมั๊ง โธ่ถังในตอนนั้นนะการสื่อสารกันทำได้แค่โทรเลขและจดหมายเท่านั้น มีแต่คนที่รวยมากๆๆๆๆเท่านั้นที่มีโทรศัพท์ส่วนตัวใช้ได้ ส่วนราชการยังไม่มีโทรศัพท์เลย ดีนะที่พ่อแม่ให้เธอมีเงินติดตัวมาใช้ด้วย จึงทำให้ได้ใช้แก้ปัญหาเปลาะนี้ไปได้
เมื่อเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยอย่างเต็มตัว การได้รับโอกาสจากพ่อแม่ให้มีอิสรภาพในการดำรงวิถีแห่งตนอย่างยาวนานมาแต่เด็ก ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดคับข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างรุ่นพี่กับรุ่นน้องปีหนึ่ง ณ มหาวิทยาลัยแห่งนั้น เป็นความอึดอัดคับข้องที่เกิดจากความกลัวคนแปลกหน้าบวกจี๊ดกับการถูกบังคับให้ทำอะไรที่ประหลาดๆพิสดารพันลึกที่ต้องฝึกฝืนตัวเองเพื่อการกระทำที่ทำเพื่อเอาใจคนอื่น จี๊ดกับการกระทำรุนแรงผ่านวาจาที่ตะคอกใส่ในห้องเชียร์ซึ่งเป็นการให้ทำอะไรที่ในความรู้สึกเธอนั้นไม่สนุกเลย
หากแต่ความเป็นนักศึกษาปีหนึ่งตัวเล็กๆจะอาจหาญต่อกรกับระบบโซตัสที่แข็งแรงในมหาวิทยาลัยแห่งนั้นอย่างไร ตัวเธอก็ไม่ได้คิดใฝ่ฝันที่จะลงมือกระทำมันหรอก เธอไม่ใส่ใจจะทำอะไรกับมันเพราะว่าความคิดของเธอในตอนรู้ว่าได้เข้าไปเรียนนั้นตั้งมั่นว่าเมื่อปีการศึกษานั้นจบลง เธอจะนำพาตัวเองเข้าสนามสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีกครั้งเพื่อเข้าแพทย์ให้ได้
ในระหว่างการเรียนรู้ชีวิตในสังคมที่กว้างขึ้นกว่าโลกที่บ้านเกิด นิสิตใหม่ของมหาวิทยาลัยคนนี้ก็สูญเสียแม่ที่รักไป มะเร็งร้ายคือต้นเหตุที่พรากแม่ไปจากเธอ พ่อที่รักได้สอนบทเรียนแห่งความรักและความอดทนให้เธอได้เรียนแบบไม่สอน บทเรียนสำคัญที่พ่อได้ให้เมื่อแม่ลาจากคือเรื่องของการรักษาคำพูด
พ่อให้สัญญาด้วยไม่อยากให้ลูกสาวคนเดียวรู้สึกหวั่นไหวต่อการเผชิญโลกกว้างตามลำพัง พ่ออยากให้ลูกสาวรับรู้ว่าพ่อนั้นรักแม่และเธอนัก พ่อได้บอกเธอด้วยคำพูดว่า “ไม่ต้องห่วงว่าพ่อจะหาแม่ใหม่ให้หรอกนะ พ่อดูแลตัวเองและอยู่คนเดียวได้ พ่อสัญญาว่าจะส่งลูกให้เรียนจนจบ ตั้งใจเรียนต่อไปเถอะลูก ไม่ต้องห่วงพ่อ” แล้วพ่อก็รักษาสัญญานี้ไว้จวบจนสิ้นลม
เมื่อความเป็นนิสิตใหม่สิ้นสุดลง เธอได้นำพาตัวเองเข้าสู่สนามสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีกครั้ง คราวนี้เธอได้ผันผ่านไปเข้าเรียนมหาวิทยาลัยแห่งใหม่ซึ่งสืบทอดระบบโซตัสด้วยความอ่อนโยนและใส่ใจ การก้าวสู่มหาวิทยาลัยแห่งใหม่นี้ทำให้เธอก้าวเดินต่อในระดับอุดมศึกษาอย่างมีความสุข จนกระทั่งเธอจบมาเป็นแพทย์หญิง
ระหว่างเรียนในมหาวิทยาลัยอยู่นั้น ชีวิตเธอได้เรียนรู้และฝังลึกร่องอารมณ์เศร้า อันเกิดจากการสูญเสียผู้รู้ใจอันเป็นที่รักให้กับทะเลคะนอง การตกอยู่ในร่องอารมณ์นี้มันทำให้เธอกลัวกับการสูญเสีย จนทำให้เธอปิดกั้นตัวเองกับการรับรู้ความรู้สึกของเพื่อนชายรอบข้างที่มีต่อเธอ แล้วทำให้เธอวางความสัมพันธ์กับเพื่อนชายไว้แค่เพื่อน
การวางตัวเยี่ยงนี้ทำให้เธอมีบทเรียนอีกบท เป็นบทเรียนแรกที่สอนให้รู้จักกับความไม่เก่งในการปรับตัวของตัวเธอ เธอสอบตกวิชาเรียนรู้โลกในปีแรกที่ข้ามฟากไปเรียนแพทย์ วิชานี้ภาษาแพทย์เขาเรียกว่า “เวชกรรมป้องกัน”
ตอนข้ามฟากไปเรียนแพทย์ปีแรกนั้น ทางคณะแพทย์จัดนักศึกษาให้เรียนคละเพศกัน หนึ่งกลุ่มคละหญิงและชายรวมเป็นสี่คน คนที่เก่งในการปรับตัวกับเพื่อนจะสามารถทำให้เกิดขบวนการเพื่อนช่วยเพื่อนขึ้นในกลุ่ม คนที่ไม่เก่งในการปรับตัวจะเก้อเขินและพาตัวออกไปโดดเดี่ยว
การที่เธอเคยชินกับการใช้ชีวิตกับคนรู้ใจมากกว่าปรับตัวเรียนรู้โลกไปพร้อมๆเพื่อนเมื่อเดินเข้าสู่โลกอุดมศึกษา แล้วต่อมาเหลือตัวคนเดียวเพราะคนรู้ใจถูกพรากจากโลก ผนวกกับการเติบโตมาแบบคุ้นชินกับการทำอะไรคนเดียวเพราะความเป็นลูกสาวคนเดียว เป็นพื้นฐานที่เชื่อมโยงไปสู่การสอบตกครั้งแรกในชีวิตของเธอ
วิธีเรียนก่อนเข้าสู่ระดับอุดมศึกษาของเธอนั้น ไม่ได้ฝึกฝน สุ จิ ปุ ลิ อย่างจริงจังเท่าไร การสอบเป็นการฝึกความจำทั้งสิ้น มีแต่วิชาที่ชอบที่เธอได้ใช้ทักษะ สุ จิ ปุ ลิ ได้ครบเต็ม แต่วิชาที่ชอบนั้นมิใช่วิชาที่เป็นเรื่องราวของวิถีชีวิตแต่อย่างใดเลย เมื่อเข้าสู่บทเรียนทางการแพทย์เรื่องที่เรียนคือโลกอีกใบหนึ่ง เป็นโลกแห่งเรื่องราวในวิถีของผู้คน เธอจึงจนแต้มโดยไม่ทันรู้ตัว และนี่คือเหตุผลที่ทำให้สอบตก
ความไม่คุ้นกับการนำเอา สุ จิ ปุ ลิ มาใช้งานจนคล่องกับทุกเรื่องทั้งที่ชอบและไม่ชอบผนวกกับพื้นฐานชีวิตที่มีมาในเรื่องการปรับตัว ทำให้เธอเรียนวิชาเวชกรรมป้องกันนี้ไม่รู้เรื่อง เธอไม่รู้ว่าเธอรู้อะไร มันเป็นอะไรที่กว้างมากๆในความรู้สึก ในตอนนั้นเธอไม่รู้ว่าแก่นที่ครูแพทย์อยากให้เธอรู้และเรียนจากวิชานี้คืออะไร จะเรียนไปทำไมไม่รู้ด้วยซ้ำ ในขณะที่เพื่อนรู้และเข้าใจด้วยเขาเรียนรู้ผ่านกลุ่มแบบเพื่อนช่วยเพื่อน แต่เธอปฏิเสธการเข้ากลุ่มกับเพื่อนโดยเธอก็ไม่รู้ตัว
เธอแปลกใจกับตัวเองที่ไม่รู้สึกเสียใจตอนที่รู้ว่าสอบตก จำได้ว่าเป็นความรู้สึกแปลกใจกับตัวเอง และไม่สบายใจกับความรู้สึกของพ่อซะมากกว่า ปิดเทอมแรกของการเป็นนักเรียนแพทย์ เธอจึงไม่ได้กลับบ้านไปเยี่ยมพ่อและน้าสาวที่รักและนับถือ คิดถึงบ้านก็คิดถึงแต่ทำยังไงได้เล่าในเมื่อมีเรื่องซ่อมคะแนนที่สอบตกให้ผ่าน
โชคดีที่ครูแพทย์สอนถูกกับจริตของเธอ ไม่จู้จี้ ใจกว้างและหยวนกับการลงมือเรียนรู้เพื่อซ่อมคะแนนของเธอ ครูท่านให้โจทย์ว่าไปทำอะไรก็ได้ที่อยู่ในเรื่องราวของวิชาที่ซ่อม เสร็จแล้วให้ทำเป็นเล่มมาส่งตามเวลาที่กำหนด เธอใช้เวลาปิดเทอมนั้นค้นคว้า ศึกษา ฝึกเขียน จนเริ่มรู้จักวิชานี้ดีขึ้น การซ่อมคะแนนผ่านไปด้วยดี
การวางความสัมพันธ์กับเพื่อนชายไว้แค่เพื่อน ทำให้เธอใช้ชีวิตเคียงบ่าเคียงไหล่กับเพื่อนชายชนิดไปไหนไปด้วยเสมอ ส่วนใหญ่ต้องจริตกับการไปดูหนังกำลังภายในยามดึกร่วมกันหรือยืมหนังสือกำลังภายในแลกกันอ่าน ไปกันเป็นฝูงชนเลยนะ สิบคนเห็นจะได้ แล้วเธอก็เป็นเพียงหนึ่งหญิงที่อยู่ในกลุ่มซะด้วย
ความเป็นคนที่ไม่วิจารณ์ใคร วางตนอยู่เงียบๆ ฟังเพื่อนพูดมากกว่าพูดให้เพื่อนฟัง ทำให้เพื่อนไว้ใจ จนมีเพื่อนบางคนมาเปิดใจขอให้เป็นศิราณีด้วยก็มีนะ เชื่อมั๊ยว่ามีเพื่อนหญิงมาสารภาพความในใจที่มีต่อเพื่อนชายให้ได้รับรู้ แล้วเธอก็ลุ้นให้เจ้าหล่อนกล้าเดินเข้าไปบอกความในใจกับเพื่อนชาย ทำความเข้าใจด้วยตัวเองจนกระทั่งทั้งคู่สามารถวางความสัมพันธ์ที่เหมาะสมต่อกันฉันเพื่อน ไม่มีใครถูกความรักทำร้ายจนเกิดบาดแผลในใจมาจนกระทั่งถึงวันนี้
การข้ามฟากไปเข้าเรียนแพทย์ ทำให้ชีวิตในที่พักของเธอเปลี่ยนไปจากเดิม วันธรรมดาเธอต้องปรับตัวกับผู้คนที่หลากหลายทั้งเพื่อนรุ่นเดียวกันและรุ่นพี่เพศเดียวกัน แล้ววันหยุดเหมือนปิดสวิทช์ให้กลับมาสู่การปรับตัวอยู่โดยลำพังสลับกันไป ก็เพื่อนและรุ่นพี่นะเขามีบ้านตัวเองหรือบ้านญาติสนิทในเมืองกรุงกันเป็นส่วนใหญ่ เธอปรับชีวิตเด็กหอที่ต้องอยู่กับความเงียบในวันหยุดให้มีสีสันด้วยการออกท่องชมไปตามพื้นที่ต่างๆของเมืองกรุง ตลาดนัดสนามหลวงคือที่หมายแรกและไปบ่อยเพราะอยู่ใกล้ นานๆเข้าก็กล้าท่องออกไปไกลๆจนถึงใจกลางเมือง นี่เป็นเหตุให้เธอคุ้นหนทางในกรุงเทพฯหลายแห่งทีเดียว
การที่พ่อแม่ให้บทเรียนการเดินทางมาแต่เด็ก และปล่อยให้เดินทางจากบ้านมาถึงเมืองกรุงตามลำพัง มาจนถึงการได้นำพาตัวเองออกไปตามที่ต่างๆในวันหยุดตามลำพังบ้าง ไปกับเพื่อนบ้าง ผนวกกับการได้ปรับตัวอยู่กับผู้คนวัยเดียวกันมาระยะหนึ่งด้วยความสนุกสนาน ได้หล่อหลอมให้เธอกล้าปลดเปลื้องความกลัวคนแปลกหน้าทิ้งไปทีละนิดๆ เธอเปลี่ยนเป็นคนกล้าถามเมื่อรู้ว่าตัวเองหลงทางหรือไม่รู้ทาง เธอกล้าที่จะเดินท่องไปตามถนนตามกำลังกายที่มีจนคุ้นเคยและปฏิบัติได้อย่างมั่นใจ เธอกล้าที่จะเดินเข้าไปถามคนแปลกหน้าที่เธอไม่รู้จักอย่างมั่นใจและวางใจ นี้คือบทเรียนการลงมือตัดสินใจที่เธอได้มาจากวิถีชีวิตที่สอนเธอแบบไม่สอน
ผู้คนในสังคมมักจะเอ่ยน้อยใจชีวิตเมื่อเอ่ยเรื่องความมีความจน แต่เธอกลับไม่รู้สึกน้อยใจกับมันเลยสักนิด เธอแค่รู้สึกไม่สบายใจกับการที่ได้รับรู้เรื่องราวว่าครอบครัวมีหนี้ การรับรู้เรื่องราวนี้ทำให้เธอตัดสินใจที่จะเรียนให้จบและมีอาชีพเลี้ยงตัวให้ได้เร็ว เป็นการตัดสินใจที่เกิดขึ้นจากความรักที่มีต่อพ่อ ใช่แล้วเธอผูกพันกับพ่อมากกว่าแม่ ใช่แล้วเธอเป็นคนหนึ่งที่เรียนจบชั้นอุดมศึกษามาด้วยเงินกู้เพื่อการศึกษาจากธนาคารในถิ่นบ้านเกิด
เธอเพิ่งรู้เมื่อเติบใหญ่แล้วว่าความรู้สึกนี้เกิดขึ้นจากเธอสัมผัสว่าแม่มีโลกของตัวแม่เองเสมอเมื่ออยู่กับเธอ เมื่อแม่อยู่ในโลกของแม่เอง เธอรู้สึกว่าแม่ไม่เคยรับรู้อารมณ์และความรู้สึกของเธอ แถมในบางครั้งเมื่อแม่ตกอยู่ในร่องอารมณ์โกรธ เธอถูกทำร้ายโดยแม่เองไม่ได้ตั้งใจซะด้วย ความกลัวต่อผลที่เกิดจากร่องอารมณ์ของแม่ทำให้เธอรักษาระยะห่างของตัวเธอจากแม่ ต่างจากพ่อที่เมื่ออยู่กับเธอ ตลอดเวลาเหล่านั้นเธอรู้สึกว่าพ่อกับเธออยู่ในโลกใบเดียวกันเสมอ
เมื่อเธอออกจากโลกใบน้อยที่บ้านเข้ามาสู่โลกที่กว้างกว่าอย่างเมืองกรุง พ่อแม่ได้ให้บทเรียนแรกเรื่องการบริหารเงินกับเธอ การได้รับรู้เรื่องราวหนี้ของครอบครัว ผนวกกับการรับรู้ว่าอยู่ไกลบ้าน หาผู้ช่วยเหลือด้านการเงินได้ไม่ง่ายนัก ทำให้เธอฝึกฝืนการตัดสินใจตามใจตัวในเรื่องการใช้จ่าย ทั้งสิ่งที่พบพานในเมืองกรุงนั้นมิใช่สิ่งที่เธอรู้สึกสนุกกับมันจนอยากเป็นเจ้าของ เธอจึงสอบผ่านบทเรียนที่พ่อแม่มอบให้นี้ไปด้วยดี บทเรียนนี้ไม่เท่าแต่เธอจะได้เรียนวิธีบริหารเงิน หากแต่เธอยังได้เรียนวิธีจัดการความต้องการของตัวให้ลงตัวได้ด้วย
เธอจำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งที่เธออยากจะได้เสื้อตัวสวยมาสวมใส่ แต่เสื้อตัวนั้นจะได้มาต้องซื้อผ้าแล้วหาช่างตัดให้ ความยากก็คือการหาช่างที่ตัดเสื้อด้วยราคาถูกให้ได้ เธอจึงต้องชั่งและวัดใจตัวเองอยู่หลายรอบ จนกระทั่งได้คำตอบกระจ่างใจ แหละนั่นทำให้เธอปฏิเสธที่จะซื้อผ้าชิ้นนั้นติดมือกลับมา เพื่อนที่อยู่ด้วยกันชมว่า เก่ง หากเป็นเขา เขาคงใจอ่อนซื้อมันมา มันทำให้เธอเอ๊ะเหมือนกัน การตัดสินใจแค่นี้ของเธอ เธอว่ามันง่ายออก แต่ทำไมเพื่อนเขากลับว่ายากก็ไม่รู้
ชีวิตนักเรียนแพทย์ไม่ใคร่มีอะไรหวือหวามากนัก เวลาส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับตำราเรียนที่บรรจุความรู้ต่างๆไว้มากมายและละเอียดยิบไปหมด เรื่องจริงนี้ยังเป็นอย่างนั้นอยู่จนกระทั่งปัจจุบัน การที่เธอเลือกที่จะใช้ชีวิตในวันหยุดอย่างที่เล่าไปแล้วช่วยเพิ่มสีสันให้กับชีวิตของเธอ ยามเพื่อนกลับบ้านต่างจังหวัดแล้วกลับมาพร้อมอาหารแห้ง-อาหารปรุงสุกซึ่งที่บ้านให้หอบหิ้วมาที่หอแพทย์ เป็นอีกสีสันหนึ่งที่ทำให้ชีวิตในหอของเธอเป็นความสนุก เธอได้เรียน ได้เล่น ได้ลงมือทำกับข้าว หุงข้าวบ้างอย่างรู้สึกดีกับมันจนกระทั่งเรียนจบออกมานะแหละ
เช่นกันที่ชีวิตในมหาวิทยาลัยของเธอมีเพื่อนเป็นครู จากการเรียนเพียงลำพัง แล้วถูกนำมาสู่การเรียนร่วม อยู่ร่วมกับเพื่อนทั้งหญิงและชาย ทำให้เธอได้เห็นวิธีเรียนของเพื่อนชายที่ทำให้เธอเอ๊ะ เอ๊ะกับการที่ได้เห็นเพื่อนนอนหลับในห้องเรียนแล้วตื่นขึ้นมาพร้อมกับความสามารถที่ตอบคำถามครูแพทย์ได้ด้วย เอ๊ะกับการที่เห็นคนที่ไม่เรียนแค่เพียงขอยืมสมุดเพื่อนไปอ่านก็สามารถสอบได้ดี
เอ๊ะทำให้เกิดการปรับตัวของเธอไปสู่การลองทำดูด้วยนะ แล้วตั้งแต่นั้นเธอก็ผ่อนคลายกับการเข้าเรียน รู้จักกล้าหลับจริงๆเมื่อง่วงในห้องเรียน รวมทั้งทำให้เธอกล้าก้าวข้ามไปสู่การให้เวลาไปกับการเรียนเรื่องอื่นๆนอกห้องเรียนมากขึ้นอีกด้วย
โลกของกิจกรรมนอกห้องเรียนเริ่มเข้ามาสู่วิถีชีวิตในระหว่างเรียน และนั่นทำให้เธอได้รู้จักการฝึกคิดเพิ่มขึ้น ได้แลกเปลี่ยนความคิดและรู้จักกับการเมืองลึกเข้าไปอีกก้าว การมีวิถีเยี่ยงนี้กับเพื่อนทำให้เธอก้าวข้ามไปสู่การกล้าเปิดใจคุยกับเพื่อนชายได้อย่างไม่รู้สึกว่าเป็นเพื่อนคนละเพศซะด้วย มีเพื่อนชายบางคนสนใจเธอเยี่ยงเพื่อนต่างเพศด้วยนะ แต่เธอยังไม่สามารถปล่อยวางเรื่องราวที่เกี่ยวกับคนรู้ใจได้เลย การปิดกั้นตัวเองเอาไว้ทำให้เขาไม่กล้าเปิดใจบอกเรื่องราวในใจให้เธอรู้ เป็นเหตุให้เมื่อเรียนจบเธอไม่มีพันธะใจกับใครติดตัวมา
การเสี่ยงดวงเริ่มขึ้นเมื่อจบแพทย์ เป็นการผจญภัยอย่างหนึ่งภายใต้บริบทของความเป็นแพทย์ มีการแข่งคัดเข้าคัดออกโดยการจับฉลาก จับฉลากอะไรนะรึ จับฉลากเลือกที่ฝึกงานนะซิ สมัยนั้นนักเรียนแพทย์ส่วนใหญ่ไม่ใคร่อยากอยู่เมืองกรุง เพราะกลัวงานหนักหนึ่ง กลัวต้องอยู่ใกล้ครูแพทย์ต่อหนึ่ง และอยากออกไปลองฝีมือตนว่าพร้อมเป็นแพทย์รึยังหนึ่ง คนเก่งและคนไม่เก่งจึงต่างแย่งกันออกไปต่างจังหวัด ยกเว้นแต่คนที่ตั้งใจจะเป็นอาจารย์แพทย์ที่ไม่เข้าแข่งขันกับเขาด้วย
เธอจับฉลากได้ฝึกงานอยู่ในกรุงเทพฯ ซึ่งมีสถานที่ฝึกหลายแห่งมาก เป็นการฝึกที่ต้องผ่านหลายโรงพยาบาลใหญ่ ราชวิถี เลิดสิน สมเด็จเจ้าพระยา โรงพยาบาลเด็ก โรงพยาบาลประสาท พญาไท ล้วนเป็นโรงพยาบาลที่ต้องผ่าน ในตอนนั้นเพื่อนๆต่างเข้าใจว่านี่คือโอกาสที่เป็นโชคร้ายของเธอและเพื่อนๆอีกหลายคน แต่โชคร้ายนั้นเป็นโชคดีนะเพราะทำให้เธอได้ครูที่หลากหลายและได้ผ่านเข้าไปเรียนรู้จักโรงพยาบาลรูปแบบต่างๆอย่างบังเอิญโดยแท้
หลังจบแพทย์ฝึกหัด เธอก็ได้รับใบที่ยืนยันว่า เธอเป็นแพทย์แล้ว มีทั้งใบประกอบโรคศิลป์และปริญญาที่ถูกมอบให้ เธอได้เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรจากองค์พระประมุขเป็นครั้งที่สอง หลังจากครั้งแรกที่เธอได้รับจากพระองค์ท่านเมื่อครั้งเรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์จบลงในสองปีแรกที่เข้าเรียน ณ ที่แห่งนี้
ชีวิตหลังการเรียนมิได้จบลงอย่างที่คิด เมื่อเธอเริ่มต้นการเป็นแพทย์เต็มตัว เธอก็ต้องเข้าสู่การผจญภัยกับความรู้สึกอีกครั้ง คราวนี้มีลุ้นกับการมีโอกาสไปทำงานอยู่ตามชายแดนซะด้วย จะไม่เรียกว่าการผจญภัยได้อย่างไรในเมื่อมีเรื่องเสี่ยงดวง เหตุการณ์ผจญภัยนี้ผ่านเข้ามาในรูปความไวของการลงชื่อเลือกสถานที่ทำงานแล้วตามมาด้วยการจับฉลากเพื่อทำความตกลงกับเพื่อนต่างสถาบันหรือสถาบันเดียวกันที่เลือกที่แห่งนั้นเช่นกัน เสี่ยงดวงกันแบบใครดีใครได้เลยแหละ ในที่สุดเธอก็สามารถได้มาทำงานที่จังหวัดแห่งหนึ่งใกล้บ้านเกิด เธอโชคดีที่กลุ่มเพื่อนต่างสถาบันที่เธอเผชิญหน้าเป็นสุภาพบุรุษ กลุ่มเขาหลีกทางให้เธอและเพื่อนเมื่อเห็นว่าเป็นสตรี การเสี่ยงดวงของชีวิตอีกครั้งจึงไม่เกิดขึ้น
การเรียนรู้เมื่อทำงานในจังหวัดที่เลือกได้มีเพิ่มมาหลากหลายมาก ในปีต้นๆก็เป็นเรื่องของการตัดสินใจที่เด็ดขาดและรอบคอบ มีวินาทีที่ต้องตัดสินใจด่วนเข้ามาให้ได้ลองและส่วนใหญ่เป็นช่วงนอกเวลาราชการเสมอ บางเวลาได้ลองจนสว่างคาตาไปเลยก็มี เรื่องเรียนรู้อื่นที่มีอยู่อีกหลากหลายมุมนั้นมีเรื่องการบริหารความสัมพันธ์กับคนรอบตัวเพื่อการอยู่ร่วมที่ลงตัวนะเองที่เป็นมุมที่สำคัญที่สุดสำหรับความเป็นคนเป็นบทเรียนที่คนเป็นหมอใหม่อย่างเธอได้เรียนในวิถีการทำงาน ณ ที่แห่งนี้
ในปีปลายๆ ณ วันนี้ การเรียนรู้ความเป็นคนนี้ก็ยังไม่ได้สิ้นสุดลง หากแต่มีบทเรียนอันหลากหลายผ่านเข้ามาให้ได้เรียนตลอดมา ทั้งจากวิถีชีวิตที่ได้ดูแลผู้คนในโลกแห่งการงาน และจากที่เธอพาตัวเองเข้าไปรู้จักผู้คนในโลกนอกงานตามที่ต่างๆ การเรียนรู้ความเป็นคนนี้ใช่แต่เธอเพียงผู้เดียวเรียนอยู่รึไม่ น่าสนใจใคร่ครวญ ไตร่ตรองดูนะ
เธอขอมอบความดี ความงามแห่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตของเธอเป็นบรรณาการคารวะแด่ทุกผู้คนที่ผ่านเข้ามาในวิถิชีวิตของเธอที่ได้เป็นครูสอนสั่งทั้งโดยการสอนและการสอนแบบไม่สอนจนทำให้เธอเป็นเธอในวันนี้ได้ไว้ ณ ที่นี้ และขอมอบเรื่องราวแห่งอดีตนี้เป็นบรรณาการแด่ทุกผู้คนที่ได้ผ่านเข้ามาอ่านเช่นกัน
« « Prev : ตีแตกสวนป่า(4)-วัฒนธรรม
5 ความคิดเห็น
เขียนดีจริงๆ ขอรูปด่วน
ดูรูปพี่หมอเจ๊เพลิน เกือบลืม วี๊ด… วิ่ว…
(^_______^)
[...] ยืนยันต้นฉบับตามนี้แหละนะค่ะ [...]
สวยไม่สร่างเลยค่ะ
เพลินไปเลย นึกว่าดูสารคดี ชีวิตแพทย์หญิง…… น่ารักน่าชื่นใจเป็นที่สุดค่ะ