กลับมาบ้านก็เจอฝน
เมื่อไปเยือนเมืองเหนือ มีคนบอกว่าบันทึกเรื่อง ใช้ความกลัวเป็นครู นะเขียนย๊าวยาวจริง อันที่จริงบันทึกเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อถอดบทเรียนแห่งวิถีที่ฉันเองประสบมาซึ่งเป็นแรงผลักให้ตัดสินใจจะมาเหนือก่อนเฮฮาหกค่ะ
ฉันพบประโยชน์ของบันทึกว่า การได้ใคร่ครวญก่อนจะบันทึกมันออกมานั้นทำให้ฉันรู้จักตัวตน รู้จักความรู้สึกของตัวเองมากขึ้น ที่รู้สึกเยี่ยงนี้น่าจะเพราะว่าธรรมชาติของตนเองที่ผันผ่านเปลี่ยนแปลงไปมาในกลุ่มสัตว์สี่ทิศนั้นจะมีช่วงที่สวมบทความเป็นหมีอยู่ค่อนข้างนานกว่าบทอื่นๆ จะมีก็แต่ช่วงที่อารมณ์ภายในเร่าร้อนที่สวมบทกระทิงพุ่งชนคนอื่นบ่อยๆ การที่ฉันสวมบทเป็นหมีอยู่นานกว่าบทสัตว์อื่นๆนั้นอาจจะด้วยเหตุว่า ชีวิตที่ผ่านมานั้นต้องใช้ชีวิตอยู่ตามลำพังมากกว่าอยู่กับคนอื่น และช่วงชีวิตที่อยู่กับคนอื่นนั้นก็มิได้มีอิสระพอที่จะทำอะไรได้อย่างใจต้องการกระมัง จึงทำให้กลไกของโลกภายในสร้างภาวะปกป้องในตัวออกมาในรูปของสัตว์ตัวนี้
นอกจากประโยชน์ที่ว่าแล้ว ฉันยังพบว่าเมื่อได้มาอ่านย้อนทวนเมื่อเวลาผ่านพ้นไป บันทึกที่เคยเขียนไว้ยังช่วยให้ฉันได้เห็นมุมของการพัฒนาตนด้วยว่า มันดีขึ้น ย้อนซ้ำรอยเดิม หรือเป็นอย่างไรไปบ้าง เชื่อไหมว่า บางครั้งฉันทึ่งกับบันทึกตัวเองและอื้อฮือกับตัวเองว่า นี่บันทึกของเรารึนี่ คิดได้ขนาดนี้เชียว เขียนได้ดีขนาดนี้เชียว แล้วยอมรับกับตัวเองว่า ถ้าให้เขียนขึ้นใหม่ในเรื่องเดิมให้ได้อย่างบันทึกเก่านั้น ฉันไม่มีวันที่จะเขียนมันได้เหมือนอีก ทำให้เข้าใจและรับรู้ขึ้นเองว่าชีวิตและอารมณ์ในแต่ละวินาทีไม่มีทางเหมือนกันได้เลย ที่เป็นไปได้มีแต่คล้ายๆ ประโยชน์อีกเรื่องคือ มันเป็นเครื่องมือบอกว่า ใจเปลี่ยนไปอย่างไร การไหลกลับไปกลับมามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
ในบันทึกเรื่อง ใช้ความกลัวเป็นครูนั้น ฉันได้ตอบน้องรอกอดว่า “พี่ไปฝึกฝนตัวเองเพิ่มในเรื่องการท่องโลกในตัวมาค่ะ ไปหากระจกเงาอีกหลายๆบานที่ช่วยสะท้อนให้เห็นเรื่องในตัว ขอบคุณน้องนะค่ะ ที่เป็นกระจกหนึ่งที่ช่วยสะท้อนเงาให้พี่ได้เรียนรู้ตัวเอง ธรรมะมีอยู่แล้ว แต่จะเรียนรู้และเข้าถึงธรรมะและน้อมนำเข้ามาสู่ใจได้มากแค่ไหน ต้องเรียนรู้กรรมะที่ก่อเกิดให้มากเพียงนั้นเช่นกัน ดวงจิตประภัสสรจะส่องสว่างแวววาวแค่ไหน อยู่ที่รู้จักแก่นของศาสนาแค่ไหนจริงๆค่ะ ” จึงขอนำมาเกริ่นเล่าความใจง่ายที่ตกปากรับคำไปเจอพวกเราเหล่าพะ-ยา-บาลของน้องสร้อยกันก่อนเข้าเรื่องเล่าเกี่ยวกับคาถามหาระรวยที่เหล่าน้องพี่จาวเหนือเป่าจนต้องมนตร์ทิ้งเครื่องมือทำมาหากินไว้เจียงใหม่ บินกลับบ้านมาซะเฉยเลย มารู้ตัวตอนมนตร์เริ่มคลายนะจังงังที่กรุงเทพฯค่ะ
เบื้องหลังของความใจง่ายก็มีเหตุเชื่อมโยงกับบันทึกเรื่อง ใช้ความกลัวเป็นครูนะแหละค่ะ ที่ฉันบันทึกไว้ว่า ฉันยังต้องฝึกที่จะเรียนรู้จักกับความกลัวก็เพื่อนำตัวเองออกจากพื้นที่ไข่แดงของตัวเอง ด้วยการฝึกที่จะไม่ลงมือจัดการอะไร ไม่ลงมือควบคุมอะไร ปล่อยให้สิ่งต่างๆเป็นไปอย่างที่มันเป็นตามธรรมชาติ ไม่เข้าไปแทรกแซงเมื่อเกิดความกลัว เพื่อเรียนรู้พฤติกรรมตัวเองว่า ความมั่นใจและความรู้สึกต่อพลังอำนาจของตนในขณะที่ลงมือทำอย่างนั้น มันจะเป็นอย่างไร มันมีเบื้องหลังอยู่ว่า มีรังสีแห่งความกลัวที่ส่งออกมาจากบรรดาผู้ทำงานอยู่รอบข้างตัวฉันให้ได้รับรู้อยู่นะ
การได้เรียนรู้จักตัวเองผ่านประสบการณ์บางขณะ การสะท้อนคำถามกับตัวเอง การอ่านหนังสือที่มีประเด็นให้สะดุดคิด ทำให้ฉันเข้าใจซึ้งว่า ความกลัวเกิดขึ้นมาจากการปรุงแต่งต้นเรื่องจนเป็นเรื่องใหม่ เรื่องใหม่เกิดขึ้นเพราะมีการต่อ การเติม การแต่งเรื่อง แต่งสีสันให้เรื่องราว โดยใจรู้ไม่เท่าทันคำตอบที่เกิดขึ้นแล้ว มีคำตัดสินไปแล้ว โดยสมองคิดและสั่งไว้ก่อนแล้ว การมีคำตอบเกิดขึ้นก่อนโดยไม่สะกิดใจ การมีคำตอบที่เกิดขึ้นก่อนพูดคุยกับใคร การมีคำตอบในใจผุดขึ้นมาระหว่างถามใครนี่แหละค่ะ คือ”คำตัดสิน”
ก่อนหน้าจะรับรู้ว่า พลังที่สัมผัสอยู่รอบตัวนั้นเป็นเรื่องของความกลัว ฉันไม่เคยคิดเลยว่า พฤติกรรมของคนรอบข้างที่เห็นเกิดจากความกลัว คำตัดสินในใจนั้นมันบอกว่า เขาทำตัวเก่ง จนกัลยาณมิตรคนหนึ่งมาช่วยเขี่ยผงในลูกตาออกให้ตาเริ่มใสว่า ที่เข้าใจว่าเขาเก่งนั้นน่าจะไม่ใช่เรื่องคนเก่ง หากแต่เป็นเรื่องของคนหมดไฟ ฟังคำตอบแล้วใจแป้วเลยค่ะ อยากจะตัดสินไปอย่างที่กัลยาณมิตรบอกมาแต่ใจก็ยอมรับคำตอบไม่ได้ การต้องอยู่รอบข้างคนหมดไฟสำหรับฉัน ฉันรู้สึกเป็นทุกข์ค่ะ มันทำให้บรรยากาศการทำงานไม่สนุกเลย
ด้วยความเชื่อมั่นว่าคนทุกคนมีศักยภาพอยู่ในตัวหากได้รับการเจียระนัยนี่แหละ ฉันจึงเพียรพยายามเคี่ยวเข็ญให้เขาลงมือทำงานด้วยวิธีต่างๆ หากแต่ว่าพฤติกรรมที่ออกมาคือการไม่ตอบสนอง การไม่เต็มใจที่จะลงมือทำงาน การไม่เอ่ยปากบอกอะไรเมื่อป้อนคำถามขอความเห็น ฉันเคยเอ่ยปากเรื่องนี้กับบรรดาลูกจ้างหลายๆคนที่พูดคุยกันอย่างสุนทรีย์ได้ สุนทรีย์ในระดับที่บางคนเปิดใจนั่งร้องไห้เล่าเรื่องตัวเองให้ฉันได้รับรู้ เมื่อเขาฟังเรื่องราวที่ฉันเล่าให้ฟังแล้วเขาบอกฉันว่า คนที่ฉันเล่าถึงนั้นล้วนเป็นคนที่หน่วยงานอื่นๆเขาปฏิเสธแล้ว เขาจึงได้สมัครใจมาอยู่กับฉัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ฉันได้เจอกับเรื่องราวอย่างที่เล่าสู่กันฟัง ฟังแล้วสะท้อนใจค่ะ สะท้อนใจที่ว่า เหตุใดคนนอกหน่วยงานเขารับรู้ได้ถึงความปรารถนาดีที่ฉันอยากช่วยเขา หากแต่คนในหน่วยงานกลับคิดว่า ฉันคุกคามเขาเพราะต้องการเอาชนะ จนเกิดความกลัวแพ้จนต่อต้านไปได้
การเชื่อมั่นว่าคนพัฒนาได้ ทำให้ฉันเพียรหาวิธีกล่อมเกลาให้เขาเหล่านี้เปลี่ยนแปลงตัวเองด้วยวิธีที่ฉันเชื่อว่า นี่แหละใช่วิธีที่เหมาะสำหรับคนแบบนี้ ทำไปๆ พฤติกรรมที่ตอบสนองออกมาทำให้ฉันสะกิดใจกับเรื่องความกลัว ซึ่งทำให้ค้นพบว่า ฉันเองก็มีความกลัวอยู่ด้วย
เพิ่งมาชัดเจนกับใจเมื่อมองย้อนไปนี่แหละว่าแรงปะทะด้านลบจาก 2 ข้างนี่เองที่ทำให้เกิดรังสีแห่งความกลัวแผ่ซ่านออกมาจนเกิดบรรยากาศการทำงานที่ฉันไม่อยากเจอะเจอ เมื่อเข้าใจตัวเองชัดขึ้นๆ ฉันก็มองเห็นพฤติกรรมตนเองว่าฉันได้ตอบสนองความกลัวของตนเองออกมาในหลายรูปแบบกับคนเหล่านี้ ในระยะแรกๆทั้งคุกคามในรูปของการบังคับ การตามงานแบบกัดไม่ปล่อย และในระยะหลังๆเมื่อใจมันเหนื่อยมันก็หันมาใช้รูปแบบของการไม่เอาเรื่องเอาราว ไม่สนใจ มอบอำนาจให้ทั้งหมด ปล่อยให้เผชิญกับการถูกหน่วยงานอื่นๆตามงานแทน เพื่อดูแลสมดุลใจของตัวเอง
แต่ก็ดูเหมือนว่า รังสีความกลัวที่เคยสัมผัสจากคนเหล่านี้มันยิ่งเพิ่มขึ้น ตอนที่สัมผัสรังสีนั้น ใจที่เรียนรู้ของฉันมันสงบลงแล้วค่ะ ก็ไม่ได้สงบลงทั้งหมดหรอกค่ะ มันยังมีคลื่นและความแปรปรวนอยู่ การรับรู้ตัวเองว่ามีคลื่นในใจเรื่องความกลัว ทำให้ฉันหยุดบทบาทการบริหารคนและส่งผ่านการบริหารทั้งหมดคืนให้เจ้านาย ตอนที่ไปคืนงานให้เจ้านายนั้น ฉันก็ไปบอกตรงๆว่า “พี่ น้องไม่ไหวแล้วค่ะ ขอมาปรึกษาหน่อย” เจ้านายตอบมาว่า “รู้แล้วๆ ดีแล้วจะนัดเวทีให้คุยกัน เพราะต่างฝ่ายต่างมาบอกว่าเครียด” การคุยกันในรอบแรกนี่แหละค่ะ ที่เจ้านายสรุปบอกฉันอย่างมั่นใจว่า พวกเขากลัวฉัน เรียกว่า กลัวเราทั้ง 2 คน เลยแหละ เจ้านายบอกว่า ให้ผ่อนเวลาซะหน่อย เอาไว้นัดคุยกันต่อ ปฏิกิริยาตอบสนองของเขาทั้งหมดที่อยู่ในวันนั้นที่เจ้านายนำมาใช้สรุปว่าเป็นความกลัวก็คือ เงียบกับทุกคำชวนที่เจ้านายโยนไปกวนให้พูดให้เล่าออกมา มีแต่ฉันที่เป็นคนเริ่มพูดในประเด็นที่ฉันอยากบอกความในใจให้เขารับรู้ และวันนั้นเช่นกันที่ฉันรับรู้ว่ามีคลื่นในใจที่คอยทำให้ฉันพะวงหากจะมีการคุยกันในรอบต่อไป
มันคืออะไร มันคือความกลัวคลื่นในใจที่พะวงอยู่ ฉันรู้สึกว่า หากเกิดวงสนทนาในครั้งต่อไป ความอึดอัดในใจมันจะทำให้ฉันอดใจไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมาต่อหน้าเจ้านายและพวกเขา ฉันกลัวว่าข้ออึดอัดใจที่มีจะทำให้คำพูดที่ออกมาด้วยความรู้สึกสดๆไปกระทบกระทั่งให้เขายิ่งกลัวมากขึ้น ฉันกลัวว่าความไม่นิ่งพอในใจจะทำให้ฉันฟังไม่ได้ตลอด จนต้องพูดออกมาก่อนอีกแล้ว ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาบอกตัวเองว่าต้องหาที่พาตัวออกจากบรรยากาศอย่างนี้ เพื่อเตรียมตัวซะแล้ว เพื่อจะไม่ทำให้สิ่งที่ฉันทำลงไปด้วยความตั้งใจดีพลาดพลั้งไปทำร้ายเขาเข้าให้อีก
คงต้องขอบคุณเรื่อง BAR ของเฮฮาหกที่มีความไม่แน่นอนเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของกำหนดวัน ทำให้เกิดการตัดสินใจว่า ฉันน่าจะไปเชียงใหม่และจะเลยต่อไปเชียงรายก่อนถึงเวลาของเฮฮาหก เผื่อว่าจะไปร่วมเฮฮาหกไม่ได้ อย่างน้อยมาก่อนก็ยังได้แอ่วอยู่ สรุปได้ก็ยกหูโทรหากัลยาณมิตรที่เชียงใหม่ปรึกษาว่า ฉันจะมาเชียงใหม่แล้วจะเลยไปเชียงรายก่อนโปรแกรมเฮฮาหก เพียงแต่ยังเล็งๆว่าจะเป็นช่วงไหน ถ้าไปเชียงรายไปด้วยกันไหมจะได้มาที่เชียงใหม่แล้วไปด้วยกัน ตอนที่ตกลงในหลักการกันได้ก็ยังไม่ได้ตกลงใจเรื่องเวลา แล้วจู่ๆก็มีหนุ่มช่างเอาใจโทรมาชวนไปทำงานด้วย บอกตรงๆว่า เอ๊ะ! ในใจค่ะ แม้ว่าจะเอ๊ะ! แต่ด้วยโจทย์ที่ตั้งไว้แล้ว เลยใจง่ายตามคำชวนค่ะ รับปากทั้งๆที่มีงานที่นัดหมายไปแล้วกับหลายฝ่ายเรื่องเตรียมงานการประเมินคุณภาพโรงพยาบาลไว้ในวันที่ 8 ต.ค. เป็นประธานที่ประชุมซะด้วย
ตอนที่รับปากนั้น ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่า มีตั๋วเครื่องบินอยู่ในมือแล้วพร้อมออกเดินทาง แค่ไปจัดการตั๋วกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ให้เหมาะก็ได้แล้ว ค่าใช้จ่ายตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร คิดแต่ว่า เออ! มาดูเขาหน่อยเขาทำกันยังไง พี่เขามีทีมอยู่แล้ว ไปแล้วไม่ทำอะไรก็เข้าร่วมกลุ่มฝึกไปด้วยก็แล้วกัน จะได้รู้จักใจตัวเองมากขึ้น จะเดินทางวันไหนแน่ผ่อนๆดูงานปลายๆสัปดาห์ก่อนละกัน รอเจ้าลูกชายกลับมาเจอกันก่อนไปด้วย ตอนนั้นเจ้าลูกชายไปภูเก็ตค่ะ ส่วนคุณสามีกลับดึกทุกคืนเพราะติดงานเป็นกรรมการฝ่ายบัญชีของงานกินเจประจำปีของบ้านเกิดเขา ตอนเตรียมตัว ใจก็นึกไปว่า เฮ้ย! รับปากไปได้ไงนี่ เจ้าของหลักสูตรเขาไม่ได้บอกว่าจะขอตัวซะหน่อย เอาไงดี หนุ่มใจงามบอกไว้ว่า ไปคุยกันเองละกัน ฟังแล้วก็งงๆ คุยกันเองยังไงเล่า คนชวนคือท่าน แล้วพอฉันรับปากก็โบ๊ยให้ไปคุยกับเจ้าของหลักสูตร ธรรมเนียมอย่างนี้ที่ไหนเขามีกันเล่า
หลังจากรับปากไปแล้ว ขณะที่ใจมันห่วงๆอยู่ว่าเจ้าของหลักสูตรเขาจะรับตัวเรามั๊ยนี่ ก็มีเสียงนางฟ้าหวานๆ ส่งเสียงมาถามแบบไม่รู้ไม่ชี้ว่า ฉันจะไปเชียงใหม่รึ ฉันก็ตอบไปว่า จะไปอยู่แล้ว หนุ่มใจงามเขาชวนไปทำงานเป็นวิทยากร กะว่าบอกแบบเป็นนัยๆอย่างนี้ นางฟ้าจะตอบมาว่า จะเชิญเป็นวิทยากรค่ะ ที่ไหนได้กลับทำไม่รู้ไม่ชี้ไม่บอกอะไร ชวนคุยแค่ว่าจะไปเมื่อไร วันไหน จะไปที่ไหนบ้าง โอ๊ย! คนอะไร ไม่เซ้นส์เราซะบ้างเลยว่า กระอักกระอ่วนใจอยู่นะนั่น เอาวะ ไหนก็ไหนๆ มีคนโยนลูกไว้แล้วว่าให้คุยกันเองเรื่องการไปครั้งนี้ คุยก็คุย ก็เลยบอกไปเองว่า มีคนโยนลูกไว้ให้ถาม ก็ถามซิจะยั้งทำไม คุยตกลงเป็นอันเบ็ดเสร็จ จนได้บอกกล่าววันไปกับทุกคนว่าจะถึงเชียงใหม่วันอาทิตย์ โดยคนที่ชอบพูดว่า รักคุณเท่าฟ้า นั่นแหละ บอกแผนของตัวเองไปเสร็จสรรพว่า ไปก่อนแล้วจะไปแวะเยี่ยมครูอึ่งที่ลำพูนด้วย ตอนบอกนั้นคิดว่า จะใช้ปุเลงทัวร์ไปลำพูนเอง ไปเชียงใหม่ก็ว่าจะไปรถไฟจากกรุงเทพฯ จึงเผื่อวันเดินทางมาก่อนวันทำงานให้หลายวันหน่อยพอไม่ให้ตึง ที่วางแผนอย่างนี้แบบว่า อยากลองรสชาดการเดินทางแบบชาวบ้านเพื่อเปลี่ยนรสชาดชีวิตเท่านั้นแหละค่ะ จะเจออะไรก็ไม่เป็นไรอยู่แล้ว การมาแอ่วเหนือคราวนี้ เป็นครั้งแรกที่แค่ทำตัวให้ใจง่ายเข้าไว้แล้วพบว่า ได้อะไรตั้งหลายอย่างกลับมา ซึ่งจะเล่าต่อไปละกัน
บันทึกนี้แค่อยากจะบอกว่า เมื่อกลับจากเหนือถึงบ้านก็เจอฝน เป็นฝนที่แสนวิเศษที่ฟ้าส่งลงมาให้เป็นรางวัลกับสิ่งที่เจอะเจอในวันแรกของการทำงานหลังทริปยาว เป็นรางวัลให้ตัวเองที่เปลี่ยนแปลงไปได้อีกขั้น อะไรคือเรื่องราวเหล่านั้น จะขอไปเขียนเล่าในบันทึกใหม่นะค่ะ สำหรับยามรุ่งของวันนี้ ขอขอบคุณที่ชาวเชียงใหม่ได้ช่วยหนุนส่งให้ฉันได้วิวัฒน์ตัวเองไปอีกขั้น ขออานิสงส์แห่งเจตนาดีช่วยหนุนส่งชีวิตที่ดีงามให้กำเนิดขึ้นในโลกด้วยกันต่อไปค่ะ ขอกล่าวคำว่า “ยินดีเจ้า” แด่ชาวเหนือแซ่เฮทุกท่านค่ะ
Next : ก่อนที่ฝนจะหล่อเลี้ยงให้ใจได้ความชุ่มชื่น » »
11 ความคิดเห็น
เขียนได้ดีมากๆ ขอบอก
ชอบทั้งสาระ ชอบทั้งรูป เดี๋ยวค่อยมาใหม่นะครับ
มาสนับสนุนคำกล่าวของคุณหมอจอมป่วนค่ะ
ถ้าเราพิจารณาต่อเราจะเห็นว่าความกลัวก็มีที่มาจากความคาดหวัง จากความไม่รู้ จากความไม่แน่ใจ การปรุงแต่งสารพัด ฯลฯ สิ่งที่น่าชื่นชมคือการ”เห็น”ตามจริงค่ะ เพราะเมื่อเห็น และเข้าใจแล้วการเดินต่อไม่ยากเลย
พี่หมอเจ๊จับหลักสำคัญของการบำบัดทางจิตวิทยาได้นั่นคือคำว่า Non judgement เพราะถ้าเรามีการตัดสินอยู่ในใจเมื่อนั้นเราก็มีกำแพง มีผิดถูก มีเลวดี มีคาดหวัง มีคุกคาม แล้วเรากับเค้าจะไม่สามารถเข้าถึงจิตใจกันและกันได้เลย ซึ่งการทะลายกำแพงที่ง่ายที่สุดคือทะลายกำแพงใจของเราเองค่ะ เทียบกับพุทธศาสนาน่าจะคือคำว่าเมตตา
เพียงทำตัวให้ง่ายก็ทำให้เราค้นพบสิ่งดีๆได้มากมายเนาะคะ ^ ^
If you want to be happy,be. Leo Tolstoy
“ความกลัว” มีอยู่ในตัวของคนทุกคน
หลาย ๆ ครั้งที่ตัวเองจะเริ่มทำอะไร “ความกลัว” จะเกิดขึ้นในใจก่อนเสมอ ด้วยนิสัยของตัวเองเป็นคนที่ทำอะไรต้องให้ดีที่สุด พลาดน้อยที่สุด (ถึงไม่พลาดเลย)
ดังนั้นการทำงาน หรือการใช้ชีวิต ค่อนจะติดอยู่กับสิ่งที่กังวล หรือความกลัว
….
หลาย ๆ บทเรียนในชีวิตสอนให้เรา “ถอยมาหนึ่งก้าว” เพื่อพิจารณาตัวเอง
การถอยในครั้งแรกไม่ใช่จาก “ความผิดพลาด” แต่เป็น “ความพลัดพราก”
8 ปีของการจากไปของคนที่เป็นที่รักสูงสุดในบ้าน
สอนให้ได้เรียนรู้ของการที่ “เรา” ต้องมองคนที่อยู่ใกล้มากกว่าคนที่อยู่ไกล
สอนให้เราได้เข้ามาเรียนรู้ในใจของเราว่า “ชีวิต” เราต้องการอะไร
….
นับต่อจากนั้น การมองการใช้ชีวิต การมองการทำงาน เริ่มที่จะปรับเพื่อให้สามารถได้ทำในสิ่งที่เหมาะสม
แต่กระนั้น การค้นหาตัวเองในการใช้ชีวิต ในการทำงาน เราก็ยังอดไม่ได้ที่จะมองออกไปนอกใจตัวเอง มากกว่ามองใจตัวเอง
…..
การฟังเสียงคนรอบข้าง ทำให้เราสะท้อนใจในหลายเรื่องราวของชีวิต
การอยากได้ความสุขในชีวิตคืออะไร
ความสุขที่สุดในชีวิตต้องการแบบไหน
การงานในชีวิตที่คิดว่าทำให้มีความสุขเป็นรูปแบบใด
…..
นับต่อจาก 8 ปีนั้น
การเรียนรู้แบบจริงจังใจชีวิต “เริ่ม” เกิดขึ้น
จากการวิ่งหาความรักที่คิดว่าจับต้องได้จากผู้คนรอบข้าง จากสภาพแวดล้อม นอกกายใจตัวเอง…เริ่มกลับมาดูใจตัวเอง และคนที่อยู่ข้าง ๆ ชีวิตเราเอง….สบายใจ….
การกลับเข้ามามองงานตัวเองจากที่เคยทำเทียบได้แบบถวายชีวิต กลับมามองว่าจุดพอดีอยู่ที่ไหน (ถ้าเจอหมอจอมป่วนก่อน…คงจะถามตัวเองว่า “ขยันแบบโง่ ๆ ” หรือเปล่า)
…..
…..
…..
…..
ในการทำงาน “ความกลัว” ทำให้เราไม่กล้าเผชิญกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น การเรียนรู้ร่วมกันในองค์กร กลัวสิ่งที่จะ Feedback กลับมาในภาพลบ จึงพยายามทำสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับทุกคน
…..
แต่ …. ด้วยการเวลาที่ผ่าน ทำให้ได้มีเวลาย้อนคิดพิจารณาว่า สิ่งที่ทำนั้น เหมาะสม ถูกต้องหรือไม่
การพูดกันอย่างสุนทรียฯ ตอนนั้นคือการคิดว่าทุกคนต้องเข้าใจในความคิด ความอ่าน ข้อเสนอ “ของฉัน”
ยอมรับฉัน ฯลฯ
แต่ …. สิ่งเหล่านั้นทำให้ฉันเกิดการเรียนรู้ว่า “ฉันคิดไม่ถูก” (ไม่ใช่ถึงขั้นผิด) แต่การสุนทรียฯ มันควรจะเป็นการที่ทุกฝ่าย ได้ในสิ่งที่ถูกต้องตรงใจร่วมกัน
….
น้อง ๆ พี่ ๆ เพื่อน ๆ หลายคนที่เข้ามาคุยกัน “เรา” ไม่อยากเห็นน้ำตาของคนเหล่านั้น
เพียงแต่ว่า ทำอย่างไรที่วันหนึ่งการพูดคุยกัน เมื่อเกิดความเข้าใจ เกิดการ ลปรร. เราจะเปลี่ยนน้ำตา เป็นเสียงหัวเราะ เป็นความสุข ที่มาจากใจของทุกคน
ไม่ได้คาดหวังว่าจะเห็นภาพเช่นนั้น แต่ที่ “เภสัช” เรากำลังทำค่ะ และกำลังเกิดขึ้นค่ะ
….
“ความกลัว” จึงไม่ใช่สิ่งที่กลัวต่อไป
เพราะ เราไม่ติดกรอบ
เพราะ เราไม่แบ่งใจ
เพราะ เราเข้าใจ
เพราะ เราเรียนรู้จากข้างในใจเรา
เพราะ เราได้กัลยาณมิตรที่ดีงาม
…..
…..
แล้วสิ่งที่สำคัญ “เพราะ เรามีดวงจิตที่ประภัสสร” ร่วมกัน
….
ขอบคุณ”พี่หมอ”ในสิ่งดีงามที่มอบให้ค่ะ
พี่หมอเจ๊คะ..รออ่านต่อค่ะ
ที่จริงก่อนจะทำโครงการก็กลัวๆกล้าๆ เหมือนกันค่ะ
1 เพราะว่าไม่ได้เป็นอะไรในภาคส่วนของการจัดโครงการเลย ไม่มี authority ก็ทำให้ขั้นตอนการติดต่อติดขัดไปหมด(แบบราชการ) อาศัยลูกอึดวิ่งสู้ฟัดเท่านั้นเอง อะไรที่ไม่รู้ ถามๆๆๆๆๆ ฟังๆๆๆๆ ต้องเผชิญความกลัวถูกกระแหนะกระแหน ความกลัวถูกเสียดสีในทุกรูปแบบ
2 การจัดโครงการคราวนี้ ผ่ามิติ การจัดประชุมแบบวัฒนธรรมของคณะฯ ไปอย่างหมดจด และไม่เคยมีมาก่อน เป็นการช๊อคโลกของคนอยู่ในกรอบ ทำให้สร้อยเองก็ต้องผ่าด่านความกลัวไม่ได้รับการยอมรับอย่างมากด้วย
3 ความกลัวว่าชาวเฮ จะเข้าใจไหมว่าทำไมถึงเลือกชาวเฮ…และชาวเฮรู้ไหมว่าสร้อยคิดอย่างไร…
การผ่ามิติความกลัวต่อการคาดหวังของสังคมเป็นรื่องยาก ทั้งๆที่เสียงเหล่านั้นหยิบก็ไม่ได้ ชั่งน้ำหนักก็ไม่ได้แม้แต่ขีดกิโลเดียว
จริงๆแล้วที่สร้อยนึกถึงพี่หมอเจ๊ ..มาจาก บันทึก brainwriting ของคุณรอกอด…สะดุดตรงที่บอกว่า นำไปใช้ไม่ได้ผล…สร้อยเกิดความคิดปิ๊งแว๊บขึ้นมาว่า ชวนพี่หมอเจ๊มารู้จักพยาบาลดีกว่า…โชคดีเหลือเกินที่พี่หมอเจ๊ใจดี ยอมมา…อิอิ
บางเรื่องถ้าปล่อยให้ธรรมชาติเข้ามาจัดการ….ปล่อยให้วิถีของเราถูกโยนตัวไปมาตามธรรมชาติ เหมือนเวลานอนในเรือแล้วให้คลื่นมันโยนตัวเรือ..โยกเยกๆ…ความกลัวก็ลดลงได้..
ความคาดหวังที่เราไปรับมาแล้วเกิดยึดเหนี่ยวจนนึกว่าเป็นความคาดหวังของตัวเองนั้น ..จะต้องใช้เวลาบ้างค่ะในการค่อยๆแกะออกไป…
อิอิ…แต่ตอนนี้แอบใส่ความคาดหวังว่าพี่หมอเจ๊จะเขียนอีกหลายๆตอน…5555
#1 ทำการบ้านส่งใช้หนี้ที่ดูแลอย่างดีตลอดทริปค่ะ เช้ามารับ-เย็นมาส่งแบบว่าไม่ยอมให้คลาดสายตายังก๊ะเด็กนักเรียนเลย….เป็นครั้งแรกที่ไม่ต้องใช้ความคิดเลยว่าจะไปไหนดี…ได้ไปแต่ที่ชอบๆทั้งน๊านเลย..ขอบอก….อิอิอิ
#2 คลี่ความในใจที่เป็นอดีตไปแล้ว มาใส่ในบันทึกเล่าสู่กันฟังค่ะ ครั้งหนึ่งในชีวิตคือบทเรียนเล็กๆที่มีคุณค่าให้บันทึกไว้ย้อนอ่านค่ะพี่บางทรายขา
#3 ที่สำคัญก็คือ กำแพงนี้เราเองนั่นแหละที่พยายามที่จะก่อร่างสร้างมันขึ้นมาห่อหุ้มเนอะน้องเนอะ และความจริงที่”เห็น” ก็คือ มันเป็นกำแพงล่องหน ทำให้มีแต่คนที่ก่อมันขึ้นมาเท่านั้นที่มีพลังอำนาจพอที่จะทะลายมันให้ราบลงมา
#4 น้องจ๋า คิดถึงวันวานที่เราอยู่ร่วมบ้าน คิดถึงความอบอุ่น อ่อนโยนในใจที่เราได้พบพาน รับรู้เพื่อเก็บเกี่ยวความอิ่มใจให้คงอยู่หล่อเลี้ยงโลกภายในให้อวลไปด้วยความสดใส สุขสบาย เพื่อให้ใจสามารถก้าวต่อไปถึงพร้อมซึ่งความเป็นใจที่ส่องแสงสว่างดุจแก้วประภัสสรนะจ๊ะ นะจ๊ะ กอดและทักทายเจ้าแพนด้าด้วยเน้อะ
#5 จะเขียนไปเรื่อยๆตามที่ใจมันถอดบทเรียนได้และมีเวลา เขียนบันทึกแบบนี้มันต้องเป็นช่วงที่ความรู้สึกมันยังสดๆค่ะ น้องสร้อย พลังความรู้สึกสดๆที่อยากบันทึกไว้นี่แหละที่ทำให้เข้าใจความกลัวในใจ แล้วทำให้ เอ๊ะ! และ อื้อ! ว่า ไม่กลัวก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลย กลัวก็ไม่เห็นจะเป็นไรมากกว่า แล้วจะโง่กลัวไปทำไม ลงมือทำแล้วมันหายกลัวไปเองแหละ
บันทึกนี้ ให้ความรู้ และสามารนำไปปรับใช้ได้เป็นอย่างดีค่ะ