ก่อนที่ฝนจะหล่อเลี้ยงให้ใจได้ความชุ่มชื่น
ทุกนาทีเป็นเรื่องของการมีชีวิตและการดำรงอยู่ของตัวตน พฤติกรรมของคนที่ออกมาในทุกนาทีจึงเสมือนกำลังลงสนามอะไรสักอย่าง ความรู้สึกลึกๆในใจนี้เองที่ทำให้เกิด “คำตัดสิน” หรือ “คำพิพากษา” เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ เกณฑ์ที่ใช้ตัดสินมันก็เป็นไปตามมุมมอง/ความรู้สึก แล้วสรุปลงด้วยการให้ค่าตามที่ความรู้สึกนั้นๆชักนำ
ขอชวนให้ฝึกสังเกตความรู้สึกที่เกิดขึ้นในขณะหนึ่งๆของตนด้วยกัน มาเรียนรู้ร่วมกันว่า การสัมผัสกระทบกันระหว่างโลกภายนอกตัวและโลกภายในตัวนั่นแหละที่ทำให้ความรู้สึกเกิดขึ้น ความเร็วของการใช้ชีวิตในแต่ละนาทีทำให้คนแยกแยะจนเห็นจุดกระทบกันของโลกทั้ง 2 นี้ไม่ทัน เหตุที่แยกแยะไม่ทันนี่แหละที่ทำให้การกระทบกันของมันไปผูกโยงกับความจำหรือสัญญาเก่าๆที่มีเก็บซ่อนอยู่ในตนให้ปรากฏกาย สะกิดให้รำลึกรู้ ฉันเพิ่งเข้าใจว่าทำไมองค์พุทธะจึงสอนให้มี “สติ” ตอนนี้เอง
ความจริงแล้วการกระทบกันระหว่าง 2 โลกนี้ไม่ดีไม่เลว หากแต่การปรุงแต่ง ต่อเติม วาดสีสันให้การกระทบกันนี้ได้ไปกระทบอีกต่อกับความจำหรือสัญญาทำให้เกิดผลใหม่เป็นคำตัดสิน การมีสติจะทำให้คนเข้าใจและหาจุดกระทบระหว่างโลกภายนอกและโลกภายในของตนและตามไปจนได้เจอและรู้จักคุณสัญญาที่ซนเฮี้ยวที่สุดในใจตน เมื่อรู้จักก็จะมีโอกาสเรียนรู้จนรู้จักจริง แล้วโอกาสที่จะกล่อมเกลาปฏิสัมพันธ์ต่อกันจนมีความรู้เกิดขึ้นใหม่ ซึ่งเป็นการระลึกรู้ว่าความสมดุลและความพอเพียงแห่งตนคืออะไร ขณะที่ความสมดุลเกิดขึ้นนั้นความพอเพียงก็เกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกัน ความสงบในใจก็จะเกิดขึ้น ความสัมพันธ์กับคุณสัญญาที่แสนซนและเฮี้ยวนั้นก็จะเปลี่ยนตลอดไป หากคุณสัญญานี้คือความกลัว มันก็จะเป็นเพื่อนรักที่เป็น “ตัวช่วย” ให้กับการใช้ชีวิต ช่วยทำให้เกิดความสมดุลระหว่างพฤติกรรมสุดโด่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับชีวิต
บันทึกนี้จะเล่าเหตุการณ์ในวันแรกที่กลับไปทำงานให้ฟัง แตะพื้นสำนักงานก็เจอะเจอโจทย์ให้ได้ทดสอบใจ การรับรู้ทำให้รู้ว่าโลกภายในของฉันยังไม่นิ่ง รับรู้ว่าในใจมันยังมีคลื่นกระเพื่อมให้รับรู้เบาๆ การรู้ตัวนี้ทำให้ฉันได้สติ จึงขอนำคำอุทานสั้นๆที่ไปได้จากเมืองเหนือมาบอกว่า หากเอ่ยอุทานคำนี้ออกมา มันบอกว่ามีจุดกระทบกันระหว่างโลกภายนอกและโลกภายในเกิดขึ้นแล้วและได้มีการสนุ๊กต่อไปกระทบคุณสัญญาคนสำคัญของเราค่ะ
คำนี้รังสรรค์ขึ้นมาโดยหนุ่มใจงาม ที่มีความฝันจะเล่นไตรกีฬาให้ได้เมื่ออายุหกสิบค่ะ คำนั้นอุทานว่า “อึ๊” อย่าลืมนะค่ะ หากเผลออุทานคำนี้เมื่อไรรีบเตือนตนให้มีสติและค้นหาคุณสัญญาจอมซนและเฮี๊ยวซะให้เจอ จะได้กล่อมเกลาเขาจนเขาเข้ามาช่วยขัดเกลาดวงจิตประภัสสรของเราให้แวววาว ส่องสว่าง สวยงามสดใส
หลังจากเจอโจทย์แรก โจทย์สองก็ตามมา งานบริหารที่มอบหมายให้มีคนทำแทนระหว่างหนีเที่ยว ได้มีการจัดการไปแล้วทุกเรื่องเรียบร้อย หากแต่เอกสารราชการที่เกี่ยวข้องกับการจัดการที่ดำเนินไปแล้วนั้นทุกฉบับ ถูกมอบคืนกลับมาทั้งแฟ้มเพื่อให้ฉันลงนามสั่งการย้อนหลัง เหตุของการไม่ลงนามของผู้ที่ได้จัดการแทนไปแล้วนั้นติดอยู่แค่ ฉันยังไม่ลงชื่อในใบมอบหมายงานเป็นลายลักษณ์อักษรค่ะ ตอนที่พบกับโจทย์สองนี้ รับรู้ว่าไม่มีคลื่นในใจตัวเอง แต่ดูเหมือนจะมีคลื่นอึมครึมเล็กๆแวบมาให้จับต้องได้ค่ะ คำอุทานในใจที่ออกมาคือ “อือ” ความรู้สึกที่เกิดขึ้นต่อมาคือขำตัวเอง เมื่อคุณสัญญาที่เป็นเพื่อนรักมาทักทายชวนให้รำลึกถึงคำพูดของหลายคนที่เชียงใหม่และเชียงราย รับรู้อยู่ว่าใจมันหัวร่อ “หึ หึ” ดูทีรึเป็นยักษ์เป็นมารให้คนอยู่ใกล้กลัวได้ซะขนาดนั้น
ตอนที่รับรู้คลื่นอึมครึมได้ รู้ว่าได้หน่วงตัวเองไว้ก่อนลงมือทำอะไรต่อไป หน่วงเพื่อเลือกว่าจะทำอะไรดีระหว่างการเงียบกับการพูดถามเหตุผลของการไม่ลงนามในเอกสารราชการที่สั่งการแทนไปแล้ว แหละแล้วฉันก็เลือกลงนามในหนังสือมอบหมายงานโดยไม่พูดอะไร ส่งคืนเอกสารทั้งแฟ้มให้น้องลูกจ้าง แฟ้มถูกนำไปส่งมอบให้เธอดำเนินการลงนามในเรื่องที่สั่งการไปแล้วให้เรียบร้อยโรงเรียนหนังสือราชการ แล้วก็ไปเจอโจทย์สามเข้าให้อีกโจทย์ เล่าไว้แล้วว่าก่อนหนีไปเที่ยว ฉันมีงานประชุมนัดหมายที่เมื่อตกลงใจหนีเที่ยว การประชุมก็เลื่อนไปด้วยเหตุผลเดียวว่าประธานไม่อยู่ อันที่จริงแล้วเวทีประชุมนี้ประธานตัวจริงคือเจ้านายค่ะ มีแค่ครั้งแรกที่มารับตำแหน่งเท่านั้นที่ท่านมานั่งเป็นยักษ์หัวโต๊ะค่ะ หลังจากนั้นทุกครั้งฉันนั่นแหละที่กลายเป็นยักษ์หัวโต๊ะแทน การมีเรื่องคั่งค้างที่ต้องดำเนินการต่อในเรื่องเชื่อมโยงแผนงานระหว่างงานพัฒนาคุณภาพทั้งระบบ กับงานนโยบาย และงานพัฒนาเครือข่ายสถานบริการ ทำให้ฉันไปพบกับนักวิชาการในอีกหน่วยงานเพื่อขอข้อมูลในการวางตำแหน่งการทำงานของเธอที่เกี่ยวข้อง
คุยไปคุยมาน้องหมอหัวหน้าของเธอเข้ามาแทรกแล้วขอตอบแทนพร้อมกับบอกว่า เขาฟังเหมือนฉันกำลังต้อนลูกน้องของเขาเข้ามุม ฉันจึงบอกน้องหมอไปว่า ฉันมาขอรายละเอียดในส่วนที่ฉันไม่ได้ไปรับรู้จากเวทีประชุมที่น้องนักวิชาการเขาไปมา มาขอข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจ และไม่ใช่ข้อมูลที่เขากำลังบอก เขาจึงจากไป แล้วฉันก็คุยกับเธอต่อ ระหว่างการคุยถามไถ่แล้วยังไม่ได้คำตอบ ฉันได้เปลี่ยนคำในคำถามไปเรื่อยๆ ด้วยเข้าใจว่า ฉันคงมีปัญหาในการสื่อสารและการใช้คำ คนฟังจึงยังไม่เข้าใจว่ากำลังถามเรื่องอะไร คำตอบที่สร้างความเข้าใจให้แก่ฉันจึงยังไม่ได้ยินจากปากเธอ แถมเธอยังหลุดปากมาว่า หมอกำลังคาดคั้นหนู คำพูดคำนี้มันสะท้อนใจฉันมาก เสียใจจนน้ำตารื้นและแทบร้องไห้ออกมา รู้ตัวว่าเสียงเครือค่ะ
ความรู้สึกตอนนั้นคือ โอ้ว่านี่ตัวเราจะพูดถามใคร ไม่ได้แล้วหรือไง พูดกับใครก็ไม่ได้แล้วหรือไง ทำไมการพยายามสื่อคำพูดเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันกับความหมายที่ฉันกำลังพยายามสื่อ จึงกลับมีการตอบสนองที่ทำให้รู้สึกไปว่า ตัวเองนี่แย่ทุกทีไป จะทำงานต่อยังไงดีเล่านี่ จะทำงานโดยไม่พูดกับใครเลยก็เป็นไปไม่ได้ จะทำยังไงๆๆ ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่าความเสียใจที่รู้สึก คือ รูปหนึ่งของความกลัวในใจ ความรู้สึกแย่ๆนี้คงอยู่เป็นครู่แล้วหายไปตอนไหนฉันไม่รู้ รู้แต่ว่ามันหายไปสิ้นเมื่อจู่ๆมีคำตอบผุดขึ้นมาให้รับรู้และบอกว่า ที่จริงเธอให้คำตอบออกมาแล้ว หากแต่ฉันฟังได้ลึกไม่พอ จึงรับรู้ไม่ได้ว่าคำตอบนะเธอพูดออกมาแล้ว การรับรู้นี้ ทำให้คำว่า “อ้อ มันเป็นอย่างนี้เอง” หลุดออกมาในใจ พอคำนี้หลุดออกมา ไอ้ที่รู้สึกแย่ๆอยู่มันหายไปสิ้นค่ะ เห็นตัวอย่างมั๊ยว่าการแตะกระทบระหว่างโลกภายนอกกับโลกภายในที่ไปชิ่งแตะต่อกับสัญญาที่หมายจำอันแสนซนและเฮี้ยวนั้นมันเกิดอยู่เรื่อยๆนี่เพียงแค่ครึ่งวันเช้าฉันก็ผ่านโจทย์ทดสอบการแตะกระทบเหล่านี้เข้าเต็มเปามาตั้ง 3 โจทย์เข้าไปแล้ว เฮ้อ!
หมายเหตุ แอบไปยืมรูปสวยๆมาจาก Bloggang.com ค่ะ ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ
Next : รับ….เรียน…รู้…เข้าใจ » »
6 ความคิดเห็น
เป็นความลึกซึ้งของการค้นพบตัวตน….ประเสริฐแท้
เป็นเส้นทางที่ทดสอบหลักการที่ค้นพบ… มันท้าทายเรา
เราคุ้นชินกับโลกภายนอกมาหลายสิบปี… ไม่ว่าใครๆก็คุ้นชิน
เรากำลังรู้ตื่นที่จะสวิงไปเรียนรู้กับโลกภายใน…ฝึกบททดสอบเหล่านั้น
พี่สนับสนุนให้ใช้เวลาหลุดออกไปจากโลกภายนอก(เช่นงานประจำ)บ้าง….เช่นไปเชียงใหม่
ปล่อยให้จิตได้สัมผัสความว่าง อิสระ และพบสิ่งแปลกใหม่บ้าง… จิตเขาได้พักผ่อนบ้าง
ยอดเยี่ยมที่เข้ามาเรียนรู้หมอเจ๊ คือเรียนรู้ตัวตนพี่เองด้วยครับ
พี่หมอคะ
อยากแลกเปลี่ยนค่ะ
…….
ถ้าเรามีจิตซึ่งคงไว้ด้วยความปกติ ความดีงาม
เราก็จะแก้ไขทุกอย่างให้เป็นไปด้วยดี
เหมือนที่ว่า “งานก็ได้แก้ไข ใจของเราก็รอด”
เราก็จะมองชีวิตผ่านการเรียนรู้ อย่างสวยงาม
……
เหมือนที่เคยถกกันหลายครั้งหลายคราว่า
“เราต่างมีสัญญาเก่า” ทั้งที่ตัวเรารู้ และคนอื่นเห็น
…..
ในภาวะที่เรา “วิ่ง” ไปข้างหน้า หาเหตุแห่งการเกิดเจอ
เราก็จะวิ่ง ๆ ๆ ๆ ขณะที่ คนข้างหลังเรายัง “เดิน” หรือหยุด
เราอาจจะลืมสัญญาเก่า…ที่เขาเคยมีกับเรา…
หรือถ้าเราไม่ลืม….แต่เรากำลังทำในสิ่งที่เราวิ่งหาเจอ
แต่เขายังเดินค้นหา หรือไม่เคยเดินเลย
…..
อย่างพี่หมอว่า “การหน่วง” ทำให้เรามีโอกาสได้คิด ได้พักเบรคตัวเอง
เหมือนการทบทวนตัวเองต่อสิ่งที่คิด สิ่งที่จะกระทำ อาจทำให้เกิดการวางได้ (แม้จะไม้สิ้นเชิง)
…..
การทบทวนตัวเอง รู้จิตตัวเอง หมายถึงการมีสติ เป็นสิ่งที่ดี
โจทย์ในชีวิตแต่ละข้อ สอนให้เราเรียนรู้ในความหลากหลาย
บทบาทแต่ละบทบาทที่เขาสมมุติให้ เราก็ต้องทำตามสิ่งที่สมมุติ
หลีกไม่พ้น หนีไม่พ้น เพียงเราจะแสดงบทบาทนั้นอย่างไร
พี่หมอ…ได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นจิตที่บริสุทธิ์
แสดงให้เห็นถึงความจริงใจที่มีในใจ อยากให้เขารู้หรือไม่ก็ตาม
หนูมีสิ่งหนึ่งที่อยากแชร์ตรงนี้ว่า …บางครั้ง…บางคน….
อาจมีสัญญาเก่าที่ว่า “พี่หมอ(เคย)ดุ” “พี่หมอ……”
ซึ่งคนที่ได้สัมผัสกับสัญญาเก่า อาจจะยังไม่ได้เรียนรู้ในความเปลี่ยนแปลง
ทั้งการงาน ทั้งส่วนตัว ดังนั้น “ต้นทุนใจ” จึงไม่เท่ากัน
ในขณะที่พี่หมอวิ่งไป แต่คนอื่นยังเดินตาม
(วิเคราะห์จากตัวเอง กระมังคะ)
…..
แต่…..พี่หมอก็มองเห็นตัวอง เห็นสติ นำไปสู่การปฏิบัติได้
กระบวนการที่เราได้เรียนรู้ร่วมกัน ไม่ว่าจะ……
จากงานเฮฮาฯ
จาการพูดคุยแลกเปลี่ยน
จากการเรียนรู้ผ่านโลกเสมือน
จากการเรียนรู้ผ่านตัวอักษร
หรือการพูดคุยกับแบบตัวเป็น ๆ
มันช่วยหล่อหลอมจิตใจเราให้เกิดการเรียนรู้ภายในใจกันอย่างแท้จริง
อย่างที่หนูเคยคิดว่า
คนเราเปลี่ยนไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้น เราต้องยอมรับในความเป็นเขาให้ได้
แต่…เมื่อได้คุยแลกเปลี่ยนกันแล้ว หมอ 2 หมอก็ฟันธงว่า “เปลี่ยนได้” ไม่มากก็น้อย
คิด….
คิด….
คิด….
เราจะเปลี่ยนเขาได้ด้วยพลังจิตที่บริสุทธิ์ของรา
ถ้าเราเปลี่ยนโลกภายในใจของเราให้ดี
พลังจิตที่ดีของเราก็อาจสามารถส่งผลให้ผู้อื่นเปลี่ยนได้
ความคิดที่ดี ผ่านกระบวนการที่ดี ด้วย กระบวนกรที่ดี
จะส่งผลการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในใจได้….อย่างสวยงาม
….เป็นกำลังใจ….
….และคิดว่าอีกหลายคน ก็จะเป็นกำลังใจ…..
…. “เรา” จะเป็นกำลังใจให้ซึ่งกันและกัน
….เพื่อก่อให้เกิดความดีงามที่หล่อเลี้ยงชีวิตเราค่ะ
#1 พี่บางทรายค่ะ การจะทำให้จิตประภัสสรที่ขุ่นมัวลงโดยเหตุอะไรก็แล้วแต่ ต้องการขัดๆๆๆเยอะมากเลยนะค่ะ จึงจะแวววาว สดใส กว่าเดิม กว่าจะกระเทาะอะไรที่มาเกาะแล้วทำให้ขุ่น จนเกิดความใสปิ๊งสว่างและอบอุ่นนั้น ต้องการสติไว้หน่วงให้ตามเห็นคุณสัญยาจอมจุ๊นมากๆเลย กว่าจะขัดเกลาฝุ่นคราบไคลออกได้ ยังอีกยาวไกล การได้ใคร่ครวญและเรียนรู้เป็นสิ่งหนึ่งของการขัดๆๆๆ สำหรับน้องค่ะ เวลาคำตอบออกมาว่า อ้อ! มันโล่ง เบาขึ้นกว่าเดิม อาจจะเป็นเพราะใช้ความเป็นหมีมานาน ก็เลยติดเรื่องใคร่ครวญเน้อ
ดีใจที่ส่วนหนึ่งของชีวิตในวิถีของน้องที่ได้เล่าบอกออกมา ได้ทำหน้าที่เป็นกระจกส่องอีกบานให้พี่ค่ะ
การออกนอกพื้นที่ เช่น เชียงใหม่ สำหรับน้อง ก็เป็นวิธีหน่วงตัวเองวิธีหนึ่งค่ะ ใครจะลอกเลียนไม่หวงนะค่ะ น้องมีประสบการณ์ว่า การพาตัวออกนอกพื้นที่ ทำให้เรามีโอกาสเห็นตัวเองมากขึ้นชัดเจนขึ้น เมื่อมองทวนย้อนเหตุการณ์ ชาวเฮทำให้พี่ได้พบว่าพื้นที่เชียงใหม่ พิดโลก สวนป่า เป็นสังฆะที่พี่ปลีกวิเวกมาอยู่ร่วมได้ หากต้องการหน่วงตัวเองอีกค่ะ
สังฆะที่เราต้องการ คือ พื้นที่ที่มีเหล่ากัลยาณมิตรอันหลากหลายที่ยอมรับธรรมชาติของความเป็นตัวตนชองคนและปล่อยให้มีการเรียนรู้อย่างธรรมชาติ อย่างปลอดภัย และพื้นที่ของชาวแซ่เฮ คือ สังฆะที่เป็นเยี่ยงอย่าง
ยืดหยุ่น ไม่ยึกยัก อ่อนโยน ยอมรับและให้ใจต่อกัน คือ ลักษณะพิเศษของสังฆะแห่งเราค่ะ
แต่น้องคิดว่ามีสังฆะที่ดีกว่าสำหรับเรา สังฆะของคุณสัญญาทั้งหลายในตัวเรา ที่มีความอ่อนโยน และปลอดความกลัวนี่แหละค่ะ ใช่เลย
น้องจ๋า พี่ว่าสัญญา ก็คือ ไพ่ทั้งหลายที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิดนะแหละ จิตเราคือคนที่เล่นไพ่นี้กับเราอยู่ตลอดเวลา ชีวิตเราจึงเป็นเกมส์เหมือนการเล่นไพ่ มีตาร้าย ตาดี ตาเสีย อยู่ทุกวินาทีของชีวิต อยู่ที่ว่าดีมากกว่า หรือ เสียมากกว่า แต่ละรอบที่เล่นก็แสนสั้น การเชื่อมต่อเกมต่อเกมไวจนตามไม่ทัน ถ้าได้หน่วงก็จะมองเห็นรอบเล่นชัดขึ้นๆบ้างเน้อ ชำนาญเมื่อไรก็เซียนตัวจริงเลยหละ
จะรู้ว่าคุณสัญญาตัวจริงคือใครจึงหาใช่คนอื่นเห็นให้เราไม่ หากแต่เป็นเราเท่านั้นที่เห็นเอง คนอื่นเป็นได้แค่กระจกให้เราเห็นคุณสัญญาที่เรากำลังจะหาได้ง่ายขึ้น แต่มิใช่ผู้ร่วมหาคุณสัญญาด้วยกัยเรา
การเดินเพื่อค้นหาคุณสัญญาด้วยกันในรูปแบบการเรียนรู้ในชีวิตแบบชาวเฮจึงเป็นเรื่องดี เป็นรูปแบบที่ไม่แปลกแยกไปจากความปกติของสังคมในแง่มุมหนึ่ง และมีความแปลกในแง่มุมของการพัฒนาตนที่ไม่เหมือนใคร
ถ้าเราต้องวิ่งเพื่อค้นหาคุณสัญญา เราฝึกตนผิด เพราะการวิ่งทำให้เรามองไม่ทันว่าคุณสัญญาหลบอยู่ที่ไหน พี่พบว่าเมื่อพี่หน่วงตัวเองพี่กลับค้นหาคุณสัญญาเจอได้ง่ายขึ้น รู้จักคุณสัญญามากขึ้น การฝึกให้ช้าลงจึงเป็นเรื่องที่ควรกระทำต่อไปแล้วละน้อง ช้าลงด้วยการฟังให้มากขึ้น ช้าลงในการตอบโต้เมื่อยังฟังไม่จบ และจะไม่พูดก่อนใคร หากในที่นั้นพี่เป็นคนแก่ที่สุด คือ วิธีที่พี่จะใช้ต่อไปค่ะ ลองเอาเทคนิคกระบวนกรมาใช้กับตัวเองซ๊าหน่อย…อิอิอิ
เห็นด้วยและหนับหนุนกับคำกล่าว “เราจะเปลี่ยนเขาได้ด้วยพลังจิตที่บริสุทธิ์ของเราได้ เมื่อเราเปลี่ยนโลกภายในใจของเราให้ดี พลังจิตที่ดีของเราก็อาจสามารถส่งผลให้ผู้อื่นเปลี่ยนได้ ความคิดที่ดี ผ่านกระบวนการที่ดี ด้วย กระบวนกรที่ดี จะส่งผลการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในใจได้….อย่างสวยงาม”
….เป็นกำลังใจ….ให้เช่นกันค่ะ
….ซึ้งใจกับทุกคน ที่เป็นกำลังใจให้…..ต้องบอกว่าเรามีวาสนาต่อกัน เกื้อหนุนกันมาแต่ปางก่อนนะค่ะ…ชะตาจึงนำพาให้เรามาพบกันได้
…. “เรา” จะเป็นกำลังใจให้ซึ่งกันและกัน….เพื่อก่อให้เกิดความดีงามที่หล่อเลี้ยงชีวิตเราค่ะ
…เรามาเดินไปด้วยกันเพื่อพัฒนาตนและขัดเกลาแก้วประภัสสรของเราด้วยกันค่ะ…..
หมอเจ๊เขียนบันทึก อ่านง่ายขึ้น อิอิ
น้าอึ่งอ๊อบคุยเก่งขึ้น และเฉียบขาดขึ้น อิอิ
#6 มันเป็นเช่นนั้นเอง…อิอิอิ