รับ….เรียน…รู้…เข้าใจ
ประสบการณ์ที่ผ่านไปในครึ่งเช้าของวันแรกที่กลับไปทำงานทำให้ฉันเข้าใจการ “ฟัง” มากขึ้น และเรียนรู้ว่าฉันยังต้องฝึกการฟัง ฉันเริ่มเข้าใจว่าการฟังแบบนั่งฟังเงียบๆแต่ในใจมีคลื่น มีการแปล มีการคิดตามอยู่ในสมอง ฟังอย่างตั้งใจ ฟังและใคร่ครวญไปกับสิ่งที่ฟัง เป็นการฟังที่สมองทำงานก่อนหู ตา จะแตกต่างจากการฟังที่ใจได้ยิน ซึ่งเป็นการฟังที่หู ตา และใจทำงานก่อนสมอง ฉันไม่สามารถอธิบายให้เข้าใจได้นะค่ะ รู้แต่ว่าไม่เหมือน เหมือนๆกับที่จะอธิบายให้เข้าใจว่ารสขมเป็นอย่างไร อธิบายสิบชาติคนก็ไม่อ๋อ แต่คนที่ฟังนั้นจะอ๋อเมื่อเคยเอามะระแตะลิ้นตัวเองมาแล้ว อะไรปานนี้แหละค่ะ
ฉันว่าสัญญาที่เกิดขึ้นและสะสมขึ้นมาในใจคนทีละนิดๆนั้น เป็นผลพวงมาจากการกระทบกันของโลกภายนอกและโลกภายในซ้ำๆหรือต่อเนื่องเชื่อมโยงจึงเกิดคำตัดสินต่างๆนาๆตามมา การสั่งสมคำตัดสินในมุมลบอยู่เสมอนั่นเองที่เป็นพฤติกรรมทำให้จิตประภัสสรของคนหมองมัวและเต็มไปด้วยความกลัว ความเข้าใจนี้ทำให้ฉันรับรู้ว่า ความกลัวต่างหากที่เป็นต้นเหตุของความขัดแย้งทั้งหลาย ระดับของความกลัวต่างหากที่ทำให้เกิดพฤติกรรมในรูปแบบต่างๆรอบตัวที่จับต้องได้ ความก้าวร้าวรุนแรง ความขัดแย้งต่างๆที่พบเห็นอยู่รอบตัวทุกนาทีคือรูปความกลัวที่จับต้องได้
การปฏิเสธ การยอมรับโดยดุษฎีหรือหลีกหนีห่างก็เป็นรูปของความกลัว โกรธ ใจเต้น มือสั่น หน้าคว่ำ หน้างอ นอนไม่หลับ ร่ำไห้ คร่ำครวญ ประจบเอาใจ ด่าว่า เมินเฉย เงียบฟังแต่ในสมองมีแต่คำ “อึ๊ อึ๊ อึ๊” ล้วนใช่รูปของความกลัวได้ทั้งสิ้น ความกลัวทำให้เกิดคลื่นอารมณ์ในใจที่ทำให้จิตประภัสสรขุ่นมัวและคนรอบข้างก็รับรู้ได้ผ่านพลังของมันจนอยู่ไม่สุขเมื่ออยู่ใกล้ๆ
ในระหว่างร่วมการประชุมเรื่องทำอย่างไรให้การรักษาคนไข้วัณโรคมีคุณภาพที่สุดในภาคบ่ายอยู่นั้น หน้าห้องเจ้านายก็มากระซิบว่า เจ้านายขอเชิญหน่อย เมื่อปลีกตัวออกไป ฉันก็ได้พบว่าโดนเจ้านายถีบซะแล้ว เป็นการถีบเข้าสนามของโจทย์สี่ค่ะ โจทย์นี้แหละที่ทำให้ฉันตัดสินใจปลีกวิเวกไปตั้งหลักที่ภาคเหนือค่ะ
ในห้องเจ้านายมีบรรดาโจทย์สาวๆนั่งกันอยู่แล้ว รู้ตัวว่าใจมันกระตุกแวบหนึ่งทันทีที่ตาเห็น การได้เรียนรู้จากโจทย์สาม ทำให้ฉันบอกตัวเองว่า ให้ฝึกการฟังในเวทีนี้อีกครั้ง ฝึกฟังแบบว่าในสมองไม่มีโจทย์ใดๆอยู่ก่อน ฟังแบบไม่มีโจทย์ในหัวว่าจะตอบโต้ ฟังแล้วรับรู้กับสิ่งที่ได้ยิน ยอมรับหากจะมีตำหนิใดๆเอ่ยปากออกมาจากบรรดาโจทย์ทั้งหลาย แล้วฉันก็รู้จักว่าพลังอำนาจในขณะที่ลงมือทำอย่างนี้เป็นความมั่นใจ เป็นความกล้าที่จะเผชิญกับอะไรที่จะรับรู้ระหว่างการคุย เป็นความมั่นใจที่ไม่มีความรู้สึกอยากเอาชนะและไม่มีความรู้สึกแพ้ ฉันไม่ได้เฉยแต่นิ่งได้ เป็นการนิ่งที่ไม่มีอะไรอยู่ในความคิด รับความรู้สึกตัวเองได้ว่าไม่มีคลื่นความรู้สึกใดๆอยู่ แม้ใจจะกระตุกก็ไม่มีความรู้สึกวาบๆเกิดขึ้นไม่รู้สึกว่าชีพจรเต้นเร็วขึ้นขณะเผชิญหน้า
ฉันได้เรียนรู้หลังผ่านโจทย์สี่ว่า การฟังแบบไม่นำเอาโลกภายนอกมากระทบกับโลกภายใน การฟังที่เมื่อโลกภายนอกมากระทบกับโลกภายในแล้วสะท้อนไปสัมผัสคุณสัญญาที่เรียบร้อยและอ่อนโยนนั้น มันทำให้ฉันหัวเราะและยิ้มได้อย่างอัตโนมัติ ขอโทษได้อย่างไม่รู้สึกผิด ขอโทษได้โดยไม่มีความอยากให้ได้รับการให้อภัยตอบคืน ขอโทษได้อย่างไม่ใช่ตามมารยาท แต่เป็นการขอโทษที่อยากบอกด้วยใจยอมรับผลสะท้อนที่พฤติกรรมของตนไปทำให้ก่อเกิดขึ้น
บรรยากาศในโจทย์สี่ เป็นอะไรที่วิเศษสำหรับตัวเองค่ะ ไม่เคยมีเวทีไหน ที่เมื่อรู้ว่าคู่คุยเขากำลังโกรธแล้วฉันยังหัวเราะและขำออก เวทีนี้เป็นเวทีแรกที่ฉันยิ้มและทำอย่างนี้ได้ค่ะขอบอก
ขอยกตัวอย่างคำพูดมาเล่าให้ขำสักหน่อย คำพูดนั้นคือ “วันนี้ยอมตายถวายชีวิต เพื่อมาพูด เป็นตายอย่างไรก็จะพูดให้หมด” อ่านแล้วเดาเอาเองว่า ภาพวาดตัวฉันจากคนที่อยู่รอบข้างเป็นอย่างไร
คำพูดนี้ทำให้รู้ว่า เหตุใดคนรอบข้างฉันเขาไม่มีความสุข และฉันก็ไม่มีความปลอดโปร่งผ่อนคลายเมื่ออยู่ใกล้ๆเขา เขาเล่นเอาตัวไปเป็นเพื่อนอยู่กับความกลัวตลอดเวลา เขามีภาพมายาที่เขาเองสร้างขึ้นมาและยินดีเลือกอยู่กับมัน เขาปิดหูที่จะฟัง เขาปิดตาที่มีอยู่ให้มืดบอดและสร้างมายาขึ้นโดยคุณสัญญาที่แสนซน เฮี้ยวและร้ายกาจอีกต่างหาก เป็นคุณสัญญาที่คอยเสี้ยมสอนให้รู้จักแต่เรื่องด้านลบที่เข้ามาแอบอิงสนิทสนมอยู่กินเป็นเพื่อน
มีคนเอ่ยให้ได้ยินว่า ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วเป็นเรื่องดี ฉันว่าฉันเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้นะ การผ่านโจทย์มาแล้วสามโจทย์แล้วมาถูกถีบเข้าสนามโจทย์สี่ของฉันวันนี้เป็นตัวอย่างยืนยันค่ะ
ในสนามของการสนทนาแห่งนี้ มีคำตำหนิฉันถูกเอ่ยออกมาหลายครั้งและหลายเรื่อง การฟังทำให้ฉันรับรู้ว่า ภาพวาดที่เขามีต่อฉันในเรื่องของพฤติกรรมที่พ้นผ่านล้วนแต่เป็นภาพลบ คำขอโทษที่เอ่ยจากปากฉันหลายๆครั้ง จึงดูเหมือนไม่มีประโยชน์ แต่ฉันรู้สึกดีที่ได้ขอโทษนะค่ะ ความรู้สึกตอนที่เอ่ยขอโทษออกมามันสบายใจที่ได้เอ่ยขอโทษค่ะ
ไหนๆก็เล่ามาแล้วเรื่องการพูดคุยกันในช่วงบ่ายนี้ ก็ขอเล่าอะไรอีกหน่อยก็แล้วกันเพื่อให้ได้สัมผัสบรรยากาศ คำพูดที่เอ่ยบอกออกมามิได้มีแต่คำตำหนิเท่านั้น หากแต่ยังตั้งข้อเสนอเลียนแบบพัน-ทะ-มิดเดี๊ยะเลย ขอนำข้อเสนอมาเล่าพอเป็นน้ำจิ้มละกัน เขาขอให้ฉันอยู่เฉยๆ ขอไม่ให้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เขาจะทำต่อไปขออิสระในการลา และขอจัดการกำลังคนที่มีอยู่อย่างเป็นอิสระ
ขณะที่เขียนบันทึกนี้อยู่ ใจฉันนึกชมนะว่า เขากล้ามากที่พูดข้อเสนอข้างต้นออกมาให้เจ้านายได้ยินจะๆ ฉันตอบเขาไปแค่ว่า “หมอดีใจที่รับรู้ว่า ที่เพียรพยายามฝึกพวกเรามา มีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีเกิดขึ้น” แล้วส่งบทต่อให้เจ้านายเล่นค่ะ
อย่างไรก็ดีคลื่นบางอย่างที่อวลให้สัมผัสอยู่ในห้องนั้น บอกให้ฉันรับรู้ว่าเขาไม่มีความสุขหรอกค่ะกับสิ่งที่เขากระทำไป ฉันรับคลื่นของความกลัวที่เขามีได้ว่ามันไม่ได้น้อยลงไป ส่วนตัวฉันได้คุณสัญญาที่อ่อนโยนมาเป็นเพื่อนเพิ่มอีกหนึ่งคนแล้วค่ะ แล้วก็ยังมีคุณสัญญาอีกคนที่จะต้องค้นหาให้เจอค่ะ คุณสัญญาที่ทำให้ฉันร้องไห้เมื่อเจอกับเหตุการณ์ในโจทย์สามค่ะ
« « Prev : ก่อนที่ฝนจะหล่อเลี้ยงให้ใจได้ความชุ่มชื่น
Next : ไม่รู้ก็ไม่เป็นไร จะรู้ไปทำไม » »
7 ความคิดเห็น
จำข้อเขียนของ แอม เสาวลักษณ์ มาว่า
“ถ้าเราขาดสติปัญญาเสียแล้ว
วัตถุภายนอก เครื่องมือสื่อสาร
หรือแม้แต่ความเร็วของการสื่อสาร
อาจจะพาเราไปสู่ความหายนะได้”
….
การฝึกวิเวกบ่อย ๆ จะได้รู้ว่าเวลาที่เรามีกายวิเวกนั้น จิตมันคิดอะไรได้มากมาย
ได้สิ่งดี ๆ ได้ทบทวน ได้ความดีงาม ก่อเกิดขึ้นในใจ
…..
รออ่านและราตรีสวัสดิ์ค่ะ
ท้ายสุดมันก็แค่นี้แหละ อิอิ
ว่าแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ฝึกฝนกันต่อไป ฮ่าๆๆๆๆๆๆ
#1 น้องจ๋า ปราชญ์เขาจึงเตือนว่า “สติมา ปัญญาเกิด” นี่ไง
เฮียเขาบอกแล้วไง ว่าการสื่อสารนั้นมีจุดบอดอยู่หลายมุม เครื่องรับดี-เครื่องส่งเสีย เครื่องส่งดี-เครื่องรับเสีย เครื่องรับเสีย-เครื่องส่งเสีย เครื่องรับดี-เครื่องส่งดี ถ้าคู่สื่อสารอยู่ในรูป 3 แบบแรก ยังไงๆ ปัญญาก็เกิดยาก ต้องรูปแบบสี่ถึงจะได้ดี ได้สติมา-ปัญญาเกิด
เรามาฝึกตนไปด้วยกันเพื่อที่จะปรับตัวเราให้เป็นเครื่องส่งดี ช่วยเหนี่ยวนำให้เครื่องรับดีขึ้น ดีขึ้น ดีขึ้น จนต่างได้ดี สติมา-ปัญญาเกิด กันเต๊อะเจ้า
สติมา ปัญญาเกิด น้ำใจเกิด หล่อเลี้ยงและให้ความชุ่มชื้นแก่แผ่นดินใจ ให้เหล่าเมล็ดพันธุ์แห่งความดีงามทั้งหลายที่มีติดตัวมาแล้วแต่เกิด งอกงามเติบโตเป็นธรรมชาติที่สวยงาม พอเหมาะ พอดี
#2 ไม่ยอมนะไม่ยอม ไม่ยอมให้ใช้โยนศาสตร์หนีการเขียนบันทึกเชียงใหม่-เชียงรายรอบนี้ ไม่เขียนเพิ่มละก็ โป้งด้วย ขอบอก
ในเมื่อจะขัดเกลาดวงแก้วประภัสสร ก็ต้องฝึกๆๆๆๆ กันต่อไป แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันต่อไป
เห็นด้วยครับ #3 หมอเจ๊
#5 มาฝึกด้วยกันนะอาเหลียงนะ
มาเรียนรู้เรื่องสติ เดี๋ยวจะค่อยแลกเปลี่ยนนะครับ