สมรภูมิใจ

โดย สาวตา เมื่อ 2 พฤษภาคม 2009 เวลา 11:58 ในหมวดหมู่ ประสบการณ์ชีวิต, สังคม, เล่าสู่กันฟัง #
อ่าน: 1504

การที่ได้เผชิญหน้ากับ “คุณหวั่นไหว” และ “คุณสับสน” บนเวที จนรู้ว่าเป็นเพราะว่า “คุณเผลอ” เป็นต้นเหตุไปชวนคุณกลัวให้แอบมาสะกิด “คุณคิด” แล้ว คุณคิดก็รับคำท้าและส่งตัวขึ้นไปชก ่โชคดีนะที่ได้ “คุณสติ”  มาเข้าเวรเป็นพี่เลี้ยงทันเวลา  จึงไม่เจ็บตัวนาน วันนั้นวันที่เจอคุณหวั่นไหวก็เลยเอวังลงด้วยความสงบใจ  …ฮิ้วๆๆ

แต่แล้วเมื่อคืนก่อน ใจมันก็กระเพื่อมขึ้นมาอีกแล้ว มันเกิดขึ้นในขณะที่ “คุณคิด” และ “คุณสติ” ไม่ได้ระวังตัว ในเวทีเมื่อคืนก่อน บรรดาเหล่าแพทย์เขานัดกินข้าวด้วยกัน เพื่อเลี้ยงรับและเลี้ยงส่งน้องนุชสุดท้องที่กำลังย้ายสถานที่ทำงานกัน ในขณะที่นั่งๆคุยๆกันกับน้องๆอยู่ น้องแพทย์คนหนึ่งก็เดินเข้ามาบอกเบาๆว่า “หนูขอโทษ”

ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่าคำพูด”ขอโทษ” ที่ได้ยินนั้น มันก่อคลื่นขึ้นภายในใจอีกแล้ว เมื่อผนวกกับ “คุณห่วง” และ “คุณเยื่อใย” ที่กำลังทำงานอยู่กับตัวฉัน มันทำให้คืนวันนั้น ฉันตัดสินใจที่จะไม่อยู่ในงานจนงานจบลง จำได้ว่าเมื่อกินอิ่ม นั่งคุยๆแล้วเขาเริ่มร้องเพลงกัน  ฉันตัดสินใจเดินออกจากห้องแล้วกลับบ้านเงียบๆโดยไม่ร่ำลาใคร และก็ไม่สนใจว่าใครบ้างจะกล่าวถึงตามหลัง

ที่แท้คำขอโทษมันชวนให้ “คุณจำ” “คุณคิด” ตื่นมาทำงานอีกแล้ว “คุณจำ”มาชวนให้ย้อนไปดูู้เรื่องราวที่ผ่านมา “คุณคิด” ช่วยรื้อให้เรื่องที่ตัวฉันเข้าใจว่าใจมันสงบลงแล้วกับเรื่องเหล่านั้นมันถูกคลี่ออกอ่านอีกครั้ง  คลี่ไปๆก็พบว่าที่แท้ใจมันถูกสมองหลอกเอานะ ที่ใจมันกระเพื่อมนะเป็นด้วยว่า “คุณเยื่อใย” นะเขาแอบซ่อนตัวอยู่  “คุณเยื่อใย” นั้นเขาไม่ยินยอมที่จะให้ละวางอัตตา

เรื่องราวที่ถูกรื้อลิ้นชักขึ้นมาอ่านอีกครั้งคราวนี้ เป็นเรื่องเก่าๆที่เกี่ยวกับ “คุณดุ” ที่ก่อผลสะเทือนในใจให้กับลูกน้องนั่นเอง  “คุณดุ” ทำให้เธอตัดสินใจไม่เผชิญหน้ากับฉัน  แล้วเธอคนนี้เป็นผู้รับหมวกผู้บริหารงานระดับต่ำกว่าลงไป มีงานที่อยู่ในหน้าที่ที่รับผิดชอบที่เป็นงานใหญ่ เป็นงานใหญ่ที่องค์กรคาดหวังสูงในเรื่องผลลัพธ์ด้วยเป็นงานเชิงรุกซึ่งถ้าลงมือทำได้สำเร็จ ผู้คนป่วยเจ็บจะลดลงไปได้อย่างเหมาะกับกาล

เธอใช้ความป่วยที่มีอยู่ของฐานกายและฐานใจเผชิญหน้ากับฉันผ่านใบลาป่วย นั่นคือสาเหตุที่ทำให้น้องหมอเข้ามาเกี่ยวข้อง น้องหมอมาขอโทษเพราะว่าคราวนี้เธอได้ขอใบรับรองแพทย์มาเผชิญหน้าฉันแล้วน้องก็เขียนให้ทั้งๆที่รู้  โจทย์ที่ยื่นมาก็คือ การขอลาออกจากการเป็นหัวหน้างานด้วยเหตุป่วยตามที่ระบุอยู่ในใบรับรองแพทย์ต่อหน้า  น้องหมอมาขอโทษด้วยเพิ่งรู้ว่า เป็นผู้มีส่วนร่วมเผชิญหน้ากับฉัน แล้วดูเหมือนว่าได้เป็นผู้ช่วยต้อนให้ฉันเข้ามุม มุมซึ่งลูกน้องของฉันเขาอยากจะให้ได้ผลที่เขาประสงค์

ถ้าเป็นคนอื่นๆ คงทำเรื่องนี้ให้จบลงแล้ว จบลงด้วยการเลือกที่จะให้เขาได้ตามประสงค์ แต่ว่าองค์กรที่เขาดูแลนั้นมีลักษณะพิเศษ นั่นคือ ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นล้วนมีหน้าที่ดูแลคน หากว่าคนหนึ่งที่อยู่ในนั้นดูแลตนเองก็ไม่เป็น แล้วเขาจะช่วยดูแลคนอื่นได้อย่างไรที่มันให้้ผล ฉันจึงไม่ได้ตัดสินใจในเรื่องให้ลาออกไป หากแต่ส่งลูกต่อไปให้เจ้านายได้รับรู้ร่วม และปล่อยโจทย์ไว้ให้เจ้านายเป็นคนทำหน้าที่ต่อ ด้วยตระหนักว่าหน้าที่เลือกคนเพื่อให้มาบริหารงานองค์กรให้ไม่ใช่หน้าที่ของฉัน การที่เจ้านายรู้นั่นแหละน้องหมอจึงรู้ว่าตัวเองมีส่วนร่วมทำให้เกิดอะไรขึ้น เธอจึงได้กล่าวคำขอโทษออกมาในคืนนั้น

การรื้อลิ้นชักแล้วได้ตำราเล่มเก่าขึ้นมาอ่านใหม่นี้ ทำให้ฉันได้แตะสัมผัสเรื่องเบื้องลึกในใจอีกครั้ง แล้วก็อ้อ!ว่า ที่แท้แล้วนั้น “คุณเยื่อใย” มันยังทำงานอยู่นะ และเพราะมันยังทำงานนี่แหละจึงทำให้ใจมันกระเพื่อมขึ้นอีกจน “คุณหวั่นไหว” ตื่นขึ้นมา ดีแต่ว่าคราวนี้     “คุณหวั่นไหว” เขาขี้เกียจ จึงตื่นมาเพียงแค่สะกิดบอกแล้วขอหยุดพักนอนต่อ ปล่อยผลัดต่อไปให้ “คุณคิด” รับงานไปทำต่อ

ระหว่าง “คุณคิด” ทำงาน นั้นมีบ่อยที่โดนสมองหลอกนะ “คุณสติ” “คุณใคร่ครวญ” “คุณไตร่ตรอง” จึงพากันตื่นตัวขึ้นมาทำงานร่วมด้วย ทำงานไปจนพบว่าที่แท้ “คุณอัตตา” คือจอมบงการใหญ่  จอมบงการนี้เองคือผู้ที่ทำให้ “คุณหวั่นไหว” ตื่นขึ้นมา จอมบงการนี้เองที่ทำให้ “คุณตัดสินใจ” ทำงาน จอมบงการนี้เองที่ทำให้ “คุณกลัว” แฝงตัวมาปะปนในกลุ่มของ “คุณเยื่อใย” กลมกลืนซะจน “คุณเยื่อใย” ไม่รู้ตัวว่ามีผู้แปลกปลอมเข้ามาปั่นหัวอยู่

ขอบคุณหลายๆนะพวกพ้องที่มาช่วยให้จอมบงการเปิดเผยตัว รู้จักเขาแล้ว ฉันก็ตาสว่างว่า “คุณเยื่อใย” “คุณตัดสินใจ” ทำงานเพื่อใครแล้ว…..จอมบงการนี่เองที่บรรดา…คุณเหล่านี้ทำงานให้อยู่……จอมบงการกลัวเรื่องเสียจะมีมาถึงตน….จึงกระซิบให้คุณกลัว ไปแอบทำงานด้วยเพื่อให้ช่วยปกป้องตน….มิน่า….มิน่า….ว่าทำไมสะเทือนนัก……จอมบงการไม่สงบใจนี่เอง

รู้แล้วว่าทำไม….ทำไม………เมื่อมีเรื่องของลูกน้องคนนี้ให้ตัดสินใจ…..มิวายใจกระเพื่อมทุกทีไป……มันกระเพื่อมเพราะว่า “คุณอัตตา” ไม่ให้สงบนะซิ……เมื่อเกิดเรื่องเสีย…คุณอัตตาไม่ให้อภัยตัวเอง……ไม่ให้อภัยทีี่่่เป็นต้นเหตุไปทำให้ใจเขาเกิดปัญหา……ไม่ให้อภัยเขาที่ทำให้…….”คุณอัตตา” จำใจต้องไปร่วมชะตากรรมด้วย…..นี่ไงความไม่สงบที่เกิดขึ้นของคุณอัตตา

ฮือ ฮือ โดนสมองหลอกอีกแล้ว อีกแล้ว  น่ากลัวจริงๆนะ

ขอบคุณ “คุณสติ” “คุณใคร่ครวญ” “คุณไตร่ตรอง” “คุณตัดสินใจ” “คุณเยื่อใย” นะ…..ที่ช่วยทำให้…..”คุณอัตตา”ตื่นรู้….คุณอัตตาเขาสงบแล้วละ…..เมื่อพบคำตอบแล้ว….คำตอบมันทำให้รู้ว่า….ทำอย่างไรใจสงบ…..ขอบคุณๆนะ….ที่ช่วยฉันอีกครั้งในวันนี้

บันทึกไว้เพื่อบอกว่าเมื่อ “คำขอโทษ” จากคนอื่น ทำให้ “ใจยิ่งหนักและยิ่งแน่น”  ก็ให้รีบรู้ รับรู้แล้วรีบชวนคุณๆทั้งหลายที่เอ่ยนามไว้ข้างต้นมาช่วยกันรื้อหินออกจากใจเน้อ  ใช้คุณๆทั้งหลายให้หนัก ไม่ต้องเกรงใจ ขอให้ช่วยค้นหาเพชรแล้วมอบไว้เป็นรางวัลแก่คุณอัตตากันเน้อ

เพชรเม็ดนั่นก็คือ “การรู้จักและลงมือให้อภัยตัวเอง” ไง

ให้รางวัลตัวเองแล้วจะพบว่ามันวิเศษจริงๆนะ ใจจะเบา….เบา….และ….โล่งใจ…..เริ่มต้นใหม่ง่ายๆได้เอง

วันนี้ได้เรียนรู้ความหมายของคำไทยคำนี้ “สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ”….และ…เรียนรู้ว่า “คำขอโทษ” ของคนอื่นก่อนรกในใจเราได้อย่างไร และจะเห็นสวรรค์ในอกเราได้อย่างไร

« « Prev : น้ำผึ้งหยดเดียว

Next : เสียงในใจที่พึงระวัง » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

17 ความคิดเห็น

  • #1 ป้าหวาน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 2 พฤษภาคม 2009 เวลา 17:45

    ขอบคุณพี่หมอเจ๊อีกแล้วค่ะ  ป้าหวานจะต้องกลับมาระดมคุณๆของป้าหวานให้มาช่วยป้าหวานบ้าง  ที่จริงคุณๆเขาคงอยากช่วยแต่ป้าหวานอาจจะไม่มองเขาหรือมองข้ามเขาไป  คุณสติ ก็มามองๆแล้วอยู่เฉยๆ คุณหวั่นไหว คุณสับสน คุณคิด เลยสังสรรกันใหญ่   ต่อไปป้าหวานจะรีบเชิญคุณสติ มาพร้อมกับคุณใคร่ครวญ และ คุณไตร่ตรอง คุณตัดสินใจ  ชวนมาให้หมดมาช่วยกัน  ป้าหวานจะได้เบาบ้าง พบสวรรค์ในใจบ้าง  ขอบคุณจริงๆค่ะ  อ้อ คุณกล้าหาญ น่ะ มาช้ากว่าเพื่อน  ขอเบอร์คุณกล้าหาญ ด้วยนะคะ  อิอิ รักพี่หมอเจ๊ค่ะ

  • #2 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 2 พฤษภาคม 2009 เวลา 18:07

    ป้าหวานค่ะ คราวนี้คุณกล้าหาญเขาแปลงกายมา่ในรูปของ “คุณรู้จัก” และ “คุณอภัย” ค่ะ

  • #3 ออต ให้ความคิดเห็นเมื่อ 2 พฤษภาคม 2009 เวลา 18:13

    คุณอะไรดีเนี่ย………..
    อ่านแล้วสนุกตรงที่มีคุณซ้ำๆๆกัน
    คิดถึงหนังสืออ่านสำหรับเด็กครับ

  • #4 ป้าหวาน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 3 พฤษภาคม 2009 เวลา 7:53

    ขอบคุณพี่หมอเจ๊ค่ะ  ป้าหวานถึงบางอ้อแล้ว.แต่ก่อนอยู่แต่บางซื่อมั้ง  คุณกล้าหาญนี่ไม่มาตรงๆด้วยหรือนี่
    ใช่เลย.เมื่อเรา รู้จักและให้อภัย(ทั้งต่อตัวเรา หรือ ต่อผู้อื่น) เมื่อนั้นไม่ต้องสงสัยเราจะเกิดความกล้าหาญ

    พี่หมอเจ๊คะ พี่ได้ช่วยป้าหวานแล้วค่ะ ป้าหวานคิดว่าตัวเองรู้  แต่ที่จริง  รู้เท่านั้น ยังไม่รู้ซึ้ง  วันนี้รู้เพิ่มขึ้นอีก  จากที่ท่านรอกอดเคยพูดถึง เรื่องรู้ กับ รู้จักวิธีใข้ และรู้จักนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์  วันนี้ป้าหวานเข้าใจมากขึ้นว่าตัวเองแค่รู้ รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง  แต่ไม่รู้จักวิธีใช้ และไม่นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ค่ะ  

    ขอเป็นเด็กด้วยนะคะ คุณออด ถ้าเด็กๆได้เข้าใจชีวิต โดยหนังสือของพี่หมอเจ๊  โลกนี้คงสวยงามขึ้นอีกหลายเท่าเพราะผู้ใหญ่ในอนาคตเหล่านั้นคงสืบทอดต่อไปให้ลูกหลานด้วยเห็นคุณค่าและเข้าใจชีวิตเช่นกัน

  • #5 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 8 พฤษภาคม 2009 เวลา 10:45

    น้องออตเจ้าขา เวลาเป็นผู้ใหญ่แล้ว ความคิดเราจะวิ่งเร็วรี่มากๆๆๆๆ พี่ก็เลยฝึกตัวเองด้วยการหน่วงความคิดให้ช้าลง เวลาวิเคราะห์อะไรจะเห็นเปลือกความคิดหลายๆความคิดที่ไปห่อหุ้มไว้ แล้วทำให้เข้าใจวิธีทำงานของสมองเด็กด้วย น่าสนใจวิธีทำงานของสมองเด็กนะค่ะ ว่าเขาสะสมประสบการณ์ความรู้ด้วยประสบการณ์ที่ซื่อตรงต่อตัวเองอย่างยิ่ง มิน่าคนโบราณจึงสอนเด็กผ่านการเล่าเรื่องราวนิยายปรัมปราหรือนิทาน มันเป็นกุศโลบายที่ช่วยให้เขาเข้าใจได้ง่ายๆอย่างนี่เอง

  • #6 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 8 พฤษภาคม 2009 เวลา 10:47

    ป้าหวานค่ะป้าหวาน ผู้ใหญ่เราไม่เก่งเลยนะค่ะ กับการเรียนรู้แบบเด็กๆ แล้วเราจะไปบอกเด็กๆว่า เราอาบน้ำร้อนมาก่อน เรารู้ว่า……ได้อย่างไร ก็แค่วิธีรู้แบบสไตล์ของเขา เรายังไม่ทันเขาเอาซะเลย

  • #7 ป้าหวาน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 9 พฤษภาคม 2009 เวลา 5:12

    ใช่เลยนะคะ  คิดแบบเด็กคือคิดด้วยประสบการณ์ที่ซื่อตรงต่อตัวเองอย่างยิ่ง  ความเป็นผู้ใหญ่ทำให้นำประสบการณ์นั้นมาปรุงแต่ง  ขึ้นกับยักษ์ภายในใจของมนุษย์ 3ตัว  ตัณหา มานะ และทิฐิ 
    ตัณหา คือ ความอยากมีมากๆ  ยิ่งมากยิ่งดี 
    มานะ คือ การใช้อำนาจเหนือผู้อื่น 
    ทิฐิ คือ การเอาความเห็นของตนเป็นใหญ่
    ( จากท่านอาจารย์ประเวศ วะสี ในลานซักล้าง โดยคุณ Logos )
    การคิดของผู้ใหญ่จึงมีเปลือกห่อหุ้ม การสอนเด็กดูเหมือนง่าย เพราะผู้ใหญ่มีเครื่องมือสำคัญคือ อำนาจ
    น่าเสียดายความคิดดีๆของเด็ก ถ้าถูกอำนาจผู้ใหญ่ครอบงำ  ป้าหวานเคยคิดว่า เด็กดื้อ ไม่ใช่เด็กไม่ดี
    แต่เด็กดื้อ คือ เด็กที่มีความคิดเป็นของตัวเอง  ผู้ใหญ่ที่ปราบความดื้อด้วยอำนาจจึงนำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรง น่าจะแปรความดื้อมาเป็นพลังในทางที่ดี ที่ถูกที่ควร โดยการให้ความรู้ ให้เหตุผล ให้เมตตา  จนเด็กยอมรับความเห็นนั้นด้วยตัวเองย่อมนำไปสู่อนาคตที่ดีของเด็กโดยเด็กตระหนักรู้ที่จะนำพาชีวิตตนเองอย่างไร
    หรือ ในทางตรงข้ามผู้ใหญ่อาจต้องทบทวนว่า ความเห็นของเด็กดื้อนั้นเป็นอย่างไร พิจารณาด้วยใจเป็นธรรม
    และอาจเป็นฝ่ายยอมรับความเห็นเด็กได้ด้วย
    ในขณะเดียวกัน ก็มีผู้ใหญ่ดื้อ ที่มียักษ์ 3ตัวนั้นอาละวาดอยู่ในใจ  ใครจะสอนผู้ใหญ่ได้ แล้วผู้ใหญ่คนนั้นจะสอนเด็ก อย่างไร เด็กจะเป็นอย่างไร..โลกนี้จึงมีวัฎจักรไม่จบสิ้น  เพราะผู้ใหญ่ก็ยังเรียนชีวิตอยู่ในขณะที่สอนเด็กไปด้วย ชีวิตทุกวัย  เรียนรู้ทุกวัน เด็ก ผู้ใหญ่ เป็นบทเรียน ของกันและกัน ไปตลอดชีวิต

  • #8 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 9 พฤษภาคม 2009 เวลา 9:18

    ป้าหวานค่ะ สิ่งที่น่าสนใจของเด็กคือ วิธีหยุดอารมณ์ค่ะ เด็กนะเขามีวิธีหยุดอารมณ์ที่น่าเรียนรู้นะค่ะ
    ถ้าผู้ใหญ่เข้าใจวิธีการของเด็ก และใช้กับตัวเองเป็น ยักษ์ 3 ตนก็เอาชนะผู้ใหญ่ไม่ได้
    ถ้าผู้ใหญ่เข้าใจจนใช้กับตัวเองได้อย่างดี  เด็กก็จะเป็นผ้าขาวที่แต้มสีสรรให้ตัวเองไว้อย่างสวยงามและชนะยักษ์ 3 ตนนั้นด้วยค่ะ
    พี่ว่าแท้จริงแล้ว ธรรมชาติสร้างเด็กเขาให้มาเป็นครูของผู้ใหญ่ด้วยค่ะ แต่ผู้ใหญ่ไม่รู้จักครูของตนเองแหละ วัฎจักรนี้จึงท้าทายนัก

  • #9 ป้าหวาน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 9 พฤษภาคม 2009 เวลา 23:15

    พี่หมอตาคะ  ช่วยขยายความอีกสักนิดนะคะ  ป้าหวานสนใจวิธีหยุดอารมณ์ของเด็กค่ะ ขอบพระคุณค่ะ
    น่าแปลกนะคะ ธรรมชาติ ช่างซับซ้อน อยู่ในความเรียบง่าย สุดแท้แต่การเรียนรู้ที่นั้นๆจะไปได้ถึงเท่าใด
    นอกจากนั้นยังมีตัวแปรอีกมากที่ทำให้ผลออกมาหลากหลาย ถ้าสิ่งที่พี่หมอตากล่าวถึงได้แพร่หลายในปัจจุบัน ในครอบครัว ในแวดวงการศึกษา แนวโน้มน่าจะดีนะคะ

  • #10 BM.chaiwut ให้ความคิดเห็นเมื่อ 23 พฤษภาคม 2009 เวลา 1:38
    • เข้ามาอ่านเล่น…

    อ่านๆ ไปก็นึกว่าจะนับคำว่า “คุณ” มีทั้งหมดเท่าไหร่ แต่คงต้องอ่านอีกเที่ยว จึงตัดใจว่า อย่านับดีกว่า…

    ความเป็นอยู่และเป็นไปในแต่ละวันซึ่งเป็นชีวิตจริงยิ่งกว่าโลกในตำราและโลกในจินตนาการ แต่โยมคุณหมอก็นำมาเล่าได้สนุกดี…

    เจริญพร

  • #11 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 30 พฤษภาคม 2009 เวลา 16:38

    ป้าหวานค่ะ ป้าหวานเคยเห็นเด็กๆเวลามีอารมณ์แล้วเขาหยุดอารมณ์ได้ทันทีมั๊ยค่ะ  แล้วเราผู้ใหญ่ทำได้อย่างเขามั๊ยค่ะ  เด็กๆนะเขาใช้วิธีรับรู้อารมณ์ ณ ปัจจุบันของเขาหยุดอารมณ์ของเขาค่ะ เขาไม่ต้องคิดว่าจะเปลี่ยนอารมณ์อย่างไรก็สามารถเปลี่ยนอารมณ์ได้ ทำได้เร็วและทำได้ทันทีด้วย

    เคยเห็นมั๊ยค่ะ เวลาที่เด็กเล็กๆในวัยก่อนเข้าโรงเรียนเขาไม่ชอบอะไร แล้วกวนใจ เมื่อเรารับรู้ว่าเขาไม่ชอบและบอกให้เขารู้ว่าเรารู้ เขาจะว่าง่ายและหยุดกวนใจในฉับพลันนะ 

    พี่ไม่ได้หมายความว่าอารมณ์เหล่านั้นจะถูกชะล้างไปหมดนะค่ะ มันยังหลงเหลือเกาะเป็นฝุ่นอยู่ในจิตใจของเขาอยู่ค่ะ ฝุ่นอารมณ์เหล่านี้จะถูกสะสมไปเรื่อยๆแล้วโผล่ออกมาเป็นพฤติกรรมต่างๆของเขาเองนั่นแหละค่ะ เมื่อเขาโตขึ้นกว่าเดิม 

    สิ่งที่น่าเรียนรู้จากเด็กก็คือ เขาทำได้อย่างไรกับการอยู่กับปัจจุบันขณะ ในขณะที่เขานะมีวิถีของเขาในโหมดที่ความเร็วและไม่สงบนิ่งซะหน่อย  

    พี่ขอชวนป้าหวานถอดบทเรียนเหล่านี้จากเด็กๆมาแลกเปลี่ยนกันค่ะ

  • #12 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 30 พฤษภาคม 2009 เวลา 16:39

    นมัสการพระคุณเจ้า
    ดีใจค่ะที่พระคุณเจ้าแวะมาเยี่ยม
    คนทุกคนควรดูแลตนเองเจ้าค่ะ หมอเจ๊คิดว่าการดูแลตนเองคือการทำความเข้าใจอารมณ์ ตามอารมณ์ของตนให้ทัน เพื่อหยุดการสร้างกรรมที่เบียดเบียนกันนะเจ้าค่ะ พระคุณเจ้า

  • #13 ป้าหวาน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 30 พฤษภาคม 2009 เวลา 19:09

    พี่หมอเจ้คะ  ป้าหวานคิดเอาเองว่า เด็กมีอารมณ์เชิงเดี่ยว คือมีทีละหนึ่ง และการตอบสนองแสดงออกก็ทีละหนึ่ง เด็กจึงเปลี่ยนอารมณ์ได้เร็ว  ในขณะที่ผู้ใหญ่มีความซับซ้อน ในอารมณ์หนึ่ง อาจประกอบด้วยอารมณ์ย่อยๆอีกที่แย่งกันมีอิทธิพลต่อการแสดงออก  ผู้ใหญ่จะเลือกว่าจะรับเอาอารมณ์ไหนเป็นตัวเอก
        เด็กนั้นน่าจะมีอารมณ์ตรงต่อสิ่งเร้า ตรงไปตรงมาตามธรรมชาติ ความต้องการพื้นฐาน  ยกตัวอย่างเช่นเด็กเล็กๆยังไม่เข้าใจ คำว่า เสียสละ  เพราะเด็กยังคิดไม่ซับซ้อน ไม่คิดถึงอนาคต ไม่คิดถึงเหตุผลที่มองไม่เห็นเด่นชัด  เมื่อเด็กได้ รับการตอบสนองต่ออารมณ์แล้วเด็กจึงเปลี่ยนเป้าหมาย หรือ เปลี่ยนอารมณ์ได้ง่าย  ไม่ทราบว่า ป้าหวานเข้าใจถูกไหมนะคะ
         คน  ที่เข้าใจยาก  น่าจะเป็นวัยรุ่น เพราะตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ว่าจะต้องการแบบผู้ใหญ่ หรือ แบบเด็ก
    ผสมกันไป  การดูแลวัยรุ่นจึงเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ ป้าหวานเข้าใจถูกหรือเปล่าคะ

  • #14 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 31 พฤษภาคม 2009 เวลา 19:44

    ป้าหวานค่ะ ที่คิดนะถูกแล้วค่ะ เด็กมีอารมณ์เชิงเดี่ยว อารมณ์ ณ เวลานั้นของเด็กจึงเป็นปัจจุบันขณะ  ผู้ใหญ่มีอารมณ์ซับซ้อน เพราะว่าผู้ใหญ่เองก็ผ่านปัจจุบันขณะไปเร็วจนจับไม่ทัน ปัจจุบันขณะ ณ เวลาหนึ่งที่เป็นอารมณ์จริงๆตอนนั้น 

    ความต่างของเด็กและผู้ใหญ่จึงอยู่ตรงนี้ การหน่วงอารมณ์ให้ช้าลงๆของผู้ใหญ่ คลี่อารมณ์ให้เข้าใจทีละชั้นๆ จะทำให้รู้เท่าทันปัจจุบันขณะได้ เพราะว่าอารมณ์ที่เลือกมาเป็นเอกนั้น มันมีผลมาจากอารมณ์ย่อยแต่ละชั้นที่เกิดมาก่อนเหมือนระลอกคลื่นนะค่ะ

    การใช้เหตุผลนะแหละที่ทำให้ผู้ใหญ่มีอารมณ์ซับซ้อน  การจับมั่นในเหตุผลเพราะเชื่อเอา แล้วรื้อมาใช้นั่นแหละที่มีผล   ป้าหวานเคยได้ยินคำว่า “อย่าเชื่อตามๆกันมา” มั๊ยค่ะ

    ป้าหวานว่าเหตุผลมาจากความเชื่อรึเปล่า  แล้วเวลาเชื่อนะ มันเป็นผลมาจากการตัดสินใจ ณ เวลาหนึ่งๆรึเปล่า

    เมื่อเวลาผ่านไปแล้ว ผู้ใหญ่ก็ยังรับเอาความเชื่อในอดีตมาใช้ต่อ ณ ปัจจุบันรึเปล่า การนำมาใช้แปลว่าเชื่อรึเปล่าว่าใช่แล้ว เหมาะแล้วกับปัจจุบัน  การนำเอาเหตุผลของเวลาหนึ่งมาใช้กับอีกเวลาหนึ่ง มันเป็นเรื่องของปุจจุบันขณะจริงแท้่หรือเปล่า  

    เหล่านี้แหละค่ะในโลกของผู้ใหญ่จึงยุ่งเหยิง  ในสายตาเด็ก  เด็กไม่เข้าใจผู้ใหญ่  ในสายตาผู้ใหญ่ ผุ้ใหญ่ไม่เข้าใจเด็ก ก็ด้วยปัจจุบันขณะของแต่ละวัย ไม่ใช่ปัจจุบันขณะเดียวกัน ใช่รึเปล่า

    อันที่จริงกลไกนี้ มีหัวเลี้ยวมาตั้งแต่วัย 3 ขวบขึ้นมาแล้วค่ะ มันสะสมต่อมาเรื่อยๆ ตามแต่เด็กจะได้รับบทเรียนเกี่ยวกับความยุ่งเหยิงจากผู้ใหญ่มามากมายแค่ไหน แล้วรอยต่อมันมารอยแยกใหญ่ชัดๆอีตรงวัยรุ่น ซึ่งเป็นแพร่งสำคัญ เด็กวัยรุ่นจึงสับสนตัวเองมากๆๆๆๆ ใจหนึ่งเขาอยากเป็นแบบที่เขารู้จักตัวเอง อีกใจหนึ่งเขาก็อยากเป็นแบบที่ผู้ใหญ่ยอมรับ เขาอยากให้ทั้ง 2 แบบลงรอยกันในตัวเขา แต่เมื่อ 2 ด้านนี้มันไม่ลงรอยกันอย่างที่เขาอยากให้เป็น  เด็กวัยรุ่นเขาจะสื่อสารออกมาเป็นพฤติกรรมตามสไตล์ของเขาให้ผู้ใหญ่เห็น พฤติกรรมเหล่านั้นคือสาส์นแสดงความขัดแย้งในใจเขา ที่ส่งออกมาขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่นะค่ะ  แต่พอผู้ใหญ่เราเห็น เรากลับกล่าวหาและตัดสินว่าเป็นพฤติกรรมแปลกแยก  นี่แหละค่ะผลของปัจจุบันขณะที่ต่างกันของแต่ละคน 

    ไม่ง่ายหรอกค่ะป้าหวาน ที่ผู้ใหญ่อย่างเราจะตามทันปัจจุบันขณะของเรา แล้วเวลาผู้ใหญ่เราทันปัจจุบันขณะและใช้ชีวิตร่วมกับผู้ใหญ่ด้วยกัน ประสบการณ์ตรงจะมีเหมือนกันว่า เราเป็นผู้ใหญ่ที่พูดอะไรฟังยาก พูดแล้วคนไม่เข้าใจก็มีค่ะ 

    คนมักจะพูดเย้ากันเรื่องปากกับใจตรงกัน ที่เย้าน่าจะเพราะไม่เชื่อว่าเป็นไปได้  พี่คนหนึ่งค่ะที่ยืนยันว่าเป็นไปได้  สังเกตเถอะค่ะว่า เมื่อไรคนเป็นผู้ใหญ่ปากกับใจตรงกันจริงๆ คนๆนั้นมักจะอยู่ในสังคมยากมากๆใช่รึเปล่า สรุปแล้วพวกเราผู้ใหญ่เองสับสนกว่าเดกรึเปล่าก็ไม่รู้ในเรื่องนี้  

    ความซับซ้อนของอารมณ์นี่แหละค่ะที่ทำให้ผู้คนมีความเครียดสะสม แล้วชักนำให้สุขภาพกายแย่ไปด้วยโดยไม่รู้ตัวเอาซะเลย  เพราะว่าความผ่อนคลายที่แท้จริงไม่เคยเกิดขึ้นไงค่ะ

  • #15 ป้าหวาน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 3 มิถุนายน 2009 เวลา 16:00

    ขอบคุณพี่หมอตาค่ะ  ลงลึกลงไปแล้วเหนื่อย และเครียดนะคะ แต่ก็มีประโยชน์มากค่ะ  ป้าหวานชอบตรง
    การนำเอาเหตุผลของเวลาหนึ่งมาใช้กับอีกเวลาหนึ่ง ประโยคนี้ สะดุดใจ  เป็นเพราะยึดติด เป็นเพราะ เคยเห็นผล หรือ เป็นเพราะ…ฯลฯ  จึงไม่ได้คิดใหม่ทุกครั้ง  ทีหลังจะระวังข้อนี้เพิ่มขึ้นอีกค่ะ ขอบคุณค่ะ
    เรื่องวัยรุ่นเป็นเรื่องเข้าใจยากเพราะโอกาสจะตีความผิดก็มี  เนื่องมาจากความซับซ้อนของความคิดและอารมณ์ของทั้ง 2 ฝ่ายนั่นเอง  หนทางหนึ่งคือ สร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกัน หาโอกาสถ่ายทอดความคิดให้แก่กันและกันนะคะ  ป้าหวานพยายามอยู่ค่ะ  แต่บางทีก็แพ้อารมณ์ตัวเอง ก็ต้องมาเริ่มต้นกันใหม่
    และผลดีที่เกิดขึ้น เป็นรางวัลความพยายามของทั้ง 2 ฝ่ายค่ะ  ขอบพระคุณพี่หมอตาอย่างยิ่งค่ะ

  • #16 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 3 มิถุนายน 2009 เวลา 18:40

    ป้าหวานค่ะ เดี๋ยวนี้เราผู้ใหญ่ทำให้เด็กๆเขามีอารมณ์ซับซ้อนขึ้นนะค่ะ จากการที่เอาผลที่ผู้ใหญ่เคยพบ เคยเห็นแล้วอยากเป็นอยากมีตอนเด็ก มายัดเยียดให้เด็กดำเนินชีวิตไปให้ตัวเองสมหวัง  เด็กๆเดี๋ยวนี้เขาจึงมีความเครียดทางอารมณ์กันแล้วค่ะ เครียดจากการถูกฝึกให้เกิดความซับว้อนทางอารมณ์ ปฏิเสธการรับรู้อารมณ์จริงของตัวเอง

    ฝากเด็กๆด้วยนะค่ะ ป้าหวาน

  • #17 ป้าหวาน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 4 มิถุนายน 2009 เวลา 13:33

    ค่ะ พี่หมอตา   เด็กๆกำลังเรียนรู้ทุกๆอย่าง  งานของเด็กก็หนักไม่เบา  หนังสือ ( อ่านเล่น )  เป็นสื่ออย่างหนึ่ง ที่ช่วยได้มาก  หนังสือที่ใช้ภาษาเด็กๆ ดูเหมือนเรื่องสนุกๆแต่ให้คำตอบ ทั้งทางตรงและทางอ้อมแก่เด็ก ให้ผลดีอยู่มากค่ะ บางอย่างการรับรู้ด้วยตนเองสำคัญกว่า    ป้าหวานเชื่อว่า เขาจะเลือกสิ่งที่ดีให้ชีวิตตัวเอง  ให้เกียรติลูก ให้ข้อมูลให้มากที่สุด แล้วลูกตัดสินใจเอง  ลูกเลือก และทำอะไรเอง ตั้งแต่ประถม จนถึงมหาวิทยาลัย  ตั้งแต่ประถมต้น ลูกเลือกจะไปเอง มาเอง ไม่ต้องรับ ส่ง  ยกเว้นบางเวลาที่จำเป็นเลือกทุกๆอย่างเองว่าแบบไหน เมื่อไร  และยังกอดกัน หอมกันอยู่ ตั้งแต่เล็กจนโต  แต่ไม่ใช่ไม่มีปัญหาอะไรเลยนะคะ  บางทีต้องปรับความเข้าใจกัน จะแนะนำ ให้คำปรึกษา ให้กำลังใจ ไม่มีอะไรง่ายไปเสียหมด หรือ ยาก ไปเสียหมด    แล้วเป้าหมายคืออะไร  เราเรียนรู้ไปด้วยกัน 
    ขอบคุณพี่หมอตาค่ะ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.85810804367065 sec
Sidebar: 0.25288009643555 sec