เช้าวันนี้ที่มุกดาหาร

772 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 10 ธันวาคม 2009 เวลา 19:55 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 6346

ฉันเพียงยังชีวิตด้วยการกระทำที่พอมีความรู้ความสามารถที่จะทำได้

ฉันไม่รู้หรอกว่าคุณเห็นฉันแล้วคุณคิดอย่างไร

ภาพนี้สวยจัง.. ล้าหลังจัง…เสียเวลาจัง..

ทำไมไม่ไปทำอะไรที่มีรายได้มากๆแล้วเอาเงินนั้นมาซื้อปลาเล่า ?

……ฯ……..

แล้วคุณคิดบ้างไหมว่า ฉันมองคุณอย่างไร ?


————

เช้าที่ลำน้ำโขง 521210 ณ.มุกดาหาร


สะเทือน

1006 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 8 ธันวาคม 2009 เวลา 23:09 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 4606

ภายในใจสะเทือนลั่น

เมื่อได้ดู ฅนค้นฅน เมื่อสักครู่นี้


ไก่โห่..แล้ว

531 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 8 ธันวาคม 2009 เวลา 20:13 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 10936

 

 

กราบสวัสดีปีใหม่

สมาชิกชาวลานผู้อาวุโสทุกท่าน ด้วยความรัก เคารพยิ่ง

สวัสดีปีใหม่

สมาชิก ชาวลาน พี่ เพื่อน น้อง ลูกหลาน ทุกท่าน

 

—————————–

มาแต่ไก่โห่เลย… เรา


 


บ้านติดวัด

616 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 7 ธันวาคม 2009 เวลา 12:11 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 7859

บ้านเดิมนั้นอยู่ติดกับวัด มีคลองเล็กๆคั่นอยู่ ทั้งหมู่บ้านก็มาทำบุญที่วัดนี้ หรือจะเรียกอีกอย่างคือ ชาวบ้านมีศรัทธาที่วัดนี้ แต่บ้านผมแม้จะมีบ้านติดวัดนี้ก็ไปทำบุญที่วัดกำแพง ซึ่งห่างออกไปสักสองร้อยเมตร เพราะเป็นวัดที่พ่อเป็นครูอยู่ที่นั่น คุณย่าไปจำศีลที่นั่นช่วงวันพระ อาจเรียกว่าเป็นวัดที่ตระกูลทางพ่อศรัทธา ส่วนวัดที่อยู่ติดบ้านนั้นเป็นศรัทธาของตระกูลทางแม่


แต่ก็มาทำบุญที่วัดติดบ้านเป็นครั้งคราว เมื่อหลวงตามาบิณฑบาตก็ถวายข้าวปลาอาหารเป็นประจำ ช่วงเข้าพรรษา พระที่วัดจะมีมาก จำได้ว่าประมาณ 10 กว่ารูปขึ้นไป สังคมสมัยก่อนนั้นเมื่อผู้ชายครบอายุบวชก็จะบวชไม่เว้นว่าง ทุกหลังคาเรือนจะมีคนที่บวชเรียนที่วัดข้างบ้านมาแล้วทั้งสิ้น มาสมัยที่มีการสนับสนุนการเรียนสูงๆ นี่แหละที่การบวชเรียนลดลงจนบางปีไม่มีใครบวชด้วยซ้ำไป มีแต่หลวงตาอยู่รูปเดียว.. สังคมเป็นอะไรไป..???

สมัยเด็กกับเพื่อนๆชอบไปเล่นที่วัดตูมที่ติดบ้านเพราะกว้างขวาง หลวงตาก็ใจดีไม่ดุด่าอะไร แถมบางวันก็ได้กินขนมด้วย

ที่หลังวัด จะมีส้วมพระ เขาเรียก “ถานพระ” เวลาพระท่านฉันท์เช้าแล้วสมัยนี้ก็เรียกไปเข้าห้องน้ำ สมัยก่อนเรียก “ไปถาน..” ซึ่งถานพระนั้นสร้างเป็นอาคารโบราณก่ออิฐถือปูนหลังคามุมกระเบื้อง ยกพื้นสูง แบ่งเป็นห้องๆ ใต้ถุนโล่ง ส้วมก็เป็นแบบนั่งยองๆแบบโบราณ พอเดาออกนะครับ ดังนั้นบริเวณถานนี้จึงส่งกลิ่นตลอด และมักจะมีต้นไม้มืดครึ้ม เพราะไม่มีใครมาทำอะไรแถวนี้ นอกจากมา ถานเท่านั้น เด็กๆจึงกลัวเพราะมืดครึ้ม อยากเข้าถานพระก็ได้ไม่ห้าม แต่มีแบ่งห้องเฉพาะไว้

แต่ไม่ไกลจากหลังวัดที่เป็นถานพระนั้นมีครอบครัว ตาปลั่ง ยายอ้อย มีลูกสองคน ชายคนหญิงคน ยากจน ไม่มีที่นาทำกินจึงทำมาค้าขายเล็กๆน้อยๆตามหมู่บ้าน หรือยามที่วัดมีงานต่างๆ เช่น งานศพ งานประเพณีท้องถิ่น และเวลามีฉายหนังกลางแปลง ยายอ้อยก็จะพาลูกๆมาขายข้าวเกรียบว่าวบ้าง น้ำแข็งใสบ้าง และขนมสำหรับเด็กๆ

ปกติยายอ้อยจะขายกล้วยทอด และข้าวเม่าทอด ก็พอเลี้ยงครอบครัว ตาปลั่งก็รับจ้างทั่วไป ลูกๆสองคนก็ไปช่วยตาปลั่งบ้าง ยายอ้อยบ้าง ลูกสาวยายอ้อยชื่อนกเล็ก ตัวดำปืด แต่ชอบทำตัวเป็นสาวเอาอะไรมาทาปากแดงแป๊ด พวกเราชอบแซวว่าเป็นอีกาคาบพริก..

สมัยเด็กๆผมสงสัยว่า ยายอ้อยไม่มีที่นาทำกินจะเอาข้าวมาจากที่ไหนกิน รายได้แกไม่มากอะไร วันหนึ่งผมไปหาหลวงตาบนกุฏิ แม่ให้เอาข้าวไปถวายหลวงตา เนื่องจากหลวงตาเป็นพระรูปเดียวที่วัดตูมนี่ และศรัทธาจากหมู่บ้านก็มากเกินที่หลวงตาจะฉันท์ภัตตาหารทั้งหมดได้ ผมเห็นหลวงตาแบ่งข้าวปลาอาหารให้ตาปลั่ง ยายอ้อยนั่นเอง

แม้ข้าวที่เหลือ หลวงตาก็จะเอาใส่กระด้ง ผึ่งแดด ให้แห้งดีแล้วก็เก็บไว้ แล้วเอาไปให้ ครอบครัวตาปลั่งยายอ้อยหลังวัดนั่นเอง

ข้าวสุกตากแห้งนี้เอาไปหุงกินต่อได้ แค่ต้มน้ำร้อนเอาข้าวตากแห้งนี้ใส่เข้าไป เมื่อได้ที่ เอาน้ำออก ดงให้สะเด็ดน้ำ ก็เหมือนข้าวหุง เอามากินได้ คนสมัยโบราณออกป่า ออกศึก เดินทางไกลต่างถิ่น ก็ใช้วิธีนี้..


ความเอื้ออาทรของวัดกับบ้านมีเคียงคู่มาตลอดของสังคมพุทธศาสนาของเรา

เดี๋ยวนี้วัดกับบ้าน มีความสัมพันธ์เปลี่ยนไปเยอะ เมื่อสังคมเปลี่ยนไป แต่ในชนบทยังคงมีความสัมพันธ์เดิมๆอยู่มาก

วัดเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของทุนทางสังคมเดิมๆของไทยเรา..


2012 วันสิ้นโลก

28 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 6 ธันวาคม 2009 เวลา 12:10 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1287

หากเราจัดความรู้ออกเป็น สามกลุ่ม คือ ความรู้ที่คนเราจะต้องรู้ ความรู้ที่ควรรู้ และความรู้ที่รู้ก็ได้ ไม่รู้ก็ได้ นั้นข้อมูลนี้อาจจะอยู่ในกลุ่มข้อมูลความรู้กลุ่มที่ สาม สำหรับบางท่านอาจจะจัดไว้ในกลุ่มที่สอง หรือที่หนึ่ง ก็แล้วแต่

ข้อมูลที่ผมเอามานี้เป็น FW เมล์ ตัวผมเองจัดข้อมูล ความรู้นี้อยู่ในประเภทที่สาม วันนี้เบาๆ(แม้จะมีงานที่ยังหนักอยู่) เลยเอามาเผื่อแผ่กัน ก็เท่านั้นครับ

——————-

อยากรู้ไหม? ทำไม 2012 มีข่าวลือเกี่ยวกับวันสิ้นโลกมากมายเหลือเกิน

ด้วยความสงสัยของผมว่าทำไม 2012 จะมีข่าวลือเกี่ยวกับวันสิ้นโลกมากมายเหลือเกินบางแหล่งก็อ้างน้ำท่วมจากเหตุโลกร้อนบางแหล่งก็อ้างไบเบิ้ลเพราะพระเจ้ากำหนดมา

แต่มีสิ่งหนึ่งที่มีทั้งหลักฐานทางวิทยาศาสตร์พร้อมกับปรากฎการณ์ที่อาจหลีกเลี่ยงไม่ได้ และถ้าเกิดขึ้นก็จบ… ไม่เหมือนกับ LHC ที่กลัวโอกาสว่าจะเกิดหรือเปล่าเท่านั้น

เรื่องนี้คือเรื่อง ดาวปริศนาดวงที่ 12 ของ ระบบสุริยะจักรวาล
ถ้าใครได้ดูข่าวปี 2002 จะได้ทราบว่า นักวิทยาศาสตร์ได้พบ ดาวดวงที่ 12 ขึ้นมาอยู่ในระบบกาแล็คซี่เราดื้อๆ แต่ความเป็นจริงนักดาราศาสตร์รู้จักดาวนี้มาตั้งแต่ปี 1982 แล้วซึ่งเป็นข่าวใหญ่โตมากช่วงเดือน พฤษภาคม เพราะผมก็ได้ดูเหมือนกัน
มันคือดาวที่มีชื่อตั้งทางวิทยาศาสตร์ว่า นิบิรุ (Nibiru)


ด้วยหลักฐานโบราณวัตถุ และนักโบราณคดีได้กล่าวไว้เนืองๆ ว่า..สิ่งของที่ไม่สามารถอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ได้เกิดจากดาวดวงนี้ แต่สิ่งที่เรารับรู้คือเจอดาวเคราะห์ดวงใหม่ แล้วก็จบ… ทำไมถึงกล่าวอ้างเช่นนั้น? สิ่งที่เราไม่รู้มันคือสิ่งนี้ครับ….


ดาวดวงนี้ทุนเดิมไม่ได้อยู่ในระบบกาแล็คซี่ทางช้างเผือกมาแต่เนิ่นๆ อยู่แล้ว
แต่… มีวงโคจรกว้างใหญ่ไพศาลมาก จนมาทับซ้อนลงบนกาแล็คซี่นี้

แปลว่า… ที่นักวิทยาศาสตร์เห็นเพิ่มมาดวงก็แปลว่ามันโคจรเข้ามาใกล้กาแล็คซี่เราสินะ
ถูกครึ่งเดียวครับ ความจริงมันเข้ามาทับวงโคจรทั้งแถบเลย

(ลักษณะทางกายภาพที่เป็นไปได้ของดาวนิบิรุครับ)


(ลักษณะทางกายภาพที่เป็นไปได้ของดาวนิบิรุครับ)

อันนี้ใช้เทคโนโลยี้ขั้นสูงในการถ่ายซูมครับ ทำให้รู้ได้ว่า ดาวนี้เป็น ดาวฤกษ์ครับ
และทับเข้ามาแค่ไหน

เส้นทางการเดินทางของวงโคจรดาว นิบิรุ เข้ามาทับเส้นเดียวกับโลกเลยครับ
แปลว่า… มันมีสิทธิชนโลก เราอย่างแน่นอน!!!

รูปนี้คือเส้นวงโคจรของดาวนิบิรุครับ มันเข้าใกล้ มาจริงเร้อ?

เส้นทางวงโคจร ทำให้เรารู้ได้ว่าทางเราส่องดาวบริเวณทิศใต้สุดของดาวโลกเราจะเห็น แต่ปัจจุบันนี้ ปีนี้สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าแล้ว

(เส้นขาวๆ คือลูกศรชี้ตำแหน่งดาวนิบิรุครับ)


และสำหรับคนที่อยากเห็นแต่ไม่มีตังไปออสเตรเลียหรือประเทศอะไรที่อยู่ทางใต้ของโลกนะครับ แนะนำให้ลองใช้โปรแกรม googleSky ดู ท่านจะเห็นเป็นวงแดงๆ อยู่วงเดียวทั้งท้องฟ้า นั่นหละครับ นิบิรุ… แล้วทำไม? มันเกี่ยวอะไรกับโบราณสถาน และวัตถุในอดีตหละ นักโบราณฯ สันนิษฐานว่า นิบิรุเคยโคจรเข้ามาใกล้ทีนึงแล้ว เมื่อหลายแสนปีก่อน แต่มารอบนี้ โลกหมุนมาเทียบ และทาบวงโคจรของดาวนิบิรุ คาดว่ามีโอกาสที่จะชนกันสูงหรือแม้เฉียดกันก็เกิดอันตราย

เพราะแกนของดาวมีสนามแม่เหล็กอยู่ อาจจะทำให้เกิดสภาพอากาศแปรปรวน เกิดภัยพิบัติธรรมชาติ เกิดภาวะน้ำขึ้นกระทันหัน เกิดพายุต่างๆ นานา

และเขาคาดการณ์ไว้แล้วว่า ปี 2012 เราสามารจะเห็นดาวนิบิรุ ใหญ่ขนาดดวงอาทิตย์ได้เลย เพราะมันเข้าใกล้เรามากแล้ว ข้อมูลอาจจะยังไม่แน่นพอ เพราะ NASA ปิดข่าว แต่นักดาราศาสตร์ออกมาอธิบายเรื่องทฤษฎีความเป็นไปได้กันอย่างจ้าละหวั่น

ข้อมูลที่ยังขัดแย้งกันอยู่คือ บางแหล่งบอก ดาวฤกษ์ และ อุกกาบาต เพราะขนาดของมันใหญ่กว่าดาวพฤหัส 2 เท่า!!! (ดาวพฤหัสเป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดในระบบนี้)

ปล. งานนี้ก็ถึงเวลาที่ธรรมชาติเลือกเรา ของแท้แล้วละนะครับ


หมาบางทราย

111 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 4 ธันวาคม 2009 เวลา 23:58 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2026

เมื่อเย็นไปตลาดใกล้บ้าน เพื่อเดินดูสินค้าผักพื้นบ้านมาเป็นอาหาร และตั้งใจซื้อสับปะรดมาจากเจ้าประจำ ซึ่งมีสองแห่ง อยู่หัวตลาด กับท้ายตลาด

แม่ค้าพอเห็นหน้าก็รู้แล้วว่า อีตาคนนี้เจ้าประจำ วันนี้จะเอากี่ถุง เท่านั้นแหละ ปกติก็ซื้อ 1 ถุง ราคายี่สิบบาท และผมมักจะเอ่ยปากว่า ขอแกนสับปะรดด้วย แม่ค้าก็หยิบแกนแถมให้

นานมาแล้วไม่มีใครขอแกนสับปะรด ถามแม่ค้าดูว่า เอาไปทำอะไรหากไม่มีคนขอ ..เอาไปให้ไก่กิน หรือทิ้งไป…. โห…เสียดายจัง เพราะเอาไปทำปุ๋ยน้ำหมักชั้นดีเลย แต่ดีกว่านั้นคือเอาไปกินน่ะซี


วันนี้ ไม่เหลือหลอ ดูเหมือนลูกค้าจะรู้แกวหมดแล้วว่า แกนสับปะรดนั้นอร่อยมากๆ ยิ่งเป็นสับปะรดบางพันธุ์นะครับ กรอบมากๆ แรกๆ..แม่ค้าถามว่าเอาไปกินหรือ..ผมตอบว่า เอาไปให้หมาที่บ้าน..อิอิ

ก็จริงๆ เอาไปให้เจ้าคุ๊กกี้ หมาที่บ้านจริงๆ แม้ว่าชาวบ้านจะบอกว่า ให้หมากินของหวานๆมันจะดุนะ.. แต่ผมก็ซื้อสับปะรดแล้วขอแกนมาให้เขาทุกครั้ง


เมื่อสัปดาห์ก่อน ได้มาถุงใหญ่เลย ก็เอามานั่งกับหมาหลังบ้าน เรากินอันหนึ่ง ให้หมาอันหนึ่ง แต่เจ้าหมากินไม่ค่อยเรียบร้อย ขะเหมือบสองสามทีหายเข้าไปในคอหมดแล้ว ต้องดุเขาว่าให้กินเรียบร้อยหน่อย

มาวันนี้ได้สับปะรดมาถุงหนึ่ง ได้น้ำใบย่านางขวดหนึ่ง ได้ฟักทองต้มใส่มะพร้าวและน้ำตาล แต่บอกเขาว่าไม่เอาน้ำตาล….อ้าวไม่มีผักเลย..

กลับมาบ้าน เจ้าคุ๊กกี้เคยชิน เพราะหากหิ้วถุงพลาสติกมา เขาจะต้องเอาจมูกมาดมพิสูจน์ทุกถุงไป เราก็ปล่อยให้เขาพิสูจน์ เหมือนหมาพิสูจน์ยาเสพติดของตำรวจเลย บางทีเขาซุกเข้าไปดมจนหัวมิดเข้าไปในถุงหมดเลย

เอากระเป๋าวางหมดแล้วก็เดินไปหลังบ้าน มุมเงียบของเรา เจ้าคุ๊กกี้ก็ตามไปโดยอัตโนมัติ เราหิ้วถุงสับปะรดไปด้วย เมื่อนั่งได้ที่ เจ้าคุ๊กกี้ก็นั่งตรงหน้าเรา เพราะเขารู้ว่าเวลาเราจะให้ของกิน เราจะสั่งให้เขานั่งให้เรียบร้อย แล้วจะได้กิน เมื่อเห็นถุงก็นั่งฉับ โดยไม่ได้สั่งเลย

หยิบแกนสับปะรดมาดู หลังจากที่ล้างน้ำให้สะอาดแล้ว ก็นึกว่า คราวนี้แม่ค้าให้มาน้อย คงเป็นเพราะแบ่งๆให้ลูกค้า ลูกค้าหลายคนคงชอบเหมือนเรา หยิบแกนแรกมาใส่ปากเราต่อหน้าคุ๊กกี้ เคี้ยวกร่วมๆ โฮ….แกนสับปะรดวันนี้อร่อยจริงๆ หันไปดูเจ้าคุ๊กกี้ ห้า ห้า น้ำลายไหลหยดลงพื้นเลย อิอิ

ตัดสินใจเอาสับปะรดให้คุ๊กกี้ เรากินแกนเอง จนหมด……

จ๊ากสสสสสส ที่บอกแม่ค้าว่าเอาแกนไปให้หมา…….. ห้า ห้า ห้า…..


บางมุมของระบบการศึกษา

6 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 1 ธันวาคม 2009 เวลา 20:19 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 747

อะตอมเล่าว่า เริ่มฝึกงานตั้งแต่เรียนอยู่ Year 11 ที่วินเชสเตอร์ คอลเลจ กับธนาคาร Standard Chartered ในประเทศไทย ตอน Year 12 ฝึกงานกับ HSBC ที่ลอนดอน ล่าสุดฝึกงานในทีมของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กรณ์ จาติกวณิช…

เขาเล่าว่า การฝึกงานกับธนาคารในประเทศไทย และต่างประเทศนั้นให้ประสบการณ์ที่แตกต่างและหลากหลาย เพราะในเมืองไทย ไม่ค่อยมีเด็กนักเรียนมัธยมมาฝึกงานกัน หรือเรียนรู้ดูงาน และมักจะได้รับคำถามว่า ยังเป็นแค่เด็กนักเรียนที่เรียนไม่จบ จะมาฝึกงานทำไม ในขณะที่ต่างประเทศนั้น จะมีการต้อนรับอย่างเป็นระบบกว่า…

ในต่างประเทศเขาเข้าใจว่าเราไม่ได้มาเป็น In put ให้เขา เพราะเราเป็นนักเรียนแต่จะไม่มีการสั่งให้เราไปชงกาแฟ ไปถ่ายเอกสาร แต่เขาจะจัดการให้เราได้ learning ด้วยการไปดูการทำงานของทุกแผนก โดยอาจจะใช้เวลาครึ่งวันไปที่แผนก อีกครึ่งวันก็เรียนรู้จากการดูเอกสาร

บรรยากาศการทำงานก็แตกต่างกัน ในต่างประเทศเขาค่อนข้างจะ Serious มาก แต่คนไทยก็จะดูผ่อนคลายกว่า ทำให้เราเห็นวัฒนธรรมและบรรยากาศการทำงานที่หลากหลาย….

นี่คือส่วนหนึ่งของคำให้สัมภาษณ์ พศุตม์ วัชรสินธุ์ หรืออะตอม วัย 19 ปี หลานของนายกรัฐมนตรี่อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ “พรายแสงดาว” ถ่ายทอดในหน้า “เยาวชนของเรา” ในสกุลไทยรายสัปดาห์ ฉบับที่ 2877 หน้า 130

ผมติดใจเรื่องการฝึกงานของนักเรียน และการให้ความร่วมมือของหน่วยงาน และกระบวนการฝึกงานของนักเรียนเหล่านี้ในต่างประเทศ

ที่ผมติดใจเพราะเมื่ออ่านบทความนี้แล้วนึกถึงเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2542 ที่ลูกสาวผมปิดเทอมที่ NZ กลับมาบ้านที่ขอนแก่นแล้วบอกผมว่าอยากไปฝึกงาน เราแปลกใจที่ลูกสาวเสนอในสิ่งที่เด็กที่เรียนมัธยมศึกษาทั่วไปไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ เธอบอกว่า “เพื่อนๆเขาไปหางานทำกันทั้งนั้นช่วงปิดเทอม หนูก็อยากทำงานบ้าง” ผมแอบยิ้มแล้วก็ติดต่อโรงแรมห้าดาวแห่งหนึ่งที่ขอนแก่น ว่ามีเด็กมัธยมต้องการมาฝึกงาน โดยไม่ต้องการค่าตอบแทน ตอนนั้นผมก็ยังไม่เข้าใจเท่าไหร่ถึงกระบวนการนี้ แต่เห็นดีด้วย เพราะมิเช่นนั้นเด็กวัยรุ่นวัยนี้ก็จะเที่ยว ดูหนัง ฟังเพลง ถลุงเงิน พ่อแม่ แต่นี่เธออยากฝึกงาน จึงสนับสนุน และโรงแรมก็รับเธอเข้าทำงาน

วันแรกเท่านั้นเธอก็ร้องให้กลับมาเลย อิอิ…

ทำไมล่ะลูก…. ผมถามเธอ เธอก็เล่าให้ฟังว่า เหมือนเหยื่อแรงงานที่จะมาทำงานขยะที่หัวหน้างานทิ้งขยะงานไว้ เธอถูกให้ไปเชคสต๊อคถ้วย ชาม แก้ว ฯลฯ ที่เป็นงานค้าง ตรวจเช็คใบสำคัญรับเงิน จัดระบบเข้าแฟ้ม เป็นงานที่หัวหน้างานทิ้งค้างไว้ทำไม่เสร็จก็โยนมาให้เด็กมาใหม่ทำต่อ …1 สัปดาห์ผ่านไปเธอบอกว่าไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย นอกจากหัวหน้างานสั่งให้ไปทำโน่นทำนี่ ล้วนเป็นงานค้างที่ทำไม่เสร็จนั่นเอง….

เธอเกือบทนไม่ได้.. แต่เราก็นั่งคุยกับเธอว่า ไม่มีใครมาฝึกงานแล้วมาแต่งตัวสวยๆนั่งหน้าเคาท์เตอร์ ต้องผ่านงานพื้นฐาน งานขยะแบบนี้ก่อนทั้งนั้น (ทั้งๆที่ผมก็ไม่รู้เรื่องงานโรงแรม หรืองานระบบธุรกิจสักนิดเดียว) แต่ก็พยายามให้กำลังใจเธอ และเธอก็ทำงานแบบนั้นจนสิ้นสุดระยะเวลาที่ตกลงกันไว้คือประมาณ 1 เดือน ก่อนที่เธอจะเดินทางกลับไปเรียน ไฮสคูลต่อ เธอก็บอกว่า ก็ได้เรียนรู้มากเหมือนกัน เห็นหลังฉากของโรงแรมหรูระดับห้าดาวว่าเป็นเช่นไรบ้าง …ขออนุญาตไม่กล่าวถึงเพราะจะไปกระทบชื่อเสียงเขานะ…

ปีถัดมาเธอขอฝึกงานอีก คราวนี้ไปติดต่อบริษัทเอเยนซี่ขายตั๋วเครื่องบินที่ขอนแก่น ก็เป็นสำนักงานสาขาของบริษัทหนึ่ง เมื่อผู้บริหารเขาทราบว่า มีเด็กพูดอังกฤษได้อยากมาฝึกงานแบบฟรีๆไม่ต้องจ่ายค่าแรง ก็ยินดีรับ คราวนี้เธอได้นั่งโต๊ะและช่วยงานหน้าฟร้อนท์มากขึ้น เข้าใจระบบการจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบิน การจอง การเปลี่ยนแปลง การนัดหมาย ..ฯลฯ และเหนือกว่านั้นคือ การเรียนรู้ระบบการบริหารจัดการธุรกิจในประเด็นต่างๆ ขณะที่เธอยังเรียนไฮสคูล แต่เด็กที่เรียนมหาวิทยาลัยในเมืองไทย ปิดเทอมก็ยังไม่มีใครมาฝึกงานแบบนี้เลย ไปสุมหัวอยู่โน่น ดิพาทเมนท์สโตร์

ประเด็น:

  • แนวความคิดเรื่องการฝึกงานในกรณีคุณอะตอม นั้น ยังไม่เกิดขึ้นในค่านิยมของเมืองไทย อาจจะมีบ้างแต่น้อยมาก
  • แนวความคิดเรื่องการฝึกงานแบบนี้ ทำไมไม่เกิดจากความคิดของนักวิชาการกระทรวงศึกษาธิการ หรือ สถาบันอื่นๆ และขอรับการสนับสนุนจากบริษัทธุรกิจให้เป็นการเข้ามาเพื่อเรียนรู้มิใช่มาใช้แรงงาน ก็เห็น ธุรกิจเมืองไทยกำลังทำ CSR กันมิใช่หรือ
  • ความหมายของการศึกษานั้นกว้างขวางมากกว่าการเรียนในห้อง การฝึกงานแบบดังกล่าวก็เป็นกระบวนการเรียนรู้อีกแบบหนึ่งที่น่าสนับสนุนยิ่งนัก ทำไมไม่เกิดขึ้นในเมืองไทย
  • การฝึกงานแบบนี้ไม่มีคะแนนมาเกี่ยวข้อง เด็กเรียนรู้เต็มๆโดยไม่ต้องกังวลเรื่องคะแนน
  • การฝึกงานแบบนี้ช่วยให้เด็กเรียนรู้ว่าตัวเองถนัดอะไร และไม่ถนัดอะไร จะช่วยให้เธอ เขา ตัดสินใจเลือกเรียนในระดับอุดมศึกษาได้ชัดเจนมากขึ้น

ผมตั้งประเด็นได้อีกเยอะ แต่ให้ท่านลองตั้งประเด็นบ้างก็ดีเหมือนกันนะ..


พระจันทร์..

16 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 29 พฤศจิกายน 2009 เวลา 0:43 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 3780


พระจันทร์ที่สวนป่าใหญ่เท่านี้ไหมครับ…อิอิ


ป้าสาลี่..

2 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 28 พฤศจิกายน 2009 เวลา 15:35 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1160

ป้าสาลี่ เป็นแม่หม้าย อยู่ตัวคนเดียวลูกเต้าก็ไม่มี ปลูกบ้านอยู่หลังวัดไร่ บ้านก็โทรมๆ ป้าสาลี่ไม่มีที่ดินทำกิน ก็ยึดอาชีพขายน้ำแข็งให้กับเด็กนักเรียนโรงเรียนวัด

บ้านนอกอย่างภาคกลางนั้นโรงเรียนส่วนใหญ่อาศัยวัด อาศัยศาลาการเปรียญวัดเป็นห้องสอนเด็กนักเรียนเพราะใหญ่โตกว้างขวาง ผมก็ว่าดีนะครับได้ใช้ประโยชน์อาคารเต็มที่ ไม่ใช่สร้างใหญ่โตแต่ปีหนึ่งจะใช้สักครั้งก็ไม่คุ้มกับการก่อสร้าง


ที่วัดไร่ซึ่งก็ไม่ห่างจากบ้านเดิมของผม เป็นทางผ่านไปที่นาที่สวน โรงเรียนวัดไร่มีตั้งแต่ชั้น ป. 1 ถึง ป. 4 และ ม.1 ถึง ม. 3 ก็เป็นเด็กจากชุมชนรอบๆวัด ก็มีเด็กรวมๆกันก็มากอยู่

ป่าสาลี่ยึดโคนต้นไม้ขนาดไม่โตมากนักต้นหนึ่งน่าจะเป็นต้นพิกุล ที่โคนต้นก็จะมีกองแกลบเหลืองขนาดย่อมๆ มีร้านไม้เล็กๆ และแถบนี้เตียนโล่งหญ้าไม่มีสักต้น

เมื่อโรงเรียนเปิดเทอม เช้าขึ้นมาป้าสาลี่ก็จะหาบกระจาดใส่สาแหรกสวมงอบเดินไปตลาดวิเศษชัยชาญ เพื่อไปซื้อน้ำแข็งมาขาย สมัยนั้นไม่มีไฟฟ้า สังคมยังเป็นแบบเดิมๆ ชนบทจริงๆ รถราโดยสารไม่มีใช้วิธีเดินอย่างเดียว ดีที่สุดคือจักรยาน ไม่มีมอเตอร์ไซด์ หรือไม่ก็เดินทางโดยทางน้ำใช้เรือพาย แต่คนนิยมเดิน

ที่ตลาดวิเศษชัยชาญเจริญมากในสมัยนั้นเมื่อเทียบกับที่อื่นๆ เพราะ การคมนาคมใช้เรือนี่เองจึงมีเรือโดยสารจากท่าเตียน กรุงเทพฯรับส่งสินค้าและรับคนโดยสารด้วย พวกเราเรียกเรือแม่ไล้ ใหญ่โตมีสองชั้น ชั้นล่างไว้ใส่สินค้าต่างๆที่ร้านค้าสั่งซื้อ ส่วนชั้นบนก็สำหรับผู้โดยสารจะลงกรุงเทพฯ หรือจากกรุงเทพฯจะมาวิเศษชัยชาญ การติดต่อสื่อสารที่ดีที่สุดในสมัยนั้น วิเศษจึงมีสินค้าทุกอย่างที่ท่าเตียนมี จึงมีความเจริญ


นอกจากนี้ที่ตลาดวิเศษยังมีโรงงานผลิตน้ำแข็งขนาดใหญ่ ใช้น้ำจากแม่น้ำน้อยนี่แหละไปผ่านกระบวนการทำสะอาดแล้วก็ทำให้เย็นลงได้น้ำแข็งที่อยู่ใน “ตัวแบบ” ที่เป็นกล่องเหล็กขนาดใหญ่ มีคนงานลากออกมาตัดแบ่งขายย่อยให้เล็กลงแล้วแต่ขนาดที่ลูกค้าสั่ง ขนาดที่เล็กที่สุดเรียก “มือ” น้ำแข็งหนึ่งมือ ก็มีขนาดก้อนประมาณเท่าขนมปังปอนด์ขนาดใหญ่

ป้าสาลี่จะเดินจากบ้านข้างหลังวัดไร่หาบกระจาดสาแหรกเปล่ามา ซื้อน้ำแข็งไป 4-6 มือ ใส่กระจาดข้างละสองถึงสามมือ สมัยนั้นวิธีรักษาความเย็นก็คือเอาแกลบเหลืองมาปิดให้หนาๆ นอกจากนี้ก็ซื้อส่วนประกอบอื่นๆที่ขาดแคลน เช่นน้ำหวาน นมข้น นมสด ฯ แล้วก็หาบจากตลาดวิเศษไปถึงวัดไร่ ระยะทางประมาณ 5 กม. หนักซิครับกว่าจะถึงก็วัดไร่ก็ใกล้เที่ยง บางวันก็ขายต่อเลยไม่ทันเข้าบ้าน

เด็กๆชอบกินน้ำแข็งใสใส่น้ำหวานสีๆใส่นม ที่ขอนแก่นเรียกพวกนี้ว่า “จ้ำบ๊ะ” ทำไมเรียกอย่างนี้ก็ไม่รู้ ถามว่าสมัยนั้นน้ำขวดพวก เป็บซี่ โคลา มีไหม


มี แต่ไม่ใช่ที่เอ่ย สมัยนั้นเป็น ไบลเล่ย์ น้ำซาซี่ น้ำมะเน็ด กรีนสปอร์ด 7up แต่คนแถวบ้านไม่ค่อยกินเพราะมันแพง นิยมกินน้ำแข็งใสใส่น้ำหวานเขียวแดงนี่แหละ ใส่นมเข้าไป แค่นี้ก็ชื่นใจ กินกันหยดสุดท้ายเลยหละ..

ป้าสาลี่บอกว่า หน้าร้อนขายดี แต่ลำบากการหาบน้ำแข็งมาจากตลาดนี่ซิ หนักก็หนัก กว่าจะมาถึงน้ำแข็งก็ละลายไปเยอะทีเดียว

ผมจากบ้านมาตั้งแต่เข้าเรียนชั้นเตรียมอุดมศึกษาเพราะเข้าไปเรียนที่กรุงเทพฯตั้งแต่ พ.ศ. 2509 ไม่ทราบเรื่องป้าสาลี่อีกเลย….

นี่เป็นเรื่องเล่าความหลังเมื่อสี่สิบปีที่แล้วน่ะครับ


สุคะโต..

32 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 27 พฤศจิกายน 2009 เวลา 22:39 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 11313

เช้าวันที่ไปนอนวัดป่าสุคะโต ท่ามะไฟหวาน แก้งคร้อ ชัยภูมินั้น ทางวัดจัดการที่พักให้ ต่างก็ไปเบิกหมอน เสื่อปู ปลอกหมอน ท่านผู้ดูแลบอกว่าเช้าก็เอามาส่งที่นั่นที่นี่นะ กองไว้หน้าห้องหากเข้าไม่ได้ เดี๋ยวมีคนมาจัดการต่อเอง

 


ข้างที่พักผมมีกองหิน ถุงกรวด คงจะเตรียมก่อสร้างต่อไป ข้างๆกองหินนั้นเห็นแม่ไก่กำลังนอนฟักไข่อยู่ นิ่งเงียบเลย ไม่ส่งเสียง เข้าไปใกล้ๆก็ไม่ถอยหนี มองตาเราแป๋วๆ..

ผมหายเข้าไปในห้องสักพักก็ออกมาดูเขาใหม่


อ้าวหายไปแล้ว ทิ้งไข่ไว้ 7 ฟอง


โน่น เดินอยู่โน่น คงมาหาอาหารเช้ากิน


เดินวนไปมาไม่ห่างจากรังไข่ง่ายๆของเธอ คุ้ยหาอาหาร ซึ่งผมดูแล้วก็ไม่เห็นมีอะไร แต่เธอก็เดินคุ้ยเขี่ยไป วนไปมา


บางครั้งก็มีไก่ตัวอื่นเดินเข้ามาหาสักครู่ก็เดินจากไป เหมือนมาทักทายแล้วเดินไปอาหารที่อื่นต่อไป ปล่อยให้ไก่แม่ตัวนี้ วนเวียนอยู่ใกล้รังไข่ของเธอ


นั่งดูพักใหญ่ๆ ดูเขาจะไม่ได้กินอะไรเต็มท้องเลย บนพื้นดินนั้นไม่มีอาหาร นึกถึงข้าวก้นจานของพวกเรา นึกถึงอาหารเหลือของพวกเรา หากเธอได้ของเหลือเหล่านั้นก็มากพอที่เธอจะได้พลังนอนกกลูกต่อไปอีก


จึงเข้าไปในห้องดูว่าจะมีอะไรให้เธอกินได้บ้าง เห็นมีกล้วยตากเหลืออยู่ 1 ชิ้น จึงจัดการเอามาวางใกล้ๆปากของเธอ แล้วเธอก็จิกกินจนหมด


มันเป็นวิถีชีวิตปกติธรรมดาที่ใครต่อใครก็เห็นกัน..

แต่หากใช้มุมมองแบบ “เห็นในเห็น” นั้นเล่าคืออะไร

เราล่ะทำชีวิตให้เกินธรรมดามากไปหรือเปล่า

อือ..เราเห็นตัวเองว่า.ไอ้นั่นก็ใช่ นี่ก็ถูก โน้นก็แม่นแล้ว…

เฮ่อ เรานี่ปรุงแต่งมากไปแล้วนะ..

เกินธรรมดาไปมากแล้วนะ

หากท่านมีเวลา เชิญแวะที่นี่บ้างก็ได้นะครับhttp://www.pasukato.org/about_watpasukato.html


คิดใหม่..

63 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 26 พฤศจิกายน 2009 เวลา 23:07 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1932

 

“จงคิดเสียใหม่ว่า ท่านไม่ได้เป็นมะเร็ง เพียงแต่มะเร็งมาอยู่กับตัวท่าน กายเป็นมะเร็งก็ให้รู้ไว้ แต่ใจท่านจะต้องไม่เป็นมะเร็ง”

พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล ท่านบรรยายกับกลุ่มคนที่เป็นมะเร็ง ผมดูทีวีเมื่อค่ำนี้ ชอบคำนี้ครับ


คำสนทนาธรรมดา

18 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 24 พฤศจิกายน 2009 เวลา 17:01 ในหมวดหมู่ งานพัฒนาสังคม, เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 787

เขาว่าปีนี้ราคาข้าวมันดี.. ก็วิทยุ มันว่าไง เขาว่าพายุมันเข้าเวียตนาม ฟิลิปปินส์ คู่แข่งข้าวของเรา พังพาบลงไปแล้ว เหลือแต่เราไม่เป็นไรมากนัก ก็นอนยิ้มๆอยู่ แต่ยิ้มได้ไม่นานหรอกคุณเอ้ยย รายจ่ายมันไปล่วงหน้าแล้ว

รัฐก็มาช่วยจัดประกันราคาให้ เห็นแต่เถ้าแก่ยิ้มกว้างกว่าเพื่อน ทั้งขึ้นทั้งล่องเถ้าแก่ได้หมด ได้ลูกเดียว


ลูกน่ะหรือ มีซิ สาม สี่ คนนั่น… โอยมันไม่อยู่หรอกบ้านเรา โน้น..มันไปกรุงเทพกรุงไทยโน่น ส่งเงินมาบ้าง ไม่ส่งมาบ้าง นี่ตากับลูกเขยก็ต้องมาทำเอง ปีหน้าปีโน้นก็ปลดละวางตัวเองแล้ว ไม่ไหวแล้ว


นั่นยาย..มานั่งดูตาทำงาน แค่เดินก็จะไม่ไหวแล้วจะมาช่วยอะไรได้ แกมาให้กำลังใจหรือมากำกับก็ไม่รู้ หุหุ ก็ดี…มีคนคุยด้วย

เองทำงานอะไรเล่า…. จะมาช่วยตาหรือไงล่ะเห็นหยุดรถถามโน่นถามนี่

ไหวหรือเจ้านาย เดี๋ยวมือไม้ไม่ได้จับปากกาหรอกนะจะบอกให้….

ฝากไปบอกนายกด้วยนะ…มาเยี่ยมทางนี้บ้าง ไม่มีหรอกเสื้อแดงเสื้อเหลืองน่ะ มีแต่เสื้อเหม็นๆของตาที่แหละ..

ตาชอบคนนี้… ถ้าลูกสาวยังโสดจะยกให้เลยนะเนี่ยะ..

..!!!!..


..ร้า

712 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 23 พฤศจิกายน 2009 เวลา 21:33 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 5819

อากาศดีดีอย่างนี้ผมก็ปิดแอร์รถ เปิดกระจก รับลมเย็นข้างนอก

โอ้….ดีจริงๆ.. เพลินไปเลย

ผมชอบฟังข่าวหนักๆจึงเปิดวิทยุ AM รัฐสภาฟังการอภิปราย ก็ได้ความรู้มาก ฟังความเห็นคนโน้นคนนี้ วิเคราะห์สาระคนโน้นคนนี้ บางทีก็เบื่อสุดเบื่อ ที่สภาวุ่นวายจริงๆ แต่ก็ได้ความรู้ เหมือน update บ้านเมือง


เมื่อ ผ่านกุฉินารายณ์ ก็เข้าเส้นทางไปมุกดาหาร มีหลายช่วงที่ถนนสวยมาก ผมชอบ เพราะเหมือนอุโมงค์ต้นไม้ ผมขับรถช้าเพราะรถตำแหน่งนั้นเก่าและโทรมมากๆ ไม่กล้าขับเร็วๆ เพราะซ่อมใหญ่มาหลายครั้งแล้ว จริงๆควรจะปลดระวางได้แล้ว แต่โครงการไม่มีนโยบายเปลี่ยนรถให้ นอกจากเปิดโครงการใหม่ ก็จะซื้อรถใหม่ ตามปกติของโครงการ

เอ บรรยากาศก็ดี อากาศก็เย็นดี ทำไมกลิ่นโชยมาไม่ค่อยดีเลย


เลยขับรถเร็วขึ้นเข้าไปดู รถคันข้างหน้า

ป๊าดดดดด นั่นมันรถบรรทุกปลาร้านี่เอง

ในปี๊บเต็มหลังรถคันนั้น มีแต่ปี๊บปลาร้า มุ่งหน้าไปคำชะอี มุกดาหาร เส้นทางเดียวกับเรา ผมเลยเร่งแซงไปเลย ควบอีแก่ปุเลงๆแซงไปอยู่ข้างหน้า เฮ่อ ค่อยหายเหม็นหน่อย..

ใจยังนึกว่า โห ก็ปี๊บนั่นขึ้นสนิมเต็มไปเลย มันจะมีผลกับ ส้มตำปลาร้าไหมหนอ

เฮ่อ ใครชอบส้มตำปลาร้าระวังเด้อ…..อิอิ


Meeting on blog

301 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 23 พฤศจิกายน 2009 เวลา 20:34 ในหมวดหมู่ ทุนสังคม, เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 2360

เราทราบกันดีว่าสังคม Blog ได้สร้างมิติใหม่ของการเรียนรู้ในบ้านเรา ที่เรียก KM และแนวความคิดเรื่องนี้ก็กระจายไปมาก มี Blog เกิดขึ้นมากมายจนนับไม่ถ้วน ทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก ทั้งที่ก่อประโยชน์ และสร้างปัญหา

แต่ที่ลานแห่งนี้เป็นกลุ่มคนคอเดียวกัน แต่ก็กำลังเคลื่อนตัวไปสะดุดบ้าง ราบรื่นบ้างก็เป็นไปตามปรากฏการณ์ของการเคลื่อนตัวขององค์กรที่ผมเฝ้าสังเกตมา ผมไม่กล่าวถึงตรงนั้น แต่อยากจะขยายมุมมองที่พ่อครูบาฯพยายามใช้เวทีนี้ให้เป็นประโยชน์ และได้ใช้มาแล้วหลายครั้ง ท่านเองก็พอใจ(ระดับหนึ่ง)

ผมเข้ามาอยู่ในวงการนี้ก็ สามปีแล้ว เห็นประโยชน์และพยายามเอาไปขยายสู่องค์กรที่สังกัด แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเลย ทั้งหมดเป็นผู้อ่านเพียงอย่างเดียว แปลกนะ เวลาประชุมต่อหน้าบ่อยครั้งก็คุยกันข้ามวันข้ามคืน แต่ไม่เขียน เวลาผมเขียนก็ไม่มีความคิดเห็นย้อนกลับ เฉย เงียบ เลยไม่รู้ว่า เอ มันเอาไงแน่ รู้แต่ว่า หัวหน้างานที่เป็นชาวต่างประเทศ เอาไปแปลและสนับสนุนให้ขยายเรื่องนี้ต่อไปจนเปิด Web ขององค์กร แล้วอบรมเลขานุการทุกสำนักงานให้เอาผลงานทุกอย่างของโครงการไปใส่ที่นั่น เพื่อทุกคนจะได้เข้าถึงข้อมูลทันที ลดการส่ง Fax เอกสารที่เป็น hard copy ลดต้นทุน…

ย้อนกลับมาที่ ประเด็นของพ่อครูฯ ที่ท่านใช้ Blog เป็นเวทีระดมความคิดเห็น และหลายๆคนก็แสดงความเห็นไปใน Comment และท่านก็เอาผลไปประมวลแลกเปลี่ยนกับกลุ่มอื่นๆต่อไป ผมอยากเรียกว่า เป็นการประชุมทาง Blog ซึ่งผมชอบมาก การประชุมทาง Blog นี้มีประโยชน์หลายประการ


อย่างที่ผมลองสรุปมาเป็นเบื้องต้นนี้ ผมประมวลว่า ทั้งตัว Blog นั้นมีประเด็นที่น่าสนใจและความคิดเห็นของเพื่อนๆที่แสดงเข้ามาก็น่าสนใจ หลายครั้งผมพบว่ามันช่วย เตือนสติเรา เป็นความรู้ใหม่มีประโยชน์ก็เอาไปปรับใช้ มีมากมาย เช่น การปลูกผักของโสทร ผมก็เอาไปใช้ แนวทางการป้องกันโรคของหมอตา ความรู้เรื่องกฎหมายที่ดินที่ อัยการเล่าให้ฟัง พืชผักที่เป็นประโยชน์ต่างๆที่อาม่าเอามาขยาย ที่พ่อครูเล่าให้ฟัง โอยมากมาย

ความรู้ทั้งหลายนั้นเอามาวางในที่สาธารณะใครๆก็เข้ามาเรียนรู้ได้ ทุกเมื่อเชื่อวัน วงสังคมนี้เชื่อมความสัมพันธ์แก่กัน ผมมาอยู่ขอนแก่นจนเป็นชาวขอนแก่นไปแล้วนานมาแล้วไม่รู้จักป้าหวานที่อยู่ใกล้ๆกันเอง แต่ก็มารู้จักกันใน Blog นี้ และที่สำคัญ หากมีการระดมความคิดเห็นต่อประเด็นใดๆ ก็สามารถเอาเหตุผลทั้งหมดนั้นมาสรุปความรู้ได้

มันก็เหมือนการประชุมทาง Blog นี่เอง


ผมสนับสนุนเวทีแบบนี้ เพราะผมมองเห็นประโยชน์หลายอย่าง ดังตัวอย่างที่ผมสรุปมาในแผนผังข้างบนนี้ เลยนึกไปถึงว่า คนข้างกายผมเดินทางไปประชุมกรุงเทพบ่อย จน ไมล์เลจน์ มากพอที่จะได้ตั๋วฟรีให้ลูกสาวบินไปไหนต่อไหนมาหลายครั้งแล้ว

ผมลองคำนวณดูว่า หากเราประชุมทาง Blog โดยไม่เดินทาง คงจะประหยัดงบประมาณมากมายทีเดียว เช่น ค่าเครื่องบิน ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าแท็กซี่ ค่าอื่นๆ ต่อคนก็ไม่ใช่น้อย และเอาจำนวนคนคูณเข้าไปก็มหาศาลทีเดียว การประชุมหลายครั้งก็ไม่ได้พูดสักคำ ปิดประชุมแล้ว

ยกเว้นการประชุมที่สำคัญๆที่จำเป็นต้องเห็นกันต่อหน้า

แน่นอนจุดอ่อนก็มี แต่เราก็สามารถพิจารณาได้ว่า การประชุมแบบไหนที่ใช้ Blog ก็พอ การประชุมแบบไหนที่ต้องแบบเห็นหน้ากัน หรือจะใช้แบบ tele-conference ก็เป็นทางเลือกมากขึ้นในปัจจุบัน


ในหลวงของแผ่นดิน..

31 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 23 พฤศจิกายน 2009 เวลา 13:15 ในหมวดหมู่ ทุนสังคม #
อ่าน: 873

ผมเชื่อว่าบทความสั้นๆต่อไปนี้ทุกท่านคงผ่านตามาแล้ว แต่ผมก็ยังประสงค์บันทึกในลานนี้อีกเพื่อเป็นศิริมงคลแก่ลานปัญญาต่อไป เจตนาผมต้องการเทิดทูลพระองค์ท่าน ในวาระที่จะครบรอบวันสำคัญ 5 ธันวาคมที่จะมาถึงนี้ ผมไม่เคยมีบุญได้รับใช้เบื้องพระยุคลบาท แต่การทำงานเพื่อสังคม และพยายามเป็นคนดี ก็ถือว่าสนองพระคุณแด่พระองค์ท่าน และแผ่นดินนี้

ต่อไปเป็น FW mail ที่ผมได้รับมาสามรอบแล้วครับ จึงขอนำมาบันทึกในที่นี้เพื่อเตือนสติแก่พวกเราด้วย

————————————-

30 บาทรักษาทุกโรค

ในขณะที่ในหลวงท่านทรงประชวรเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่ข้าพเจ้าศึกษาอยู่เมื่อต้นปีนี้ มีข้าราชบริพารเข้าเยี่ยมจำนวนมาก ทุกคนคงจำได้ที่เป็นข่าวใหญ่โตที่นายกฯท่านหนึ่ง บังอาจถวายบัตร 30 บาท ให้พระองค์ เพื่อใช้สิทธิ์ สร้างความแค้นเคืองใจให้พสกนิกรชาวไทยทุกคน แต่ไม่มีใครรู้เบื้องหลังว่าพระองค์ทรงตอบว่าอย่างไร ในหลวงทรงตรัสว่า “ไม่เป็นไรหรอกหากข้าพเจ้าไม่สามารถจ่ายค่ารักษาได้ แต่คงสามารถใช้บัตรผู้สูงอายุได้หรือจะใช้สิทธิข้าราชการของบุตรี (ฟ้าหญิง) ก็ได้”
ท่านพูดเสียงเรียบๆ ไม่ได้รู้สึกว่าถูกลบหลู่เลยพูดเสร็จก็ยื่นบัตรทองใบนั้น ให้นายกที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ฟังแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ว่าท่านตอบได้น่ารักมาก เคยมีคนถามผมว่านับถือใครมากที่สุด คิดถึงคนแรกและคนเดียวเลยคือ ในหลวงท่านเหนือกว่ากษัตริย์ใดในโลกหล้ายิ่งใหญ่กว่าวีรบุรุษคนใดในตำนาน มีคุณธรรมประเสริฐล้ำเทียบพระโพธิสัตว์ ขอถวายความจงรักภักดีจนกว่าชีวีจะหาไม่

เชื้อโรคตายหมด

หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี ผู้อำนวยการโครงการหลวง

……. เหตุการณ์ในปี ๒๔๑๓ ที่ควรจะนำมากล่าว เพราะมีผลต่อจิตใจของชาวเขา และควรที่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ได้ทราบเพื่อพยายามเดินตาม “เบื้องยุคลบาท”วันนั้นเสด็จฯ ไปหมู่บ้านดอยจอมหด พร้าว เชียงใหม่ ผู้ใหญ่บ้านลีซอกราบทูลชวนให้ “ไปแอ่วบ้านเฮา” ก็เสด็จฯ ตามเขาเข้าไปบ้านซึ่งทำด้วยไม้ไผ่ และมุงหญ้าแห้งเขาเอาที่นอนมาปูสำหรับประทับ แล้วรินเหล้าทำเองใส่ถ้วยที่ไม่ค่อยจะได้ล้างจนมีคราบดำ ๆ จับ ผู้เขียนรู้สึกเป็นห่วงเพราะตามปกติ ไม่ทรงใช้ถ้วยมีคราบ จึงกระซิบทูลว่าควรจะทรงทำท่าเสวยแล้วส่งถ้วยมา พระราชทานให้ผู้เขียนจัดการ แต่ก็ทรงดวดเองกร้อบเดียวเกลี้ยง ตอนหลังรับสั่งว่า..”ไม่เป็นไร แอลกอฮอล์เข้มข้น เชื้อโรคตายหมด” จากหนังสือในหลวงที่สุดของหัวใจ

ข้าวผัดไข่ดาว โดย ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล

วันหนึ่งเสด็จฯเขาค้อเปิดอนุสาวรีย์ พอเปิดอนุสาวรีย์เสร็จพระองค์ท่านก็ขอกลับไปที่พระตำหนักเฟื่อจะทรงเปลี่ยน ฉลองพระบาทเพราะเดี๋ยวจะไปดูงานในป่าในดง………เราก็ไม่ได้ทานข้าวไม่มีใครทานข้าว ตอนนั้นบ่ายสองโมงแล้วก่อนจะเปลี่ยนฉลองพระบาทสักยี่สิบนาทีน่าจะพุ้ยข้าวทันก็รีบวิ่งไปห้องอาหารที่เตรียมไว้ปรากฏว่าพวกที่ไม่ได้ ตามเสด็จเขาทานกันหมดแล้วในนั้นจึงเหลือข้าวผัดติด ก้นกระบะกับมีไข่ดาวิ้งแห้งไว้ 3-4 ใบ เราก็ตักเห็นมีข้าวอยู่จานหนึ่งวางไว้ มีข้าวผัดเหมือนอย่างเราไข่ดาวโปะใบหนึ่ง มีน้ำปลาถ้วยหนึ่งวางอยู่เพื่อนผมก็จะไปหยิบมา มหาดเล็กบอกว่า “ไม่ได้ๆ ของพระเจ้าอยู่หัว ท่านรับสั่งให้มาตัก”
ดูสิครับตักมาจากก้นกระบะเลยผมนี่น้ำตาแทบไหลเลยท่านเสวยเหมือนๆกันกับเรา…… ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ จากหนังสือในหลวงที่สุดของหัวใจ


พับเพียบ

รองศาสตราจารย์ ดร.สุธี อักษรกิตติ์ผู้สนองพระราชดำริ ในโครงการระบบสื่อสารสายอากาศ และอิเล็กทรอนิกส์

… ในครั้งแรก ผมทำงานตามพระราชดำริ โดยไม่ทราบว่าเป็นงานของพระองค์จนกระทั่งวันหนึ่ง มีคนบอกว่า ให้เข้าไปในวังด้วยกัน และให้นำระบบสายอากาศชนิดใหม่ขึ้นไปติดตั้ง ก็ไม่ได้คิดว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จฯ มาแต่ว่าแปลกใจทำไมอยู่ดี ๆเจ้าหน้าที่ที่กำลังติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆอย่บนดาดฟ้าของพระตำหนักถึงปีนลงมาทั้ง ๆ ที่งานยังไม่เสร็จ แท้ที่จริงพระองค์ท่านเสด็จฯ มายืนอยู่ข้างหลัง ผมเหลียวหลังไปมองนิดหนึ่ง ครั้นพอเห็นพระองค์ท่านก็ตกใจ เป็นอาการวูบขึ้นมาทันที นึกอยู่ในใจว่าใช่แล้ว ใช่แน่ ๆ เพราะคิดว่าเหมือนในรูปผมก็รีบทำความเคารพ แล้วก็ทำอะไรไม่ถูก สิ่งที่ผมจำได้คือเราต้องอยู่ต่ำกว่าจึงรีบคุกเข่าให้ต่ำลงมา เป็นเหมือนชันเข่า เพราะว่าตอนนั้นพระองค์ท่านประทับยืนอยู่ ถ้านั่งพับเพียบเลยก็จะต่ำเกินไปเพราะว่าผมต้องพูดอธิบายด้วย ปรากฏว่าพระองค์ท่านก็คุกเข่าลงไปด้วย ผมก็เลยนั่งพับเพียบให้ต่ำลงไปอีก พระองค์ท่านก็ประทับพับเพียบเหมือนกันเลยกลายเป็นว่าวันนั้น นั่งพับเพียบสนทนากัน ๒-๓ ชั่วโมงบนดาดฟ้าพระตำหนักในเวลาช่วง บ่ายที่ร้อนเปรี้ยง ……. จากหนังสือในหลวงที่สุดของหัวใจ

ไม่ต้องกั้น

โดยดร.สุเมธ ตันติเวชกุล มีอยู่ครั้งหนึ่งเสด็จฯไปที่เซ็นทรัลวันที่มีประชุมรัฐสภาโลก วันนั้นผมจำได้ผมติดอยู่บนท้องถนนฝนตก ผมก็มีวิทยุเลยได้ยินรับสั่งมากับตำรวจมาเลย “วันนี้ไม่ต้องกั้นรถ”ทรงเข้าใจความทุกข์ของราษฎรอยู่ตลอดเวลา วันนี้เป็นวันฝนตกรถติดกันอย่างมหาศาล ถ้าขืนต้องไปติดขบวนอีกสร้างความทุกข์ให้กับประชาชนทรงวิทยุบอกตำรวจว่า “ขบวนจะแล่นไปพร้อมกับรถของประชาชนไม่ต้องกั้นเคลื่อนที่ไปพร้อมกัน” จากหนังสือในหลวงที่สุดของหัวใจ

กส. ๙

พลตำรวจตรี สุชาติ เผือนสกนธ์อดีตอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข
..พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงใช้เครื่องวิทยุที่ทรงมีอยู่ เฝ้าฟังและติดต่อกับ “ปทุมวัน” และ “ผ่านฟ้า” เป็นครั้งคราวเมื่อทรงว่างพระราชภารกิจอื่น การติดต่อทางวิทยุได้ทรงมีพระบรมราชานุญาต ให้ผู้ที่ติดต่อกับพระองค์ท่านไม่ต้องใช้ราชาศัพท์ พระองค์ท่านทรงจดจำสัญญาณเรียกขาน, ประมวลคำย่อ (โค๊ด “ว”)ได้อย่างแม่นยำ และใช้ได้อย่างถูกต้อง ซึ่งนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อยยังปฏิบัติไม่ได้ โดยการรับฟังการติดต่อในข่ายวิทยุของตำรวจนี้เองจึงทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบข่าวรายงานเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่นข่าวโจรกรรม ,อัคคีภัย ,การจราจรได้ทุกระยะ ในการเสด็จจากที่ประทับของพระองค์ท่านเพื่อปฏิบัติพระราชภารกิจ


… จึงทรงพระกรุณารับสั่งให้สมุหราชองครักษ์ติดต่อประสานงานกับกรมตำรวจ ให้สั่งการสถานีตำรวจท้องที่ติดต่อสื่อสารทางวิทยุกับแผนกรักษาความปลอดภัย บุคคลสำคัญ กรมราชองครักษ์ เพื่อจะได้ทราบกำหนดเวลาเสด็จออกจากพระตำหนักที่ใกล้เคียง และปิดการจราจรในเส้นทางผ่านเพียงช่วงเวลาสั้น ๆประชาชนจะได้ไม่เดือดร้อน

… มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ได้รับสั่งทางวิทยุ กับพนักงานวิทยุ
สถานีวิทยุกองกำกับการตำรวจนนทบุรี เพื่อจะพระราชทานคำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติ การสื่อสารบางประการโดยทรงใช้สัญญาณเรียกขานว่า “กส. ๙” ติดต่อเข้าไป พนักงานวิทยุผู้นั้นจำพระสุรเสียง ไม่ได้จึงได้สอบถามว่า “เป็น กส.๙” จริงหรือปลอม ทั้งดูเหมือนจะใช้คำพูดไม่สู้จะเรียบร้อยเรื่องนี้จึงเดือดร้อน มาถึงผู้เขียน เนื่องจากได้รับสั่งเล่าเหตุการณ์มาให้ทราบเพื่อให้ช่วยยืนยันว่าเป็น “กส.๙ จริง”

…ด้วยพระมหากรุณาธคุณ พระองค์ท่าน ยังทรงห่วงใยว่าพนักงานวิทยุผู้นั้น จะถูกลงโทษทางวินัย จึงได้รับสั่งทางวิทยุให้ผู้เขียนติดต่อประสานงานกับผู้บังคับบัญชาของพนักงานวิทยุ ขออย่าให้มีการลงโทษเลย จากหนังสือในหลวงที่สุดของหัวใจ

ตัวยึกยือ

มนูญ มุกข์ประดิษฐ์ รองเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อดีตเลขาธิการ สำนักงานกรรมการพิเศษ เพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

…… พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จจะพระราชดำเนินด้วยพระบาท เข้าไปในป่ายางท่ามกลางฝนตกหนักโดยมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ตามรอยพระยุคลบาทไปไม่ห่างเป็นระยะทางถึง ๒ กม. เศษ

…. นี่คือสิ่งที่มิใช่สามัญธรรมดาในความรู้สึก ของผู้คนและความไม่สามัญ ธรรมดานี้ ก็ยิ่งไม่ธรรมดามากยิ่งขึ้น เป็นทวีคูณเนื่องเพราะบริเวณนี้คือ “ดงทาก” หรือ “รังทาก”อันมีทากชุกชุม ที่สุดแห่งหนึ่งของภาคใต้

…กว่าจะถึงจุดหมาย คือบริเวณพื้นที่ที่จะพิจารณาสร้าง อ่างเก็บน้ำเพื่อใหม่มีน้ำไว้ใช้ สำหรับพื้นที่ ๕,๐๐๐ ไร่ใน ๓ เขตตำบลคือ เชิงคีรี มะยูง และรือเสาะ เกือบทุกคนก็โชกฝน และโชกเลือด แม้ทูลกระหม่อมทั้งสองพระองค์ ก็มิได้รับยกเว้น


….. ค่ำวันนั้น ระหว่างเสด็จพระราชดำเนินกลับพระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ อากาศปลายฤดูฝน กำลังสบาย ดวงดาวบนท้องฟ้า เริ่มจะปรายแสงขบวนรถยนต์พระที่นั่ง ได้หยุดลงอย่างกะทันหันโดยไม่ทราบสาเหตุบนทางหลวงที่มืดสงัด เป็นเวลาหลายนาทีถามไถ่ได้ความภายหลังว่ายังมีทากหลงเหลือ กัดติดพระวรกายอยู่อีก เมื่อรู้สึกพระองค์จึงได้ทรงหยุดรถยนต์พระที่นั่งและรับสั่งให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯช่วยจับทากที่ตัวเป่งด้วยพระโลหิตออกจากพระวรกาย

… ทรงเรียกการทรงงานวิบาก ที่เชิงคีรีครั้งนี้ในภายหลังว่าสงครามกับตัวยึกยือ ที่เชิงคีรี “  จากหนังสือในหลวงที่สุดของหัวใจ


Stonehenge in Thailand..

35 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 22 พฤศจิกายน 2009 เวลา 21:39 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 4797

Stonehenge in Thailand




เอารูปมาให้ชมก่อน เป็น Stonehenge ที่บนภูเขา จังหวัดชัยภูมิ หลังจากจบทอดผ้าป่าแล้วทีมงานก็ไปเที่ยวต่อ ผมไม่รู้มาก่อนว่ามีหินแบบนี้ในบ้านเรา

น่าสนใจมาก นักธรณีวิทยาคงมาศึกษากันปรุไปแล้ว เป็นกองหินธรรมชาติที่ผมไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ที่มีขนาดใหญ่และสูงเท่านี้ ในแง่ความสวยงามตามธรรมชาตินั้น สวยมากขึ้นหากท้องถิ่นพัฒนามากกว่านี้ ควบคุมคนมาเที่ยว จัดการขยะ และวิธีการเที่ยวที่มีการให้ข้อมูลไปด้วย นี่ไม่มีอะไรเลย เห็นแต่หินสวยๆ ยืนมากี่ล้านปีก็ไม่รู้

ถนนฝุ่นตลบ แต่กำลังพัฒนา

วัยรุ่นเที่ยวนี่ซิ เห็นแล้วก็รำคาญสายตาจริงๆ

เอาแค่นี้ก่อนนะ ทริปนี้มีหลายอย่างแต่งานรออยู่ครับ ค่อยทยอยก็แล้วกันครับ


ปมเชือก..

1908 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 20 พฤศจิกายน 2009 เวลา 16:05 ในหมวดหมู่ ทุนสังคม #
อ่าน: 24476

วันนั้นไปทานอาหารเจที่ร้านประจำที่มุกดาหาร เมื่อเสร็จจะกลับสำนักงาน ผมเห็นชายท่านนี้นั่งยิ้มคนเดียว แล้วก็ก้มหน้าแกะปมเชือกขนาดใหญ่อย่างไม่สนใจใคร ผมหยุดดู
ท่านก็ไม่สนใจ เงยหน้ายิ้ม กึ่งหัวเราะ แล้วก็ก้มหน้าแกะปมเชือกต่อ

….ความสนใจของเขา

โลกของเขาอยู่ที่ปมเชือกนั้น..เท่านั้น…


ไม่ได้เอาอะไรมาตอนเกิด

ยามตายจากไปก็ไม่สามารถเอาอะไรไปได้

นอกจากความดี ความชั่ว ที่คนข้างหลังกล่าวถึง


ปัจจุบันผมทำอะไรอยู่เล่า

ผมถามตัวเองในใจ…


To do tag: จัดตารางสุขภาพตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

2718 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 20 พฤศจิกายน 2009 เวลา 9:51 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 58458

หากทบทวนว่าในชีวิตได้ตัดสินใจทำอะไรที่ผิดหวังตัวเองบ้าง ก็มีหลายประการครับ ขอเก็บไว้เป็นบทเรียนชีวิตก็แล้วกัน หากถามต่อว่ามีอะไรที่ประทับใจตัวเองบ้าง แบบยังติดในความรู้สึกดีดี จนปัจจุบันก็มีหลายประการเช่นกัน พอเอามาเล่าสู่กันฟังได้บ้างคือ

เมื่อเรียนจบก็ตัดสินใจเดินหน้าเข้าสู่ชนบทด้วยสำนึกพุ่งกระฉูดตามยุคสมัยคนเดือนตุลา เป็นโครงการพัฒนาชนบทที่สะเมิง เชียงใหม่ ในป่าเขาหลังดอยสุเทพ เป็นโครงการของมูลนิธิหนึ่งของประเทศเยอรมัน เงินเดือนครั้งนั้นจำได้ว่าสามพันห้าร้อยบาท ซึ่งสูงกว่าการเป็นข้าราชการใหม่ที่ได้ประมาณ สองพันกว่าบาท แม้ว่าเราจะกินนอนอยู่ในชนบท แต่ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ก็ออกมาที่ตัวเมืองเชียงใหม่ เช่าบ้านทิ้งไว้ที่หมู่บ้านสันติธรรม มาทราบปัจจุบันว่าท่านจอมป่วนมีบ้านหรูอยู่ตรงนั้นด้วย เราอยู่กัน 4 คน แบ่งค่าเช่ากัน ใช้มอเตอร์ไซด์วิบากที่โครงการจัดหาให้เป็นพาหนะ มีหมวกกันน๊อค ใส่ถุงมือใส่รองเท้าหุ้มแข้งตามหลักปลอดภัยที่ฝรั่งเจ้าของโครงการบังคับให้เราปฏิบัติ ก่อนที่กฎหมายเมืองไทยจะบังคับนับสิบปี

แม้จะมีสำนึกในการทำงานเพื่อสังคมชนบทแต่ก็อ่อนประสบการณ์ และก็เป็นวัยรุ่นคนหนึ่ง ก็ดื่ม สูบบุหรี่ เที่ยวดูหนังกับกลุ่มเพื่อน แต่ก็แบ่งเวลาไปเชื่อมกับน้องๆนักศึกษาที่ยังเรียนในมหาวิทยาลัยแหล่งที่เราเรียนและทำกิจกรรมมา

พ่อขึ้นไปเยี่ยมหาและเข้าไปดูว่าลูกคนนี้เรียนจบแล้วทำงานอะไรทำไมไม่สอบบรรจุเป็นข้าราชการตามที่พ่อแม่หวัง เหมือนเพื่อนๆที่เรียนจบไปแล้วส่วนใหญ่ พ่อเข้าไปถึงพื้นที่ท่องไปตามหมู่บ้านที่ผมทำงาน นั่งหลังห้องเมื่อผมทำหน้าที่ประชุมชาวบ้านในเรื่องกลุ่มเครดิตยูเนี่ยน และวันสุดท้ายที่พ่อจะเดินทางกลับ ผมควักเงินที่สะสมไว้บ้างมอบให้พ่อเหมือนที่ใครๆทำกันว่า เมื่อจบแล้วมีเงินเดือนก็ส่งให้พ่อแม่บ้างนะ พ่อรับเงินจากมือผมพร้อมกับมองหน้าผมแล้วกล่าวว่า “ขอบใจลูก” สายตาที่พ่อมองผม ผมสัมผัสได้ว่าพ่อต้องการสื่ออะไร พ่ออยากจะบอกอะไรกับลูกคนนี้บ้าง พ่อไม่เอ่ยอีกเลยว่า พ่ออยากให้ลูกเป็นข้าราชการ สายตาพ่อวันนั้นมันติดตาผมมาตลอดสื่อถึงความเข้าใจและเข้าใจว่าลูกพ่อคนนี้กำลังทำอะไร

หลายปีต่อมาพ่อไม่สบายมากนอนที่โรงพยาบาล ผมไปเยี่ยมและนั่งข้างเตียงพ่อ นวดให้พ่อ คืนนั้นพ่อลูกคุยกัน แล้วผมก็ถือโอกาสบันทึกเทปสิ่งที่เราคุยกัน แล้วขอให้พ่อเล่าชีวิตพ่อให้ฟังทั้งหมด พ่อมีความสุขมากที่ได้เล่าชีวิตพ่อให้ผมฟังหลายเรื่องผมรู้มาก่อนแล้วแต่ก็มีหลายเรื่องที่ผมไม่รู้มาก่อน บางช่วงบางตอนพ่อหัวเราะงอหายทั้งๆที่ป่วยหนัก บางช่วงน้ำตาพ่อก็ล่วงหล่นมา ยันสว่างคาตา ที่พ่อลูกคุยกัน แม่ตื่นขึ้นมาก็เตือนพ่อว่า ลูกต้องขับรถกลับไปขอนแก่นทำงาน เดี๋ยวขับรถไม่ไหว นั่นเองเราจึงหยุดคุยกัน

หลังจากนั้นไม่นานพ่อก็เสียชีวิต..

อีกเรื่องที่ผมประทับใจในสิ่งที่ได้ทำ คือ ได้ช่วยเพื่อนที่เดือดร้อน…เขาคือเพื่อนร่วมงานเธอคือสาวชาวบ้านที่เพื่อนชอบพอและได้เป็นสามีภรรยากัน เมื่อโครงการพัฒนาชนบทปิดโครงการ พวกเราก็แตกกระสานซ่านเซ็น ตามเงื่อนไขปกติที่เรารู้ชะตาชีวิตอยู่แล้ว ผมเผ่นจากเหนือมาอีสาน เพื่อนไปทำงานที่แม่ฮ่องสอน เมื่อโครงการที่นั่นจบก็ไม่มีงานโครงการที่จะสมัครเข้าไปทำงานอีก จึงหันหน้าเข้ากรุงเทพฯ ไปขายน้ำเต้าหู้ แต่ก็โดนตำรวจเทศกิจไล่จับ สองคนผัวเมียกับลูกน้อยก็หิ้วหม้อน้ำเต้าหู้ร้อนๆวิ่งหนีตำรวจ….ไม่ไหวกลับบ้านเกิดภรรยาที่เชียงใหม่ดีกว่า แต่ไม่มีเงินเลยเขาขอเงินผม ก็ส่งไปให้แล้วบอกว่า ไม่ต้องคืนเงินจำนวนนี้ แต่ขอให้นายได้ช่วยคนอื่นต่อไปเหมือนเราช่วยนาย…

หลายปีต่อมาสองคนผัวเมียมีเงินมีกิจการหลายล้านบาท และได้เอาเด็กมาเลี้ยง ให้ทุนการศึกษา ช่วยเหลือสังคมต่างๆมากมาย ด้วยเพราะทำตามที่เราบอกกล่าวเขาไว้เมื่อเขาตกยาก…. ผมประทับใจ “ลูกโซ่แห่งการทำดี” แบบนี้จังเลยนึกเมื่อไหร่ก็ประทับใจเพื่อนที่เขามีสำนึกแห่งการเอื้ออาทร

อีกซักเรื่อง ผมทำงานเป็นที่ปรึกษาโครงการพัฒนาชลประทานภาคตะวันออกเฉียงเหนือในตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญด้านฝึกอบรม ซึ่งทำหน้าที่อบรมให้แก่ชาวบ้านที่เป็นสมาชิกกลุ่มผู้ใช้น้ำและเจ้าหน้าที่โครงการ เจ้าหน้าที่ข้าราชการกรมชลประทาน และการใช้ชีวิตที่สนุกสุดขีดทั้งที่มีครอบครัวแล้วและมีลูกน้อยแล้ว ดื่ม สูบบุหรี่ เที่ยวกับเพื่อน และน้องๆร่วมงาน

เย็นวันนั้นผมได้รับโทรศัพท์ว่าทำงานเสร็จแล้วจะไปคอยหน้าสำนักงานนะ คนข้างกายโทรมาบอกให้ไปรับ ผมรับปาก แต่แล้วน้องๆก็ชวนไปนั่งดื่มเบียร์หลังเลิกงาน โดยน้องไม่ทราบว่าผมมีนัด และผมก็คิดว่า เออ ไปร่วมคุยกับน้องๆซักหน่อยเดี๋ยวก็ค่อยไปรับเธอ…..เพลินครับเมื่อดื่มไปแล้วก็เพลิน คุยกันสนุก พักใหญ่ๆนึกขึ้นได้..ตายแล้ว…ตายแล้ว…ทิ้งเธอไว้ที่นั่นยังไม่ได้ไปรับ เท่านั้นเองรถคันเก่าๆก็บึ่งเต็มที่ไปรับเธอ เมื่อถึง ผมเห็นตาเธอแดงๆ โดยไม่พูดอะไร เท่านั้นเอง ผมรู้ตัวดีว่าผิดพลาดอะไร…

วันรุ่งขึ้นขณะที่นั่งทำงานที่ห้อง มีรถโฆษณาผ่านหน้าที่ทำงาน โฆษณาถึงท่านอาจารย์ชิงไห่ Supreme Master จะมาปาฐกถาธรรมที่โรงแรมโฆษะ ผมจึงตัดสินใจพาลูกสาวไปฟังในคืนนั้น คนเต็มห้องล้นออกมาข้างนอก สามชั่วโมงที่ท่านปาฐกถาธรรม แล้วก็เชิญชวนให้มาปฏิบัติธรรมโดยทานเจและนั่งสมาธิกัน ลูกสาวนั่งหลับจึงพามาส่งบ้านแล้วผมกลับไปร่วมกิจกรรมต่อโดยตัดสินใจเด็ดขาดเข้าร่วมเป็น Follower นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาผมเป็นคนทานเจ ปฏิบัติธรรมแบบพลิกฝ่ามือจนภรรยาและเพื่อนร่วมงานแปลกใจ สมาชิกวงเหล้าวงเบียร์ขาดผมไปแล้ว กลุ่มผู้สูบบุหรี่ไม่มีผมอีกต่อไป การเที่ยวเตร่ไม่เห็นหน้าผม แน่นอนเพื่อนผมหายไปมาก แต่เราก็มีความสุข นี่คือเหตุการณ์เมื่อ 20 ปีที่แล้ว

เมื่อวันก่อนคนข้างกายบอกว่ารู้สึกเจ็บๆที่ไหล่ซ้าย กดดูก็ไม่มีก้อนอะไร และพิจารณาดูรู้สึกว่าเจ็บมากขึ้น มากขึ้น

เอ๊ะ..ไม่ได้เรื่องแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องเอาใจใส่สุขภาพอย่างจริงจังมากขึ้นกว่าจะทำบ้างไม่ทำบ้าง บัดนี้ผมต้องตัดสินใจอีกครั้งในเรื่องสุขภาพ ที่ต้องเคร่งการกินอยู่ของเราทั้งสองคน เพื่อรักษาสุขภาพ

เราตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตมาก็หลายครั้ง มาครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่ต้องทำต้องดำเนินการเรื่องสุขภาพร่างกายของเราทั้งสองคน… เราจะนั่งคุยกันว่าจะจัดตารางสุขภาพอย่างไรบ้าง หากไม่ทำวันนี้ ก็ไม่มีข้อแก้ตัวอีกต่อไปแล้ว…..

นี่คือเจตนาที่ผมตั้งใจจะทำครับ..

ขอ TAG ต่อไปที่ อาว์เปลี่ยน หวังว่ายังไม่โดน Tag นะ อีกท่านก็ขอกราบนมัสการพระคุณเจ้า BM.chaiwut โดยมีข้อตกลงตาม กติกา นี้ครับ


จากนาข้าวถึง Pullman

90 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 19 พฤศจิกายน 2009 เวลา 23:53 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 7321

รอรับพ่อครูบาฯที่สนามบินขอนแก่นเมื่อเช้านี้ คนมารับมีจำนวนมากมาย คิดว่าคงมีผู้ใหญ่มาเที่ยวบินนี้ จริงๆคือ หมอประเวศ วะสี และอดีตรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณะสุข และปลัดกระทรวงนี้ และผู้หลักผู้ใหญ่ในกระทรวงหลายท่าน มาร่วมงานที่ Pullman


จ๊ะเอ๋ กับ อ.แสวง ที่มารับพ่อครูเหมือนกัน เลยพากันไปกินเซี่ยงจี้เลิศรสของขอนแก่น แล้วพ่อครูก็ตัดสินใจไปแปลงนา อ.แสวง แทนไป รพ.น้ำพอง พ่อครูบอกว่าส่งการบ้านให้แล้ว ขอปลีกตัวไปดูนาหน่อย

กำลังเกี่ยวข้าวพอดี อ.แสวง พาเราเดินชมโน่นนี่ พร้อมอธิบายละเอียดยิบ ผมนั้นทึ่งกับ อ.แสวงมานานแล้วตั้งแต่ทราบว่ามาทำนาเอง นี่แหละคนจริง..


ผมถือโอกาสไปคว้าต้นข้าวที่เกี่ยวรวงข้าวไปแล้ว เอามาทำปี่ แบบที่เคยเล่นสมัยเด็กๆ ที่เคยบันทึกไปแล้ว เอามาเป่าดู….ใช้ได้ ใช้ได้ ยังดังอยู่..

บริเวณที่นา อ.แสวงจัดแบ่งเป็นโซน ออกแบบที่นาแตกต่างจากรูปแบบเดิม ขออนุญาตลงรายละเอียดทีหลังครับ

เพราะมีเรื่องราวมากมายที่น่าสนใจ โดยเฉพาะผมที่ทำงานใกล้ชิดกับชาวบ้าน


จากแปลงนาเราไปรับป้าหวานไปทานข้าวมังสวิรัติที่ร้านดังที่สุดของขอนแก่น ตะวันทอง ที่ผมเป็นลูกค้ามานานกว่า 10 ปี ที่ร้านนี้เป็นสายอโศก จึงมีหนังสือดีดีที่เกี่ยวกับสุขภาพ และแนวคิดดีดีมาวางขาย รวมทั้งของ อ.ไร้กรอบ ดร.บัญชา (ชิว) ผมเองก็มาคว้าไปหลายต่อหลายเล่ม ยังกองอยู่บนโต๊ะเลย อิอิ

แล้วก็พากันไปเข้าร่วมสัมมนาที่โรงแรม Pullman เรื่อง “เวทีจุดประกาย: ขับเคลื่อนแผนแม่บทกำลังคนด้านสุขภาพสู่การสร้างสุขภาพภาคอีสาน” บุคลากรทางด้านนี้มาร่วมกันแน่นห้องขนาดใหญ่ ต้องใช้เก้าอี้เสริม

มีวิทยากรมาเล่าเรื่องราวด้านนี้ให้ฟัง 6 ท่าน ไม่รวมปาฐกถาของท่านหมอประเวศ วะสี ขอสรุปเท่าที่จับความได้โดยไม่ได้บันทึก

  • ปัญหาปัจจุบันด้านนี้คือบุคลากรที่จะทำหน้าที่รับมือกับการเจ็บป่วยของประชาชน
  • เน้นไปที่พยาบาลที่จะต้องทำการผลิตมากขึ้นเพื่อช่วยแพทย์ และงานแทนแพทย์เบื้องต้นได้
  • งานด้านสุขภาพต้องทำเชิงรุกไม่รอให้เจ็บป่วยแล้วมาหาหมอ ต้องมีทีมงานออกไปหาชุมชน หาคนไข้
  • ฟื้นฟูระบบศูนย์สุขภาพชุมชนแบบรอบด้านโดยดึงผู้รู้ในชุมชนเข้ามาช่วย หรือทำให้เป็นงานของเขา
  • ฯลฯ

ในที่ประชุมได้เชิญนายแพทย์ในหลายจังหวัดของอีสานมาเล่าประสบการณ์การแก้ปัญหาดังกล่าว ผมเป็นทึ่งกับการทำงานของคุณหมอ พวกเราทุกคนก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ป้าหวานถึงกับกล่าวว่า คุณหมอเหล่านั้นคิดได้ไง..ทำได้ไง..เก่งจัง…

  • คุณหมอเหล่านั้นแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรด้านนี้โดยการผลิตบุคลากรนี้กันเองโดยไม่ใช้งบประมาณของรัฐ เพราะรัฐมีกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับมากมายกำกับ

  • อบต.แห่งหนึ่งที่ยโสธร หาทางออกกับคุณหมอโดยการเก็บเงินชาวบ้านเดือนละ 20 บาททุกคนตั้งแต่เกิดมาจนแก่เฒ่า เก็บหมด แล้วไปจ้างเจ้าหน้าที่ด้านนี้มาเสริมโดยไม่ใช้งบประมาณรัฐ
  • คุณหมอท่านหนึ่งตั้งกองทุน 2 บาท เก็บเงินกับชาวบ้านแล้วมาแก้ปัญหานี้สำเร็จ เอางบเหล่านี้ไปผลิตบุคลากรมากมาย
  • ในทำนองเดียวกัน ที่ขอนแก่น ที่สกลนคร ที่อุบลราชธานี ที่ยโสธรต่างใช้วิธีการนี้หรือคล้ายคลึงกันและประสบผลสำเร็จแบบน่าทึ่งมาก..ทำได้ไง..

ขอจบดื้อๆ โดยพวกเราประทับใจข้าราชการในกระทรวงนี้ที่สร้างประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติอย่างมาก ที่ร้านอาหารเย็นและที่สนามบิน เรานั่งวิเคราะห์กันว่า ทำไมบุคลากรกระทรวงนี้เรายกนิ้วให้ แต่เมื่อพ่อครูและ อ.แสวงกล่าวถึงบุคลากรอีกกระทรวงหนึ่งที่ทำหน้าที่สร้างคนนั้น ท่านทั้งสองก็ส่ายหน้า

  • เป็นเพราะมีตัวอย่างดีเป็นเลิศอย่าง อ.หมอประเวศ วะสี ท่านเป็นแบบอย่างที่คุณหมอต่างเอาเป็นแบบอย่าง โดยเฉพาะหมอรุ่นใหม่ๆ
    ท่านพูดดี ท่านประพฤติดี ท่านออกไปเยี่ยมเยือนคุณหมอในชนบท ไปให้กำลังใจ ไปชื่นชม ชี้แนะ ให้แนวคิด เสริมสร้างความรับผิดชอบต่อสังคม ขณะที่กระทรวงอื่นนั้นไม่มีบุคลากรแบบท่าน
  • โรงเรียนหมอ รุ่นต่อรุ่น ได้สร้างสมแพทย์ที่มีความรับผิดชอบสูง
  • ความคิดติดดิน ดูสาระการแลกเปลี่ยนกันว่า ต่อไปนักเรียนแพทย์นั้นต้องไปฝึกงานที่โรงพยาบาลชุมชน ไม่ใช่ฝึกที่โรงพยาบาลใหญ่ๆ ประจำจังหวัด เพื่อให้เขาสัมผัสสถานการณ์จริงของสังคม

เรื่องนี้ผมว่าแทงใจดำ อ.แสวงมากเพราะ อ.แสวงกำลังพาลูกศิษย์ลงนาของจริง แต่คณะกลับไม่สนับสนุน ให้เรียนแต่ทฤษฎี….

มาร่วมสัมมนาได้ทั้งชื่นใจและ ถอนหายใจ เฮ่อ….


เถียง..

128 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 18 พฤศจิกายน 2009 เวลา 13:43 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 6471

เถียง….

ไม่ใช่ไทยเถียงกับเขมร เสื้อแดงเถียงกับเสื้อเหลืองนะครับ แต่เป็นเถียงนา..


รูปเบลอๆที่แสดงไว้ในบันทึกก่อนหน้านี้ ความจริงคือรูปนี้

เถียงนา…..

เถียงนาเป็นสิ่งก่อสร้างที่ชาวนาสร้างขึ้นในแปลงนา หรือใกล้ๆแปลงนา เพื่อใช้พักผ่อนยามฤดูทำนาและเกี่ยวข้าว หรือยามไปเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย ได้อาศัยหลบแดดหลบฝน

เถียงนามีมากมายหลายรูปแบบ ตั้งแต่แบบชั่วคราวซึ่งมักเป็นส่วนใหญ่จนไปถึงกึ่งถาวรและถาวร ซึ่งแบบถาวรนั้นน้อยมากๆ ส่วนมากเมื่อยามจะใช้ก็ไปซ่อมแซมบ้าง เช่นหลังคาผุพังไป หรือถูกภัยพิบัติต่างๆ หรือถูกขโมยไป


หลายครอบครัวยามฤดูทำนาก็เอาเถียงนาเป็นบ้านไปเลย หรือเรียกบ้านแห่งที่สองก็ได้ หอบลูกอุ้มเมียไปอยู่ด้วยกันที่เถียงนาโน่น เพื่อสะดวกในการไปมา เพราะงานส่วนใหญ่อยู่ในนา และที่นั่นพร้อมทุกอย่าง มีแหล่งน้ำใช้น้ำกิน มีแหล่งหาอาหาร มีสถานที่ที่ให้ลูกเล่น มีสถานที่ให้สัตว์อยู่


ผมเห็นเถียงนาลักษณะนี้ในภาคเหนือ อีสานและใต้ แม้ว่าอาคารสิ่งก่อสร้างจะแตกต่างกันไป แต่วัตถุประสงค์ก็ทำนองเดียวกัน แต่ผมไม่เห็นเถียงนาในภาคกลางเลย หรือมีน้อยมาก ไม่ได้สอบถามเหตุผล แต่น่าจะเดาได้บ้างเพราะว่า ภาคกลางมักใช้วิธีไปทำนาเช้าแล้วกลับมาพักผ่อนที่บ้าน กิจกรรมกลางนาเช่นการกินข้าวก็จะกินบนคันนา หรือกลางนาโดยเอาฟางข้าว หญ้าต่างๆมาปูแทนเสื่อ

ส่วนเด็กๆจะตามพ่อแม่ไปก็มักจะทำเพิงชั่วคราวโดยใช้ตอซังข้าวซึ่งยาวมากมาปิดแดด ปิดข้างๆ กันแดด และมักให้เด็กพักในร่มนี้ เมื่อเสร็จนา ก็มักจะทำลายฟางข้าวนั้นก็จะถูกเผาไปในที่สุด ปีหน้าก็เริ่่มใหม่


แต่รูปนี้ก็ถือว่าเป็นเถียงนา พบที่คำชะอี มุกดาหาร

ถือว่าเป็นเถียงนายุคไฮเทค อิอิ



Main: 0.163743019104 sec
Sidebar: 0.31352496147156 sec