รูปอะไร..

47 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 18 พฤศจิกายน 2009 เวลา 13:15 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1916

รูปอะไรคงเดาออกนะครับ

ไม่ใช่กล้องไม่ดี

ไม่ใช่คนถ่ายรูปนี้ไม่ดี

ไม่ใช่อิทธิฤทธิ์ใดๆ

……

แต่ นั่งในรถถ่ายรูปผ่านกระจกด้านข้างรถที่ทำงาน

ซึ่งฟีล์มกรองแสงย่นเป็นคลื่น อันเนื่องมาจากรถใช้งานหนัก

ภาพเลยออกมาอย่างนี้

เห็นแปลกดี เลยเอามาฝาก…

ดูไปก็สวยอีกแบบนะครับ


เด็กวิเศษฯ..เก็บข้าวตก..

997 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 17 พฤศจิกายน 2009 เวลา 10:32 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 17741


ข้าวที่สุกพร้อมกันหมดทั้งทุ่งนั้นก่อให้เกิดความเสียหาย เพราะหาแรงงานมาเกี่ยวให้เสร็จเร็วๆไม่ได้ สมัยก่อนคนไม่ได้เรียนหนังสือ จบ ป.4 ก็ออกมาทำไร่ทำนา แรงงานมีมาก แค่ญาติพี่น้องในสายสกุลก็มากมาย เพราะคนโบราณไม่มีการคุมกำเนิด มีลูกมาก ก็มีแรงงานมาก และวัฒนธรรมก็เอื้ออาทรกัน จึงไปเอามือเอาแรงการเกี่ยวข้าวกัน

มาสมัยใหม่ขึ้น คนไม่นิยมทำนา ไปรับราชการกัน แรงงานก็เริ่มขาดแคลน โดยเฉพาะในช่วงเกี่ยวข้าว จึงใช้วิธีลงแขก และในที่สุดลงแขกก็หดหายไปเป็นการจ้างเกี่ยวกัน เริ่มตั้งแต่ 50 บาท ปัจจุบันที่มุกดาหาร(17 พ.ย. 52 วันที่ฝนดาวตกลีโอนิดส์มา)แรงงานเกี่ยวข้าว 250 บาทต่อคนต่อวันทั้งชายหญิง ไม่รวมอาหารและการเอาอกเอาใจสารพัด เช่น มีกระทิงแดงให้ ตกบ่ายแก่ๆ บางรายขอเหล้าขาว เป็นต้น ขนาดนี้ยังหาแรงงานยาก


พนักงานขับรถ และแม่บ้านสำนักงานของผมจึงขอลาไปเกี่ยวข้าว เราก็ให้ไปเป็นสัปดาห์เลย มิเช่นนั้นข้าวจะเสียหายมากขึ้น

ย้อนกลับไปภาคกลาง เมื่อแรงงานเกี่ยวข้าวไม่พอ เจ้าของแปลงนาก็พยายามเร่งเกี่ยวเองตั้งแต่เช้ามืดจนเย็นย่ำ นี่แหละหลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน ต้องก้มเกี่ยวข้าวทั้งวันปวดเมื่อยไปหมด นาหลายแปลงนั้นพื้นนาก็ยังไม่แห้งสนิทดี ยังมีน้ำอยู่ การเดินย่ำลงไปก็ยิ่งลำบากเป็นหล่มลึก และต้องเดินก้มๆเงยๆทั้งวัน ก็ยิ่งทำให้ปวดเมื่อย หมอนวดพื้นบ้านต้องทำงานหนักในช่วงนี้..

เนื่องจากน้ำเพิ่งจะลดลงไปหมาดๆ ดังกล่าวแล้วว่าพื้นท้องนาหลายแห่งก็ยังไม่แห้งสนิทดี ก็จะมีสัตว์ต่างๆที่อาศัยน้ำตกข้างในแปลงนา ชาวบ้านก็มักจะถือโอกาสจับไปทำอาหารกิน ก็เป็นหอย ส่วนใหญ่ก็เป็นปลา ที่เรียก “ปลาหลงทุ่ง” เพราะพอน้ำลดเขาหาทางออกไปตามกระแสน้ำเพื่อลงไปตามลำคลองไม่ถูก ไม่ทัน มัวเพลิดเพลินทุ่งซะ ก็หลงอยู่ในทุ่งนั่นเอง ช่วงนี้ก็จะมีสัตว์อีกชนิดหนึ่งก็จะมาหากิน เช่น งู นกเหยี่ยว นกฮูก ซึ่งจะมากลางคืน บางปีก็มีข่าวงูเห่ากัดคนตาย ญาติที่บ้านก็เคยโดยงูเห่ากัดตายในช่วงนี้แหละ

เนื่องจากแรงงานหายาก การว่าจ้างก็แพง แดดในช่วงฤดูนี้ก็จัดมาก ใครที่มีที่นามาก แรงงานน้อย เก็บเกี่ยวไม่ทัน ข้าวที่เกี่ยวมัก “หักคอรวง” เพราะแดดเผารวงข้าวจนแห้งเกินไป เมื่อเกี่ยวรวงข้าวก็จะหักตกลงพื้นท้องนา นี่เอง เป็นหน้าที่เด็กๆอย่างผมต้องเดินเอากระบุงห้อยบ่ากับพี่ๆน้องๆเดินตามคนเกี่ยวข้าวเพื่อ “เก็บข้าวตก” ได้ข้าวตกมากมายครึ่งค่อนกระบุง ต่อคน แล้วเอาไปรวมกัน ผู้ใหญ่ก็จะหาบเอาไปเก็บที่บ้านเพื่อนวดเอาเมล็ดข้าวออกจากรวงต่อไป

การเก็บข้าวตกสำหรับเด็กๆก็สนุกไปอย่าง หากมีหลายๆคนก็เล่นไปด้วยเก็บไปด้วย ผู้ใหญ่ก็ฉลาดจะเอามีดมาตัดต้นข้าวที่เป็นตอเอาตรงโคนๆที่เป็นปล้องข้าว แล้วมาทำเป็นปี่ (อธิบายยากสักหน่อยต้องเอารูปมาให้ดู แต่จะเอามาจากไหนล่ะเนี่ยะ) เอาให้เด็กๆใส่ปากเป่ากันดังลั่นทุ่ง เดินเป่าปี่จากปล้องต้นข้าวไป เดินเก็บข้าวตกไป สนุกดี….

ชาวบ้านอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นคนจน ไม่มีที่นา ก็จ้องว่านาใครเกี่ยวข้าวเสร็จแล้วบ้าง เขาก็จะเอาเป็ดที่เลี้ยงไว้นับร้อยนับพันตัวมาลงกินอาหารในแปลงนาข้าวที่เกี่ยวแล้วนั้น ที่เรียก “เป็ดไล่ทุ่ง” เป็ดกินอะไรก็ข้าวตกที่ตกหล่นจากการเก็บข้าวตกไม่หมดของเด็กๆนั่นแหละ มัวเป่าปี่เพลินเดินเลยรวงข้าวที่หักขอรวง นั่น และหอย ปูปลาที่ตกค้างในนานั่นคืออาหารวิเศษสุดของเป็ด ชาวบ้านก็ชอบซื้อไข่เป็ดจากเป็ดไล่ทุ่งเพราะไข่แดงจะแดงพิเศษ เพราะเขาได้อาหารดี…

ผมไม่เห็นเด็กชาวบ้านสมัยนี้เป่าปี่จากต้นข้าวเลย อิอิ..


เด็กวิเศษฯ..เขน็ด…

556 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 16 พฤศจิกายน 2009 เวลา 21:17 ในหมวดหมู่ ทุนสังคม, เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 9448

ช่วงนี้ขับรถไปมุกดาหารก็อดที่จะหยุดรถดูข้างทางไม่ได้ เพราะท้องทุ่งอร่ามสีทองเต็มไปหมด


เลยถือโอกาสบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับฤดูกาลนี้ในภาคกลางสมัยที่ผมยังเป็นเด็กเล็ก เท่าที่ความทรงจำยังมีอยู่

กระบวนวิธีการเก็บเกี่ยวข้าวของภาคกลางและอีสานมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง ที่เห็นชัดๆคือการมัดข้าว อีสานกับภาคเหนือจะมีความคล้ายคลึงกันมาก คือ มัดข้าวด้วย “ตอก” ที่ทำมาจากไม้ไผ่ที่มีธุรกิจด้านนี้ทำเงินจำนวนไม่น้อย ขนาดข้าวที่มัดนั้นทางอีสานกับภาคเหนือมีขนาดใกล้เคียงกันคือ ประมาณเอาสองมือมากำได้พอดี เพราะเป็นขนาดที่เหมาะที่จะเอามือจับแล้วตีเพื่อเอาเมล็ดออกก่อนจะเหลือฟางข้าวแล้วเอาทิ้งไปหรือเอาไปประโยชน์อย่างอื่นต่อ


ส่วนภาคกลางนั้นไม่ได้ใช้ “ตอก” แต่ใช้เขน็ด อ่านขะเน็ด ไม่แน่ใจว่าสะกดถูกไหมเพราะเป็นคำที่ไม่ได้ใช้มานานมากแล้ว เด็กรุ่นใหม่ไม่รู้จักเขน็ดแล้ว เขน็ดก็คือ ต้นข้าวที่เอารวงข้าวออกแล้ว เอามาหลายๆต้นแล้วเอามาควั่นเหมือนเชือก เพื่อเอาไปใช้มัดข้าวที่เกี่ยว ให้เป็น “ฟ่อน” ฟ่อนข้าวภาคกลางมีขนาดเท่ากับเอาสองมือโอบรัดได้พอดี

พ่อจะตื่นแต่เช้ามืดคว้าเคียวเกี่ยวข้าวไปเกี่ยวข้าวพอประมาณไปกองไว้ในที่ที่เหมาะสม แล้วก็เอาเคียวนั้นเกี่ยวต้นข้าวที่มีความยาวมากกว่า 1 วาของเรา ท่านอย่าลืมนะครับว่าทุ่งนาภาคกลางนั้นเป็นนาน้ำท่วมลึกท่วมหัวคน ชาวนาภาคกลางก็จะใช้พันธุ์ข้าวที่เรียก “ฟางลอย” ที่ต้นข้าวจะยืดยาวมากเท่าที่น้ำท่วมสูง น้ำท่วมแค่ไหน ต้นข้าวก็จะสร้างตัวเองให้ยืดยาวมากกว่าความสูงของน้ำที่ท่วม แล้วชูรวงข้าวขึ้นเหนือน้ำ เมื่อข้าวสุก ก็พอดีน้ำลดลงเมื่อน้ำลดลงหมด ต้นข้าวก็จะราบเรียบนอนไปในทิศทางเดียวกันตามทิศทางการไหลของน้ำ ไม่ตั้งต้นเหมือนข้าวภาคอีสานหรือภาคเหนือ

เขน็ดที่พ่อนำทุกเช้าก็มากเพียงพอใช้มัดข้าวในเกี่ยวได้ในแต่ละวัน ชาวนาที่ลงมือทำเองรู้ดีว่าจะต้องทำเขน็ดจำนวนเท่าไหร่ คนที่ทำเขน็ดไม่มีคุณภาพดีพอเวลาเอาไปมัดข้าวให้เป็นฟ่อนก็อาจจะเกิดขาดทำให้ข้าวเสียหายได้… หลายครั้งเห็นพ่อเอาต้นข้าวที่จะมาทำเขน็ดแผ่เอาไว้ตั้งแต่เย็นจนรุ่งเช้าจึงตื่นมาทำเขน็ด พ่อบอกว่า ทิ้งให้น้ำค้างมันลงจับต้นข้าวจะได้เหนียวไม่แห้งกรอบจะช่วยให้คุณภาพเขน็ดดี

ผมไม่เห็น “เขน็ด” มานานแล้วครับ


รักกันไว้เถิด..

41 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 15 พฤศจิกายน 2009 เวลา 23:29 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 818

รบไม่ยุ่งมุ่งแต่รัก อิอิ

(รูปเมื่อเย็นนี้เองที่หลังบ้านครับ)


ให้กำลังใจน้องจิ..

264 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 15 พฤศจิกายน 2009 เวลา 20:43 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3922

ให้กำลังใจน้องจิสัปดาห์หน้าจะชิงชนะเลิศแล้ว

แม่ขวัญจิตต์ ศรีประจันต์ แม่ครูเพลงผู้ยิ่งใหญ่ เป็นกรรมการตัดสินด้วย

ไทยโชว์ หกโมงเย็นวันอาทิตย์ครับ

ต่อไปจะมีแม่จิราภรณ์ กาญจนสุพรรณ คลื่นลูกใหม่


เด็กวิเศษฯ ๑

2528 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 15 พฤศจิกายน 2009 เวลา 2:19 ในหมวดหมู่ ทุนสังคม, เรื่องทั่วไป, เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 18643

บ้านผมอยู่ติดวัด กิจกรรมต่างๆที่เกิดขึ้นที่วัดจึงอยู่ในสายตาครอบครัวผมทั้งหมด บ้านติดแม่น้ำน้อยซึ่งเป็นสาขาแม่น้ำเจ้าพระยา แยกมาจากตัวเขื่อนเจ้าพระยาที่จังหวัดชัยนาท และไปออกแม่น้ำเจ้าพระยาอีกครั้งที่จังหวัดอยุธยา แม่น้ำน้อยเส้นนี้มีบทบาทสำคัญในอดีต เพราะไหลผ่านตัวเมืองวิเศษชัยชาญ ที่เป็นเมืองด่านสำคัญก่อนที่พม่าจะเข้าถึงกรุงศรีอยุธยา


วัดใกล้ๆบ้านยังมีร่องรอยของบรรยากาศการสู้รบกับพม่า คือมีการพบกะโหลกศีรษะคนโบราณที่บนเพดานโบสถ์วัดอ้อย คนเฒ่าคนแก่เล่าต่อกันมาว่า เป็นกะโหลกชาวบ้านที่หนีกองทัพพม่าขึ้นไปแอบบนเพดานโบสถ์ จนกระทั่งเสียชีวิตบนนั้น


การที่มีบ้านติดแม่น้ำนั้นมีทั้งส่วนดีและไม่ดี ส่วนดีก็คือ หน้าหนาวก็ไม่หนาวจัดเพราะไออุ่นจากน้ำจะส่งผลไปถึงบ้านที่อยู่ติดแม่น้ำ และหน้าร้อนก็ได้ลมที่พัดมาตามลำน้ำเข้าสู่ตัวบ้าน ก็ลดความร้อนลงไปได้ แต่ข้อเสียคือ ตลิ่งหน้าบ้านพังทุกปี จนถึงเสาเรือนและในที่สุดก็ต้องย้ายบ้านไป บ้านที่ปลูกริมแม่น้ำในมุมที่น้ำกัดเซาะนั้นจะพบปัญหานี้ทั้งนั้น ครอบครัวที่มีเงินก็ลงทุนทำที่ชะลอน้ำที่ภาษาภาคกลางเรียก “รอ” หรือ เขื่อน กันตลิ่งพัง แต่โดยทั่วไปก็จะใช้ปลูกต้นไม้ ที่นิยมมากคือ “ต้นพง” น่าจะประเภทเดียวกับ แขม อ้อ (หากผิดพลาดก็อภัยนะครับ)

บ้านภาคกลางนั้นจะมีทรงเดียวคือใต้ถุนสูง มีหลายเหตุผล คือ ภาคกลางนั้นน้ำท่วมจำเป็นต้องยกพื้นสูง การมีบ้านใต้ถุนสูงช่วยในเรื่องการถ่ายเทลมได้ดี จึงช่วยลดความร้อนในช่วงฤดูร้อนได้ และมีหลายหลังคาเรือนที่ใช้ใต้ถุนบ้านดัดแปลงเป็นคอกสัตว์ ซึ่งส่วนมากเป็นควาย ในช่วงฤดูแล้ง หากช่วงน้ำหลากก็ย้ายควายไปอยู่บนร้าน หรือที่อยู่ของควายที่สร้างเป็นเรือนยกพื้นสูงขึ้น ไม่มีฝา อาจจะมีหลังคา แต่ก็โปร่ง ตลอดช่วงน้ำท่วมควายจะอยู่บนเรือนนั้น เจ้าของจะเกี่ยวหญ้ามาให้กิน และจูงลงมากินน้ำ หรือตักน้ำไปให้กิน
หรือจูงลงไปอาบน้ำขัดสีฉวีวรรณให้ ควายชอบน้ำ จึงชอบนอนในน้ำเป็นเวลานาน เด็กๆก็ขึ้นไปขี่บนหลังพร้อมกับขัดตัวให้ด้วย ชาวนาจึงใกล้ชิดกับสัตว์เลี้ยงที่ใช้แรงงานมาก

บ้านผมทั้งติดวัดและติดคอกควายของเพื่อนบ้าน จึงนอนดมกลิ่นขี้ควายตลอด ชาวนาจะแข่งขันกันเลี้ยงควายให้อ้วนท้วนและอวดกัน คุณพ่อผมนอกจากรับราชการเป็นครูใหญ่แล้วก็ทำนาช่วยแม่ด้วย พ่อจึงมีควายโปรดสองตัวไอ้ม่วงกับไอ้มั่น อ้วนท้วนมาก เรียกว่าควายถึกก็ได้


ผมเฉียดตายมาแล้วเพราะเจ้าสองตัวนี่แหละ ครั้งหนึ่งช่วงเก็บเกี่ยวข้าวในนาแล้วเสร็จ ก็ต้องขนย้ายฟ่อนข้าวเข้าลานใกล้ๆบ้านพัก การขนย้ายฟ่อนข้าวก็จะใช้เกวียนเทียมควาย เกวียนก็มีทั้งขนาดใหญ่ กลาง เล็ก หากเล็กมากๆก็เรียก “เลื่อน” ที่บ้านมีทั้งขนาดใหญ่และขนาดกลาง วันนั้นพ่อให้ผมเอาเกวียนขนาดกลางไปขนข้าวกลางนาที่มีญาติพี่น้องคอยอยู่ที่ทุ่งนาแล้ว ให้ผมเอาเกวียนเทียมไอ้ม่วงไอ้มั่นไปบรรทุกกลับมา นัยว่าพ่อต้องการฝึกผมทำงาน ผมก็สนุกซี นั่งบนเกวียนที่มีควายถึงอ้วนท้วนเป็นแรงลากเกวียนไป สักพักเดียว มันเห็นควายตัวเมียเพื่อนบ้านอยู่ข้างหน้า มันก็เดินอย่างเร็วไปหาตัวเมีย จะบังคับหรือส่งเสียงอย่างไรมันก็ไม่ฟัง มุ่งแต่จะไปหาตัวเมีย

ยิ่งดึงยิ่งบังคับมันยิ่งโขยก หรือวิ่งเหยาะๆไป มันเป็นเกวียนนะไม่ใช่รถ ล้อเกวียนไม่มีโชคอับ ไม่มียาง มีแต่ไม้ล้วนๆ เกวียนถูกควายถึกลากไปออกนอกเส้นทางมันก็ไปโดนคันนาเข้าซิ เกวียนก็กระดอนโหยง เท่านั้นเอง ผมก็ตัดสินใจกระโดดลงจากเกวียน ปล่อยให้ควายถึงวิ่งไปหาตัวเมียทั้งที่บ่ามันเทียมเกวียนอยู่ ดูดู๋ ความรักของมันหน้ามืดตามัวไม่ฟังเสียงเจ้าของแล้ว ปรากฏว่าเกวียนพังล้อหลุดไปข้างหนึ่งมันจึงหยุดเพราะวิ่งต่อไปไม่ได้แล้ว พ่อผมและเพื่อนบ้านเห็นจึงวิ่งมาช่วยกันจับ…เฮ่อ เกือบพิการไปแล้ว.. ชาวบ้านจึงมักตอนควาย การตอนก็ทำให้ฮอร์โมนเพศลดลงหรือหมดไป ทำให้ฤดูการ “เป็นสัตว์” ของควายที่ตอนแล้วไม่ดุดันอย่างที่เล่ามา

แล้วท่านทราบไหมว่าภาคกลางแต่ก่อนนั้นเขา “สนสะพาย” “ตอนควาย” ทำ “ลานกองข้าว” กันอย่างไร….



เฟื่องฟ้าเพื่อชาวลาน

2495 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 14 พฤศจิกายน 2009 เวลา 17:39 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 79703


ลานดีแล้ว ต้อนรับลานหน่อย เอาดอกเฟื่องฟ้าที่บ้านมาฝากกันครับ


สุทธิชัย หยุ่น วิเคราะห์ถึง The South

59 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 10 พฤศจิกายน 2009 เวลา 19:47 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2119

ใครว่า The South เป็นคนเก่งกาจสามารถ เรื่องเกมการเมืองเหนือชั้นกว่าใครๆ
? ผมว่าเสร็จ ” ฮุนเซน” เป็นไหนๆ เพราะพอนายกฯ กัมพูชา ประกาศแต่งตั้งอดีตนายกฯ ประเทศไทยเป็น “ที่ปรึกษาเศรษฐกิจ” ของเขา นั่นคือสัญญาณว่า เขาเป็นคนคุมเกมการเมืองระหว่างสองประเทศนี้ได้แล้วยิ่งเมื่อ The South ไม่ปฏิเสธและพร้อมจะ “เล่นเกมนี้ด้วย” คนในต่างประเทศก็ต้องวิเคราะห์ว่าไทยตกเป็นเบี้ยล่างทันที และเมื่อฮุนเซน สำทับว่าแม้รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะขอตัว The South กลับประเทศไทยในฐานะ ” ผู้ร้ายข้ามแดน” ก็จะไม่ส่งตัวให้เพราะ The South เป็นเพื่อน และ The South ไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็เท่ากับเป็นการประกาศสงครามทางการเมืองกับไทยและ The South อยู่ข้างฮุนเซน ในการทำศึกสงครามครั้งนี้กับประเทศบ้านเกิดของตัวเอง


The South อาจจะนึกว่าตัวเองกำลัง “ใช้” ฮุนเซนให้เกิดประโยชน์ กับการดิ้นรนกลับไปเป็นใหญ่ที่ไทย แต่หนีไม่พ้นที่ฮุนเซน จะต้องมองกระหยิ่มอยู่ในใจว่าตนสามารถจะใช้ The South มาเป็นเครื่องมือเพิ่มอำนาจการต่อรองกับรัฐบาลไทยอย่างง่ายดาย  เพราะฮุนเซน ปล่อยให้ The South นึกว่าตัวเองฉลาด ทั้งๆ ที่ฮุนเซน ใช้เกมเหนือเมฆกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย


ต้องวิเคราะห์ลึกลงไปอีกว่าทำไมฮุนเซน ไม่ตั้งให้ The South เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวธรรมดา? ทำไมต้องออกเป็นพระราชกฤษฎีกาโดยกษัตริย์เจ้าสีหมุนี “ตามข้อเสนอของนายกฯ ฮุนเซน”? คำตอบก็คือฮุนเซน ต้องการ “สร้างเรื่อง” กับรัฐบาลไทยในระดับการเมืองสูงสุด… เพื่อให้แน่ใจว่าคนไทยจะต้องแตกแยกกันครั้งใหญ่อีกครั้ง เพราะคนที่เห็นด้วยกับไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ จะต้องออกมาแสดงความเห็นกันอย่างดุเดือดอีกรอบหนึ่ง และคนที่ได้คือฮุนเซนแต่เพียงคนเดียวเพราะ
The South คือเบี้ยทางการเมือง The South คิดว่าตัวเองเป็นคนชนะ ทั้งๆ ที่ประเทศไทยแพ้เขมรในเกมนี้อย่างหมดรูป


ทำไมผมจึงบอกว่า The South แพ้? เพราะต่อไปนี้ ไม่ว่าฮุนเซนจะเดินเรื่องอะไรเกี่ยวกับประเทศไทย หากเป็นเรื่องที่คนไทยไม่พอใจ หรือออกมาเป็นภาพว่ากัมพูชา เอารัดเอาเปรียบไทย ฮุนเซน ก็สามารถจะบอกได้ว่าคนที่ให้คำปรึกษาเขาในเรื่องนั้นๆ คืออดีตนายกฯ ของไทยเองต่างหากเล่า


ฮุนเซน สามารถทำให้คนไทยตีกันเองได้อย่างแยบยลและแนบเนียนยิ่ง
ถามว่าหากรัฐบาลเขมรกับไทย ต้องเจรจากันอย่างเข้มข้นและดุดัน เกี่ยวกับเรื่องผลประโยชน์ตรงชาย แดน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพระวิหารหรือแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ The South จะอยู่ข้างไหน? หาก The South แนะนำฮุนเซน ไปในทางที่ผู้นำกัมพูชา ไม่เห็นด้วย เขาก็ไม่จำเป็นต้องฟัง แต่หาก The South แนะนำไปในทางที่เขมรได้ประโยชน์เพราะอดีตนายกฯ ไทยย่อมมีข้อมูลภายในของไทย เอง หรือรู้วิธีการต่อรองกับฝ่ายไทย ฮุนเซน ก็กระโดดเข้างับเพื่อให้ตนเองได้เปรียบในการต่อรอง

พลาดท่าพลาดทางอย่างไร ฮุนเซน ก็ยังสามารถจะโบ้ยเรื่องเลวๆ ไปที่ The South ได้ เพราะ The South ในฐานะใหม่คือ “ที่ปรึกษาของนายกฯ เขมร” ไม่ใช่ “ราษฎรไทยที่เห็นประโยชน์ของประเทศไทยมาก่อนกัมพูชา”


น่าอดสูครับ

The South เคยถูกคนจำนวนไม่น้อย มองว่าแยกไม่ออกระหว่างผลประโยชน์ของชาติ กับผลประโยชน์ส่วนตน วันนี้ The South กำลังจะถูกมองในทางที่เลวร้ายกว่านั้นอีก… นั่นคือถ้าเขารับตำแหน่งที่ปรึกษาของฮุนเซน เขาก็แยกไม่ออกระหว่างผลประโยชน์ของประเทศไทยกับของกัมพูชา


ข้อกล่าวหาเรื่อง “ทรยศต่อชาติ” และ “ไส้ศึก” ก็จะพรั่งพรูออกมาจากบ้านเกิดเมืองนอนของคุณ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


จะเอาอย่างนั้นหรือ?

ไปกราบขอความกรุณาและขออนุญาตสมเด็จฮุนเซน ที่จะลาออกก่อนรับตำแหน่งเถอะ… เพราะตราบาปนี้จะอยู่ติดตัวไปนานแสนนาน

——–

แหล่งข้อมูล:
FORWARD MAIL
วันศุกร์ ที่ 6 พฤศจิกายน 2552
…เขาคือใส้ศึกให้ต่างชาติมาเหยียบย่ำเรา
Posted by สุทธิชัย หยุ่น


รากงอกแล้ว…

107 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 10 พฤศจิกายน 2009 เวลา 16:50 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1721

 

 

 

นั่งเขียนงาน ยากๆ จนรากงอก

จะออกไป ข้างนอก ก็เป็นห่วง

วนเวียน อุกอั่ง อยู่ในทรวง

ยังไม่ล่วง ภารกิจ ติดอยู่ใน(ใจ)

 


 


แอบไปอาบน้ำแร่แจ้ซ้อนมา..

1046 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 9 พฤศจิกายน 2009 เวลา 19:41 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 14295


คนข้างกายมีธุระที่อช.แจ้ซ้อน จึงชวนให้ไปเที่ยวที่อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนด้วยกันเมื่อวันหยุดที่ผ่านมา

เป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่น่าเที่ยวครับ ไปอาบน้ำแร่ร้อนๆ แค่นี้ก็คุ้มแล้ว



ใช้เส้นทาง 1252 สวยมากๆ ตลอด เส้นทางบนภูเขา 60 กม. มีรถสวนมา 2 คัน ผ่านหมู่บ้านที่สงบ สะอาด เรียบง่าย จนคนข้างกายอยากย้ายมาใช้ชีวิตยามแก่เฒ่าที่นี่ เสน่ห์ชุมชนหุบเขาทางเหนือนี่น่ารักเป็นที่สุด


คนข้างกายมาดูการใช้พลังงานน้ำผลิตกระแสไฟฟ้า ที่แจ้ซ้อนนับว่าประสบผลสำเร็จ กระแสไฟฟ้าที่ใช้ตลอด 24 ชม. ผลิตเองทั้งหมด

ใครอยากมาเที่ยว หากเอารถมาเองแนะนำเส้นทางนี้นะครับ สวยมากๆ แต่ต้องเป็นใจถึงหน่อยนะ เพราะเป็นเส้นทางภูเขาที่แคบแต่คุณภาพใช้ได้ แม้จะมีทำเครื่องหมายจะต้องซ่อมสองสามจุด แต่ก็เดินทางได้ แม้รถเก๋งครับ

สัญญากับตัวเองว่า หากมีเวลาจะมาอีกแต่จะค่อยๆไปและถ่ายรูปให้หนำใจไปเลย…


ฝันของสาวไทย..เรื่องที่คุณควรอ่าน

150 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 9 พฤศจิกายน 2009 เวลา 7:57 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 877

กบ(นามสมมุติ)ไปขอร้องอดีตข้าราชการท่านหนึ่ง ให้ช่วยสอนภาษาอังกฤษให้หน่อย กบกำลังจะแต่งงานกับฝรั่ง.. อดีตข้าราชการท่านนั้นเมื่อสอบถามแล้วก็ตกลง เพราะคิดว่า ดีกว่าอยู่เฉยๆทำประโยชน์ได้อยู่และมีรายได้เล็กๆน้อยๆ

นานเข้า..สตรีไทยคนที่สองที่สามที่สี่ก็เข้ามา ทั้งที่เป็นภรรยาฝรั่งแล้ว ที่กำลังจะเป็น หรือที่หวังว่าจะเป็น..

อดีตข้าราชการท่านไม่ได้สอนภาษาอย่างเดียว ตามนิสัยครูบาอาจารย์ ก็คุยกันสารพัดเรื่อง

แล้วเรื่องราวที่ไม่คาดคิดก็ออกมาจากปากเธอเหล่านั้น…

หนูไม่ได้รักไอ้จอห์นหรอก บ้านหนูจนหนูอยากมีเงิน หนูอยากได้ผัวฝรั่งรวยๆเอาเงินมาสร้างบ้าน มาซื้อที่นา มาซื้อ….

หนูก็ไม่ได้รักไอ้จิมส์ แต่บ้านหนูเป็นหนี้สินมากมาย..

สรุปแล้วเก้าในสิบคนไม่ได้หาผัวฝรั่งด้วยความรัก แต่ต้องการเงินซึ่งมีเหตุผลมากมายที่จำเป็นต้องการเงิน.. ที่รักกันจริงๆก็มีแต่น้อยมากๆ…

อดีตข้าราชการท่านนั้น ถือโอกาสสืบสาวข้อมูลต่างๆออกมา แล้วก็พบว่า…

ใน Internets หาคู่นั้นมีมากมาย และมากขึ้นทุกวัน สาวไทยที่มีค่านิยมต้องการหาผัวฝรั่งนั้นไม่น่าเชื่อ สถิติบอกว่า หากฝรั่งเข้ามา post ว่าต้องการหาคู่กับคนไทยแล้ว..จะมีสาวไทย post เข้าไปเสนอตัวเฉลี่ยประมาณ 200 คน….??

โอพระเจ้า….ซึ่งก็เสนอตัวด้วยเหตุผลที่เรากล่าวกันมาแล้ว และที่ตลึงก็คือ มีหมดทุกภาคของประเทศไทย

ข้อมูลที่อดีตข้าราชการท่านนั้นพยายามเก็บมาพบว่า ฝรั่งที่เลวๆเหล่านั้นจะคัดเลือกสาว ออกเป็นสี่ หรือห้ากลุ่ม เช่น เหนือ อีสาน กลาง ใต้ ตะวันออก คัดไปคัดมาเหลือภาคละหนึ่ง ถึงสามคน

แล้วความเลวทรามมันก็ออกมาอย่างแยบยล ฝรั่งเจ้าเล่ห์ก็ติดต่อกับสาวๆเหล่านั้น ว่าจะเข้ามาเมืองไทยและขอพบตัว เพื่อพิจารณา โดยขอให้ได้อยู่ใกล้ชิดกันเพื่อรู้จักกันมากกว่าการติดต่อทาง Internet แล้วก็ทำแผนงานนัดพบแต่ละคนโดยไม่ตรงกัน เช่น มากรุงเทพฯ ก็ขอนัดพบสาวกรุงเทพฯก่อน และขอใช้ชีวิต ใกล้ชิดด้วยกันสักสองสามวัน โดยฝรั่งออกค่าใช้จ่ายต่างๆหมด แล้วก็เดินสายไปพบสาวเหนือ อีสาน ใต้ ตะวันออก

แม่เจ้า…มันฟาดเรียบร้อยโรงเรียนฝรั่ง โดยอ้างว่าเพื่อการศึกษาพิจารณาว่าจะเข้ากันได้ไหม แต่สาวไทยทั้งหมดนั้นไม่รู้ว่าเขามีนัดกับสาวคนอื่นในเวลาถัด ถัดต่อไปด้วย…

มั…นเดินสายไปทำเช่นนั้นกับสาวไทยหมดเกลี้ยง ด้วยอ่านออกว่าสาวไทยต้องการเงิน และเป็นผู้เสนอตัวเอง

อดีตข้าราชการท่านนั้นกล่าวอีกว่า..คุณเอ๋ย มั..น เสพสมเรียบร้อยเหนือ ใต้ ออก ตก โดยที่ไม่ได้ให้เงินสักบาท……อะไรจะขนาดนั้น

โธ่เอ๋ยอีเรียมของพี่….

มั..น บินกลับบ้านไปพร้อมกับอิ่มเอมเปรมปรีย์ทั้งสี่ภาค ห้าภาค นอกจากจะไปนั่งยิ้มกริ่มแล้วยังบอกเคล็ดลับเรื่องนี้ให้เพื่อนฝรั่งคนอื่นๆลองเสี่ยงดูอีก.. มั..น ขยายแพร่ไปกลายเป็น..มหกรรมการกินฟรี..สาวไทย..ภายใต้โครงการหาคู่..

แม้ว่าเรื่องนี้จะถูกเผยแพร่วงในกันอยู่ แต่คุณเธอคนใหม่ๆก็ก้าวเข้ามาเสนอตัวอยู่เต็มจอทุกวัน โดยที่ไม่มีการหาทางช่วยเหลืออะไรได้มากนักนอกจากพูดจากันแล้วก็ให้ตัดสินใจดีดีว่าจะโดนหลอก…ฟรี ผัวก็ไม่ได้ ความคาดหวังที่จะได้เงินทองจากไอ้จอห์น ไอ้จิมส์ มันก็ไม่ได้ แต่เสียรู้ไปหมดแล้ว…

อดีตข้าราชการท่านนั้นคือเพื่อนของคนข้างกายที่เล่าให้ฟังพร้อมกับความเครียดที่มองทางออกไม่เห็น… โถ..ข้าราชการแก่ๆอย่างฉันจะไปร้องแรกแหกกระเชอกับใครที่ไหน.. ก็มาเล่าให้เธอฟังนี่แหละ… เพื่อน กล่าวทิ้งไว้เช่นนั้น

—–

  • งานนี้มูลนิธิสิทธิสตรีต่างๆ หรือองค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับสตรีก็ทราบบ้าง แต่ไม่เห็นผลงานออกมาเป็นข่าว
  • การป้องกันก็คือเอาเรื่องเหล่านี้ไปให้คุณเธอที่ฝันสวยงามนั้นทราบ เข้าใจและใตร่ตรองให้ดี
  • ทำให้นึกถึงเรื่องราวย้อนหลังไปสามสิบปีที่สะเมิง ที่เราอุตส่าห์พาเยาวสตรีไปดูสาวอาบอบนวดว่ามาจากภูมิภาคเราแล้วมายากลำบากนานับประการ เข้าใจซะ แต่ในที่สุดสาวสามคนหนีจากหมู่บ้านมากรุงเทพฯ…?
  • ฝรั่งมันใช้ช่องว่างของความยากจนมาเป็นประโยชน์ส่วนตัวมัน สาวเราก็หวังเงินแต่ไม่ทันเหลี่ยมเขา…
  • อดีตข้าราชการยังบอกอีกว่า ฝรั่งที่มันแต่งงานกับสาวไทยจริงๆนั้น ส่วนใหญ่มันก็ไม่ได้รักสาวไทยมากมายอะไร แถมมันมองว่า การแต่งงานกับสาวไทยคือได้คนใช้ สารพัดจะใช้งานได้ ได้เมียเด็ก มาใช้ชีวิตในเมืองไทยราคาถูก การรักษาพยาบาลดี ….
  • ผมนึกถึงงานสัมมนาครั้งหนึ่งที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ท่านอาจารย์ อคิน รพีพัฒน์ กล่าวไว้ ฝรั่งมันกล่าวถึงคนไทยว่า.. “The Nicest Thai People Money Can Buy”

ความซับซ้อนของสังคมนำมาซึ่งความซับซ้อนของปัญหาที่เราไม่คาดคิด..



มะรุมริมโขง..

96 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 3 พฤศจิกายน 2009 เวลา 10:05 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1410

ผลพลอยได้จากลมแรงริมโขง

ที่ริมโขง มุกดาหาร ลมแรงแค่ไหนดูยอดไม้ซิครับ

ต้นข้างหน้าที่เห็นใกล้สุดคือต้นมะรุม

ที่ร้านอาหารเข้าปลูกไว้ เป็นช่วงฝักแก่พอดี

เลยไม่ต้องปีนต้นเอาฝักแก่มาเก็บเมล็ด

ไปเก็บเอาโคนต้นนั่น เต็มถุงเลย

มีคนแก่หลายคนมาเก็บเหมือนกัน

เขารู้สรรพคุณเมล็ดมะรุม

……

นี่ยังอมเมล็ด มะรุมอยู่ในปากเลย อิอิ..


จันทร์ดวงเดียวกัน..

317 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 31 ตุลาคม 2009 เวลา 20:31 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 4280

เย็นนี้ ไปหาป้าหวาน เพื่อดูผลการตรวจเลือด ที่ผัดผ่อนมาหลายครั้งแล้ว ผลดีหมด ไม่มีอะไรเกินมาตรฐาน ดีใจเป็นธรรมดา แต่ก็ไม่ประมาท เพราะอายุมากขึ้นทุกอย่างเป็นไปได้หมด

ป้าหวานแนะนำให้มาตรวจเบาหวานอีกครั้งในวันที่พาพ่อครูบาฯมาเจาะเลือด โดยอดอาหารมาด้วย


พูดถึงเรื่องสุขภาพนั้น เมื่อผมไม่ทานเนื้อไม่ดื่มเหล้า และไม่เที่ยวเตร่เหมือนสมัยหนุ่มกลัดมัน ก็เท่ากับป้องกันความผิดปกติไปได้ไม่น้อยทีเดียว สมัยเที่ยวนั้น ผมมักไปเที่ยวตามเพื่อนมากกว่าจะชวนออกนอกบ้าน เพื่อนเป็นนักดื่ม สมัยนั้นผมสูบบุหรี่ด้วย ยิ่งวันไหนดื่มก็ยิ่งสูบ

ตอนทำงานโครงการไทย-ออสเตรเลีย ฝรั่งชาวออสซี่สามารถสั่งเบียร์มาเป็น lot ใหญ่ๆแบบยกเว้นภาษีตามสิทธิของผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ ผมก็ขอแบ่งเบียร์กระป่องมาหลายโหล แช่ตู้เย็นทุกวัน กลับจากทำงานก็เปิดดื่มทุกวัน ลูกสาวยังเล็ก เขายังมาแย่งเปิดเองทุกครั้ง

เมื่อลูกสาวเข้าโรงเรียนก็เป็นคนห้ามไม่ให้ผมดื่ม เพราะครูที่โรงเรียนสั่งไว้อย่างนั้น ผมจึงต้องแอบดื่มตอนเขาหลับแล้ว อิอิ

แต่มาเลิกหมดทุกอย่างก็ตอนตัดสินใจทานเจนั่นแหละ เมื่อ 10 ปีเศษที่ผ่านมา

เพื่อนๆที่ยังไม่เลิกดื่มต่างก็มีปัญหาสุขภาพกัน มากบ้างน้อยบ้าง… ตอนดื่มมันสนุก แต่ตอนป่วยนี่ซิ โส..น้า..น่า อิอิ

งานเขียนยังไม่ลุล่วงดี แต่ก็อยากเอาจันทร์มาฝาก รูปบนนั้นถ่ายตอนเย็น รูปนี้ถ่ายเมื่อกี้นี้เองข้างหลังบ้าน ยังเห็นเงากิ่งก้ามปู…สวยมาก นึกเลยไปถึงหากจัดเฮที่ภูคา น่าน คงสวยมากๆ และอากาศหนาวๆ มานั่งสุมไฟคุยกัน คงสนุกมาก

ขอบคุณป้าหวานที่ช่วยตรวจเลือดเพื่อเช็คสุขภาพให้เป็นอย่างดี

และดีใจที่สุขภาพยังอยู่ในระดับมาตรฐาน …

เอาดวงจันทร์ขอนแก่นมาให้ดูว่าสวยเท่าสวนป่าของ 5 ท่านหรือไม่ หรือเชียงใหม่ เชียงราย พิษณุโลก กรุงเทพฯ ปักษ์ใต้ ทั่วประเทศ ที่ไหนสวยกว่ากัน…

แต่..มันก็จันทร์ดวงเดียวกันนะ……



เขียนให้ นพ.บุญเลิศ ผอ.รพ.หลังสวน

2610 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 26 ตุลาคม 2009 เวลา 23:44 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 32236

เมื่อวานผมได้รับโทรศัพท์ติดๆขาดๆ บอกว่า เฮ้ย บู๊ด กูเลิศ..โว้ย


ตอนนี้กูอยู่โขงเจียม จะไปหามึงพรุ่งนี้ที่มุกดาหาร…

บุญเลิศ อนันตรัตนา นายแพทย์ ผอ.โรงพยาบาลอำเภอหลังสวน ชุมพร เดินทางมากับภรรยาที่รักเที่ยวเลาะชายโขงขึ้นมาเรื่อยๆ ภรรยาก็เพื่อนเรา เรียนมาด้วยกันที่ มช. ไอ้เลิศ(ขออภัย เราสนิทกัน) ก็สนิทกันเราพักห้องเดียวกันมาสมัยเรียนที่ มช. อดอยากข้าวปลามาด้วยกัน

ไอ้เลิศ..เป็นนักเรียนแพทย์ที่ยากจนที่สุดคนหนึ่ง เขาเป็นคนตาคลี ตอนเรียนแพทย์ ทางบ้านมีหนี้สินท่วมหัว มันว่างั้น เมื่อออกไปเป็นแพทย์ ก็ก้มหน้าก้มตาทำงานราชการเต็มที่ เขาให้อยู่โรงพยาบาลจังหวัด ไม่เอา ขอไปอยู่ที่อำเภอหลังสวน เพราะ ภรรยาเป็นคนที่นั่น

ขณะนั้นภรรยาเป็นอาจารย์ที่คณะศึกษาศาสตร์ มช.ต้องทำเรื่องขอย้ายสังกัดไปเป็นครูประจำโรงเรียนอำเภอที่บ้าน เพื่อมาอยู่กับสามี ซึ่งก็เป็นเพื่อนกัน

การใช้ชีวิตบ้านนอก และประหยัดสุดๆ ทำให้ไอ้เลิศเก็บหอมรอมริบเงินทองได้ พอดีญาติมาแนะนำให้ซื้อที่ดินปลูกยางพาราด้วยไร่ละ 1000 บาทเมื่อสมัย สามสิบปีที่แล้ว ได้มาเกือบสองร้อยไร่

มีสองครอบครัวเป็นคนงานในสวน แต่เนื่องจากไอ้เลิศและภรรยาเป็นข้าราชการ ก็ไม่มีเวลาให้กับสวนยางเท่าที่ควร ถูกคนงานละเมิดสิทธิในการเก็บรายได้จากสวนยางมาตลอด ทั้งที่รู้บ้างและไม่รู้ แต่ไอ้เลิศก็บอกว่า ปล่อยๆมันเถอะ แต่ในที่สุด ความดี ความใจดี การไม่ใช้ไม้แข็งในการจัดการ ทำให้ ความดีของครอบครัวนี้ชนะ ผู้ประสงค์ร้าย คนที่อิงแอบผลประโยชน์จากสวนยางโดยอาศัยการที่เจ้าของสวนยางไม่มีเวลาให้ ต่างพ่ายแพ้ความดีหมด

มาวันนี้ สองคนมีลูกสาวเพียงคนเดียวโตแล้วมีงานทำแล้ว และดูท่าทางจะไม่ยอมกลับไปรับงานทำสวนยาง เพลิดเพลินกับงานที่เขาชอบที่กรุงเทพฯ

เรื่องหนึ่งในหลายเรื่องที่เขาประทับใจที่ตัวเองได้ทำลงไป คือ ช่วงที่เปิดคลินิกเล็กๆที่บ้านหลังสวน มีชาวบ้านเป็นคนไข้ป่ามารักษา เมื่อรักษาแล้วก็บอกว่าเขาไม่มีเงินเลย ไอ้เลิศรับรู้ถึงความรู้สึกนั้น มันบอกว่า กูยากจนมาก่อนกูรู้ว่าสภาพนั้นคืออย่างไร… จึงไม่เอาเงินแถมเอายารักษามอบให้ไปอีก ทั้งคู่ลืมไปหมดแล้ว ผ่านไปสามปี มีคนหนึ่งเดินมาหาที่บ้าน เพราะไม่ทำคลินิกแล้ว บอกว่าเมื่อสามปีก่อนเขาคือคนไข้คนนั้น วันนี้เขาต้องการเอาเงินค่ารักษามาให้….

ภรรยาลาออกจากราชการหลายปีมาแล้ว ไอ้เลิศก็ลามือราชการลง มอบหมายให้น้องๆเข้ามารับผิดชอบงานมากขึ้น…ท่องเที่ยว

ทั้งคู่วางแผนการเที่ยวโดยไม่ใช้รถตัวเอง เช่ารถจาก AVIS เขาให้ทัศนะว่า ไม่ต้องขับรถยาวจากชุมพรไปไหนๆ รถเช่าสภาพดี มีประกันทุกอย่าง ขับรถโดยไม่ต้องเสียดาย หากรถมีปัญหา เขาพร้อมเอารถคันใหม่มาเปลี่ยนให้ตลอดเส้นทาง และค่าเช่าก็ถูก โดยใช้การซื้อสิทธิ์ช่วงที่เขามี promotion การเช่ารถในช่วงรัฐบาลรณรงค์เที่ยวไทย ซึ่งเขาจัดทุกปี เราก็เลือกใช้สิทธิภายใน 1 ปี

วางแผนดีดี แล้วก็บินมาลงอุบล เอารถ Camry คันโตตะลอนเที่ยว เยี่ยมเพื่อนรายทาง จะเลาะโขงไปเรื่อยๆ จะไปจบลงที่เชียงใหม่ แล้วส่งรถที่นั่น แล้วบินเข้า กทม ต่อไปยังชุมพร

สองคนบอกว่า ขอใช้ช่วงนี้เที่ยว เถอะ ทำงานมามากแล้ว…

เดือนธันวาสองคนวางแผนจะขึ้นไปเที่ยว ดอยภูคา น่าน ผมก็ว่า เออ อาจจะได้เจอะกันที่นั่น

เพราะ เฮฮาศาสตร์มีแผนจะไปที่น่าน เอ…รึเปล่า????


จดหมายเปิดผนึกถึงทักษิณ โดย : ศ.นพ.ประเวศ วะสี

429 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 26 ตุลาคม 2009 เวลา 14:53 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 10663

สำหรับท่านที่ยังไม่เคยอ่านน่ะครับ ผมขออนุญาติเอามาเผยแพร่ในนี้ ตามเจตนาทางสร้างสรรค์สังคมไทยที่ดีกว่าของท่าน อ. ศ.นพ.ประเวศ วะสี
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/analysis/20091021/82610/จดหมายเปิดผนึกถึงทักษิณ-คุณมีศักยภาพทำเรื่องใหญ่กว่านี้.html
การเมือง : บทวิเคราะห์
วันที่ 21 ตุลาคม 2552 08:29

คุณทักษิณที่รัก ใครๆ ก็ลงความเห็นว่า คุณทักษิณเป็นคนที่มีศักยภาพยิ่งกว่าใครๆ ในแผ่นดิน ที่จะบันดาลให้เกิดความปั่นป่วนก็ได้หรือความสงบก็ได้

นายกรัฐมนตรีคนก่อนๆ ที่ถูกรัฐประหารแล้วจะไปลับ แต่คุณเป็นนายกรัฐมนตรีคนเดียวที่รัฐประหารก็กินไม่ลง คุณยังบันดาลให้เกิดอะไรๆ ในประเทศไทยได้ เช่น ทำให้ สมัคร สุนทรเวช และ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีก็ได้ สั่งให้พรรคเพื่อไทยซ้ายหัน ขวาหันก็ได้ ทำให้มวลชนคนเสื้อแดงคึกคักหรือซบเซาก็ได้ ไม่มีใครมีศักยภาพที่จะทำได้เท่าคุณทักษิณ

เมื่อพบกันครั้งสุดท้ายในงานศพภรรยาอาจารย์หมอเสม พริ้งพวงแก้ว ขณะนั้นคุณเป็นนายกรัฐมนตรี คุณกล่าวถึงผมว่า มาตรฐานของผมสูงเกิน คุณยังทำไม่ได้ ผมว่ามาตรฐานของผมไม่สูงหรอก แต่คุณนั่นแหละมีศักยภาพสูงมากที่จะทำเรื่องใหญ่ๆ ใหญ่กว่าเรื่องที่คุณกำลังทำอยู่ขณะนี้

ผมคิดว่าขณะนี้ประเทศติดอยู่ในหลุมดำแห่งวิกฤตการณ์ที่เสี่ยงต่อการเกิดมิคสัญญีกลียุค เพราะกรรมร่วมหลายอย่างบรรจบกัน ซึ่งรวมเรียกว่าปัญหาเชิงโครงสร้าง ในช่วง 80 ปีที่ผ่านมา แนวคิดทางการเมืองอยู่ในเรื่องการโค่นล้มและการแก้แค้นกันไปมา เมื่อคณะราษฎรโค่นล้มเจ้า พวกเจ้าก็โค่นล้มคณะราษฎร หลัง 14 ตุลาเมื่อเห็นว่าขบวนการนักศึกษาชักจะมีอำนาจมากก็เกิดการฆ่านักศึกษากลางเมืองเมื่อ 6 ตุลาคม แนวทางกระทำและปฏิกิริยาต่อการกระทำดำเนินเรื่อยมา และก่อให้เกิดความแตกแยกในหมู่คนไทยมากขึ้นเรื่อยๆ

จริงอยู่ คุณทักษิณ สามารถ shake loose หรือเขย่าให้ทุกองค์กรและสถาบันในประเทศไทยหลวมหมด ซึ่งอาจมองว่ามีข้อดีที่จะประกอบเครื่องไปสู่ “การพัฒนาระดับใหม่” (New Order) แต่ก็สุ่มเสี่ยงเกินไปที่จะหลุดเข้าไปสู่มิคสัญญีกลียุค เพราะในยามที่สังคมมีอารมณ์รุนแรง ย่อมเกิดการรับรู้ผิดๆ และคิดผิดๆ ไม่มีปัญญาพอที่จะใช้วิกฤติเป็นโอกาสที่จะพัฒนาไปสู่จุดลงตัวใหม่ได้

ผมไม่คิดว่าการต่อสู้ตอบโต้กันไปมาอย่างที่เป็นไปขณะนี้จะสามารถพาสังคมไทยออกจากหลุมดำแห่งวิกฤตการณ์ได้ วิกฤตการณ์ของเราใหญ่และลึกเกินกว่าที่การต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันจะมีพลังพอที่จะขยับสังคมไทยออกจากมหาวิกฤตการณ์ครั้งนี้ได้

เราต้องการอะไรที่ใหญ่กว่านั้น

แล้วไอ้ที่ว่าใหญ่กว่านั้นมันคืออะไร?

เรื่องใหญ่ที่สุดคือ จิตสำนึกใหม่ (New Consciousness)

คนไทยเรามีจิตสำนึกเล็กๆ แคบๆ มองไม่เห็นทั้งหมด ทำเฉพาะส่วนอย่างแยกส่วน ทำเพื่อตนและพวกตน นำไปสู่การเสียดุลยภาพอย่างรุนแรงทั้งหมดทั้งสิ้น คือ เสียดุลระหว่างกายกับใจ เสียดุลทางสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม การเมือง การเสียดุลยภาพคือความเจ็บป่วย และนำไปสู่การล่มสลาย

วิถีดุลยภาพ คือทางไป

แต่วิถีดุลยภาพเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าเรายังมีจิตสำนึกเล็กๆ แคบๆ เราต้องการจิตสำนึกใหม่ที่เป็นจิตสำนึกที่เห็นความเป็นหนึ่งเดียวของทั้งหมด (The Same Oneness) ของคนทั้งหมดและธรรมชาติทั้งหมด

จิตสำนึกใหม่ที่เข้าถึงความเป็นทั้งหมดจะทำให้เป็นอิสระ มีความสุขอันลึกซึ้ง เกิดความรักอันไพศาลต่อเพื่อนมนุษย์และธรรมชาติทั้งหมด ทำให้ดำเนินไปบนวิถีดุลยภาพได้

จิตสำนึกใหม่ที่ว่านี้เกิดขึ้นได้จริงๆ คุณลองไปอ่านเรื่องของมนุษย์อวกาศที่ชื่อ Edgar Mitchell เมื่อเขายืนบนดวงจันทร์ มองมาเห็นความเป็นหนึ่งเดียวของโลกทั้งใบ จิตเขาเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง เขากล่าวว่า “I came back to Earth, a totally changed man” เขารู้ว่าจิตสำนึกใหม่เกิดขึ้นได้ และเมื่อเกิดขึ้นแล้วมันมหัศจรรย์เพียงใด จึงตั้งสถาบันที่เรียกว่า Institute of Noetic Sciences ที่แคลิฟอร์เนีย เพื่อค้นคว้าวิจัยและเผยแพร่เรื่องจิตสำนึกใหม่ ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องไปนอกโลก แต่มีวิธีอันหลากหลายที่ทำให้เกิดขึ้น

ขณะนี้หนังสือกลุ่มที่ขายดีที่สุดในโลกคือ กลุ่มที่เกี่ยวกับจิตสำนึกใหม่ เพราะในตะวันตกเกิดตระหนักกันมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ว่าวิกฤติโลกคราวนี้เป็นวิกฤติอารยธรรม หรือแบบแผนการดำรงชีวิต ไม่มีทางที่มนุษย์จะดำเนินไปในอารยธรรมเดิม โดยไม่ทำลายดุลยภาพของการอยู่ร่วมกัน ลาสโล โกรฟ และ รัสเซลล์ ในหนังสือของเขาชื่อ Consciousness Revolution เห็นว่าทางเดียวเท่านั้นที่มนุษยชาติจะอยู่รอดได้ คือ “การปฏิวัติจิตสำนึก”

หนังสืออีกเล่มหนึ่งที่ ปีเตอร์ รัสเซลล์ เขียนคนเดียว ชื่อ Waking up in time ก็ทำนองเดียวกันที่ไม่เห็นว่าโลกจะรอดได้เพราะเทคโนโลยีใหม่หรือเศรษฐกิจใหม่ใดๆ นอกจากจิตสำนึกใหม่

วิถีทางใหม่ที่มนุษยชาติ คือ วิถีดุลยภาพ ซึ่งจะเป็นไปได้ด้วยจิตสำนึกใหม่เท่านั้น

วิกฤตการณ์ประเทศไทยก็เช่นเดียวกับวิกฤตการณ์โลกที่เกิดจากการดำเนินไปบนวิถีที่ขาดดุลยภาพ ไม่มีทางออกด้วยการแก้เล็กแก้น้อย หรือด้วยการทะเลาะวิวาทแบบเด็กตีกัน แต่เราต้องการวิถีทางใหม่ซึ่งเป็นวิถีดุลยภาพ ซึ่งจะเป็นไปได้ต่อเมื่อคนไทยมีจิตสำนึกใหม่

ถ้าคนไทยมีจิตสำนึกใหม่ เข้าถึงความเป็นหนึ่งเดียวของประเทศไทยทั้งหมด จะเกิดความเป็นอิสระ เกิดความสุขอย่างล้ำลึก เกิดความรักอันไพศาลต่อเพื่อนมนุษย์และธรรมชาติทั้งหมด นำไปสู่วิถีชีวิตใหม่ที่ก้าวข้ามความขัดแย้งและความติดขัด

คุณทักษิณ คุณเป็นคนมีศักยภาพสูงที่จะทำเรื่องใหญ่ ปล่อยความแค้นหรือการคิดแก้แค้นใดๆ เพราะมันอยู่ในอกุศลภูมิแห่งโลภะ โทสะ โมหะ เท่านั้นเอง คุณต้องไปทำเรื่องใหญ่กว่านั้น คือเรื่องการสร้างจิตสำนึกใหม่ของคนไทยทั้งหมด และมนุษย์ในโลกด้วย ด้วยศักยภาพของคุณผมคิดว่าคุณสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้

ถ้าคุณเปลี่ยนแปลงจากการทำเพราะแรงแค้น อันเป็นเรื่องในระดับต่ำๆ ไปสู่การทำงานใหญ่เรื่องสร้างจิตสำนึกใหม่ คุณจะพบความสงบและความสุขที่ไม่เคยได้พบมาก่อน ใครๆ ก็จะหันมารักคุณ และในที่สุดอย่าว่าแต่เรื่องเงิน 70,000 กว่าล้านของคุณเท่านั้นเลย ใครๆ ก็อยากจะเห็นคุณมีมากๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพของคุณในการทำเพื่อเพื่อนมนุษย์

คุณมีหลานสาวคนหนึ่งที่มีความรู้ความชำนาญเรื่องจิตสำนึกใหม่ ถ้าคุณสนใจเรื่องนี้ เขาคงยินดีเดินทางไปพบคุณที่ดูไบหรือที่อื่นใด ผมขออธิษฐานให้คุณเป็นพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐาน (Transformation) ของมนุษยชาติ

ด้วยความระลึกถึง


ไปกราบหลวงพ่อกล้วย..

2506 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 25 ตุลาคม 2009 เวลา 20:39 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 16516

ญาติมาเยี่ยมหลังจากไปทอดกฐินที่อุดรฯแล้วก็ชวนไปทำบุญที่วัดป่าธรรมอุทยาน หลวงพ่อกล้วยของอ.ไร้กรอบ ที่บ้านสำราญ


ใกล้แค่นี้เองแต่เพิ่งจะมีบุญได้ไปกราบท่าน พวกเราไปสายนิดหน่อยเพราะคณะใหญ่รถตู้สองคัน กว่าจะรวมตัวกันได้ กว่าจะไปหาอาหารไปถวายพระ เดินทาง เข้าเขตวัดก็ได้ยินพระท่านสวดมนต์แล้ว พระทุกองค์เริ่มฉัน แต่หลวงพ่อกล้วยซึ่งผมเห็นท่านเป็นครั้งแรก ท่านเทศนาเพื่อให้เวลาญาติโยมรวมกันและหาที่นั่งและนั่งนิ่งๆสักพัก ท่านก็หยุดและพระทุกองค์ก็เริ่มฉัน แต่ท่านก็ยังไม่ฉันนั่งคอยญาติโยมที่มาใหม่เตรียมอาหารมาถวายเพิ่มเติม โดยใส่ม้าที่มีล้อ เมื่อพระอาจารย์ตักอาหารแล้วก็เลื่อนให้พระองค์อื่นๆเอาไปพิจารณาตักอาหารเพิ่มเติมต่อไป


อาจจะเป็นเพราะผมนั่งแตกกลุ่มออกมาท่านพระอาจารย์ก็มองมาทางผมบ่อยครั้ง เลยใช้โอกาสที่พระท่านกำลังฉันและญาติโยมเริ่มทยอยออกไปศาลาโรงธรรมที่เป็นธรรมเนียมว่าญาติโยมก็ไปหาอาหารที่นั่นทานกัน ผมเข้าไปกราบพระอาจารย์แล้วแนะนำตัว ต้องขออนุญาตกลุ่มลานปัญญา อาจารย์ไร้กรอบ ที่ผมได้อ้างถึงกลุ่มและท่านอาจารย์ พระอาจารย์พยักหน้า แล้วก็ถามว่าเพิ่งจะมาหรือ อยู่ที่ไหนล่ะ ..ฯ เอ้า มีบุญวาสนากันก็มาพบกัน มีโอกาสก็มานะ ใกล้กันแค่นี้มาเมื่อไหร่ก็มา เดี๋ยวไปทานอาหารร่วมกับญาติโยมแล้วก่อนไปก็ไปพบกันที่กุฏินะ


ผมเดาว่าเป็นประเพณีปฏิบัติที่เมื่อพระฉันอาหาร ญาติโยมก็ปลีกตัวไปหาอาหารตามที่พระอาจารย์เชื้อเชิญ ผมนั้นเตรียมอาหารจากตลบาดเพื่อจะไปทานอาหารเช้ากับญาติที่บ้านจึงไม่ไปทานอาหารตามญาติโยม ถือโอกาสเดินชมพื้นที่ ก่อนไปวัดผมดูทาง Google มาบ้างแล้ว เมื่อมาเห็นกับตาก็ต้องบอกว่าร่มรื่นน่าพักอาศัยยิ่งนัก น่ามาตั้งสติ สมกับที่มีมงคลสูตรกล่าวถึงที่ว่า ปฏิรูปะเทศะวาโสจะ เอตัมมังคะละมุตตัมมัง อยู่ในประเทศ(สถานที่)อันสมควรเป็นมงคลยิ่งนัก


มีภาพสวยๆมากมายระหว่างทางที่ผมเดินชมพื้นที่ ไก่วัดกลุ่มนี้ยังมีความสุขกับการ “นอนคอน” ไม่สนใจว่าจะมีใครเดินผ่านไปมา ความสุขของเขาก็คือการอยู่ในพื้นที่ที่ปลอดภัย ไม่มีใครคิดจะทำอะไร ยามจะกินก็มีของกินมากมายทั้งตามธรรมชาติ และที่พระ และญาติโยมเอาอาหารมาให้ เอ..รึว่ามานอนตรงนี้เพื่อมานั่งฟังพระอาจารย์เทศนา


ผมเดินไปพบคุณลุงกำลังเก็บกวาดวัด จึงถามคุณลุงว่าบ้านอยู่ที่ไหน ลุงบอกอยู่ที่บ้านสำราญติดกันที่นี่แหละ แล้วก็ชมคุณลุงที่เก็บกวาดวัดได้สะอาดสวยงามน่าเดินสมาธิ น่าพำนัก น่ามาปฏิบัติธรรม ปฏิบัติจิต.. เดินคุยไปมาเลยถือโอกาสนั่งลงคุยกัน


ผมถามคุณลุงว่าที่เห็นนั่นมันคืออะไรทำไมเหมือนสถานที่เผาศพแบบพื้นบ้าน แต่ทำไมสร้างเสียสวยเชียว คุณลุงตอบว่า เดิมสถานที่ตรงนี้คือสถานที่เผาศพชาวบ้านตอนนี้ย้ายไปตรงโน้น ตรงนี้เลยสร้างไว้เตือนสติ

ผมถามต่อว่า: ไผ่สวยๆนี่ชาวบ้านเอาไปทำประโยชน์อะไรหรือไม่

คุณลุง: คุณเอ้ย…บริเวณนี้ทั้งหมดเดิมเป็นป่าช้าเก่าแก่ ใครตายก็เอามาฝังที่นี่แล้วปลูกต้นไผบ้างต้นไม้ไว้บ้าง รกทึบมากไม่มีใครอยากเข้ามา แม้วัวควายมันยังไม่เข้ามาเลย ออกจากบ้านก็แค่เลาะชายป่าไปรอบๆเท่านั้น พระอาจารย์ท่านมาจำวัดในป่าช้านี่นะ….ตั้งแต่แรกๆไม่มีวัดแล้ว


ที่ศาลาหลังใหญ่แห่งนี้คุณลุงจะแนะนำใครๆให้ไปกราบพระประธานซึ่งสร้างด้วยหยกขาวทั้งองค์และคราวที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่เกศนั้น ในหลวงทรงพระราชทานพวงมาลัยมาถวายด้วย นับว่าเป็นบุญตายิ่งนักที่ได้มาเห็น


ผมเองก็ผ่านวัดวามาพอสมควร ก็นับได้ว่าวัดป่าธรรมอุทยานของหลวงพ่อกล้วยแห่งนี้ มีพื้นที่กว้างขวาง และร่มรื่นด้วยไผ่ ที่มีญาติโยมและผ้าขาวที่มาปฏิบัติธรรม ช่วยกันทำความสะอาดทุกวันตั้งแต่เช้ามืด ฟ้าสว่างขึ้นมาก็สะอาดร่มรื่น

ผมและคนข้างกายพูดตรงกันว่า เห็นทีเราจะมาบ่อยครั้งแล้วหละ

วัดป่านั้น ป่าไม้ที่ร่มรื่นคือเสน่ห์ดึงดูดจิตใจคนโดยธรรมชาติ เข้ามาแล้วจิตใจเย็น สงบลงเยอะ พระอาจารย์เหมือนท่านเข้าใจจริตคนสมัยใหม่ว่า ต้องการสถานที่และบรรยากาศแบบไหนจึงถูกจริตคนรุ่นใหม่ในการเข้าวัด วัดป่าธรรมอุทยานเป็นวัดหนึ่งที่ผมศรัทธาในบารมีของพระอาจารย์กล้วยยิ่งนัก ทั้งหมดนี้ผมเพียงสัมผัสครั้งแรกเท่านั้น คงไม่เทียบเคียงอาจารย์ไร้กรอบที่ลึกซึ้งยิ่งนัก


จดหมายเปิดผนึกถึงพ่อครูบาฯ ลุงเอก อาม่า ป้าจุ๋ม และชาวลานทุกท่าน

98 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 24 ตุลาคม 2009 เวลา 9:58 ในหมวดหมู่ งานพัฒนาสังคม, ทุนสังคม, เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 5449


ที่ http://lanpanya.com/dongluang/archives/1207#comment-681

คุยกับ Nothing เกี่ยวกับวันเด็ก สั้นๆ แล้วเกิดความคิดว่า หากสมาชิก Lan เราเขียนเล่าชีวิตวัยเด็ก เน้นเฉพาะวัยเด็กเอามาสู่กันฟังก็น่าสนใจนะครับ เหตุผลนั้นผมคิดว่าอยากศึกษาว่าชีวิตวันเด็กแต่ละคนนั้นเติบโตมาในสภาพใด จนมาเป็นปัจจุบัน

ผมสนใจการบันทึกอดีตของปัจจุบันผ่านตัวบุคคล โดยเริ่มจากสมาชิกลานก่อนซึ่งมีอยู่ทุกภาคทุกส่วน น่าที่จะสะท้อนสิ่งต่อไปนี้

  1. วิถีครอบครัวของคนสมัยนั้น
  2. วีถีสังคมที่อยู่อาศัย ท้องถิ่น ระบบสังคม ญาติพี่น้อง
  3. สิ่งแวดล้อมต่างๆ ดิน น้ำ อากาศ ต้นไม้ คน ฯลฯ
  4. ระบบวัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ ปรากฏการณ์ต่างๆทางสังคม ฯลฯ
  5. ระบบการศึกษา โรงเรียนวัดนั้นไม่เคยเห็นแล้วในปัจจุบัน แบบเรียนหนังสือ ระบบการตี การท่องบ่น ฯลฯ
  6. การทำมาหากิน อาชีพ การพึ่งพาอาศัย ดินฟ้าอากาศ
  7. การเติบโตของคนไปพร้อมๆกับการเปลี่ยนแปลงสังคม เล่าให้ละเอียดว่าสังคมเปลี่ยนอย่างไร แล้วส่งผลต่อเราอย่างไรต่อครอบครัว ต่อเพื่อนบ้าน ท้องถิ่นอย่างไร
  8. เพลงลูกทุ่ง ลูกกรุงมีอิทธิพลความคิดเราอย่างไร
  9. วิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ ไฟฟ้า เข้ามาเมื่อไหร่ มีอิทธิพลอย่างไร
  10. ใครเคยใช้ตะเกียงลาน ตะเกียงโป๊ะ ตะเกียงเจ้าพายุ(ศัพท์ภาคกลาง)บ้าน เป็นอย่างไร
  11. งานสังคมเป็นอย่างไรบ้าง เช่น งานศพ แต่งงาน งานโกนจุก บวชนาค เข้าพรรษา ออกพรรษา วันพระ ทอกกฐิน ผ้าป่า ฯลฯ
  12. ตลาด หรือการซื้อขายสินค้าเป็นอย่างไร
  13. เสื้อผ้า การแต่งกาย รสนิยม ค่านิยม ฯลฯ
  14. คนเฒ่าคนแก่ ทำอะไร ปฏิบัติกันอย่างไร การเข้ากรรม เข้าศีล เป็นอย่างไร กินหมากกินพลู เด็กสมัยนี้ไม่ได้เห็นแล้ว ควรหารูป และบันทึกไว้
  15. ไปสัมภาษณ์พ่อแม่ปู่ย่าตายายที่ท่านยังมีชีวิต ถามถึงการเปลี่ยนแปลง ความคิด ความรู้สึกของท่านจากอดีตสู่ปัจจุบัน…
  16. แรงบันดาลใจ ฝังใจ ชอบใจ พลังใจ ฯลฯ
  17. ปัญหาสังคมต่างๆในอดีต ทั้งปัญหาครอบครัวและสังคมต่างๆ การแก้ปัญหานั้นๆในอดีต
  18. ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ

นี่อาจจะเรียกว่าเป็นงานวิจัยย่อยๆก็ได้

ทั้งหมดข้างต้นอาจจะเรียกว่า Interview guide หรือ Semi structure life review ก็ได้

การบันทึกออกมาจากตัวเองมีข้อดีที่เรามีเวลาใคร่ครวญไตร่ตรอง ไม่ได้เอาคะแนน ไม่ได้ไปส่งอาจารย์ แต่บันทึกเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์สังคมผ่านตัวบุคล

แรงบันดาลใจต่างๆมาจากอะไรจนทำให้เรามาเป็นวันนี้

น่าเสียดายที่ประวัติศาสตร์นี้จะหดหายไปกับการสิ้นสุดชีวิตคน นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่ระดมการบันทึกอย่างเป็นระบบในทุกภูมิภาคผ่านลานปัญญาครับ

ด้วยความเคารพรักยิ่ง

เรียนมาปรึกษาหารือครับ


สวยแต่เสียว..

399 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 23 ตุลาคม 2009 เวลา 20:55 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 9633

 

 

 

โตขึ้นจะเป็นผีเสื้อสวย

ปัจจุบันก็สวย แต่มีเสียว

ตอนนี้กินใบจันกะพ้อ อยู่ตัวเดียว

รอวันโตจะบินเดี่ยวผีเสื้องาม

เราอนุญาตให้กินตามสบาย

เพราะใบมีมากมายไม่มีหนาม

คงไม่กินหมดต้นให้ตูมตาม

เป็นข่าวช่องสามเช้าจรดเย็น

——–

หนอนสวยที่ต้นจันกะพ้อ


แดงพันธุ์แท้..

1888 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 23 ตุลาคม 2009 เวลา 1:01 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 41335

แม้ว่าตัวจะแดง แดงทั้งตัว แดงของจริง แดงทั้งรัง แดงทั้งเผ่าพันธุ์

เมื่อวานก็แดง  วันนี้ก็แดง พรุ่งนี้ก็แดง แดงตลอดไป

แต่ก็ไม่ทำร้ายใครก่อน เลย….

แต่หากเราถูกรบกวน ละก็…

เรายอมสละกระทั่งชีวิตเพื่อปกป้องสังคมของเรา

ตัวเราเล็ก แต่จิตใจต่อสู้นั้นใหญ่กว่าขนาดตัวอย่างเทียบกันไม่ได้

ไม่เชื่อก็เข้ามาซิ….


เฮ่อ Super Store..

195 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 21 ตุลาคม 2009 เวลา 13:45 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2896

บ่นซะบ้างก็ดี..

นั่งเขียนงานแบบลุ้นให้ทันเวลา

เขียนไปเขียนมาก็เบื่อ…สุดๆ..ต้องเดินไปโน่นนี่ แล้วกลับมาทำต่อ..

เก้าอี้เจ้ากรรม ดันมาลูกล้อเลื่อนแตก..

เลยหาเรื่องออกนอกบ้านไปหาซื้อลูกล้อเก้าอี้


เป้าหมายคือ Home pro อุตสาห์หลอกตัวเองให้ออกจากบ้าน

เราก็เดินเข้าไปถามพนักงานด้านในให้ช่วยหาให้

ได้มา 4 ตัว ราคา 160 บาท ก็ตกตัวละ 40 บาท


ทำอิดออดโน่นนี่แล้วก็บึ่งกลับบ้าน กะว่าซ่อมขาเก้าอี้เสร็จก็ทำงานต่อ

ยกกล่องเครื่องมือมา…จัดการเปลี่ยน….จ๊ากสสสส์ ไม่ได้ ไม่ได้

 

รุ่งขึ้นไปเปลี่ยนใหม่ที่ Home Pro พนักงานเกาหัวแล้วบอกว่า แบบตัวอย่างนั้นที่นี่มีแบบเดียว ส่วนมากเป็นแบบใหม่หมดแล้ว เขาทำเรื่องคืนเงินให้

เราก็บึ่งไป Global House ยื่นตัวอย่างให้ก็ไม่มี

ไปร้านขายเฟอร์นิเจอร์ใหญ่ๆเหมือน Home Pro เขาบอกว่าไม่มี มีแต่ขายเก้าอี้ใหม่เลย..??

ไปร้านไหนๆที่มีร้านขนาดใหญ่ๆ ล้วนบอกไม่มี เก้าอี้เราเป็นรุ่นเก่า เก๋ากึก..อะไรทำนองนั้น

หมดท่า นี่วอนจะให้เราซื้อเก้าอี้ใหม่รึ…มันก็ยังดีอยู่นะ เป็นแค่ส่วนล้อเลื่อนตัวเดียวเท่านั้นเอง ใจนึกว่า ไม่ซื้อ ไม่หาแล้ว ไปเอาไม้มาหนุนเอาก็ได้ ไม่ต้องล้อ ไม่ต้องแล้ แล้ว หาไม้มาหนุนก็หมดเรื่อง

ระหว่างทางกลับบ้านนึกได้ว่ามีร้านขายเหล็กและเครื่องต่างๆในตัวกลางเมือง เราเคยมาซื้อของร้านนี้ประจำตั้งแต่ก่อนจะมี Home pro, Global House หรือ Big C, Lotus ซะอีก แวะไปถามหน่อย

ยืนตัวอย่างให้เด็กหน้าร้านดู..เขาก็ถามว่า เอากี่อัน..??????

ผมถาม อันละเท่าไหร่…. เด็กตอบ 30 บาทครับ ..???

เฮ่อ…..ไอ.. Home pro ไอ.. Global House…. สู้ร้านเก่าๆ โทรมๆ เครื่องเหล็กแน่นไปหมด ไม่มีความสวยงามใดๆเลย แต่ตอบสนองความต้องการเราได้….

ตอนนี้ก็ได้นั่งเก้าอี้..ที่มีล้อหมุนครบแล้วครับ…

เฮ่อ ขอทำงานต่อนะ…



Main: 0.12697720527649 sec
Sidebar: 0.071110963821411 sec