ฮีต คอง ตายแล้ว..
อ่าน: 3517เมื่อคืนมีโอกาสไปดูหนังกับลูกสาว นานหลายปีเต็มทีที่เราไม่ได้ทำกิจกรรมนี้ ทั้งที่ผมเฉยๆและเสียดายเวลามากกว่า แต่ก็ยอมเพราะอยากให้เวลากับเธอ และการนั่งดูหนังด้วยกัน พ่อลูก ก็ดูดี เป็นความรู้สึกที่ดี ระหว่างคอยเวลา เราไปนั่งทานกาแฟโปรดกัน เธอก็เล่าชีวิตประจำวันให้ฟัง ช่วงหนึ่งเธอตั้งประเด็นขึ้นว่า ทำไมเดี๋ยวนี้ผู้ชายไม่เสียสละที่นั่งในรถสาธารณะให้สตรี หรือผู้สูงอายุ ปล่อยให้สตรีที่นั่งติดกันทำหน้าที่นั้น ผู้ชายกลับไปสนใจเล่นมือถือ ก้มหน้าทำเป็นทำงานยุ่งไปหมด แม้คุณยายที่เธอเสียสละที่นั่งให้ก็พูดกับเธอว่า ยายก็รู้สึกว่า ผู้ชายทำไมไม่มีน้ำใจให้ผู้สูงอายุกันแล้ว บ่อยครั้งมากที่สตรีเป็นผู้ทำหน้าที่นั่นเอง…
เราวิเคราะห์กันไปต่างๆนานา แต่ก็ชมเธอว่า ลูกทำดีแล้ว ถูกแล้ว ขอให้ทำต่อไป
แต่เมื่อใดที่เธอขับรถเอง ผมนั่ง ดูเหมือนว่าเธอจะเสียอารมณ์มากเลย เพราะรถกรุงเทพฯตัดหน้า แซงขวา แซงซ้าย เพื่อย้ายเลน ขอไปเลนนี้ เธอก็โอเคแต่เมื่อใดที่ผิดกติกามากไปเธอจะหงุดหงิดทันที ห้า ห้า ห้า เธอยังปรับสภาพเป็นคนแบ้งคอกเกี้ยนไม่ได้เต็มตัวอ่ะ….
——–
เวลาผมนั่งแท็กซี่กลับที่พัก คงเหมือนหลายท่านที่ชอบคุยกับคนขับ มีหลายเหตุผลครับ เช่น อยากทราบว่ามาจากอีสานจังหวัดไหน มานานหรือยัง ทำไมต้องมา กลับไปทำนาไหม หรือ วกเข้ามาเรื่องการเมืองเป็นการวัดคามคิดเห็นประชาชนส่วนหนึ่งกลุ่มเล็กๆ ว่าเขาคิดอย่างไรกับเหลือง กับแดง กับอภิสิทธิ์ ยิ่งลักษณ์ และแกนนำแดงแกนนำเหลืองทั้งหลาย
หลากหลายครับคำตอบที่ได้ ทั้งตรงใจผม และขัดแย้งสุดๆ แต่เราก็เก็บความรู้สึกนึกคิดไว้ เพื่อขอความเห็นต่างๆต่อไปอีก เมื่อคืนวานผมพบเด็กหนุ่มขับแท๊กซี หน้าตาดีมาก ผมนั่งจากหน้าบริษัทจะไป NCA คุยไปมา เป็นนักศึกษาปริญญาตรี จบแล้ว ทำงานแล้ว แต่อยากหารายได้พิเศษ ช่วยพ่อแม่ เป็นคนเชียงใหม่ อยากจะทำสักพัก เก็บเงินแล้วจะกลับไปเชียงใหม่ ไม่อยากอยู่กรุงเทพฯ… ผมชื่นชมเขาที่มีความตั้งใจดีเช่นนั้น
อีกวันหนึ่งนั่งจาก NCA กลับบ้านพัก ได้เด็กหนุ่มอุบล ชอบฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจว่างั้น เป็นนักฟุตบอลด้วย ว่างจากฟุตบอลก็มาขับแท็กซี่ หาเงินเก็บ อยากกลับไปบ้านสร้างอู่ซ่อมรถ เพราะตัวเองสนใจและมีประสบการณ์เรื่องนี้มาหลายปี มั่นใจว่าจะทำได้ เพราะรถแท็กซี่คันที่ขับก็ซื้อเอง ผ่อนเอง ซ่อมเอง เขาเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่เติบโตมาภายใต้การเปลี่ยนแปลงสังคมจากชุมชนดั้งเดิมเป็นสมัยใหม่ จะเรียกเปลี่ยนจากยุคร้านชำเป็น 711 ก็ได้ แม้ว่าจะกลับไปช่วยทำนาทำไร่บ้าง แต่ส่วนใหญ่อยู่กรุงเทพฯ
เราคุยกันเพลินถึงเรื่องสถานที่ เรื่องโน้นเรื่องนี้ ผมก็อยากทดสอบเด็กรุ่นนี้ว่ารู้เรื่องวัฒนธรรม ประเพณีมากน้อยแค่ไหน ผมยิงคำถามเปรี้ยงไปเลยว่า “เจ้าฮู้จัก ฮีต คอง บ่” เด็กหนุ่มมองหน้าผมผ่านกระจกมองหลัง แล้วก็อ้ำอึ้งว่า เอ มันอยู่ใสน้อ… ผมแอบยิ้ม เพราะเข้าใจดีว่า เด็กหนุ่มคงนึกถึงว่าเป็นชื่อสถานที่ และก็แสดงว่าเขาไม่รู้จักวัฒนธรรมอีสานเรื่อง ฮีต คอง
ไม่ใช่ความผิดของเขาหรอก เป็นความบกพร่องของสังคมพัฒนาที่ทิ้งของดีเดิมของเราไปเอาแต่ของใหม่ๆมาใส่หัว ดูซิ เด็กคนนี้รู้จักทีมฟุตบอลดังของโลกทั้งหมด ระบุชื่อนักฟุตบอลดังๆได้เกือบทุกคน แต่รากเหง้าตัวเอง คือ ฮีต คองนั้น สลายหายไปแล้ว ไม่เหลือติดก้นสมองไว้เลย
หากเรายอมรับว่า ฮีต คองคือทุนทางสังคม คือแรงเกาะเกี่ยวของสังคม คือรากฐานสำคัญของชุมชน หรือของดีมาแต่โบราณ การห่างหายไปกับยุคสมัยนั้น คือคำถามใหม่ของนักการเมือง นักบริหาร นักพัฒนา และครูบา อาจารย์ รวมไปถึงทุกคนที่เป็นคนไทย….??
ความจริงของเก่าจางหายไปมันอาจจะพอรับได้ หากสิ่งที่มาใหม่ดีกว่า แต่นี่มันไม่ใช่ ใช่ไหมครับ ของใหม่มีแต่ปัจเจกนิยม หรือ Individualism ที่คุณค่าทางสังคมหายไปมากมาย เช่น น้ำใจ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน การเคารพในผู้อื่น การให้ทาน ฯลฯ….เหล่านี้ล้วนเป็นคำสอนใน ฮีต คองทั้งนั้น คุณค่านี้สังคมสั่งสมคุณค่านี้มานานเพราะรู้ว่านี่คือหลักการอยู่ร่วมกัน…
แล้วคนสมัยใหม่ไม่มีกฎ กติกาแห่งการอยู่ร่วมกันหรือ มีครับ กฎหมายก็ใช่ แต่มันมีการละเมิดแบบข้าใหญ่ ลูกข้าทำเหตุให้รถคว่ำมีคนตายหลายคน ล้วนเป็นผู้มีความรู้ แต่สืบสวนไปมา ลูกสาวข้าไม่ผิด
ความคับแค้นใจ มันสะสมเป็นออมสิน ดูคนเข้าป่าสมัยก่อนซิ เพราะคับแค้นการกระทำของคนของรัฐจำนวนหนึ่ง เมื่อสะสมถึงที่สุด สังคมก็ระเบิด เหมือนฟืนที่ถูกน้ำมันชโลม แค่ใครเอาเศษไฟไปโยนใส่ มันก็พรึบออกมาทันที
หากสังคมสมัยใหม่ ไม่มีแรงเกาะเกี่ยวทางสังคมดีดี สังคมนั้นเป็นสังคมอันตราย….
จะไปเดินหาซื้อ ฮีต คองที่ Future Park นั้นไม่มีขายนะครับ