บันทึกวิถีธรรมชาติ
ถ้าพอมีเวลายามเย็น ก็มักจะคว้ากล้องถ่ายรูปไปดูเมฆสวยๆ แต่ก่อนไม่ได้ออกไปไหนก็ปีนหลังคา มุมสูงๆเห็นท้องฟ้ากว้าง หากมีเมฆสวยๆด้วยแสงอาทิตย์แล้วก็ถ่ายเก็บไว้จำนวนมาก บางวันก็ขับรถไปตามถนนรอบเมือง หามุมที่สวยๆ บางวันก็ไปที่บึงบำบัดน้ำเสียใกล้ๆบ้าน เป็นพื้นที่กว้างแม้จะไม่ได้อยู่มุมสูงก็เห็นท้องฟ้ากว้างไกล
คนเมืองก็มีสวนสาธารณะมาออกกำลังกายตอนเช้าตอนเย็น มีสนามเด็กเล่น มีสนามมอเตอร์ไซด์ มีสนามเครื่องบินเล็ก มีสนามจักรยานวิบาก ชาวบ้านก็มาหาปลาในบึงนี้ด้วยเครื่องมือหลากหลาย วิวตอนพระอาทิตย์ตกดินสวย บางวันก็เอาน้องหมามาเล่นด้วย เท่าที่มีโอกาส
แน่นอนหลายครั้งก็ชวนคนข้างกายมาพักผ่อน เธอก็มักจะหิ้วสกุลไทยติดมาด้วย
บริเวณนี้มีต้นไม้ขึ้นโดยธรรมชาติ ตามคันบึง ซึ่งก็เป็นขยะทางธรรมชาติ ไม่ได้อยู่ในเมืองก็มักปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ
มีต้นมะขามเทศต้นหนึ่งหากดูห่างๆก็กำลังจะตายและล้มลง ไม่น่าจะ มีอะไร ผมเห็นหลายครั้งที่มาแต่ไม่ได้สนใจอะไร แต่ครั้งนี่เข้าใกล้ สังเกต เอ มีอะไรติดเต็มลำต้นเลย เข้าไปใกล้ๆก็เข้าใจ นั่นคือ ยางที่ออกมาจากลำต้นมะขามเทศ ที่เรียก “ขี้ซี” เต็มต้นเลย น่าจะเป็นสาเหตุให้เขาต้องล้มตายไป
ผมไม่เข้าใจว่าเกิดขึ้นได้อย่างไรมากมายขนาดนี้ หากเป็นต้นไม้ใหญ่ในป่า รู้ว่ามีขี้ซีที่เกิดขึ้นจากต้นไม้นั้นโดนแมลงเจาะ เหมือนต้นไม้เขารู้ว่าเมื่อแมลงเจาะก็ต้องอุดรู โดยผลิตยางออกมาปิดรู
เจ้ายางไม้นี่เองเป็นประโยชน์สำหรับมนุษย์ เอามาทำหลายอย่าง เช่น ทำเชื้อเพลิง เป็นองค์ประกอบการจับนกของชาวบ้านป่าบ้านดอยในเวลากลางคืน ใช้ยาเรือ ยาตะกร้า หรือ คุ สำหรับตักน้ำแบบโบราณ องค์ประกอบทำด้ามเครื่องมือชาวบ้าน และอื่นๆอีกมากมาย
ฝรั่งเรียก Rasin ที่ต้นมะขามเทศต้นไม่ใหญ่โตนี้มี Rasin เต็มไปหมด เหมือนคนเป็นโรคปุ่ม หรือท้าวแสนปม แต่มันมีประโยชน์ เนื่องจากจำนวนมันไม่มากจนเป็นกอบเป็นกำ ชาวบ้านจึงไม่มาเก็บไปขาย หรือเอาไปสำรองที่บ้านเพื่อใช้ประโยชน์ดังกล่าว อาจเพราะเด็กยุคใหม่ไม่รู้จักแล้ว หรือชาวบ้านเลิกใช้หมดแล้วเพราะทุกอย่างทันสมัยใหม่หมด เทคโนโลยีเก่าๆก็แค่เล่าสู่กันฟังเท่านั้น เผลอๆเด็กยุคใหม่ หาว่าพ่อแม่ ลุงป้า เล่านิทานโกหกเสียอีก ก็เคยได้ยินมาแล้ว
โลกเปลี่ยนไป สังคมเปลี่ยนไป เราห่างไกลธรรมชาติมาก อีกสักหนึ่ง สอง ทศวรรษ เด็กยุคนั้นอาจไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ในชนบทได้ด้วยตัวเอง เพราะความรู้ในเรื่องเหล่านี้ผ่านเลยไปหมดแล้ว ความรู้เรื่องการพึ่งตัวเองจากธรรมชาติ เขาไม่รู้เรื่องแล้ว ความรู้ชุดนั้นหมดไปแล้ว โรงเรียนก็ไม่เห็นความจำเป็นต้องสอน พ่อแม่ก็ได้แต่เล่านิทาน กาลครั้งหนึ่ง พ่อไปเข้าป่าหาขี้ซี…. เด็กคงขำกลิ้ง..
ผมคุยกับบางคนว่า เออ บางทีสถาบันการศึกษาควรจะพิจารณาลงไปทำวิจัยและบันทึกการดำรงชีวิตแบบพึ่งธรรมชาติของบรรพบุรุษเรานะ เพราะอนาคตพลังงานหมดไป วิกฤตสังคมเมือง โลกหันหน้าสู่อดีต เราจะไปควานหาความรู้ในอดีตมาจากไหน บรรพบุรุษก็ไม่ได้บันทึกไว้ ใครๆก็ไม่ได้ทำ เพราะความรู้ติดตัวก็หายไปพร้อมกับการตายจากไป
การบันทึกไว้จะเกิดประโยชน์แน่นอน เชื่อหัวไอ้เรืองเถอะ..อิอิ