บทเรียนจากที่อื่น..

2458 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 30 เมษายน 2009 เวลา 20:09 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 13427

ไปเห็นบทเรียนจากที่อื่น ซึ่งผมชอบอ่านครับ

 

 


 


เฮฮาศาสตร์เพื่อวันนี้และวันข้างหน้า

843 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 30 เมษายน 2009 เวลา 0:33 ในหมวดหมู่ ทุนสังคม, เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 16473

เฮฮาศาสตร์ไม่ได้ก่อตัวเพียงเพื่อวันนี้ แต่จะก้าวไปเพื่อวันข้างหน้า

เมื่อผมก้าวเข้ามาเป็น Blogger ผมก็ยังเหนียมๆ เพราะผมมาจากขุนเขาที่ล้าหลัง สกปรก มีแต่กลิ่นโคลนสาบควาย ดงหลวงที่ไม่มีใครรู้จัก แต่เมื่อผมเริ่มบันทึกเรื่องราวจากดงหลวงมากขึ้นก็มีเพื่อนมากขึ้น และผมก็ก้าวออกไปเยี่ยมเยือนบันทึกของท่านอื่นๆ โลกผมกว้างขวางอย่างที่ไม่คาดคิดมาก่อน

ผมตระหนักดีว่าเรื่องราวที่ผมบันทึกนั้นเป็นเรื่องเฉพาะชุมชนชนบท ซึ่งเป็นเพียงเสี้ยวส่วนของเรื่องราวทั้งหมดที่ปรากฏบน blog ผมทราบดีว่าเรื่องราวของบันทึกผมนั้นจำกัดผู้สนใจอยู่ในวงแคบๆเท่านั้น

แต่ความเป็นจริงไม่ใช่เพียงรอให้ใครต่อใครเข้ามาเยี่ยมเยือนเรา แต่การเข้าไปเยี่ยมเยือนท่านอื่นๆต่างหากที่ช่วยเปิดโลกกว้างมากขึ้น แล้วผมก็ใช้เวลาท่องไปในโลกกว้างนั้น ทั้งที่ปรากฏตัวตนและท่องไปแบบเงียบๆ

และในที่สุดผมก็พบปราชญ์แห่งอีสาน ที่ใครๆก็ต้องแวะเวียนเข้ามาเยี่ยมเยือน ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ติดบันทึกของท่านผู้นี้งอมแงม โดยเฉพาะสาระที่สอดคล้องกับสิ่งที่ผมสนใจ สำบัดสำนวนที่โดนใจ ลูกเล่นลูกฮา เพียบ ทำให้สาระที่แข็งกลับกลายเป็นมีเสน่ห์อย่างที่ยากผมจะทำตามได้

ท่านคือครูบาสุทธินันท์ที่ผมแอบศรัทธาท่านจนผมทนหัวใจเรียกร้องไม่ไหวต้องก้าวเข้าไปสัมผัสกลุ่มผู้เป็นกัลยาณมิตรที่สวนป่า ที่นั่นผมรู้จักเพื่อนตัวเป็นๆมากมายมากันทั่วสารทิศ ผมซึ้งความเป็นผู้ใหญ่ของพ่อครูบาฯ ครอบครัวของท่าน ผมประทับใจเพื่อนทุกคนที่ต่างก็หอบหัวใจมากองไว้ที่นั่น …..

ที่นั่นผมรู้จักเพื่อนๆมากกว่าเพียงพบกันใน blog และการพบกันแบบเป็นๆนี่เองก็เป็นจุดเริ่มต้นของกิจกรรมต่างๆที่เราเริ่มคิดอ่านทำร่วมกัน…และจะพัฒนาต่อไป..

แล้วคำว่าเฮฮาศาสตร์ก็เป็นที่รู้จักกันมากขึ้น ในวงการ Blog โดยพ่อครูบาเป็นเสาหลักร่วมกับผู้หลักผู้ใหญ่อีกหลายท่าน รูปแบบของกลุ่ม blogger กลุ่มนี้ก็มีการตั้งคำถามจากคนนอกและแม้คนในด้วยกันเองว่าคืออะไร เพื่ออะไร จะไปทางไหน…. ซึ่งเรามักคุยกันว่าคำถามนั้นไม่มีคำตอบต้องเข้ามาสัมผัสเอง

เฮฮาศาสตร์กลายเป็นเวทีรวมตัวและหัวใจที่สร้างเรื่องทึ่งๆให้เกิดขึ้นมากมาย การเข้าร่วมที่มาจากเหนือสุด ใต้สุด ต่างหอบหัวใจมามอบให้แก่กันอย่างที่ไม่พบเห็นในสังคมนี้มากนัก การร่วมมือ การอาสา การให้ซึ่งกันและกันเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า….

ผมไม่อาจกล่าวว่านี่คือสวรรค์ แต่ไม่ใช่นรกแน่นอน

ผมไม่อาจกล่าวว่านี่คืออุดมการณ์สูงสุด แต่นี่คือความสุขและสาระที่หาได้อย่างจริงใจ

ผมไม่อาจกล่าวว่านี่คือที่สิ้นสุด แต่นี่เป็นเพียงเริ่มต้น

ผมไม่เชื่อว่าอุปสรรคจะมาพรากเรา ตรงข้ามผมเชื่อมั่นว่านั่นคือโอกาส

ผมจึงกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มหัวใจว่าเฮฮาศาสตร์ไม่ได้ก่อตัวเพียงเพื่อวันนี้ แต่เพื่อวันข้างหน้า และอนาคตด้วย

ผมเชื่อมั่นว่าเราจะจับมือร่วมกัน…

ปัญหา อุปสรรค เป็นเพียงก้อนกรวดที่เราต้องช่วยกันเก็บกวาดและก้าวผ่านไปบนเส้นทางที่ยาวไกลโน้น…


วิภา กูเป็นกู

201 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 28 เมษายน 2009 เวลา 21:41 ในหมวดหมู่ ทุนสังคม, เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 6604

ผมไม่ใช่หมอ

ผมไม่ใช่นักจิตวิทยา

ผมไม่ใช่นักพฤติกรรมศาสตร์

แต่ผมอยากแสดงความคิดเห็นต่อบันทึก “กูเป็นกู” ที่นี่ http://lanpanya.com/jogger/?p=371

รู้สึกดีมากที่กระบวนการได้สร้างความสั่นสะเทือนในจิตใจแก่นักศึกษาแพทย์ผู้มีอนาคตเหล่านั้น

แต่จากการสะท้อน reaction ออกมาระหว่างกระบวนการนั้น นับว่าเป็นเลิศแล้วในความคิดผมเพราะ

  • ไม่ใช่ง่ายเลยที่จะสร้างเครื่องมืออะไรสักอย่างที่จะกระแทกให้คนเรา ได้เกิดแรงบีบในห้วงคำนึงจนต้องปลดปล่อยออกมาด้วยน้ำตาและคำพูดที่ยากจะออก มาในภาวะปกติ
  • ปรากฏการณ์นี้ผมมีความเชื่อส่วนตัวว่าดี และมีส่วนสำคัญให้เธอผู้นั้น เกิดคลื่นสะเทือนทางความสำนึก รู้สึก ความคิดต่อเนื่องต่อไปอีก เป็น อาฟเตอร์ช๊อค
  • กระบวนแต่ก่อนทำนองนี้ที่เป็นประสบการณ์ผมนั้น  ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวผู้นั้นครั้งยิ่งใหญ่ หากผลสะเทือนนั้นๆไปสร้างภูมิสำนึกขั้นสูง จนเขาเหล่านั้นกล่าวว่า “นี่คือการเกิดใหม่” ทีเดียว  ซึ่งแล้วแต่คน แล้วแต่สถานการณ์ แล้วแต่เงื่อนไข แล้วแต่กระบวนการ แล้วแต่สิ่งแวดล้อม แล้วแต่สาระตอนนั้น แล้วแต่ภูมิหลัง
  • ในงานพัฒนาชนบท ผมก็ใช้สิ่งนี้เหมือนกันในการสร้างสำนึกชาวบ้านให้หันกลับมามองตัวเอง สังคมดั้งเดิม วัฒนธรรมชุมชน ผ่านพิธีกรรม และการกระตุกสำนึกขั้นสูง…จนหลายคนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมใหม่ เป็นคนใหม่ …..(แล้วผมจะหนีจากเขาไปไหนได้อย่างไร ก็วนเวียนอยู่ตรงนี้แหละ)
  • มีสิ่งหนึ่งที่กระบวนการนี้ขาดไป ในความคิดผมคือ …ไม่มีกระบวนการต่อเนื่อง หลังการเกิดแรงกระทบทางจิตใจอย่างแรงจนน้ำหูน้ำตาหลั่งไหลออกมาพร้อมคำกล่าวต่างๆนั้น ที่ปกติจะไม่ได้ยินคำกล่าวเ้หล่านั้น  แต่การทำงานพัฒนาชนบทเรามีกระบวนการต่อเนื่อง คือการเยี่ยมเยือน ไปมาหาสู่ ทำกิจกรรมต่อเนื่อง อย่างน้อยที่สุดการสนับสนุนให้เขาจับกลุ่มกันขึ้น สร้างเครือข่ายคนรู้ใจกัน ที่เขาจะสร้างกิจกรรมต่อเนื่องร่วมกัน…..
  • มันเหมือนกับตอนที่ผมบวชเป็นพระปฏิบัติ 1 พรรษาที่สำนักวิปัสสนาไทรงาม เขตรอยต่อ อ่างทอง สุพรรณบุรี พระอาจารย์ ธรรมธโร ท่านให้เราปวารณาตัวเองไม่พูดระหว่างวัน ปฏิบัติ ปฏิบัติ ปฏิบัติ ตามวิธีของท่าน แล้วตกค่ำก็เข้าประชุมร่วมกันทั้งวัด แล้วพระอาจารย์จะ “เป็นผู้มาสอบธรรม” ซักถามความรู้สึกที่เกิด ซึ่งมีสารพัดจะได้ยินจากพระนักปฏิบัติทั้งหลาย เป็นอุบายการเรียนรู้ที่วิเศษจริงๆ ให้แนวทางปฏิบัติ(หลักการ) แล้วไปปฏิบัติ(ทำ) เกิดอะไรก็มาซักถาม พูดคุยกัน(แลกเปลี่ยนความคิดเห็น, อธิบายความหมายที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติ, หรือ ก็คือ Group Discussion นั่นเอง) โดยมีพระอาจารย์ผู้แก่กล้าทางประสบการณ์เป็นผู้คอยให้คำแนะนำ
  • กระบวนการของเราขาดขั้นตอน หลังการเกิดผลสะเทือน แน่หละเพราะเงื่อนไขต่างๆที่เราเข้าใจกัน
  • แต่เชื่อว่า ในกลุ่มนักศึกษาแพทย์นั้น หลังที่เธอกลับไปแล้วน่าที่จะมีการจับกลุ่ม เพื่อนสนิท แลกเปลี่ยนกันต่อโดยธรรมชาติ บางคน หรือหลายคนอาจจะเกิดพฤติกรรมใหม่ๆเชิงบวก บางคนอาจจะคิดอะไรในระยะยาวออกไป และหรือเกิดอะไร อะไร เชิงบวกอีกมากมายสุดจะคาดได้….

ประเด็น

  • จะมีทางสร้างกระบวนการที่ต่อเนื่องหลังจากที่เธอเหล่านั้นเดินทางกลับไปแล้วบ้างไหม… ระหว่างเขาเหล่านั้นเอง…หน่วยงานหรือสถาบันที่เธอเหล่านั้นสังกัดเข้าใจกระบวนการนี้แล้วเป็นผู้ร่วมสร้างกระบวนการที่ต่อเนื่อง
  • หรือ สวนป่ามีกระบวนการรองรับ…??

ทิ้งประเด็นไว้เฉยๆไม่ต้องการคำตอบครับ

______________________________

ผมขอขอบคุณกระบวนกรทุกท่านที่ร่วมกันสร้างผลสะเทือนเหล่านี้

ขอขอบคุณโอกาส ที่ได้สร้างปรากฏการณ์ดีดีแบบนี้

ขอขอบคุณเจ้าของสถานที่ที่เป็นความทรงจำที่สวนป่าจะฝังลึกในห้วงคำนึงของเธอเหล่านั้นไปอีกนานเท่านาน

ขอขอบคุณฝ่ายสนับสนุน ผู้ปิดทองหลังพระทุกท่านที่ทำอาหารคาวหวาน น้ำท่า สารพัดจะประกอบขึ้นมาเพื่อ หนุนเนื่องให้เกิดปรากฏการณ์เชิงบวกเหล่านี้

และขอบคุณเจ้าของบันทึกที่ถ่ายทอดสิ่งนี้ออกมา ความจริงน้องหมอเจ๊ น้องสร้อย น้องอึ่งอ๊อบ และหลายๆท่านที่ไม่ได้กล่าวถึง ก็บันทึกทำนองนี้ออกมาก่อนแล้ว แต่ผมไม่มีโอกาสแสดงความเห็นเต็มๆ เช่นครั้งนี้..

ขอบคุณ “กูเป็นกู”

หมายเหตุ วิภา หมายถึง รัศมี, แสงสว่าง, ความแจ่มแจ้ง, ความสุกใส, ความงดงาม จากพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน หน้า 745


ขมกะเข็ม 2

109 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 27 เมษายน 2009 เวลา 16:30 ในหมวดหมู่ เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 4670

เข็ม: นี่ขม.. เธอคิดไงที่มีข่าวออกทั้ง ทีวี วิทยุ ว่า มีแมลงประหลาดบุกเมืองมุกดาหารเมื่อวานนี้

ขม: เข็มจ๊ะ..สำหรับคนที่ไม่ใช่ชาวมุกดาหารก็ถือเป็นเรื่องแปลกนะ.. แต่คนมุกนั้น ชินซะแล้ว ไม่ได้ตื่นเต้นตกใจวี๊ดว๊ายกะตู้วู้ เลยสักนิด…

เข็ม: ทำไมละเธอ เขาตื่นเต้นกันทั้งเมือง..เธอนี่..อย่าให้ฉันพูดนะ..อิอิ

ขม: เธอ เอ๋ย..เข็ม…ก็แมลงประหลาดนั้นความจริงมันคือ ตัวชีปะขาวที่ขึ้นมาจากลำน้ำโขงและมาเล่นไฟฟ้าทุกแห่งตามเสาไฟ ตามบ้าน แล้วหล่นลงมาตาย จำนวนมากมายมหาศาล มันมาทุกปีช่วงฝนแรกๆนี่แหละ ฉันน่ะเฉยๆ เพราะเห็นทุกปี

เข็ม: ว๊าย..ชีปะขาว…ตัวมันเหมือนชีเปลือยอย่างเรา รึ ป่าว…อิอิ

ขม: นี่เธอ จะว่าอะไรก็ว่าไป อย่ามามองฉันอย่างนี้นะ…ฮึ..


ขมกะเข็ม 1

137 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 26 เมษายน 2009 เวลา 23:47 ในหมวดหมู่ เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 5896

เข็ม: นี่..ขม.. ข้าราชการที่ร้องเพลงเก่งที่สุดคือ กรมอัยการนะตัว เธอว่าแมะ..

ขม: เธอเอามาจากไหน เข็ม.. อัยการเขาเคร่งขรึมจะตาย สุภาพ แต่มีระเบียบมากๆเพราะต้องเขียนคดีต่างๆอย่างสุขุมรอบคอบ งานหนักจะตาย..เธอพูดไปเรื่อย เข็ม…

เข็ม: นี่…นี่…นี่ ขม..เธอไม่เชื่อฉัน ฉับไปงานแต่งงานลูกชายรองอธิบดีอัยการเขต 4 มา โห….ขม.เอ้ย..

ขม: ทำไมเหรอ เข็ม..

เข็ม: อ้าว พอพิธีจบนะ มีนักร้องขึ้นเวทีไม่ขาดสาย ล้วนแต่เป็นอัยการ ข้าราชการสำนักงานอัยการจังหวัดต่างๆ แม้แต่ลูกชายท่านรองอัยการเขต 4 ยังร้องเพลงให้เจ้าบ่าวซึ่งเป็นพี่ชายตัวเอง 4 เพลงรวด.

ขม: หา…เข็ม…เออ ฉันนึกขึ้นมาได้แล้วเข็ม..

เข็ม: เธอนึกอะไร.เหรอ…

ขม: ฉันเห็นด้วยกับเธอแล้วหละ เข็ม.. ก็ท่านบัณฑูร ทองตันที่รักของเราไง..ท่านร้องเพลงเก่งที่หนึ่งเลย… ก็ท่านเป็นอัยการที่ภูเก็ตไง..!!


กรรมตามทัน..ในชาตินี้

281 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 25 เมษายน 2009 เวลา 14:26 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 6690

พิลา…เป็นชื่อพนักงานขับรถของโครงการเรา เขาเป็นคนท้องถิ่นมุกดาหาร ซื่อๆ ตรงๆ เรียบร้อย น้ำใจดีงาม และดูแลรถเป็นเลิศ พวกเรารักใคร่พิลา



พวกเรายินยอมให้พิลาลาหยุดเมื่อเข้าสู่ฤดูการทำนา ปลูกมันสำปะหลัง เกี่ยวข้าว กู้มัน หรือธุระอื่นๆที่เกี่ยวกับครอบครัวเขา ก็เรารู้ดีว่าเงินเดือนพนักงานขับรถนั้นไม่ได้มากมาย เมื่อเทียบรายจ่ายในสภาพปัจจุบัน อะไรที่จะช่วยให้ครอบครัวเขาอยู่ได้ เราก็จะทำ

ความรู้ต่างๆเกี่ยวกับการพึ่งตนเอง การเพิ่มผลผลิต การทำเกษตรผสมผสาน และอื่นๆที่เราเอาความรู้ไปให้ชาวบ้านในท้องถิ่น พิลาก็แอบฟังแล้วก็เอาไปทดลองทำ ทดลองใช้เองที่สวนของเขา จนประสบผลสำเร็จก็มาบอกเราว่า เอาความรู้ไปลองทำแล้วได้ผลอย่างนั้นอย่างนี้… หลายเรื่องเราก็ต้องไปดูสวนเขา และเอาเขาเป็นตัวอย่าง…


วันหนึ่งพิลามาบอกลางานกับเราว่า พี่ชายผมถูกยิงตาย….

ขอลาไปจัดงาน และทำเรื่องราวเกี่ยวกับการตายของพี่ชาย…เราอนุญาต และไปร่วมงานด้วย..

ต่อมาเรารู้ว่าพี่ชายคนเดียวของเขาถูกลอบยิงตาย คนยิงเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน อันเนื่องมาจาก ระแวงว่าพี่ชายพิลาเอาความลับเขาไปแจ้งตำรวจ ความลับเขาก็คือ เขาค้ายาบ้าที่ข้ามมาจากฝั่งลาว…

งานศพพี่ชายพิลานั้น คุณแม่พิลามาร่ำให้ เสียดาย เพราะเป็นแรงงานที่สำคัญแก่ครอบครัว เป็นคนดี พร้อมทั้งทำพิธีแก่เบื้องสูง ขอความเป็นธรรมแก่ฟ้าดิน…โดยเธอเชื่อว่าลูกชายไม่รู้ไม่เกี่ยวข้องเรื่องเหล่านี้แน่นอน

บ้านนอกนั้นใครทำอะไรก็รู้ๆกันหมด…. วัฒนธรรมแบบนี้ก็น่าสนใจนะครับ แม้จะเป็นเรื่องลับสุดยอดแต่ชาวบ้านก็รู้ว่าใครทำอะไร…


ตัวอย่างธาตุ หรือเจดีย์ที่ใส่กระดูก ที่พ่อค้ายาซ่อนเงินสองล้านบาท

เรื่องของเรื่องคือ เอเยนต์ค้ายาบ้าที่อยู่บ้านใกล้เคียงกันนั้นเอาเงินจำนวนสองล้านบาทที่ได้มาจากการค้ายาเสพติดไปซ่อนไว้ที่ “ธาตุ” กลางสวนติดกับสวนพี่ชายพิลา วันหนึ่งตำรวจบุกไปจับยึดเอาเงินสองล้านไปเป็นของกลางพร้อมยาบ้าจำนวนหนึ่ง เอเยนต์ค้ายาบ้าปักใจว่าพี่ชายพิลาเป็นสายบอกตำรวจจึงสั่งให้มือปืนมาฆ่าพี่ชายพิลา


ผมมีส่วนช่วยเหลือพิลาบ้าง คือเรามีรุ่นพี่รุ่นน้องเป็นรองผู้กำกับที่มุกดาหารก็ช่วยกันสืบสวนหาข้อเท็จจริง ส่วนหนึ่งก็กำชับ กำกับคดีให้ตรงไปตรงมา เพราะเรารู้ๆกันว่า คนมีสีบางกลุ่ม บางคนก็เป็นพวกค้าสิ่งนั้น… รองผู้กำกับท่านนี้ช่วยได้มาก….

ในที่สุด ตำรวจมาจับมือปืนเอาไปสอบสวน ตอนแรกปฏิเสธ ต่อมาจำนนต่อหลักฐานจึงถูกตัดสินประหารชีวิตและลดเหลือจำคุกตลอดชีวิต

มาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนี่เอง เอเยนต์ใหญ่ที่สั่งฆ่าพี่ชายพิลาก็ถูกวิสามัญดับดิ้นไป เอเยนต์คนนี้ไม่น่าเชื่อ เธอเป็นผู้หญิง อายุเพียงสามสิบเศษ หน้าตาสวย ขายมานานจนร่ำรวย มีรถหลายคัน และเปลี่ยนรถเป็นว่าเล่น มีร้าน 711 ให้พ่อแม่ควบคุม แต่งตัวเป็นตู้ทองเคลื่อนที่ เกินความเป็นชาวบ้าน อันเป็นเหตุการณ์ให้สืบสวนจนรู้ว่าทำการค้ายาเสพติด


พร้อมๆกันที่หญิงคนนี้ถูกวิสามัญ ลูกชายมือปืนที่ติดคุกตลอดชีวิต ไปทำงานเป็นกรรมกรที่ระยองเกิดอุบัติเหตุ พิการไปตลอดชีวิต…..

ลือกันทั้งบ้านว่า นี่คือผลกรรม….

และนึกไปถึงพิธีบอกกล่าวเบื้องสูงของแม่พิลา

ผลกรรมตามมาทันที…ไม่ต้องชาติหน้า…

——-

(ธาตุ คือ เป็นคำเรียกของชาวบ้าน หมายถึงเจดีย์เล็กๆที่ใช้สำหรับใส่กระดูกบรรพชนผู้เสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งมักเอาไปไว้ตามคันนา ตามสวน ที่ผู้เสียชีวิตเคยเป็นเจ้าของ เป็นวัฒนธรรมของชาวอีสานส่วนหนึ่ง และชาวไทโซ่)


ขอโทษครับ..

586 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 23 เมษายน 2009 เวลา 11:47 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 15580

เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2539 ผมไปทำงานในพื้นที่กลุ่มป่าห้วยขาแข้ง ผืนป่าตะวันตกที่ใหญ่และอุดมสมบูรณ์ที่สุดในเมืองไทย ตอนนั้นผมสังกัดองค์กร Save the Children (USA) ประจำที่จังหวัดนครสวรรค์ สำนักงานอยู่ที่อำเภอแม่วงก์ แม่เปิน ติดกลุ่มป่าเหล่านี้ โครงการนี้ร่วมมือกับ สปก.และมูลนิธิหนองขาหย่างจังหวัดอุทัยธานี มีงบประมาณจาก DANCED ประเทศเดนมาร์ค เป็นผู้สนับสนุน

แน่นอนครับก็จะมีผู้แทนเจ้าของเงินมาติดตามมาประเมินผล มาเยี่ยม แม้องค์พระมหากษัตริย์ของประเทศเดนมาร์คก็เคยมาเยี่ยมพื้นที่ ผมยังมีบุญได้รับใช้พระองค์ท่านบ้างนิดหน่อย ยังติดตราตรึงใจอยู่ทุกวันนี้

เป็นการทำงานกับชาวต่างประเทศอีกครั้งหนึ่งที่ตรึงใจ เพราะฝรั่งเดนมาร์คนั้นแตกต่างจากฝรั่งชาติอื่นๆในทัศนะของผม ดูเขาเรียบร้อยและพยายามเข้าใจคนไทยมากๆ ฝรั่งคนหนึ่งที่ทำงานด้วยพูดไทยคล่องจนไม่คิดว่าจะเป็นฝรั่ง ปรากฏว่าเขาพูดภาษากะเหรี่ยงได้ด้วย เราซิอายพูดไม่ได้ พบว่าเขามาทำปริญญาเอกเรื่องของกะเหรี่ยงที่จังหวัดอุทัยธานีนี่เองซึ่งเป็นพื้นที่ป่าห้วยขาแข้งส่วนหนึ่ง นิสัยง่ายๆ กันเอง และมีน้ำใจ

เวลาผ่านไปสองปีก็มีทีมงานจากเดนมาร์คมาติดตามประเมินผลงาน ผมรับผิดชอบพ่อหนุ่มคนหนึ่งที่พูดไทยได้นิดหน่อย พาตระเวนไปดูพื้นที่ทำงานตลอดแนวป่า 100 กม.ซึ่งมีหมู่บ้านไทยตั้งอยู่ตลอดแนวพร้อมที่จะบุกรุกเข้าไป.. เรามีกิจกรรมมากมายที่จะยับยั้งการบุกรุกชายป่าตลอดแนวนี้ ทั้งทางตรงทางอ้อม ทั้งใช้กฎหมาย ทั้งใช้ไม้นวม สารพัดวิธีที่จะคิดอ่านกันว่ามีความเหมาะสม

วันหนึ่งผมพาพ่อหนุ่มคนนี้ไปดูพื้นที่แถบชายป่าอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ในเขตจังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็นภาคกลางเขตเดียวที่มีต้นสักขึ้นอยู่ในป่า บางพื้นที่เป็นเขาหัวโล้นแล้ว ฝรั่งคนนี้ถามว่าชาวบ้านมาตัดต้นไม้สักเหล่านี้หรือ ผมก็อธิบายยืดยาว เกี่ยวเนื่องไปถึงไม้สักภาคเหนือที่ถูกบริษัทต่างชาติเข้ามาสัมปทานตัดไม้สักไปขายจนเกือบหมดเกลี้ยงตั้งแต่รัชการที่ 6 และบริษัทนั้นก็คือบริษัท หลุยส์ ที. เลียวโนแวนส์ ซึ่งเป็นของประเทศเดนมาร์คของคุณ…เท่านั้นเอง พ่อหนุ่มคนนี้ พูดกับผมพร้อมกับยกมือไหว้ผม..จนผมตกใจ…..เขาพูดว่าไงครับท่าน

เขาพูดว่า..ขอโทษครับ..

ผมจับความรู้สึกสำเนียงสีหน้าเขาได้ว่า เขาจริงใจมากๆที่กล่าวเช่นนั้น แม้ว่าคำนี้จะไม่ได้ช่วยให้ป่าไม้คืนมาก็ตาม แต่ผมไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้ออกมาจากปากฝรั่งชาวเดนมาร์ค ผมไม่คิดว่าเขาจะมีความสำนึกอะไรมากมาย ผมไม่คิดว่าคนรุ่นหลังที่ห่างไกลกันมากกับสมัยที่บริษัทหลุยส์ ที. เลียวโนแวนส์มาตัดไม้ในเมืองไทยจะมีความสำนึกในเรื่องการทำลายทรัพยากรธรรมชาติเช่นการตัดไม้ครั้งใหญ่สุดของประเทศไทยครั้งนั้น และโครงการที่กำลังทำตอนนั้นก็เพื่อฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม และหาทางปกป้องการทำลายป่าไม้ในกลุ่มป่าตะวันตก….

ผมประทับใจฝรั่งคนนี้

มาวันนี้ครับพี่น้อง คนไทยกลุ่มหนึ่งได้ทำร้ายจิตใจเพื่อนบ้าน ในประเทศต่างๆของอาเซียนของเรา โดยการบุกไปในโรงแรมที่กำลังมีการประชุมสุดยอดอาเซียน ที่มีผู้นำประเทศต่างๆเหล่านั้นมานั่งอยู่ แม้ว่าคนกลุ่มนั้นจะมิประสงค์ทำร้ายผู้นำประเทศต่างๆนั้นก็ตาม แต่โดยมารยาทที่ไม่ต้องสอนกันก็ใช้สามัญสำนึกได้ว่า เมื่อมีแขกบ้านแขกเมืองมาเราก็ควรมีมารยาท มิควรที่จะไปกระทำการใดๆให้กระทบกระเทือนผู้นำประเทศเพื่อนบ้านเหล่านั้น ซึ่งย่อมไปกระทบกระเทือนประชากรของประเทศเขาเหล่านั้นด้วยอย่างปฏิเสธไม่ได้….

ผมขอกล่าวคำว่า “ขอโทษ….ต่อผู้นำประเทศต่างๆเหล่านั้น”

ผมขอกล่าวคำว่า “ขอโทษ….ต่อประชากรของประเทศเพื่อนบ้าน” ทุกประเทศที่ผู้นำท่านมาเข้าร่วมการประชุมและได้รับการกระทำที่มิควรครั้งนั้น…

ด้วยสำนึกของความเป็นคนไทย และชาติไทย


ข้อเท็จจริงที่พัทยา..

132 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 22 เมษายน 2009 เวลา 21:00 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3813

เรียนทุกท่าน ผมคิดว่าเอกสารชิ้นนี้เป็นประโยชน์จึงนำมาเผยแพร่ต่อ โดยขออนุญาตจากเจ้าของบทความเรียบร้อยแล้ว วัตถุประสงค์การเผยแพร่เอกสารชิ้นนี้คือ ต้องการให้ข้อมูลจากผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ได้มีพื้นที่สาธารณะให้ข้อเท็จจริง… ผมเชื่อว่าทุกท่านมีวิจารณญาณในการพิจารณาอยู่แล้ว..

———————————————————————————————————————–

บันทึกอาเซียน
ASEAN DIARY
การประชุมสุดยอดอาเซียนล้มเหลวที่พัทยา

———–

ระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน+6 ที่พัทยา ผมอยู่ในโรงแรมรอยัล คลิฟ บีช รีสอร์ท ทุกวัน เหมือนสื่อมวลชนทั้งหลาย ในวันแรกที่ไปถึง รู้สึกสะดวกสบายและเห็นความราบรื่นในการเตรียมงาน มองเห็นประโยชน์อันยิ่งใหญ่จากการประชุม เพราะการเตรียมงานเรียบร้อย มีประสิทธิภาพอย่างน่าภาคภูมิใจในฐานะคนไทยที่เป็นเจ้าภาพร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศและรัฐบาลไทย อาคารสถานที่ของโรงแรมก็โอ่โถง กว้างขวาง โอฬาร สมเป็นสถานที่จัดประชุมระดับโลก บรรยากาศสดชื่นงดงามของทะเลและชายหาดเป็นอมตะจนไม่ต้องอธิบาย บุคคลากรของกระทรวงการต่างประเทศทำงานสนับสนุนรัฐบาลที่ผมเชื่อมั่นในคุณภาพของนายกรัฐมนตรีเป็นอย่างมาก


นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีที่ผมภูมิใจในพื้นฐานความรู้ด้านการต่างประเทศอย่างที่สุด ผมชื่นชอบในบุคลิกการสื่อสารและภาษาที่ท่านใช้ในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ ส่วนประวัติอันดีงามและความซื่อสัตย์สุจริตโปรงใสในชีวิตของท่านนั้นผมมั่นใจได้อย่างบริบูรณ์


แต่พอเริ่มงานในวันที่ 10 เมษายน 2552 ทุกอย่างก็ไหวสะเทือนเพราะแรงการประท้วงจากฝูงชนผู้สนับสนุนอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ใส่เสื้อสีแดงเป็นสัญลักษณ์ ผมทราบดีว่าคุณทักษิณ ต้องการอำนาจกลับคืนมา แต่ไม่มีวิธีอื่นใดนอกจากล้มรัฐบาลของนายกฯอภิสิทธิ์ และไม่มีวิธีอื่นใดที่จะล้มรัฐบาลได้ขณะที่ตัวเองเป็นผู้ต้องหนีโทษไปอยู่ต่างประเทศ นอกจากจะให้ตัวแทนของตนในประเทศไทย รวมพลังมวลชนมาก่อกวนเพื่อล้มรัฐบาลด้วยเงื่อนไขที่รัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยใดๆจะรับได้ แต่ผมก็ไม่คิดว่ามวลชนของคุณทักษิณจะมาล้มการประชุมสุดยอดอาเซียนที่พัทยา ที่ผมคิดเช่นนี้ก็เพราะว่าผู้นำการประท้วงกล่าวบนเวทีหน้าทำเนียบรัฐบาลที่กรุงเทพฯว่าจะไม่ขัดขวางการประชุมสุดยอดอาเซียนและพิสูจน์การรักษาสัจจะให้เห็นแล้วในระหว่างการประชุมสุดยอดก่อนหน้านี้ที่ชะอำ-หัวหิน


ในวันที่ 10 เมษายน ขบวนประท้วงเดินทางเข้ามาถึงหน้าโรงแรมอย่างง่ายดาย ทั้งๆที่ทางเข้าก็แคบและมีทางเข้าด้านหน้าทางเดียว ทางเข้าด้านหลังโรงแรมก็มี แต่ก็สามารถปิดกั้นให้ความปลอดภัยแก่สถานที่ประชุมได้หากตำรวจและทหารต้องการจะทำหน้าที่จริงๆ โดยไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธรุนแรง เพียงแต่ตั้งเครื่องกีดขวางเสริมด้วยตำรวจและทหารหลายๆแถว แต่ก็ไม่มีการดำเนินการใดๆ ปรากฏการณ์เช่นนี้ทำให้เกิดความหวั่นไหวในหมู่สื่อมวลชนทั้งหลายว่าการประชุมจะดำเนินไปได้อย่างไร หากผู้ประท้วงจะบุกเข้ามาในอาคารที่เป็นศูนย์สื่อมวลชนเมื่อไรก็ย่อมได้ และสามารถบุกต่อไปยังอาคารที่ประชุมได้เช่นกัน ผู้ประท้วงนำโดยคุณอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง ซึ่งตะโกนป่าวร้องบนรถบรรทุก ต่อว่าด่าทอรัฐบาลด้วยถ้อยคำที่รุนแรง แต่เงื่อนไขที่ขอให้มีตัวแทนอาเซียนมารับหนังสือประณามรัฐบาลไทย และฟ้องรัฐบาลชาติอื่นนั้น

ทำให้ผมคิดตามเดิมว่าเขาคงไม่ขัดขวางการประชุมแน่นอน ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีบอกกับผมว่าคุณอริสมันต์ สัญญาว่าหลังจากมอบหนังสือแล้วจะถอยขบวนประท้วงออกไปทันที เมื่อคุณอริสมันต์ กับพวกอีกประมาณห้าคน ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในอาคารศูนย์สื่อมวลชนเพื่อยื่นหนังสือและรอตัวแทนจากสำนักเลขาธิการอาเซียน ระหว่างรอตัวแทนจากอาเซียนอยู่นั้นผมเข้าไปคุยกับตัวแทนพวกเสื้อแดงผู้สนับสนุนคุณทักษิณคนหนึ่งซึ่งผมก็ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว แต่เขารู้จักผม จึงคุยกันได้ฉันมิตรด้วยภาษาที่สุภาพ เขาบอกผมว่าพวกเขามาถึงหน้าโรงแรมนานแล้ว แต่ไม่มีใครสนใจจะออกมาพูดจาถามไถ่ถึงความต้องการ ไม่มีใครเข้ามาเจรจาเลย รออยู่นาน ปราศรัยบนรถอยู่นานก็ยังไม่ได้รับการตอบสนอง เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่น้อยใจ ไม่มีภาษาที่ก้าวร้าว ต่างกับภาษาที่ก้าวร้าวยั่วยวนหยาบคายที่เขาใช้บนเวทีปราศรัยบนรถนำขบวน ผมเชื่อว่าการที่เขาพูดคุยกับผมอย่างสุภาพและสงบก็เพราะเขาคุยกับผมซึ่งเขารู้จักในฐานะสื่อมวลชน (อาวุโส) ที่มิได้อยู่ตรงข้ามกับเขา

หรือเข้าข้างฝ่ายใด การพูดคุยกันจึงพอจะได้รับข้อมูลที่จริงใจ ผมสะกิดหลังคุณอริสมันต์ที่กำลังยืนพูดกับผู้สื่อข่าวข้างหน้า คุณอริสมันต์หันมาทักทายผม แล้วผมก็บอกคุณอริสมันต์ ที่พวกเราสื่อมวลชนเรียก “กี้” ซึ่งเป็นชื่อเล่น ผมขอร้องคุณอริสมันต์ว่าขอให้ถอนกำลังมวลชนกลับไปหลังจากยื่นหนังสือแล้ว ตามที่ได้สัญญาไว้กับท่านผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ขอให้เห็นแก่อาเซียนและรัฐบาลซึ่งหมายถึงรัฐบาลของท่านนายกฯสมัคร สุนทรเวช รัฐบาลท่านนายกฯสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และรัฐบาลของท่านนายกฯอภิสิทธิ์ ทั้งหมดรวมกัน เพราะทุกรัฐบาล ล้วนแล้วแต่ร่วมกันทำงานเพื่ออาเซียน เพื่อชื่อเสียงของประเทศไทยมานานแรมปี อาเซียนเป็นของทุกรัฐบาล เป็นของคนไทย และเป็นของพลเมืองเกือบ 600 ล้านคนใน 10 ประเทศร่วมภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเรา อาเซียนไม่เกี่ยวกับปัญหาระหว่างคุณทักษิณกับรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์แต่ประการใด อาเซียนไม่เกี่ยวกับเสื้อเหลือหรือเสื้อแดง ผมพูดกับคุณอริสมันต์โดยความหมายรวมทำนองนี้ในเวลาไม่ถึงนาที แล้วย้ำกับคุณอริสมันต์ว่า หากมวลชนของคุณอริสมันต์ถอยกลับตามสัญญาก็จะได้คะแนนนิยมเพิ่มขึ้นในฐานะที่แสดงความเป็นนักประชาธิปไตยในการประท้วงแล้วส่งความคิดเห็นตามช่องทางที่เหมาะสม จบแล้วก็จบกระบวนการประท้วง


หลังการยื่นหนังสือประณามรัฐบาลไทยแล้วขบวนมวลชนเสื้อแดงของคุณอริสมันต์ก็ถอยกลับไปอย่างเป็นระเบียบ ทำให้ผมโล่งใจและภูมิใจในความยึดมั่นสัจจะวาจาของคุณอริสมันต์ หลังจากนั้นผมก็ได้ข่าวว่ามีชาวพัทยาจำนวนหนึ่งไม่พอใจการที่พวกคุณอริสมันต์มาประท้วงทำให้เสียหายต่อบรรยากาศทางสังคมและธุรกิจของเมืองพัทยา และกลุ่มชาวพัทยาที่มาประท้วงรออยู่ปากทางตอนที่พวกคุณอริสมันต์กำลังถอยขบวนย้อนทางออกไป ชาวพัทยาที่ประท้วงใส่เสื้อสีน้ำเงินเป็นสัญลักษณ์ ผมถามท่านผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีก็ได้ความว่ามีจำนวนรวม 500 คน และท่านรับทราบถึงการมาของขบวนชาวเมืองพัทยา กลุ่มเสื้อสีน้ำเงินมีทั้งชาวเมืองที่ทำธุรกิจท่องเที่ยวและชาวประมง แต่การใส่เสื้อสีน้ำเงินแสดงถึงการจัดตั้งกลุ่มผู้ชุมนุมเอามาต่อต้านฝ่ายเสื้อแดงซึ่งมีจำนวนมากกว่า ผมมาทราบทีหลังว่ามีการตะโกนด่าทอและขว้างปาใส่กันบ้าง แต่ไม่มีใครบาดเจ็บรุนแรงหรือเสียชีวิต


เมื่อผมกลับไปพักที่โรงแรมริเวียร่า ในเขตนาเกลือ ไกลจากที่ประชุมสุดยอดอาเซียน ได้ดูช่องโทรทัศน์ D-Station ผ่านดาวเทียมของคุณทักษิณ ชมการปราศรัยบนเวทีของผู้ประท้วงที่กรุงเทพฯ ประกาศให้มวลชนเสื้อแดงเดินทางไปสมทบและเตรียมประท้วงการประชุมสุดยอดอาเซียนที่พัทยาอีกรอบหนึ่ง ผมฟังคำปราศรัยของคุณทักษิณ ผ่านจอภาพวิดีโอ บอกว่า “ผมแพ้ไม่ได้” ประท้วงแล้ว “ต้องมีอะไรติดไม้ติดมือกลับมา” แล้วเรียกร้องการชุมนุมที่เข้มข้นขึ้น ได้ยินดังนี้แล้วผมก็สิ้นหวัง และเชื่อว่าคำสั่งของคุณทักษิณนั้นศักดิ์สิทธิ์เหนือสัจจะวาจาใดๆที่คุณอริสมันต์ให้ไว้กับผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี หรือที่สัญญากับผมจากการคุยกันอย่างฉาบฉวยไม่กี่วินาที


เช้าวันที่ 11 เมษายน 2552 ผมไม่คิดว่าการประชุมสุดยอดอาเซียนจะเป็นไปได้ ดูจากสีหน้าที่โกรธขึ้งของคุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และคุณจตุพร พรหมพันธุ์ บนเวทีปราศรัยหน้าทำเนียบรัฐบาลก็เห็นความรุนแรงและมุ่งมั่นที่จะเอาชัยชนะติดมือจากพัทยากลับไปมอบให้คุณทักษิณให้ได้ ระหว่างทางบนถนนนาเกลือ ไปสู่โรงแรมที่จัดประชุมสุดยอดอาเซียน ผมพบกลุ่มเสื้อแดงวิ่งไล่ตีชาวพัทยาบริเวณวงเวียนน้ำพุ กระเจิดกระเจิงมาในซอยที่ผมกับทีมงานสารคดีโทรทัศน์อาเซียนหลบอยู่ ชายหนุ่มชาวพัทยาที่หนีเข้ามามือโชกเลือดเนื้อฉีกเป็นแผ่นยาวน่ากลัว เลือดไหลไม่หยุด ผมให้ผ้าเช็ดหน้าไปซับเลือด แล้วเจ้าของร้านขายของบริเวณใกล้เคียงก็ออกมาช่วยทำแผลให้ พวกเสื้อแดง วิ่งไล่ล่าตามมาในซอยหวังทุบตีด้วยไม้กระบองในมือ แต่ชาวพัทยาผู้บาดเจ็บก็ขึ้นรถหลบหนีไป ผมกับช่างภาพวิดีโอส่องกล้องถ่ายภาพเหล่านี้ไว้แล้วเดินออกไปปากซอย ดูเหตุการณ์ถึงวงเวียงน้ำพุแยกถนนนาเกลือ ซึ่งอยู่หน้าโรงแรมดุสิตธานีอันเป็นที่พักผู้นำชาติเอเชียตะวันออก ผมพบพวกเสื้อแดงในอาการโกรธแค้น ด่าทอหยาบคาย ผมเห็นตำรวจพัทยาปลอบใจหญิงเสื้อแดงที่อยากจะอยู่สู้กับชาวพัทยาบนถนน แต่ตำตำรวจบอกให้ไปอยู่กับคนเสื้อแดงบนรถจะได้ปลอดภัย ผมได้คุยกับนายอำเภอบางละมุงเพื่อประเมินสถานการณ์ หากผมจะเดินทางต่อไปยังโรงแรมที่ประชุม


ทีมงานของผมขับรถหลบพวกเสื้อแดงที่ปิดหน้าโรงแรมอยู่ แล้วอ้อมเข้าด้านหลังโรงแรมรอยัล คลิฟ รีสอร์ท ซึ่งเงียบสงบและปลอดภัย เดินผ่านสวนของโรงแรม เห็นเหล่าทหารที่ไม่มีหน้าที่ยืนแถวเตรียมพร้อมนอนเอนกายกันทั่วไปในสภาพที่ไม่เตรียมพร้อม เป็นภาพที่ไม่สวย ไม่เข้มแข็ง แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ไม่ต้องปฏิบัติหน้าที่ก็ตาม ผมคิดว่าไม่ว่าทหารจะมีจำนวนมากน้อยเท่าใด ทั้งหมดก็ควรเข้าแถวยืนประจันหน้ากับผู้ประท้วง และควรกันผู้ประท้วงไม่ให้เข้ามาตั้งแต่ปากทางแล้ว การไปดูแลความปลอดภัยของที่ประชุมระดับโลกเช่นนี้ไม่ควรไปนอนรอคอยคำสั่งหรือนอนพักผ่อนแต่อย่างใด การปกป้องที่ประชุมสุดยอดระดับโลกเช่นนี้หย่อนยานมาก และน่าตำหนิในความไม่เอาใจใส่ภาพลักษณ์ของทหารเลย ใกล้ๆกันก็มีพวกเสื้อแดงเข้ามานั่งและเดินด่ารัฐบาลกันระเกะระกะบนสนามของโรงแรม ขณะที่ขบวนประท้วงใหญ่อยู่กันแน่นถนนหน้าโรงแรม ผมเดินเข้าไปนั่งคุยกับพวกเสื้อแดงที่นั่งกันอยู่ราว 50 คน ผมอยากรู้จักคนเหล่านี้ว่าเป็นใครมาจากไหนอย่างไร และมีความคิดเรื่องประชาธิปไตยแบบไหน ชาวเสื้อแดงคุยกับผมอย่างสงบและสุภาพ เว้นหญิงคนหนึ่งที่เดินไปมามองหน้าและด่าทอใส่ผมตลอดเวลา เธอไม่ได้ด่าผม แต่ด่านายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์อย่างหยาบคาย แต่หันหน้ามาทางผมตอนที่ด่า ตามคำบอกเล่าของชายที่นั่งข้างผม เธอเป็นชาวจันทบุรี ฟังจากสำเนียงก็เหน่อแบบจันทบุรีแน่นอน


ผมวิเคราะห์และสรุปนานแล้วว่าความหยาบคายในการใช้ภาษาของพวกพันธมิตรฯเสื้อเหลืองแสดงถึงความขาดสติและขาดเหตุผลที่จะอธิบายแนวคิดของตนเอง เป็นการขาดการศึกษาและวัฒนธรรมของผู้ประท้วงเสื้อเหลืองที่ผมพบมาตั้งแต่ปี 2551


ที่พัทยาคราวนี้ผมมาพบความหยาบคายในหมู่คนเสื้อแดงอีกทั้งบนเวทีปราศรัยที่กรุงเทพฯและที่พัทยา และพบตรงๆแบบด่าใส่หน้าบนสนามหญ้าของโรงแรมที่จัดประชุมสุดยอดอาเซียนผมก็คิดว่าคุยไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเธอผู้หยาบคายมีแต่อารมณ์ร้าย ผมคุยกับชายวัยใกล้เคียงกับผม (ปัจจุบันผมอายุ 60 ปี) ซึ่งเป็นชาวสุพรรณบุรี บ้านเดียวกับผม เขาบอกว่า ที่สุพรรณบุรี สมาชิกพรรคไทยรักไทยที่แพ้การเลือกตั้ง ส.ส. เป็นผู้จัดรวบรวมและขนชาวสุพรรณฯมาร่วมชุมนุม โดยดูแลความสะดวกต่างๆ แต่เขายืนยันว่าไม่มีการจ่ายค่าจ้างเป็นเงินสดตามที่เป็นข่าว ผมพยายามอธิบายหลักวิชาการประชาธิปไตยว่าการแสดงความเห็นทางการเมืองนั้นทำได้ แต่ความหยาบคายนั้นสร้างแต่ความโกรธไม่สร้างความเข้าใจอันดี เพราะการด่าไม่มีข้อมูลให้ช่วยคิดอะไรใหม่ได้ การไล่นายกฯอภิสิทธิ์ออกเพราะบอกว่าเป็นคนเลวก็ไม่ถูก เพราะนายกฯอภิสิทธิ์เป็นคนดีมีความรู้ความสามารถ ไม่มีเรื่องทุจริตเหมือนคุณทักษิณ ดังนั้นการที่จะไล่นายกอภิสิทธิ์ออกจากตำแห่งก็ต้องทำด้วยเหตุแห่งความด้อยประสิทธิภาพในการบริหารประเทศ และการประท้วงเป็นเพียงการแสดงความเห็นเท่านั้น ส่วนการจะให้ลาออกได้หรือไม่ได้เป็นเรื่องของระบอบประชาธิปไตย ต้องผ่านกระบวนการประชาธิปไตยที่ถูกต้องแท้จริง คือการอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาผู้แทนราษฎร หรือการยุบสภาแล้วลาออกเองโดยนายกรัฐมนตรี ผู้มาประท้วงไม่มีสิทธิ์สร้างเป็นเงื่อนไขในการประท้วง การจะล้มการประชุมสุดยอดอาเซียนหากนายกรัฐมนตรีไม่ลาออกนั้นเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ในระบอบประชาธิปไตย


มาถึงเวทีการประท้วงซึ่งอาศัยหลังคารถบรรทุกเป็นที่ยืนปราศรัย ผู้ปราศรัยนำโดยคุณอริสมันต์ พงศ์เรื่องรองเช่นเดิม เห็นหน้าคุณอริสมันต์อีกครั้งผมก็หมดความเชื่อถือในสัจจะวาจาที่เคยให้ไว้เมื่อวาน ผมเชื่อในใจว่าคุณอริสมันต์จริงใจกับอาเซียนเมื่อวันวานที่ถอยกำลังกลับไป แต่ก็มั่นใจว่าคุณทักษิณมีอำนาจสั่งการเหนือกว่า แล้วสั่งผ่านผู้นำบนเวทีอภิปรายหน้าทำเนียบรัฐบาลที่กรุงเทพฯ ผมเชื่อว่าการล้มการประชุมสุดยอดอาเซียนเป็นของติดไม้ติดมือกลับที่คุณทักษิณต้องการเป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะ ไม่ว่าจะอ้างเงื่อนไขอะไร เมื่อวันวานผู้ประท้วงสร้างเงื่อนไขเพียงขอยื่นหนังสือประท้วง แต่มาวันนี้ผู้ประท้วงขอขัดขวางการประชุม หากไม่จับตัวคนที่ทำให้พวกเสื้อแดงเสียชีวิตในการปะทะกันที่พัทยา โดยอ้างว่ามีพวกเสื้อแดงเสียชีวิตจริง แต่ข้อเท็จจริงต้อนนั้นไม่มีใครทราบ ผมเองทราบเป็นส่วนตัวเพราะพบเห็นโดยตรงว่าพวกเสื้อแดงตีชาวพัทยามือฉีกเลือดโชกไปหนึ่งคน หนุ่มพัทยาที่รับผ้าเช็ดหน้าจากผมไปห้ามเลือดย่อมยืนยันได้ ความจริงในวันต่อมาก็พบว่าไม่มีใครเสียชีวิตตามที่คุณอริสมันต์ประกาศเอาเป็นเงื่อนไขการล้มการประชุมสุดยอดอาเซียน


คุณทักษิณใช้คุณอริสมันต์ทำลายอาเซียนจนคุณทักษิณและคุณอริสมันต์ถือว่าฝ่ายตนได้รับชัยชนะ


แต่ในความเห็นของผมนั้นคุณทักษิณพ่ายแพ้ยับเยินจากพฤติกรรมที่ก่อขึ้นครั้งนี้ ไม่มีใครในโลกจะเห็นเป็นอื่น ไม่มีใครจะสรุปว่าคุณทักษิณเป็นคนดีได้เลย หากได้เห็นและรู้จักวิเคราะห์คุณทักษิณอย่างที่ผมรู้จักและวิเคราะห์คุณทักษิณมานาน 25 ปี


สำหรับอาเซียนและประเทศไทยนั้นก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้เสียหายมหาศาลด้วยแน่นอน การประชุมสุดอยอดอาเซียน+6 ล่มลงอย่างน่าเสียใจ โลกชะงักงันต่อโอกาสในการประชุมแก้ปัญหาวิกฤติการเงินที่ทั้งโลกและอาเซียนเผชิญอยู่ อาเซียนต้องหยุดกระบวนการทำงานที่สำคัญที่สุดในรอบ 42 ปีของอาเซียนที่กำเนิดที่ประเทศไทย แล้วก็มาบาดเจ็บสาหัสที่ประเทศไทยในครั้งนี้


รัฐบาลไทยของผมและของท่านนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเสียหายอย่างหนักที่สุด ในนามของประเทศไทย เราจะไม่มีโอกาสดีเช่นนี้อีกแล้วในการทำงานเพื่ออาเซียน หน้าที่ของเราต่อไปนี้ก็คือทำงานหนักเพื่อกลับไปร่วมเป็นสมาชิกอาเซียนให้เหมือนสมาชิกปรกติธรรมดาให้ได้ในอนาคต คุณทักษิณไม่มีทางจะกลับมาเป็นผู้นำประเทศไทยและร่วมอยู่ในสมาคมอาเซียนได้อีกเลยเพราะคุณทักษิณเป็นผู้ทำลายอาเซียน


อนาคตที่เราจะกลับเข้าสู่ความอบอุ่นของอาเซียนนั้นอยู่ข้างหน้า แต่อยู่ยาวไกลมากๆ เพราะชื่อเสียงเกียรติภูมิของราชอาณาจักรไทยเสียหายหมดสิ้นแล้ว ชื่อเสียงที่ว่าหมดสิ้นแล้วนั้นเป็นความจริงที่ชาวโลกกำหนด แต่เราก็สร้างชื่อเสียงขึ้นใหม่ได้แม้จะใช้เวลานานก็ตาม ผมเห็นว่าคนรุ่นปัจจุบันที่เป็นผู้สนับสนุนคุณทักษิณ ขาดเหตุผล ความรู้เรื่องประชาธิปไตย ขาดวัฒนะธรรมสังคมประชาธิปไตย เขาเป็นผู้ทำลายเกียรติภูมิของชาติของตนและทำลายศักดิ์ศรีของตนเองในฐานะพลเมืองในสังคมประชาธิปไตย จะแก้ไขได้ก็โดยการเพิ่มการศึกษาอบรม หาความรู้เพิ่มเติมให้มากๆเพื่อให้เป็นคนมีเหตุผลและมีวัฒนธรรมและสามารถดำเนินชีวิตในสังคมประชาธิปไตยได้ เรื่องนี้ทำได้แม้จะยากยิ่ง เพราะต้องใช้เวลาและต้องตั้งใจพัฒนาตนเองให้หลุดพ้นจากอารมณ์ที่เกิดจากการรับข้อมูลข่าวสารที่ผิดจริงๆ คุณทักษิณและผู้สนับสนุนทั่วประเทศจะต้องมีความพร้อมที่จะวิเคราะห์ตัวเองด้วยหลักปรัชญาประชาธิปไตย ต้องมีความพร้อมในการเรียนรู้หลักประชาธิปไตยที่แท้จริงกันใหม่ ซึ่งมา ณ เวลานี้ก็สายเกินไปแล้ว เพราะอารมณ์มาอยู่เหนือสติยั้งคิด เรียนรู้พัฒนาตนเองให้อยู่ในสังคมประชาธิปไตยไม่ทันแล้ว


ผมคิดว่าต้องมอบประเทศไทยและอาเซียนให้กับคนรุ่นใหม่ แต่คนรุ่นใหม่จะต้องเริ่มเรียนรู้อย่างจริงจังต่อสถานการณ์และความล้มเหลวของคนรุ่นปัจจุบัน เหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2551-2552 นี้ต้องเป็นหน้าที่ของคนรุ่นใหม่ที่จะต้องศึกษาวิเคราะห์อย่างละเอียดลึกซึ้ง เพื่อสร้างสังคมประชาธิปไตยที่สงบงดงามให้เกิดขึ้นให้จงได้ การศึกษาเท่านั้นที่สร้างสังคมและวัฒนธรรมประชาธิปไตยขึ้นได้ในราชอาณาจักรไทย


สมเกียรติ อ่อนวิมล
พัทยา
11 เมษายน 2552

——————————
เอกสารชิ้นนี้ได้ขออนุญาตจากดร.สมเกียรติ อ่อนวิมลแล้ว ดังเอกสารต่อไปนี้


สวัสดีครับคุณไพศาล,

ยินดีมากครับที่เห็นว่าบทความเป็นประโยชน์ เชิญเผยแพร่ได้ตามสะดวก

สมเกียรติ อ่อนวิมล

Somkiat Onwimon

somkiat@thaivision.com


วาทะพ่อใหญ่..

334 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 22 เมษายน 2009 เวลา 15:42 ในหมวดหมู่ ทุนสังคม #
อ่าน: 4176

ลูกเอ้ย….

พ่อใหญ่เห็นโลกมานานพอสมควรแล้ว

ผิดชอบชั่วดีนั้นสามัญสำนึกก็บอกได้ จำแนกได้

เวลาที่เหลือก็เพียงแค่ประคองใจ กาย ให้อยู่ในครรลองธรรมเท่านั้น

ก่อนที่จะดับสูญไปตามวาระ

มันไม่ใช่วาระแห่งชาติ แห่งโลกอะไรนะลูกนะ

มันเป็นวาระแห่งชีวิตน่ะลูก…

ไอ้คนที่มาอ่านนี่ก็อยู่ในวาระนี้กันทั้งน้านแหละ… เหอะ..เหอะ..

…..

คนอย่างพ่อใหญ่จะพูดอะไรก็ไม่มีใครฟังร๊อก..

แต่หากใครจะฟังบ้างก็เป็นกุศลซึ่งกันและกัน

พ่อใหญ่อยากจะบอกว่า

“ธรรมะเท่านั้นที่เป็นฐานของสังคมสันติสุข”

……

โสร่งพ่อใหญ่ สวยไหมล่ะ นี่ดีที่สุดเท่าที่มีแล้วนา..

วันนี้มาพูดกับลูกๆ เลยเอาโสร่งตัวโปรดมาใส่ซะหน่อย..

มันไม่ได้ช่วยให้คำพูดพ่อใหญ่ดังคับฟ้าร็อก..

เพราะ ใครๆก็รู้คำนี้อยู่แล้ว

เหลือแต่ว่า เอาไปปฏิบัติเท่านั้นเองแหละ..เหอะ..เหอะ..

เอา… เอา… พ่อใหญ่ไปก่อนหละลูก..

ให้อยู่เย็นเป็นสุขกันทั่วหน้านะลูกเอ้ย….


ทุนสังคมสร้างได้

85 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 21 เมษายน 2009 เวลา 17:42 ในหมวดหมู่ ทุนสังคม #
อ่าน: 5735

เมื่อผมมาทำงานที่ขอนแก่นใหม่ๆสัก 20 ปีที่แล้ว เราไปเช่าบ้านกันอยู่ในหมู่บ้านไทยประสิทธิ์ประกันภัย ติดถนนสายหลักมิตรภาพ ด้านหลังหมู่บ้านติดกับชุมชนสามเหลี่ยม เดี๋ยวนี้หมู่บ้านนี้ก็ยังมีอยู่ สมัยนั้นมีคุณอภิชาต ทองอยู่ พี่บำรุง บุญปัญญาไปเช่าบ้านอยู่ใกล้ๆกัน….

ผมทำงานกับ USAID ที่ท่าพระ ขอนแก่น คุณอภิชาตทำงานกับ Redd Barna ที่เมืองพล พี่เปี๊ยกก็เป็นที่ปรึกษา Foster Parent Plan เมื่อนักพัฒนามาอยู่ใกล้ๆกันก็ระเบิดเถิดเทิง จะอะไรล่ะ ตกเย็นก็ตั้งวงกินเหล้าแล้วก็คุยกันสารพัดเรื่อง ต่างก็งัดแนวคิดต่างๆมาแลกเปลี่ยนกัน….

ในหมู่บ้านจัดสรรที่เราอยู่นั้นก็มีสารพัดครอบครัวทั้งพ่อค้า ข้าราชการ หน่วยงานต่างๆ เอกชน ครอบครัวเหล่านี้ก็มีลูกหลานกัน เมื่อรวมๆกันทั้งหมู่บ้านก็มากพอสมควร หลังหมู่บ้านเป็นที่โล่ง ป่าละเมาะเล็กๆขึ้นเต็ม ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร..

ในหมู่บ้านนั้นมีครอบครัวหนึ่งเป็นครู ดูเหมือนจะอยู่ในเขตเทศบาล เป็นครูพละ ระหว่างนั่งโซ้ยเหล้าเย็นวันหนึ่งเราก็คุยกันว่า เด็กๆในหมู่บ้านมีเยอะ น่ากลัว น่าเป็นห่วงเรื่องยาเสพติด เด็กเหล่านี้พ่อแม่ทำงาน ออกจากบ้าน บางครอบครัวกว่าจะกลับมาก็เย็นค่ำ ไม่มีใครอยู่กับเด็ก พวกเราน่าจะหากิจกรรมสำหรับเด็กทำกัน ..อภิชาตปรึกษากับพวกเรา

พวกเราเห็นด้วย ในฐานะที่อภิชาตเป็นผู้อำนวยการโครงการพัฒนาชนบทที่เมืองพลควบคุมงบประมาณพัฒนาชนบทจึงเจียดงบประมาณมาก้อนหนึ่งก็ไม่มากเท่าไหร่นัก พวกขี้เหล้าคุยกันไปซดเหล้ากันไปว่าจะทำอะไรดี ในที่สุดก็มาลงที่ว่า เรามีครูพละในหมู่บ้าน น่าที่จะให้ครูสอนเรื่องฟุตบอลอย่างถูกวิธีกับเด็กๆ คุณอภิชาตจะสนับสนุนอุปกรณ์กีฬาชนิดนี้ให้…

ครูพละท่านนั้นเห็นด้วยและยินดีสอนเด็กโดยไม่คิดค่าจ้างอะไร… พื้นที่ว่างหลังหมู่บ้านจึงเกิดการพัฒนาเป็นสนามฟุตบอลแบบง่ายๆ อภิชาต ผม พี่เปี๊ยกและเพื่อนๆคนอื่นก็ไปขออนุญาตผู้ปกครองเด็กๆตามบ้านต่างๆในหมู่บ้านนั้นว่าจะเอาเด็กไปสอนฟุตบอลให้… ผู้ปกครองทุกคนก็เห็นด้วยและสนับสนุน…

หนึ่งเดือนผ่านไปทีมฟุตบอลเด็กของหมู่บ้านก็เกิดขึ้น เด็กๆชอบ และสนุก บางคนมานั่งรอทุกเย็นเพื่อจะมาเล่น มาฝึกฟุตบอล เด็กเหล่านี้ก็มาจากโรงเรียนต่างๆ ทั้งจากโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น โรงเรียนวัด โรงเรียนเทศบาล โรงเรียนเอกชน แล้วแต่ครอบครัวเขาจะเอาบุตรไปเข้าเรียนที่ไหน แต่ทีมฟุตบอลเด็กเกิดขึ้นในนามของชุมชน

เมื่อทีมฟุตบอลมีแล้วการฝึกแบบมาตรฐานก็เกิดขึ้นแล้ว การฝึกฝนก็ผ่านเวลาไปนานพอสมควร ต่างก็อยากประลองฝีมือการแข่งกับทีมฟุตบอลเด็กจากที่อื่นๆ ในฐานะที่ครูพละมีเครือข่ายครูพละอยู่ในจังหวัดจึงเกิดการติดต่อประลองฝีมือกันขึ้น…

พ่อแม่เด็กๆต่างก็ก้าวออกมาสนับสนุน และเห็นว่ากิจกรรมนี้น่าชื่นชมที่เด็กมีกิจกรรมที่ผู้ใหญ่คอยดูแล ต่างสบายใจ สนับสนุน เอาน้ำเอาท่ามาให้เด็ก ลงขันกันตัดเสื้อทีมให้เด็ก เพิ่มเติมอุปกรณ์กีฬา พ่อแม่เด็กก็ถือโอกาสพบปะกัน แทนที่จะมุดหัวในบ้านใครบ้านมัน ก็ออกมาคุยกัน สมาคมกัน แลกเปลี่ยนต่างๆนานา….สารพัดที่จะเกิดประโยชน์กระทบกว้างขวางออกไป

ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ทีมฟุตบอลเด็กของชุมชนออกไปแข่งขันกับทีมอื่นๆ ก็มีแพ้บ้างชนะบ้าง แต่จำนวนครั้งที่ชนะจะมีมากกว่า ก็เป็นที่ปลื้มอกปลื้มใจของชุมชน พ่อแม่ คุณครูพละท่านนั้นก็อุทิศเวลาให้เต็มที่…. ชื่อเสียงของทีมฟุตบอลเด็กชุมชนนี้ก็ระบือไปถึงจังหวัดใกล้เคียง โรงเรียนรอบนอก กลายเป็นเรื่องเป็นราวที่ผู้ใหญ่ต่างก้าวเข้ามาสมาคมมากขึ้นเพื่อเติมเต็มให้เด็กๆ ให้คุณครู ให้กับกิจกรรมนี้…..

ประเด็นที่เห็น

  • ทุนสังคมสร้างได้
  • เริ่มจากเล็กไปสู่ใหญ่
  • เริ่มจากค้นหาศักยภาพในชุมชนแล้วผลักดันให้ศักยภาพนั้นแสดงพลังออกมา
  • สังคมมีจุดเชื่อมต่างๆอยู่แล้ว เมื่อกิจกรรมทำดี ย่อมส่งผลสะเทือนที่ดีไปเขย่าให้เครือข่ายธรรมชาติที่มีศักยภาพข้างเคียงมาร่วมพลังด้วยเป็นทวีคูณ
  • เราเติมคุณค่าดีดีของความเป็นคนลงไปในกลุ่มเด็กเหล่านั้นได้ระหว่างที่เขามาฝึกฝนฟุตบอล ทั้งครูพละที่รับบทใหญ่เป็นพระเอก และเราที่เป็นพี่เลี้ยง และพ่อแม่เด็กๆที่ก้าวออกกมาสนับสนุน
  • การสร้างทุนสังคมต้องมีการเริ่มต้นและผลักดันให้ขยายออกไปทั้งโดยธรรมชาติและสร้างขึ้นมาเพิ่มเติม
  • จากกีฬา สู่การให้คุณค่าทางจริยธรรม กฎ กติกาในการเล่นกีฬา การปฏิบัติตัวต่อเพื่อน ต่อผู้ใหญ่ ต่อคู่ต่อสู้ในเกม
  • จากกีฬา เอาสารพัดเรื่องดีดีมาเติมในจิตใจแก่เด็กได้ตามโอกาส เงื่อนไขมากมาย มากมาย…
  • แล้วเด็กเหล่านี้โตขึ้นจะมีประสบการณ์ชีวิตที่ดีดีต่อไป เป็นการสร้างสมทุนชีวิตที่เป็นภายในให้แก่เขา…


ปัจจุบันคุณอภิชาตเป็นผู้อำนวยการมูลนิธิสวัสดีที่กรุงเทพฯ เป็นอดีตกรรมการ TV สทท. และล่าสุดเป็นผู้จัดรายการสั้นๆแนะนำหนังสือดีดีใน สทท. (ช่วงเวลาประมาณ 5 ทุ่ม)จากรูปจะเห็นว่าเชิญวิศิษฐ์ วังวิญญูเจ้ายุทธจักร voice dialogue เป็นที่ปรึกษาร่วมกับ สถาพร ศรีสัจจังจาก มอ. เพื่อนรักผมอีกเช่นกันตั้งแต่ มช.สมัย 14 ตุลา เจ้าของโศลกดำตัวจริงที่โด่งดังในสมัยนั้น


ปัจจุบันที่บำรุง บุญปัญญา หรือพี่เปี๊ยกก็เป็นนักพัฒนาอิสระ ที่ยังแรงไม่หยุดกำลังตกผลึกความคิดจะออกหนังสือเล่มใหม่ออกมา และให้ความสนใจเรื่องของวัฒนธรรมชุมชนเป็นที่ยิ่งนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้าน Social Spiritual พี่เปี๊ยกประจำที่บ้านบรรพชน กลางเมืองขอนแก่น


ให้น้ำมด..

194 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 20 เมษายน 2009 เวลา 20:41 ในหมวดหมู่ ทุนสังคม #
อ่าน: 2381

เพื่อนบ้านคนหนึ่ง เป็นคริสเตียน เป็นคนพื้นเพจากสกลนคร บ้านเดียวกันกับ ดร.เสรี พงศ์พิศ และเติบโตมาจากศาสนาด้วยกัน การดำเนินชีวิต จึงเต็มไปด้วยหลักการทางศาสนา

……

ที่บ้านเพื่อนคนนี้จะทำอะไรที่เล็กๆ ง่ายๆ แต่ยิ่งใหญ่ ที่คนธรรมดาน้อยคนจะทำเช่นนี้

นี่ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ผมเอามาฝากกันครับ

เดาไม่ออกจะบอกให้ นี่คือที่ให้น้ำมดแดง

เพื่อนเอาขวดน้ำพลาสติกมาตัดปาก แล้วเอามาผูกติดกับต้นไม้ที่รั้วบ้าน เอาน้ำมาใส่

แล้วมดก็มากินน้ำจริงๆ….


กระบี่สวยอีกครั้ง..

815 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 18 เมษายน 2009 เวลา 22:00 ในหมวดหมู่ เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 7497

ผมเอาข้อมูลเกี่ยวกับกระบี่มาฝากกันอีก ยังติดใจความสวยงามของธรรมชาติของกระบี่ ข้อมูลนี้ก็ยืนยันความจริงข้อนี้ครับ

_____________

จังหวัดกระบี่เปิดงานการแข่งขัน ปีนผานานาชาติ 2009 ” Krabi International Rock Climbing 2009″ นักกีฬานานาชาติ กว่า 100 คน จาก 11 ประเทศลงแข่งขัน


วันที่ 17-19 เมษายน 2552 ที่อ่าวต้นไทร ต.อ่าวนาง อ.เมือง จ.กระบี่ นายศิวะ ศิริเสาวลักษณ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ เป็นประธานการเปิดงานการแข่งขัน ปีนผานานาชาติ 2009 หรือ Krabi International Rock Climbing & Thailand Bouldering Asia Cup Fire Contest 2009″ ซึ่งจังหวัดกระบี่ร่วมกับอบจ.กระบี่ สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ ททท.สำนักงานกระบี่ และชมรมปีนหน้าผาไร่เลย์ ได้ร่วมกันจัดขึ้น

นายชัยวุฒิ พุฒทอง นายกสมาคมปีนหน้าผ้าแห่งประเทศไทย รายงานว่ามีนักปีนผา นักควงไฟทั้งชาวไทยและนานาชาติ จาก 11 ประเทศ ที่ร่วมลงแข่งขัน กว่า 100 คน เช่น อเมริกา ออสเตรเลีย ไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไทเป สวีเดน สิงคโปร์ มาเลเซีย เข้าร่วม


งานนี้จัดขึ้นที่อ่าวต้นไทร (ซึ่งเป็นอ่าวที่เฮ 8 ไปจัดที่นั่นด้วย) หาดอ่าวไร่เลย์ และ เกาะปอดะ ต.อ่าวนาง เพื่อส่งเสริมให้กิจกรรมการแข่งขันปีนหน้าผาเป็นหนึ่งในกิจกรรมทางการท่อง เที่ยวประจำปีของจังหวัดกระบี่ และเป็นการนำเสนอภาพลักษณ์จังหวัดกระบี่ เป็น Rock Climbing Destination ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในหมู่นักปีนหน้าผาว่าหากนึกถึงการปีนผาต้องไปปีนที่ จังหวัดกระบี่ เนื่องจากมีหน้าผาที่สวยงามติดอันดับโลก มีธรรมชาติที่สวยงามและมีสิ่งอำนวยความสะดวกทางการท่องเที่ยวครบครัน มีเส้นทางปีนผากว่า 600 เส้นทาง นักปีนผาสามารถเลือกปีนได้ตามระดับความยากง่าย และความท้าทายที่ต้องการ






ลักษณะเด่น คือเมื่อปีนขึ้นไปบนยอดเขาสามารถมองเห็นทัศนียภาพที่สวยงามของจังหวัดกระบี่ เช่นภูเขาหินรูปร่างแปลกตาคล้ายรองเท้าบู๊ท เรือสำเภา หัวนก รวมทั้งมองเห็นเกาะต่างๆเช่นเกาะปอดะ เกาะทับ เกาะไก่ ฯลฯ

(ข้อมูลนี้เอามาจาก: http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000043222)


คู่มือว่าด้วยความคิดเห็น

538 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 18 เมษายน 2009 เวลา 14:53 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 6949

ขออภัยครับ เดี๋ยวเอาใหม่ เพราะเอาขึ้นแล้วข้อความมันตีมั่วกันเลยครับ ขอปรับต้นฉบับนิดหนึ่ง

ใจเย็นๆนะเฮียตึ๋ง….


เขียนถึงคุณหมอจอมป่วน

261 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 18 เมษายน 2009 เวลา 1:25 ในหมวดหมู่ เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 17911

คุณหมอจอมป่วน

นายแพทย์สำเริง แหยงกะโทก มักเรียกกันว่าหมอแหยง (ไม่ใช่หมอเหวงนะครับ) ท่านเคยเติบโตในกระทรวงสาธารณะสุขแต่แล้วขอกลับบ้านเกิดที่โคราช ทราบว่าปัจจุบันเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา เรารู้จักตั้งแต่สมัยที่ท่านเป็นกำลังสำคัญของโครงการ “โคราชพัฒนา” เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว อันเป็นจุดเริ่มต้นของ ระบบ จปฐ. และอื่นๆตามมา

วันหนึ่งนานมาแล้วทราบว่า หมอแหยงอุ้มลูกไปหาหมอ เพราะลูกไม่สบาย….??? ผมเป็นงง ก็แหยงเป็นหมอแล้วอุ้มลูกไปหาหมอหมายความว่าไง….

ต่อมาก็เข้าใจดีว่า หมอแหยงก้าวเข้ามาทำงานด้านการพัฒนา การบริหารงาน มากมาย ได้สร้างความถนัดใหม่ของตนเองทางด้านการพัฒนาสังคมแล้ว….

คุณหมอจอมป่วนก็น่าอยู่ในลักษณะเดียวกัน……

จากประวัติคุณหมอเป็นคนเรียนเก่ง ตั้งใจเรียนอะไรก็ได้หมด

เป็นพวก Advantage …จอมป่วนเป็นคนลุย ตั้งใจทำอะไรแล้วลุยเลย เช่น อยากรู้จักพ่อครูบาฯ ก็ชวนแม่นุขับรถมาสตึกเลย อยากรู้เรื่อง จิตวิวัฒน์ ก็ขับรถลุยไปถึงเชียงรายทันที เพื่อพูดคุยกับวิศิษฐ์ วังวิญญู และไปมากกว่า 1 ครั้ง ผมสงสัยว่าตอนจีบแม่นุนั้น คงจะลุยเหมือนกระทิงเปลี่ยว อิอิ.. ท่านที่มีบุคลิกแบบนี้มักเป็นคนมีแรงขับภายในสูง มีสมาธิสูงในการเรียนรู้อะไรต่อมิอะไร เป็นคนที่มีความตั้งใจสูง จะไม่รีรอหากต้องการทำอะไรที่ค้างคาใจแล้วจะต้องลุยให้เห็นดำเห็นแดงไปเลย ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ดี

ชื่นชมความตั้งใจและความพยายามของคุณหมอ เป็นนักบริหารที่เน้นความสามารถในการปฏิบัติควบคู่ไปด้วย ที่แตกต่างจากนักบริหารอื่นๆที่มักมีแต่พูด พูด พูด..แต่คุณหมอจอมป่วน พูดแล้วทำ เป็นคุณสมบัติที่หายากสำหรับคนที่มีฐานะ ตำแหน่งหน้าที่การงานสูงแบบนั้น การพยายามเรียนรู้สิ่งที่จะนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่หน้าที่การงาน การพัฒนาคน พัฒนาสังคม คุณหมอจะทำ และไม่ได้ทำเพียงตัวคนเดียว คุณหมอสร้างทีมงานให้แกร่ง ด้วยความสามารถด้วย เป็นแบบอย่างที่ดียิ่ง ต่อผู้ร่วมงานและผู้สนใจอื่นๆ

คุณสมบัติพิเศษอีกประการของคุณหมอจอมป่วนคือ การเป็นผู้ที่มีสุนทรีย์อารมณ์ ดูแค่ชื่อ “จอมป่วน” ก็บ่งบอกแล้วว่าท่านเป็นคนรื่นเริง สร้างบรรยากาศระหว่างกันให้เปิด เป็นเชิงบวก และมีทัศนะแบบ Lateral thinking การเปิดบรรยากาศระหว่างกัน หากกระทำได้แล้ว อะไรอะไรก็ตามมามากมาย กล่าวกันตรงๆก็คือ การสร้างความสนิทสนม เป็นกันเองนั้น คู่สนทนาก็ยินดีแลกเปลี่ยน ตอบสนอง ร่วมมือ ในสิ่งต่างๆได้อย่างเต็มใจ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่หายากเช่นกัน

เป็นคนชอบ กีฬา หลายประเภท จนทำให้น้ำหนักลดลงนับสิบกิโลกรัม นี่เป็นอีกตัวอย่างของการเป็นนักปฏิบัติควบคู่ไปกับเป็นนักบริหารองค์กรที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาบ้านเมือง ในทัศนะผมคิดว่าการเป็นนักกีฬาทำให้จอมป่วนมีสุขภาพกายและสุขภาพใจดีเยี่ยม มีเพื่อนมากมายทุกวัยทุกเพศ ทุกอาชีพ นับเป็นแบบอย่างของคนทั่วไปในการครองกายในวิถีสมัยปัจจุบัน

ผมประทับใจจอมป่วนที่มีครอบครัวที่น่ารักมาก ยิ่งประทับใจที่ทราบว่าจอบป่วนสนใจธรรมะและปฏิบัติธรรม ซึ่งคนที่เป็นนักบริหาร นักปฏิบัติ นักกีฬา และหลายๆนักนั้นให้เวลากับชีวิตทางด้านธรรมะด้วย แสดงว่าเส้นทางเดินของคุณหมอพบอะไรที่สะกิดใจในเรื่องนี้เข้า ซึ่งเป็นเรื่องที่ประเสริฐโดยแท้ที่บุคลากรที่มีคุณค่าเช่นจอบป่วนจะทำงานสารพัดให้ประโยชน์แก่สังคมโดยไม่ได้ทิ้งหลักสำคัญของแก่นกลางของการอยู่ร่วมกันของสังคม และการดำรงชีวิตของมนุษย์นั่นคือธรรมะ..


ภาพน้อง..โบ

185 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 16 เมษายน 2009 เวลา 16:01 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 4151

รูปที่ 1 :

ภาพบอกเรื่อง: เป็นภาพที่น่ารักภาพหนึ่ง ที่จับภาพการพักผ่อนมาเสนอ ถือว่าเป็นภาพธรรมดาทั่วไปที่เราพบเห็นกันได้ในทุกที่ทุกแห่ง

ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับภาพ: จุดเด่นของภาพนี้คือการจับมุมลึกของภาพที่บอกเรื่องราวได้ดี และตัวเป้าหมายก็หันหน้ามาทางนี้พอดีทำให้เกิดความชัดเจน เก้าอี้สีขาวทำให้ตัวเป้าหมายเด่นขึ้นมาด้วย

ข้อแนะนำ: ส่วนตัวคิดว่ามุมลึก (Perspective) ทำได้ดี แต่ส่วนตัวคิดว่าหากจัดมุมเอียงของเก้าอี้นอนให้เอียงมากสักหน่อยก็จะสวยกว่านี้ครับ และหากขยับผู้ถ่ายให้ถอยหลังอีกสักหน่อยภาพน่าจะสวยกว่านี้ โดยรวมผู้ถ่ายมีมุมมองภาพในเฟรมดีแล้วครับ

รูปที่ 2 :

ภาพบอกเรื่อง: ตัวเป้า(น้องจิ)หมายพยายามทำปากเลียนแบบปลาหน้าวัวตัวที่ถืออยู่นั้น

ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับภาพ: ภาพนี้ไม่ใช่ภาพธรรมดา เป็นการสร้างสรรค์ หรือผู้ถ่ายจับจังหวะ หรือสร้างภาพขึ้นมาให้น่าดูน่าชม

ข้อแนะนำ: คนที่เดินทางไปด้วยจะเข้าใจเรื่องราวของภาพนี้ว่าน้องจิพยายามทำปากเลียนแบบปากของปลาหน้าวัวตัวนั้น แต่หากคนทั่วไปดูภาพนี้ก็งงๆว่ามันคืออะไร เพราะภาพไม่เห็นปลาหน้าวัวอย่างชัดเจน จึงไม่เข้าใจว่าน้องจิทำปากจู๋ทำไม ข้อแนะนำคือ การถ่ายจะต้องให้ภาพนี้อธิบายสาระให้ได้ โดยการทำให้ปลานั้นชัดเจน ยิ่งเห็นปากปลาจู๋ๆ และเห็นน้องจิทำปากจู๋ๆ ก็จะเป็นภาพที่คนทั่วไปเข้าใจได้ และเป็นภาพที่น่าปรบมือในการสร้างสรรค์ และหากจะให้ภาพนี้มี back ground เป็นรูปกระชังปลาจางๆ ก็ยิ่งเป็นภาพที่บอกเรื่องราวได้ดียิ่ง แต่ไม่ง่ายนักในเวลาที่จำกัด สถานที่จำกัดจะสร้างภาพตามที่เสนอแนะได้

รูปที่ 3 :

ภาพบอกเรื่อง: สวยมากจริงๆ ผู้ถ่ายมีจินตนาการดีครับ เห็นป่าไม้ เห็นลำธารใสสวย เห็นคนกำลังถ่ายรูป เห็นพื้นลำธาร…ใครเห็นภาพนี้ต้องถามทันทีว่า ภาพนี้คือที่ไหน….

ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับภาพ: ภาพนี้ใครถ่ายก็สวย ยิ่งเป็นมุมนี้
เห็นเรื่องราวของป่า เห็นเรื่องราวของน้ำในลำธาร มีคำถามมากมายตามมา เช่น เป็นป่าอะไร ทำไมระบบรากเป็นเช่นนี้ ทำไมน้ำใสปี๊งเช่นนั้น มาจากไหน จะไหลลงที่ไหน น้ำใสแบบนี้ดื่มได้ไหม

ข้อแนะนำ: เกือบจะไม่มีคำแนะนำ เพราะภาพเป็นมุมลึกสวย แต่อาจจะวางมุมลึกไว้กลางภาพมากไปหน่อย แต่ก็ไม่ทำให้หมดความสวย
หากตามหลักคิดส่วนตัวต้องตั้งคำถามว่าจะเอาคนถ่ายรูปนั่นเป็นหลักหรือจะเอาลำธารสวยเป็นหลัก หากเอาลำธารสวยเป็นหลักก็โอเค แต่หากเอาคนถ่ายรูปเป็นหลักก็ควรขยับคนถ่ายรูปให้ออกมาอีกสักหน่อย คือขยับไปทางขวามืออีกหน่อย แต่โดยรวมเป็นรูปที่สวยมากรูปหนึ่ง

รูปที่ 4:

ภาพบอกเรื่อง: เพื่อนต่างรุ่น เป็นภาพบอกถึงการเล่นสนุกสนานกันระหว่างเพื่อนต่างรุ่น

ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับภาพ: บ่งบอกถึงความสนิทสนมของเด็กกลุ่มนี้ แม้ต่างวัยแต่ก็ดูใกล้ชิดกันมากแต่ก็เป็นภาพธรรมดาๆ ที่ดูแล้วสบายใจภาพหนึ่ง

ข้อแนะนำ: ภาพนี้จะให้ดูดีมากขึ้นหากจะต้องไม่มีใบหน้าคนทางขวามือ และควรถ่ายห่างออกมาอีกสักหน่อย แต่เรื่องราวของภาพก็น่ารักครับ


ชื่นชมรูปของน้องฝ้ายและน้องไผ่..

1014 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 13 เมษายน 2009 เวลา 22:30 ในหมวดหมู่ เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 19527

แสดงความคิดเห็นรูปน้องฝ้ายและของน้องไผ่่ ตามที่น้องหมอตาเสนอครับ

ต้องกล่าวชมว่ารูปสวยทั้งหมดเลย เก่งมาก นี่ขนาดเด็กนะ หากเรียนรู้มากขึ้นอนาคตเป็นมืออาชีพเลยหละ น้องไผ่

ต่อไปนี้เป็นความคิดเห็น: รูปที่ 1ของน้องฝ้าย “รูปฟ้าหลังฝน”นี้ ขออนุญาตให้พ่อสิงห์ป่าสักอธิบายต่อให้น้องไผ่ด้วยนะ

  • ชอบองค์ประกอบรูป เส้นนำสวยตาข้างล่างที่มีเก้าอี้ และชายหาดทรายที่เป็นเส้นนำสายตาได้ดี จังหวะพอดี ที่เด่นคือเส้นนำสายตานี้นำไปสู่เส้นขอบฟ้าสัมผัสน้ำ สวยมาก
  • จากเส้นนำสายตามันเข้าพอดีกับความเข้มของสี จากเข้ม ไปสู่จางลง และจางลงไปเมื่อเป็นเส้นขอบฟ้า

รูปที่ 2 กระบี่ยามเย็น  ของน้องฝ้าย

  • เป็นรูปธรรมดาทั่วไปที่คนถ่ายรูปใหม่ๆมักถ่ายแบบนี้
    ซึ่งเป็นรูปพื้นฐาน
  • ชอบแสงน้ำที่ตัดกับตึกเป็นแถวนั้น ซึ่งเป็นลักษณะที่ทำให้ตึกเด่นขึ้นมา
  • เจ้ารูปที่ขอบล่างซ้ายมาขัดจังหวะๆไปหน่อย แสดงว่าเอารูปสดๆไม่ได้ crop รูปเลย หากเอาออกไปจะดีกว่า
  • หรือหากจะเอารูปล่างซ้ายมือเข้ามาในรูปด้วยก็ต้องรอจังหวะให้เข้ามาในรูปเต็มๆด้วย
  • ได้อารมณ์ดีครับ

รูปที่ 3 มองลอด  ของน้องฝ้าย

  • ส่วนตัวชอบรูปนี้มาก เป็นภาพธรรมชาติที่ให้ความรู้สึกชัดเจนว่าถ้ำนี้มีความหนักแน่นใหญ่โต ให้ความรู้สึกมั่นคง
  • เส้นน้ำกับกลุ่มต้นไม้จากถ้ำทางซ้ายมือวิ่งไปทางขวามือ อยู่ในสัดส่วนที่ชอบ
  • หากจะให้ดีขึ้น น่าจะตั้งกล้องไปทางซ้ายมืออีกหน่อยและให้ภาพขวามือกว้างมากขึ้น ก็จะลดความหนักของถ้ำลงมาบ้างครับ แต่ก็ขึ้นกับวัตถุประสงค์ของการถ่ายรูปนี้

รูปที่ 4 ภูอาบแสง  ของน้องฝ้าย

  • รูปนี้ก็สวยถูกใจ เด่นก็คือ ภูเขาที่อาบแสง
  • เส้นพื้นหญ้าเขียวสวยสะอาดตารองรับแท่งภูเขา
  • สัดส่วนท้องฟ้ากับสัดส่วนไม่ใช่ท้องฟ้าก็สมส่วนใช้ได้
  • เส้นสายภูเขาวิ่งจากส่วนบนลงต่ำไปสู่สนามหญ้าด้านล่าง

รูปที่ 5 ดอกบัว  ของน้องไผ่

  • ความตั้งใจดี การสร้างแนวคิดดีมาก
  • แนะนำว่า รูปดอกบัวอยู่ตรงกลางรูปมากไป ควรพิจารณาเอาไว้ซ้ายมือ หรือขวามือสักหน่อย
  • แนะนำว่าควรรอให้แมลงหรือมดคลานออกมาให้เต็มตัวหน่อยจะสวย
  • แนะนำว่าภาพแบบนี้ต้องเอาดอกบัวให้คมชัดที่สุด
  • เส้นสายของใบบัวด้านหลังสวยมาก แม้จะเบลอๆก็สวยเพราะเราต้องการให้ดอกบัวเด่น

รูปที่ 6 ปลาลูกโป่ง ของน้องไผ่

  • เป็นรูปธรรมดาที่สวยใช้ได้
  • แต่หากจะสร้างให้เรื่องครบถ้วน background ควรจะให้เห็นบางส่วนของกระชังปลาจะสวยมากครับ
  • ความคมชัดของตัวปลาใช้ได้

รูปที่ 7 ต้นไม้บาทา ของน้องไผ่

  • เป็นรูปที่แปลกตาดี
  • แต่หากจะถ่ายให้เห็นโคนต้นไม่นี้ก็น่าจะดี หรือให้เห็นดินก็จะดี
  • เป็นรูปแปลกที่หายากครับ

ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงความคิดเห็นเล็กๆน้อยๆครับ


ไฟที่ขอนแก่น..

133 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 13 เมษายน 2009 เวลา 20:42 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2855

วันนี้ (13เม.ย.) เมื่อเวลา 10.20 น. กลุ่มคนเสื้อแดงจังหวัดขอนแก่น นำกำลังคนเสื้อแดงจากที่ชุมนุมศาลากลางจังหวัดขอนแก่น ประมาณ 100 คนเศษ มาชุมนุมบริเวณประตูเมืองขอนแก่น บริเวณริมถนนศรีจันทร์ พร้อมกับปิดการจราจรทั้งขาเข้าและขาออกเมืองขอนแก่น บนถนนศรีจันทร์ โดยแกนนำคนเสื้อแดงระบุว่า ไม่พอใจท่าทีของรัฐบาล ที่ใช้กำลังทหารสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงที่แยกสามเหลี่ยมดินแดง กรุงเทพฯ จึงออกมาเคลื่อนไหวแสดงพลังในพื้นที่


การปิดถนนศรีจันทร์ดังกล่าว ทำให้รถยนต์ไม่สามารถสัญจรเข้าเมือง และออกเมืองได้ ทำให้การจราจรติดขัดยาวเหยียดบริเวณถนนศรีจันทร์ และถนนมิตรภาพ ที่สำคัญการปิดถนนบริเวณประตูเมือง ทำให้ประชาชนจากอำเภอต่างๆและจังหวัดใกล้เคียง ที่ต้องการมาร่วมงานพิธีเปิดงานสงกรานต์เทศกาลถนนข้าวเหนียว ซึ่งอยู่ใกล้กับประตูเมืองและกำหนดเปิดในช่วงสายวันนี้ ไม่สามารถใช้เส้นทางถนนศรีจันทร์เข้าร่วมงานได้

จากนั้นเวลาประมาณ 10.40 น. คนเสื้อแดง ได้นำยางรถยนต์ที่เตรียมมา จุดไฟเผาบริเวณเกาะกลางถนน เกิดควันไฟสีดำพวยพุ่ง สร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชนชาวจังหวัดขอนแก่น โดยแกนคนเสื้อแดงอ้างว่า การเผายางรถยนต์เพื่อฌาปนกิจคณะรัฐมนตรีรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาดูแลความปลอดภัยประมาณ 50 นาย ไม่มีการห้ามปราม ทำได้เพียงแค่ยืนดูกลุ่มคนเสื้อแดงเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม การเผายางรถยนต์ได้เกิดควันไฟจำนวนมาก ทั้งทิศทางลมพัดมายังกลุ่มคนเสื้อแดงที่ชุมนุมอยู่ตรงนั้น ไม่สามารถทนควันไฟได้ กลุ่มคนเสื้อแดงจึงยอมสลายการชุมนุมบริเวณประตูเมืองขอนแก่นเมื่อเวลาประมาณ 11.00 น. ได้แยกย้ายกันกลับไปชุมนุมบริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดขอนแก่น ทำให้การจราจรกลับมาใช้ได้ตามปกติ

ทั้งนี้มีรายงานข่าวว่า กลุ่มเสื้อแดงขอนแก่นมีการแบ่งขั้วเป็น 2 ฝ่าย แต่ละฝ่ายพยายามแสดงผลงานให้แกนนำคนเสื้อแดงที่บริเวณทำเนียบรัฐบาล เพื่อหวังผลต่อเม็ดเงินค่าหัวคิวในการสร้างความปั่นป่วนให้กับบ้านเมือง การเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงขอนแก่นแต่ละกรณีจึงมีกลุ่มคนเข้าร่วมไม่มาก นัก (ข้อมูลจากผู้จัดการ)

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000041689

ข้อเท็จจริงกลุ่มคนพลังเหลือเฟือนี้มีจำนวนและแสดงบทบาทอะไรไม่ได้มากนัก ทำอะไรก็แปลบๆ แล้วก็รีบไป ทั้งนี้เพราะ คนขอนแก่น ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าว และเป็นฐานของพันธมิตรอีสาน

วันทั้งวันมีแต่คนเล่นน้ำที่ซอยข้าวเหนียว หน้าโรงแรมพูลแมน (โซฟิเทลเดิม) ขณะรายงานนี้ยังไม่เลิกเล่นน้ำกันเลยครับ


เพื่อน..

122 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 13 เมษายน 2009 เวลา 0:01 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2238

 

ดูทีวีแล้วเครียด แต่ก็หลบหลีกไม่ได้

อุตสาห์ไปทำงานบ้าน ทำโน่นทำนี่ หูมันก็ได้ยินวิทยุบ้าง เสียงข่าวในทีวีที่คนข้างกายเขาเปิดดูบ้าง

แล้วก็ได้ยินว่า ที่เชียงรายที่หลายๆคนอยู่อาศัยที่นี่ อาเหลียง มิติ น้องเบิร์ด ทีมวงน้ำชา ฯลฯ คนมีพลังเยอะไปปิดถนนเข้าจังหวัด ต่อมาผู้ว่าราชการจังหวัดมาเจรจาให้เปิด แล้วไปยึดที่อื่นต่อ ผู้ว่าฯ คนนั้นชื่อสุเมธ แสงนิ่มนวล

อ้าวนี่เพื่อนเรานี่ สมัยเรียนหนังสือที่ มช. เราเช่าบ้านด้วยกัน เป็นนักกิจกรรมด้วยกัน ท่านผู้ว่าฯท่านนี้เป็นนักเขียนและนักพูดตัวยง สมัยเป็นนายอำเภอที่ปากคาด หนองคาย ผมเคยเอาถุงยังชีพไปให้ท่านแจกชาวบ้านผู้ยากจน ตอนนี้เป็นเจ้าเมืองเชียงรายแล้ว..

 

ขอสนับสนุนท่านผู้ว่าฯสุเมธสร้างเมืองเชียงรายให้ก้าวหน้าต่อไปครับ


นางแอ่น..

106 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 12 เมษายน 2009 เวลา 23:45 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3525

มีสิ่งพลอยได้เรียนรู้จากการมาเฮ8 ครั้งนี้ครับ ก็เมื่อวันที่ 3 ที่สิ้นสุดเฮ 8 ผมกับคนข้างกายก็เดินทางไปจังหวัดตรังบ้านเกิด ระหว่างทางก็ถือโอกาสแวะชมสถานที่ท่องเที่ยว เช่นที่ สระมรกต ผมเดินชมเพลินทั่ว แต่โดนฝนกระหน่ำเสียเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำเลย แต่ก็ชื่นชมแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามมาก


เมื่อเดินถึงจังหวัดตรัง ก็เข้าที่พักเป็นร้านค้า ซึ่งเป็นอาชีพของพี่สาวใหญ่ที่นั่น โดยลูกชายพี่สาวใหญ่ที่เราเรียกกันว่า “โกโก๊ะซี” เป็นผู้ดูแล กำลังครึ่งนั่งครึ่งนอนดูจออทีวีอยู่ ผมดูแล้วไม่เห็นมีเรื่องอะไรเลยมีแต่อะไรก้ไม่รู้

ผมถามว่านอนดูอะไร โกซีบอกว่า ดูนกนางแอ่น ผมยิ่งงงว่าดูทำไม ดูจากไหน ทำไมต้องดู…ฯ โกซีเห็นงงจึงอธิบายว่า ตอนนี้ตัดสินใจสร้างบ้านนกนางอแอ่นขึ้นที่ชั้นที่ 5 ของร้านนี้ เพราะร้านติดกันนี้เขาทำมาก่อนและมีนกนางแอ่นมาพักจริงๆ เราจึงคอยดูว่าจะมีนกนางแอ่นมาห้องของเราบ้างไหมเพราะติดกัน

พบว่ามีนกนางแอ่นเข้ามาจริง จึงตัดสินใจลงทุนสร้างบ้านนกนางแอ่นขึ้นที่ชั้น 5 หมดไปหลายตังค์ จอที่เห็นนี่คือเราติดตั้งกล้องอินฟาเรดไว้ข้างในห้องเพื่อดูว่ามีนกเข้าออกมากมายแค่ไหน….

ผมก็ร้องอ๋อ….. โกซี สร้างบ้านนกนางแอ่นขึ้นมา และติดตามการเข้ามาอาศัยของนางแอ่น

ผมไม่รู้เรื่องนกนางแอ่น ไม่เคยกินรังนกนางแอ่น และไม่รู้เรื่องรังนกมากไปกว่าเห็นข่าวจากทีวีก็แบบฉาบฉวย ผมเลยถามเรื่องนี้จากโกซี ก็ได้ความว่า รังนกนางแอ่นที่สะอาดและอยู่ตามถ้ำชายทะเลนั้นราคาสูงสุดกิโลกรัมละเป็นแสนกว่าบาท ราคาถูกก็เป็นหมื่นกว่าบาท นี่เองที่เป็นแรงกระตุ้นให้คนใต้หลายจังหวัดหันมาสร้างบ้านให้นกนางแอ่นอาศัย และเก็บรังขาย… รวมทั้ง “โกซี” ของผมด้วย

ผมลองค้นคว้าจาก web ดี ก็พบว่าที่ปากพนัง สุราษฏธานีมีอาชีพนี้อย่างคึกคักที่สุด ดูประกาศการขายตึกนี้ซิครับ ผมเอามาจาก web นี้

http://abirdnest.igetweb.com/index.php?mo=3&art=128049

ลักษณะบ้านนก อาคารพาณิชย์   4 ชั้น  หน้ากว้าง 8 เมตร  ลึก  16 เมตร อายุการเป็นบ้านนก 5 ปี 6 เดือน พื้นที่เก็บเกี่ยว 4 ชั้น เนื้อที่ประมาณ 520 ตรม. วัสดุสำหรับนกทำรัง ไม้ชะมวง หน้ากว้าง 8 นิ้ว ระยะการตีไม้ ระยะห่างการตีไม้ 50 ซม. ปริมาณนก ประมาณ 1,000 ตัว จำนวนรัง ประมาณ 300 รัง จุดเด่น 1.ใกล้ชุมชนรังนก 2.ในเขตเทศบาลเมืองปากพนัง พร้อมที่ดินเกือบ 2 ไร่ สร้างตึกนกเพิ่มได้อีกหลายหลัง   3.เก็บรังนกได้แล้ว เดือนละ 1 กก. และจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ราคาขาย 15 ล้านบาท…..

 

นี่คืออาชีพหนึ่งของคนใต้บางพื้นที่ครับ


 


เฮ 8 พูดเอง..เออเอง อีกหน่อย

116 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 12 เมษายน 2009 เวลา 0:56 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3168

ภาพที่ 10

เรารุ่นพ่อรุ่นแม่ของเด็กเหล่านี้ เห็นแล้วก็ชื่นใจ ที่เขาสนิทสนมกัน หยอกล้อ เล่นด้วยกัน มีชีวิตชีวา และเรารู้ เราเห็นว่าเฮฮาศาสตร์ได้สร้าง Multifunction ขึ้นมาโดยเราไม่ได้ตั้งวัตถุประสงค์ไว้ มันเกิดขึ้นเอง และทวีความเข้มข้นมากขึ้นทุกครั้งที่จัดเฮฮาศาสตร์.. แรงเกาะมิใช่เกิดขึ้นกับเด็กเท่านั้น สายใยไร้รูปรอยได้เกาะเกี่ยวผู้ใหญ่เข้ามาด้วยกันอีกด้วย คุณค่ามันมากกว่าปัจจัยรูปธรรมที่เราลงทุนไป

ทำอย่างไรให้กิจกรรมทางสังคมเชิงบวกเช่นนี้ได้โอบอุ้มจิตใจมนุษย์ ให้พึงทำดีต่อกัน ก่อรูป แล้วสะสมเป็นทุนมหึมาให้แก่สังคม แล้วสันติสุขก็บังเกิด… แต่มันไม่ได้มาเพียงกระพริบตา …..

 



Main: 0.15419101715088 sec
Sidebar: 0.062356948852539 sec