วิภา กูเป็นกู
อ่าน: 6604ผมไม่ใช่หมอ
ผมไม่ใช่นักจิตวิทยา
ผมไม่ใช่นักพฤติกรรมศาสตร์
แต่ผมอยากแสดงความคิดเห็นต่อบันทึก “กูเป็นกู” ที่นี่ http://lanpanya.com/jogger/?p=371
รู้สึกดีมากที่กระบวนการได้สร้างความสั่นสะเทือนในจิตใจแก่นักศึกษาแพทย์ผู้มีอนาคตเหล่านั้น
แต่จากการสะท้อน reaction ออกมาระหว่างกระบวนการนั้น นับว่าเป็นเลิศแล้วในความคิดผมเพราะ
- ไม่ใช่ง่ายเลยที่จะสร้างเครื่องมืออะไรสักอย่างที่จะกระแทกให้คนเรา ได้เกิดแรงบีบในห้วงคำนึงจนต้องปลดปล่อยออกมาด้วยน้ำตาและคำพูดที่ยากจะออก มาในภาวะปกติ
- ปรากฏการณ์นี้ผมมีความเชื่อส่วนตัวว่าดี และมีส่วนสำคัญให้เธอผู้นั้น เกิดคลื่นสะเทือนทางความสำนึก รู้สึก ความคิดต่อเนื่องต่อไปอีก เป็น อาฟเตอร์ช๊อค
- กระบวนแต่ก่อนทำนองนี้ที่เป็นประสบการณ์ผมนั้น ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวผู้นั้นครั้งยิ่งใหญ่ หากผลสะเทือนนั้นๆไปสร้างภูมิสำนึกขั้นสูง จนเขาเหล่านั้นกล่าวว่า “นี่คือการเกิดใหม่” ทีเดียว ซึ่งแล้วแต่คน แล้วแต่สถานการณ์ แล้วแต่เงื่อนไข แล้วแต่กระบวนการ แล้วแต่สิ่งแวดล้อม แล้วแต่สาระตอนนั้น แล้วแต่ภูมิหลัง
- ในงานพัฒนาชนบท ผมก็ใช้สิ่งนี้เหมือนกันในการสร้างสำนึกชาวบ้านให้หันกลับมามองตัวเอง สังคมดั้งเดิม วัฒนธรรมชุมชน ผ่านพิธีกรรม และการกระตุกสำนึกขั้นสูง…จนหลายคนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมใหม่ เป็นคนใหม่ …..(แล้วผมจะหนีจากเขาไปไหนได้อย่างไร ก็วนเวียนอยู่ตรงนี้แหละ)
- มีสิ่งหนึ่งที่กระบวนการนี้ขาดไป ในความคิดผมคือ …ไม่มีกระบวนการต่อเนื่อง หลังการเกิดแรงกระทบทางจิตใจอย่างแรงจนน้ำหูน้ำตาหลั่งไหลออกมาพร้อมคำกล่าวต่างๆนั้น ที่ปกติจะไม่ได้ยินคำกล่าวเ้หล่านั้น แต่การทำงานพัฒนาชนบทเรามีกระบวนการต่อเนื่อง คือการเยี่ยมเยือน ไปมาหาสู่ ทำกิจกรรมต่อเนื่อง อย่างน้อยที่สุดการสนับสนุนให้เขาจับกลุ่มกันขึ้น สร้างเครือข่ายคนรู้ใจกัน ที่เขาจะสร้างกิจกรรมต่อเนื่องร่วมกัน…..
- มันเหมือนกับตอนที่ผมบวชเป็นพระปฏิบัติ 1 พรรษาที่สำนักวิปัสสนาไทรงาม เขตรอยต่อ อ่างทอง สุพรรณบุรี พระอาจารย์ ธรรมธโร ท่านให้เราปวารณาตัวเองไม่พูดระหว่างวัน ปฏิบัติ ปฏิบัติ ปฏิบัติ ตามวิธีของท่าน แล้วตกค่ำก็เข้าประชุมร่วมกันทั้งวัด แล้วพระอาจารย์จะ “เป็นผู้มาสอบธรรม” ซักถามความรู้สึกที่เกิด ซึ่งมีสารพัดจะได้ยินจากพระนักปฏิบัติทั้งหลาย เป็นอุบายการเรียนรู้ที่วิเศษจริงๆ ให้แนวทางปฏิบัติ(หลักการ) แล้วไปปฏิบัติ(ทำ) เกิดอะไรก็มาซักถาม พูดคุยกัน(แลกเปลี่ยนความคิดเห็น, อธิบายความหมายที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติ, หรือ ก็คือ Group Discussion นั่นเอง) โดยมีพระอาจารย์ผู้แก่กล้าทางประสบการณ์เป็นผู้คอยให้คำแนะนำ
- กระบวนการของเราขาดขั้นตอน หลังการเกิดผลสะเทือน แน่หละเพราะเงื่อนไขต่างๆที่เราเข้าใจกัน
- แต่เชื่อว่า ในกลุ่มนักศึกษาแพทย์นั้น หลังที่เธอกลับไปแล้วน่าที่จะมีการจับกลุ่ม เพื่อนสนิท แลกเปลี่ยนกันต่อโดยธรรมชาติ บางคน หรือหลายคนอาจจะเกิดพฤติกรรมใหม่ๆเชิงบวก บางคนอาจจะคิดอะไรในระยะยาวออกไป และหรือเกิดอะไร อะไร เชิงบวกอีกมากมายสุดจะคาดได้….
ประเด็น
- จะมีทางสร้างกระบวนการที่ต่อเนื่องหลังจากที่เธอเหล่านั้นเดินทางกลับไปแล้วบ้างไหม… ระหว่างเขาเหล่านั้นเอง…หน่วยงานหรือสถาบันที่เธอเหล่านั้นสังกัดเข้าใจกระบวนการนี้แล้วเป็นผู้ร่วมสร้างกระบวนการที่ต่อเนื่อง
- หรือ สวนป่ามีกระบวนการรองรับ…??
ทิ้งประเด็นไว้เฉยๆไม่ต้องการคำตอบครับ
______________________________
ผมขอขอบคุณกระบวนกรทุกท่านที่ร่วมกันสร้างผลสะเทือนเหล่านี้
ขอขอบคุณโอกาส ที่ได้สร้างปรากฏการณ์ดีดีแบบนี้
ขอขอบคุณเจ้าของสถานที่ที่เป็นความทรงจำที่สวนป่าจะฝังลึกในห้วงคำนึงของเธอเหล่านั้นไปอีกนานเท่านาน
ขอขอบคุณฝ่ายสนับสนุน ผู้ปิดทองหลังพระทุกท่านที่ทำอาหารคาวหวาน น้ำท่า สารพัดจะประกอบขึ้นมาเพื่อ หนุนเนื่องให้เกิดปรากฏการณ์เชิงบวกเหล่านี้
และขอบคุณเจ้าของบันทึกที่ถ่ายทอดสิ่งนี้ออกมา ความจริงน้องหมอเจ๊ น้องสร้อย น้องอึ่งอ๊อบ และหลายๆท่านที่ไม่ได้กล่าวถึง ก็บันทึกทำนองนี้ออกมาก่อนแล้ว แต่ผมไม่มีโอกาสแสดงความเห็นเต็มๆ เช่นครั้งนี้..
ขอบคุณ “กูเป็นกู”
หมายเหตุ วิภา หมายถึง รัศมี, แสงสว่าง, ความแจ่มแจ้ง, ความสุกใส, ความงดงาม จากพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน หน้า 745