ปายกะสอบ..
กระต๊อบสองหลังนี้ต่อเนื่องกัน อยู่ตรงสามแยกบ้านพังแดง บนถนนเปรมพัฒนากับถนน รพช.(เดิม) สร้างมาสองปีแล้ว เจ้าของคือ คุณ “ทราย” อยู่ที่บ้านเปี๊ยด ใกล้อำเภอดงหลวง ห่างจากบ้านพังแดงประมาณ 10 กม.
หนูเห็นว่าที่บ้านพังแดงมีร้านก๊วยเตี๋ยวร้านเดียวในตัวหมู่บ้าน น่าที่จะตั้งได้อีก จึงปรึกษากับสามีอยากมาทำร้านขายก๊วยเตี๋ยว มีเงินในมือแค่หนึ่งพันห้าร้อยบาท ไปกู้เพื่อนบ้านมาสองหมื่นบาท เสียดอกร้อยละสิบ..มาเปิดที่นี่ บางวันก็ขายดี บางวันก็ไม่ได้ ดูร้านในหมู่บ้านซิปิดไปแล้ว..
สามีเธอเป็นช่างไม้ รับจ้างไปเรื่อยๆ หนูมีลูกสองคน คนโตเรียน ม 2 อยู่กรุงเทพฯ กับน้าสาว หนูต้องส่งเงินเขาเดือนละสองพันบาท เหลือยอดอีกครึ่งหนึ่ง ที่ดินตรงนี้เช่าตา..ตอนแรกเขาคิดปีละสองพันบาท หนูต่อรองเขาได้หนึ่งพันบาทต่อปี
พออยู่ได้ เฉลี่ยแล้วหนูมีรายได้วันละ สองถึงสามร้อยบาท ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นขาจร คนผ่านไปมา ขาประจำก็เป็นเจ้าหน้าที่ อบต.สาวๆ สาม สี่ คนเท่านั้น มีคนมาขอเช่าที่เพิ่มเติมจะเปิดปั้มน้ำมัน แต่ตา..เขาไม่ยอมให้เช่า
ผมยกชามก๊วยเตี๋ยวไปนั่งใกล้ๆ แล้วคุยเรื่องที่ผมสนใจ
ทรายมาอยู่นี่เจอะอะไรดีดีไหม หมายถึงปอบน่ะ..
หนูเข้าใจดี..หนูรู้ว่าต้องทำตัวอย่างไรในหมู่บ้านนี้ เพราะหนูเป็นคนที่อื่นมาอาศัย “หนูก็ทำตัวนอบน้อม ไม่แสดงอาการแข็งกร้าว ใหญ่โตอะไร หนูไม่จำเป็นต้องพกพาวัตถุมงคลป้องกันอะไร แค่ปฏิบัติตัวนอบน้อม ไม่ต่อปากต่อคำอะไรกับใครก็อยู่ได้…
ตอนหนูมาใหม่ๆก็ไปใหว้เจ้าปู่ หัวหมูกับเหล้าและเงินสองร้อยบาท ที่เรียกครอบ
ผมถามเคยพบอะไรพิเศษไหม..ทรายบอกว่า เคย..คืนหนึ่งสามีหนูเมา หนูก็ลุกขึ้นจะไปจ่ายตลาดประมาณตี 4 เอามอเตอร์ไซด์ไปคนเดียว ตรงทางโค้งโน้น หนูพบลูกไฟใหญ่ข้างทาง หนูกลัวมาก เลยไม่ไปจ่ายตลาดเวลาเช้ามืดอีกเลย สว่างแล้วค่อยไป..
อย่างอื่นล่ะ…ผมเซ้าซี้ อยากเก็บข้อมูลไปเรื่อยๆ
อาจารย์..ปีแรกที่หนูมาเปิดร้านน่ะ หนูขายเหล้าด้วย สักพักใหญ่ๆหนูเลิกขายเหล้าเลย เพราะมีคนกินเหล้าแล้วไม่จ่ายเงิน รวมๆสัก ห้า หกพันบาทได้ หนูไม่กล้าทวงเขา กลัวเขาเป็นปอบจะทำใส่หนู…หนูไม่พูด แล้วแต่เขาจะคืนหรือไม่คืน หนูเลยเลิกขายเหล้า ขายแต่ก๊วยเตี๋ยวอย่างเดียว… พออยู่ได้..
สรุป
- เป็นที่รู้กันว่าบ้านพังแดงมีปอบใหญ่ จำนวนหนึ่ง
- คนต่างถิ่น หรือคนในหมู่บ้านก็ตาม ควรมีพฤติกรรมทำตัวไม่แตกต่างไปจากคนอื่นๆ แต่อย่างใด หากทำตัวแตกต่าง ปอบจะแผลงฤทธิ ทำให้เจ็บป่วย ถึงตายได้ มีกรณีตัวอย่างหลายกรณี
- โดยเฉพาะคนต่างถิ่นต้องทำพิธีครอบเข้าหมู่บ้านเมื่อเข้ามาอยู่ มาทำงาน มาทำมาหากิน และครอบออกหมู่บ้าน เมื่อต้องออกไปจากหมู่บ้าน
- หากเกิดกรณีที่เป็นผลประโยชน์ขัด เช่น มีคนในหมู่บ้านไม่ให้เงิน กรณีซื้อของ หรือกรณีใช้น้ำแล้วไม่จ่ายค่าน้ำ ค่าสิ่งของ โดยทั่วไปไม่กล้าที่จะไปทวงถาม ปล่อยให้เกิดสถานการณ์คาราคาซังเช่นนั้น…
- สภาวการณ์นี้ครอบงำหมู่บ้านนี้จนเป็นที่รู้กันโดยทั่วไป
- ทราย ยืนยันว่า บ้านพังแดงนั้นบางครอบครัวเขามีเงินนะ แต่เขาทำตัวเหมือนไม่มี เพราะเกรงกลัว อิทธิพลปอบ
- ใครที่พูดจารุนแรงหรือ เด่นเกินไป จะอันตราย
ประเด็น
- ยอมรับว่าละเลยเรื่องสิ่งเหนือธรรมชาติส่วนนี้ไป โดยไม่ได้นำมาพิจารณาในการดำเนินกิจกรรมต่างๆของพื้นที่ดงหลวงโดยเฉพาะพังแดง
- เพราะเขาไม่พูดหากไม่ถาม และทุกคนพยายามเก็บปากเก็บคำต่อเรื่องนี้ แม้จะถามก็ตาม จึงมีส่วนทำให้เราไม่ได้ใส่ใจเท่าที่ควร เพราะเราไม่คิดว่าจะมีผลต่องาน
- เรายังขาดข้อมูลลึกๆอีก เช่น กรณีทราย คนที่มากินเหล้าแล้วไม่จ่าย ก็ไม่กล้าไปทวงถาม คำถามคือ คนที่ไม่จ่ายเงินค่าเหล้านั้นไม่ใช่คนเดียว แล้วทุกคนเป็นปอบตัวจริงหรือเปล่าที่มีอิทธิฤทธิ์ดังกล่าวมา หรือมีบางคนลักไก่ ไม่ใช่ปอบ แต่อาศัยอิทธิพลปอบหลอกกินเหล้าฟรี
- การที่ชาวบ้านเก็บปากเก็บคำ เป็นเรื่องไม่ง่ายที่จะล้วงลึก เพราะใครต่อใครไม่อยากกล่าวถึง หากจะกล่าวก็ไม่หมด เพียงผิวเผิน เหมือนเกรงกลัวอิทธิพล
- หลายท่านเรียนรู้เรื่อง ปอบ หรือสิ่งเหนือธรรมชาติ คือระบบควบคุมสังคม ในทางทฤษฎี และกรณีตัวอย่างในหลายแห่ง แต่ที่นี่ บ้านพังแดงอาจจะไม่ใช่
อ้อที่ตั้งชื่อ “ปายกะสอบ” จริงๆก็คือ “ปอบ กะ ทราย” อิอิ