นับก้อนกรวด..

5 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มิถุนายน 4, 2010 เวลา 16:44 ในหมวดหมู่ ชนบท, เรื่องของชีวิต #
อ่าน: 2173

คนทำงานพัฒนาชุมชนนั้นต้องเชื่อมั่นว่าชาวบ้านนั้นพัฒนาได้ นี่เป็นหลักพื้นฐานของการพัฒนาคน เงื่อนไขอาจจะอยู่ที่เรามีกระบวนการ วิธีการที่มีประสิทธิภาพแค่ไหน และหรือ คุณสมบัติของชาวบ้านที่มีข้อจำกัดมากกว่าปกติ

ผมเชื่อในหลักการดังกล่าวเพราะตอนทำงานภาคเหนือก็เห็นฝรั่งไปเผยแพร่ศาสนาคริสต์ให้กับชนเผ่าต่างๆบนภูเขา แล้วชนเผ่าเหล่านั้นก็เปลี่ยนจากนับถือผีมานับถือพระเจ้า เราทึ่งกับความสำเร็จนั้น เราก็มั่นใจว่าเราก็น่าที่จะเข้าไปแนะนำชาวบ้านให้พัฒนาขึ้นได้

และผมก็พบความสำเร็จในหลายพื้นที่เมื่อมองย้อนหลังลงไป แต่ที่ดงหลวงนี่ผมถึงกับสะอึกในหลายครั้งหลายกิจกรรม ซึ่งที่ผ่านมาเราก็เห็นความแตกต่างระหว่างชนเผ่าผู้ไทที่กกตูมกับพี่น้องไทโส้ที่ตำบลพังแดง และตำบลดงหลวง โดยเฉพาะที่พังแดงนี่สาหัสจริงๆ

บังเอิญเรามีโครงการสูบน้ำด้วยไฟฟ้าที่นี่ ยิ่งนานวันยิ่งบอกตัวเองว่า นี่คือโจทย์ที่ยากมากๆ

เอื้อง เจ้าหน้าที่ของเราผู้ขยันทำงานและรับผิดชอบงานดีเยี่ยมลุยงานที่บ้านพังแดงมากเป็นพิเศษ ทั้งนี้เอื้องกับผมเคยมีประสบการณ์การทำงานในพื้นที่ชลประทานลำปาวมาก่อนจึงรู้และเข้าใจกระบวนการกลุ่มผู้ใช้น้ำ แต่สมัยนั้นเราทำงานกับพี่น้องไทอีสาน มิใช่ไทโส้..

เอื้องต้องปวดหัวเมื่อเข้าไปทบทวนระบบบัญชีกลุ่มผู้ใช้น้ำทั้งหมด ทั้งกองทุนต่างๆต้องรื้อทำใหม่ ใช้เวลาไปมากมายทีเดียว แต่เธอก็ตั้งใจทำเพื่อเป็นพื้นฐานที่สำคัญแก่กลุ่มในวันข้างหน้า เธอจัดหาเครื่องมือในการทำระบบบัญชีไปให้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่ออบรม แนะนำเสร็จก็ปล่อยให้กรรมการกลุ่มทำต่อ ทิ้งไว้เดือนสองเดือนก็ไปดูที ก็พบว่า ยังทำผิด ลงบัญชีไม่ถูก เขียนตัวเลขผิด ลงช่องบัญชีผิด รวมผิด จนกระทั่ง ไม่ได้ลงบัญชีตัวเลขนั้นตัวเลขนี้

เอื้องพยายามที่จะทบทวน แนะนำใหม่ เอาให้เข้าใจและชี้ให้เห็นความสัมพันธ์และความสำคัญของระบบบัญชีที่จะเอาไปตอบสมาชิกได้ในทุกเรื่อง หลังสุดเราประมวลระบบบัญชีได้ว่ามีเงินกู้ค้างอยู่ 5 คน ด้วยยอดเงินประมาณ สามหมืนกว่าบาท และมีกำไรจากดอกเบี้ยจำนวนหนึ่ง เอื้องเสนอให้จัดระบบกำไรให้ลงตัวซะว่าจะเอาไปทำอะไรบ้าง

ที่ประชุมสรุปว่าจะเอากำไรแบ่งเป็น 4 ส่วนคือ ส่วนที่ 1 จำนวนร้อยละ 10 เอาไปเป็นค่าตอบแทนคณะกรรมการ ส่วนที่ 2 เอาไปเป็นสวัสดิการสมาชิกกลุ่ม ส่วนที่ 3 เป็นสมทบกองทุน และส่วนที่ 4 เอาไปปันผลให้แก่สมาชิกที่กู้จากกลุ่ม

ในการคิดรายละเอียดตรงนี้ ใช้เวลานานมากเพราะผมสังเกตว่าชาวบ้านนั้นไม่เคยมีประสบการณ์ในการพิจารณาเรื่องเหล่านี้ จึงมองไม่ออกว่าจะแบ่งกำไรในแต่ละส่วนนั้นควรเป็นเท่าไหร่จึงจะเหมาะสม ต่างถกเถียงกันและที่นิ่งเฉย ยิ่งไม่มีประสบการณ์ ไม่มีตัวเงินนำมาวางพิจารณาจริงๆก็ยิ่งคิดไม่ออก

เอื้องพยายามยกตัวอย่างมาให้เห็นความจริงว่าหากสมมุติว่าปันร้อยละสิบมาให้เป็นค่าตอบแทนกรรมการนั้น หากกำไรหนึ่งพันบาทก็ได้มา 100 บาท เอาจำนวนนี้มาแบ่งปันกันให้เป็นค่าตอบแทนกรรมการเอาจำนวนกรรมการมาหารแบ่งกัน ดูทุกคนพึงพอใจ

แต่การพิจารณาอีกสามส่วนนั้นตกลงกันไม่ได้ เพราะคิดในใจไม่ออก ผมเลยนึกถึงว่าเราเคยใช้หลักการพื้นฐานในการคิดกับชาวบ้านที่เอาสิ่งของมาเป็นตัวแทนง่ายๆให้เห็นเป็นรูปธรรมเช่นการจัดทำ PRA ว่าแล้วผมก็เดินหาก้อนหินเล็กๆซึ่งมีอยู่ทั่วไปบนผิวดิน ผมหยิบมา 10 ก้อนแล้วก็เอาไปกองให้กลางวงที่ประชุมคณะกรรมการ แล้วบอกว่าสมมุติว่านี่คือ 100 เปอร์เซ็นต์ของกำไรที่เราจะพิจารณากัน หินหนึ่งก้อนเท่ากับ 10 เปอร์เซ็นต์

พ่อกำนันซึ่งเป็นที่ปรึกษาของกลุ่มก็มาร่วมพิจารณาอธิบายและให้คำแนะนำด้วย ดูเหมือนว่าเมื่อเห็นก้อนกรวด 10 ก้อนกลางวงประชุมทุกอย่างก็ง่ายขึ้นทันใด

ที่ประชุมต่างก็จ้องไปที่ก้อนกรวด แล้วกรรมการคนหนึ่งก็หยิบก้อนกรวดออกมา 1 ก้อน บอกว่านี่คือส่วนที่จะตอบแทนคณะกรรมการ ที่เหลืออีก 9 ก้อนกรวด คือ ต้องเอาไปพิจารณาแบ่งให้กับสามเรื่องคือ สมทบกองทุนเงินกู้กลุ่ม แบ่งเป็นสวัสดิการสมาชิกทุกคน และส่วนที่จะเอาไปปันผล

ต่างก็แสดงเหตุผลกันบนกองก้อนหินนั่น ความจริงเราอาจเขียนชื่อกลุ่มเงินที่จะแบ่งลงในกระดาษแล้วเอาไปวางตรงหน้าให้เห็นชัดเพิ่มขึ้นก็ได้ว่า เรากำลังจะพิจารณาแบ่งอีกสามส่วน แต่เห็นว่าทุกคนเข้าใจแล้วและฟังการถกเถียงกันก็รู้ว่าเขากำลังจัดการปันส่วนที่คิดว่าเหมาะสมกันว่าแต่ละส่วนนั้นควรเป็นเท่าไหร่…

ไม่ต้องบอกคำตอบสุดท้ายหรอกครับ เพราะต้องการสะท้อนว่า บางทีการทำงานเรากับชาวบ้านนั้นมาติดสิ่งที่เป็นนามธรรม เพราะเรามักมีแนวคิดที่เป็นนามธรรมเยอะ รูปธรรมน้อย แม้ว่าเราจะเอาสิ่งดีดีมาเล่าให้ชาวบ้านฟังมากมายแต่ไม่เห็น หรือเห็นแต่ไม่ได้สัมผัส ชาวบ้านก็นั่งปากหวอ ไม่โต้ตอบ พยักหน้างึกๆ หลายครั้งเราคิดเลยไปจากสิ่งที่เป็นพื้นฐานง่ายๆเช่นก้อนกรวด

นึกย้อนไป..เหมือนชนเผ่าโบราณเลยนะ อิอิ


แรงกระเพื่อมราชประสงค์ถึงดงหลวง..

4 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มิถุนายน 4, 2010 เวลา 11:50 ในหมวดหมู่ ชนบท, เรื่องของชีวิต #
อ่าน: 2270

ที่กรุงเทพฯ: ไม่คิดว่า 19 พฤษภา 53 จะรุนแรงขนาดนี้


(แหล่งข้อมูลภาพ: จาก FW mail)

ทุกครั้งที่สื่อเสนอภาพออกมาเราอด หดหู่ใจไม่ได้ ทำไมพี่น้องคนไทยต้องมาฆ่าฟันกันอย่างนี้ ต่างไม่เคยรู้จักกัน แค่คิดต่างกันก็มาฆ่าแกงกันได้…

ที่มุกดาหาร: ก่อนปิดโครงการที่รับผิดชอบอยู่มีภารกิจมากมาย หนึ่งในนั้นน้องๆก็ชวนเข้าไปตรวจสอบกิจการของกลุ่มผู้ใช้น้ำก่อนที่จะทบทวนการถ่ายโอนให้กับ อบต. กิจกรรมย่อยเรื่องหนึ่งคือกองทุนเพื่อสนับสนุนการเกษตรในพื้นที่ชลประทานห้วยบางทราย เราเรียกย่อๆว่า กสบ.


มีวัตถุประสงค์ให้สมาชิกกลุ่มที่ขาดเงินลงทุนการเกษตรมากู้ไปได้ตามระเบียบที่กำหนดขึ้น เราสอบถามกรรมการและตรวจสอบระบบบัญชีพบว่า มีสมาชิกค้างจ่ายเงินกู้จำนวน 5 ราย

นายใจ …เป็นอดีตผู้นำของเราคนหนึ่งที่กู้เงินไปจำนวน 5,000 บาท แต่การเกษตรประสบความเสียหาย และมีรายจ่ายจำเป็นอื่นๆเพิ่มขึ้น ทำให้ขาดรายได้และเงินที่สะสมเก็บออมเพื่อส่งคืนกองทุนต้องถูกนำไปใช้ จึงมีปัญหาไม่มีเงินคืน ด้วยสำนึกบางประการนายใจจึงขอลาออกจากกรรมการและไปหาทางคิดอ่านหาเงินมาคืน..

ปรากฏการณ์นี้ส่งผลกระทบ สะเทือนต่อจิตวิทยาของกลุ่ม กล่าวคือ สมาชิกคนอื่นๆไม่ไว้วางใจกลุ่ม กล่าวคือนายใจไม่คืนเงินกู้โดยคนอื่นไม่ทราบข้อเท็จจริง สังคมมักรับรู้แต่ปรากฏการณ์ ไม่ค้นหาความจริงหรือเหตุผล การณ์นี้ทำให้กรรมการปัจจุบันไม่ยอมปล่อยเงินกู้ใหม่ เพราะกลัวว่าผู้กู้จะไม่ส่งคืนโดยอ้างเหมือน 5 คนนั้น สมาชิกที่ทำดีกับกลุ่มมาตลอดก็นินทาวงนอกกลุ่ม เล่าลือกันไปในชุมชน ทำให้กลุ่มมีภาพที่ไม่ดีโดยรวม


คณะกรรมการกลุ่มเองก็ไม่รู้จะจัดการอย่างไร ยิ่งมีแรงกดดันกรรมการก็ยิ่งเครียด เราจึงเสนอขอประชุมร่วมระหว่างกรรมการกับสมาชิกผู้กู้เงินเพื่อศึกษารายละเอียด และปรึกษาหารือแนวทางการแก้ไขต่อไป

ผมทำหน้าที่นำการปรึกษาหารือเพื่อร่วมกันแก้ปัญหา

บางทราย: นายใจครับ กู้เงินจากกองทุนไปเท่าไหร่ครับ เอาไปทำอะไรครับ…ฯ

นายใจ: ผมกู้มา 5,000 บาท เอาไปลงทุนปลูกข้าวและการเกษตรอื่นๆ.. เกิดปัญหาการผลิต จึงไม่มีเงินมาคืน


หลังจากที่เราแลกเปลี่ยนกันพอสมควร …

นายใจ: เดิมนั้นผมมีแผนคืนเงินในเดือนนี้ คือลูกชายผมออกจากทหารก็ไปสมัครเป็นยามของบริษัทหนึ่งในกรุงเทพฯ บริษัทก็ส่งไปทำหน้าที่ตามห้างร้านต่างๆ ลูกผมเขาทราบปัญหาของพ่อก็รับปากจะช่วย เขาบอกว่าจะส่งเงินมาใช้หนี้แทนให้ในเดือนที่ผ่านมานี้ แต่เกิดเหตุการณ์แดงยึดกรุงเทพฯ ห้างร้านยกเลิกการจ้าง บริษัทไม่มีงานให้ลูกผมทำ ก็ไม่ได้เงินค่าจ้าง ลูกก็ไม่มีเงินส่งมาให้ผมเพื่อคืนกลุ่ม…!!!???

หลังจากที่ปรึกษาหารือกันถึงทางออกโดยใช้เชิงบวกคุยกัน ในที่สุดก็เห็นว่ามันสำปะหลังเป็นที่พึ่งสุดท้าย นายใจสัญญาว่าเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2554 จะขายมันสำปะหลังแล้วเอาเงินมาคืนให้กลุ่ม พร้อมดอกเบี้ย..

เป็นความจริงที่ผมไม่คิดเลยว่าเหตุการณ์ที่แดงยึดกรุงเทพฯจะส่งผลไปถึงดงหลวง

ในจินตนาการของผมเห็นคลื่นของเหตุการณ์ที่กรุงเทพฯส่งผลกระเพื่อมกระทบไปทั่วทิศไม่ใช่เฉพาะดงหลวง แต่ทั่วไปทั้งสังคมของประเทศ หนัก เบา แตกต่างกันไป..!!??

ประเด็น

  • นายใจนั้นเป็นระดับนำคนหนึ่งในเรื่องการทำเกษตรผสมผสาน แต่เรื่องรายได้จากกิจกรรมทางการเกษตรยังน้อย กิจกรรมนี้จะสร้างรายได้อย่างไรในเงื่อนไขของแต่ละครอบครัว..
  • คณะกรรมการกลุ่ม กสบ. ยังต้องการพัฒนาการบริหารกิจกรรมกลุ่ม
  • แม้ว่าเกษตรผสมผสานคือการพึ่งตัวเอง แต่สังคมปัจจุบันก็ต้องมีรายจ่าย ดังนั้นรายได้น้อยที่สุดเท่าไหร่ของระดับการพึ่งตัวเองในเงื่อนไขของแต่ละครอบครัว
  • มีประเด็นของงานพัฒนาอีกมากมาย..ฯ



Main: 0.085290908813477 sec
Sidebar: 0.098483085632324 sec