ห้าบาท

5 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มกราคม 17, 2009 เวลา 19:44 ในหมวดหมู่ สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย #
อ่าน: 1832

สมัยเด็กๆนั้นเงินหนึ่งบาทมีค่ามาก เหรียญบาทที่ตรงกลางเป็นรู หายไปตั้งเมื่อไหร่ไม่รู้ตัวเลย แต่นานมากแล้ว รู้ตัวอีกทีมีแต่เหรียญห้าบาทเต็มกระเป๋า

เคยได้ยินมาว่าการที่เหรียญบาทหายไปในท้องตลาด ทำให้มีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจการซื้อขายและการบริการในตลาดมากทีเดียว รถเมล์จะขึ้นราคาทีก็ขึ้น 5 บาทไม่ขึ้น 50 สตางค์ หรือ 1 บาท 2 บาท พรวดทีเดียว 5 บาท ประชาชนก็แบกภาระหนัก อันนี้ผมคิดเอาเองนะครับ ท่านที่เป็นพ่อค้า แม่ค้าก็คงมีเหตุผลมากมายมาอธิบายโต้แย้งความคิดผม เช่น ก็น้ำมันมันขึ้นราคาทุกวัน สินค้านานๆขึ้นทีก็ขึ้นซะทีเดียวไปเลย อย่างนี้แม่ค้าก็อธิบายได้

ผมเองมักเป็นเด็กหิ้วตะกร้าไปจ่ายตลาดสดให้คนข้างกายบ่อยๆ ชอบไปด้วยเพราะตลาดเป็นตัวชี้วัดหลายๆอย่างของสังคม เช่น ความอุดมสมบูรณ์ของอาหารการกินตามฤดูกาล เป็นตัวบ่งบอกว่า ช่วงนี้เป็นฤดูกาลอะไร ผักหวานป่าออก ก็หมายถึงเข้าสู่ฤดูแล้งแล้ว เป็นต้น ตลาดบ่งบอกสภาวะเศรษฐกิจในสังคม ประเทศ สินค้าที่เราซื้อหามาทุกวันทุกวันนั้นราคามันเปลี่ยนแปลงเสมอ คุณภาพสินค้า ขนาด ปริมาณสินค้า แหล่งที่มาของสินค้า ล้วนบอกอะไรเรามากมาย

อยู่ขอนแก่น แต่กินส้มเชียงราย กินผักเพชรบูรณ์ กินมะละกอดำเนินสะดวก กินผักดองเชียงใหม่ อยู่มุกดาหาร กินอาหารป่าจากฝั่งลาว กินผักจากสกลนคร กินพริกจากหัวเรืออะไรทำนองนี้… ไปเที่ยวแม่สอดจังหวัดตากกินแอปเปิ้ลที่มาจากแม่สาย เชียงราย

สมัยเรียน มช. ที่ข้างตึกฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ ใกล้หอพักชายอาคารหนึ่ง มีชาวบ้านมาขายข้าวราดแกงจานละ 1 บาท (พ.ศ. 2512-2515) ซึ่งสมัยนั้น ทั่วไปก็ห้าบาทหรือสิบบาท (ในมหาวิทยาลัยจะขายถูกกว่าข้างนอกอยู่แล้ว) นักศึกษาแต่ละคนกินมากกว่า 1 จานแน่นอน อาหารราคาถูกทำให้นักศึกษาคนจนๆก็มีแหล่งฝากท้อง พออิ่มได้

บันทึกวันนี้ที่พูดเรื่อง 5 บาท ก็เพราะไปจ่ายตลาดทุกวันนี้อะไรอะไรก็ 5 บาท แม่ค้าจะมัดผักเกือบทุกชนิดขายมัดละ 5 บาท ผักดองถุงละห้าบาท น้ำพริกสารพัดชนิดถุงละ 5 บาท ผักลวกจิ้มน้ำพริก 5 บาท พริกกองละ 5 บาท เหรียญ 5 บาทเป็นพระเอกไปเลย ไปตลาดต้องเตรียมเหรียญ 5 บาทไปเยอะๆ

การขายสินค้าที่กำหนดโดยแนวคิดเช่นนี้จะว่าดีก็ดี เพราะสะดวก ง่าย แต่จะว่าไม่ดีก็ได้ เพราะสินค้าบางอย่างเราไม่ต้องการจำนวนมากถึง 5 บาท แค่ต้องการเพียง 2 หรือ 3 บาท เขาก็ไม่ขาย ต้อง 5 บาท อันนี้ไม่ดี ส่วนเกินบางอย่างก็เก็บไว้ได้ แต่บางอย่างก็ไม่ได้ เสียหายไปเปล่าๆ

อย่างที่มุกดาหารอาหารค่ำของผมก็ไปที่ตลาดราตรี มีอาหารมื้อนี้มากมายมาวางขาย ผมเองเป็นเจ้าประจำน้ำพริกหนุ่ม ผักลวกและข้าวเหนียว หลายปีก่อนนั้นผมซื้อข้าวเหนียว 5 บาทก็พอดีท้อง มาปีสองปีนี้ 5 บาทไม่พอกินต้องเพิ่ม แต่แม่ค้าจะขาย 10 บาท ซึ่งก็มากเกินพอดี หากจะพอดีควรจะเป็น สัก 7 บาท ข้าวส่วนเกินประมาณ 3 บาทนั้นผมต้องทิ้งไปทุกวัน คิดจะเก็บเอาไว้ให้เจ้าคุ้กกี้หมาที่รักที่บ้านขอนแก่น ซึ่งเขาชอบข้าวเหนียวมากก็เก็บหลายวันไม่ได้ ในที่สุดก็ทิ้งไปโดยเสียดายที่สุด

นี่คือเรื่องของการซื้อขายในปัจจุบันที่เอาหลักการ 5 บาทเป็นตัวตั้ง เอาแม่ค้าเป็นตัวตั้ง ไม่ได้เอาผู้บริโภคเป็นตัวตั้ง ผมว่าน่าจะเกิดส่วนเสียหายมากเหมือนกันนะครับ หากนับรวมกันทั่วประเทศต่อมื้อต่อวันน่าจะมหาศาลนะครับ..

หรือว่าผมคิดมากไปเอง อิอิ..


แด่คุณครูด้วยดวงใจ

1 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มกราคม 16, 2009 เวลา 11:16 ในหมวดหมู่ สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย #
อ่าน: 2401

คุณพ่อผมเป็นครู

อาผมหลายคนเป็นครู

พี่สาวผมก็เคยเป็นครู

ภรรยาผมก็เป็นครู(มหาวิทยาลัย)

ผมเองก็เรียนครู และเป็นครู(พัฒนาชนบท)

ผมจึงใกล้ชิดครูพอสมควร

ผมเองเคยกราบพี่พี่ที่ โครงการบูรณชนบทแห่งประเทศไทย เพราะผมไปฝึกงานที่นั่นเมื่อเริ่มก้าวเข้ามาสู่วงการพัฒนาชนบท ผมก็เรียกพี่พี่เหล่านั้นที่สั่งสอนผมว่าเป็นครู ที่ใกล้ชิดปัจจุบันก็มี ครูเปี๊ยก หรือพี่เปี๊ยกนี่แหละ(ที่จะมาสวนป่าปลายเดือน)

ครูสมัยคุณพ่อผมนั้นมือขวาถือชอล์ค มือซ้ายถือไม้เรียว ตีกันก้นลายเลย โรงเรียนวัด วิ่งเล่นกันรอบโบสถ์ วิหาร ทุกวันพระก็นิมนต์ท่านเจ้าอาวาสมาเทศนาเด็กๆ สวดมนต์กันดังลั่นไปสามคุ้งบ้าน เมื่อพระเดินสวนทางมาเราต้องนั่งลงไหว้พระให้ท่านเดินผ่านไปก่อน เด็กหญิงต้องหลีกห่างออกไปพอสมควร…

ครูเป็นอาชีพที่มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ชาวบ้านร้านถิ่น ให้ความเคารพนับถือ เมื่อใดที่ครูคนใดคนหนึ่งเสียชีวิต งานศพครูจะมีคนมากที่สุด เพราะลูกศิษย์ลูกหา กี่รุ่นต่อกี่รุ่นต่างพากันมากราบไหว้เป็นครั้งสุดท้าย

Trend ของการส่งเด็กเรียนต่อในสมัยนั้นก็หนีไม่พ้น รับราชการ การที่จะมีใครเรียนต่ออุดมศึกษานั้นน้อยรายจริงๆ เพราะพ่อแม่อยากให้ลูกมั่นคง เรียนเร็ว ทำงานเร็ว มีเงินเดือนกิน..ใช้ได้แล้ว…

ลูกครูอย่างผมนั้นถูกอบรมอย่างหนักในเรื่องการดำรงชีวิตต่างๆ กิริยามารยาทต่อสังคมต่อผู้ใหญ่ หรือในชีวิตประจำวันละเอียดรอบคอบ คุณพ่อจะสอนไปตีไป อิอิ.. แม้จะไม่ค่อยสืบสานทุกกระเบียดนิ้ว แต่ก็ซาบซึ้งคุณค่าในประเพณีวัฒนธรรมแบบไทยๆมาจนทุกวันนี้ เขาไม่ได้สอนวิชาการเท่านั้น แต่สอนเรื่องประเพณี วัฒนธรรมเชิงปฏิบัติด้วย

ครูสมัยนั้นต้องทำนาทำสวนกันทั้งนั้น พ่อต้องไปช่วยแม่ทำนา เกี่ยวข้าว นวดข้าว ฯลฯ ผมจำได้ดีว่าเรื่องการนวดข้าวของภาคกลางที่เอาฟ่อนข้าวออกมาตั้งโดยเอารวงข้าวขึ้นชี้ฟ้า กองเรียงกันเป็นวงกลม แล้วเอาควาย 4-5 ตัวมาผูกเข้าด้วยกันให้เป็นหน้ากระดานเรียงแล้วเรายืนข้างหลังไล่ควายเดินย่ำขึ้นไปบนกองข้าวนั้น วนไป วนไป ซึ่งพ่อจะสอนวิชาเรขาคณิตไปด้วยว่า การเดินวนนั้นจะต้องวนเป็นวงเล็กในวงใหญ่ เพื่อให้ข้าวทุกรวงโดนตีนควายเหยียบทั่วถึงกันหมด สอนการทำคันนา การไถนาไถอย่างไรจึงจะทำให้ดินร่วนแตกทั่วถึงกันหมด ไม่ใช่ไถเพื่อให้จบๆไป สอนเรื่องการหว่านข้าว หว่านอย่างไรไม่ให้ข้าวกองเป็นกระจุก ให้กระจายไปทั่วๆ เกี่ยวข้าวอย่างไรมิให้หักคอรวงและปลอดภัยมิให้เคียวมาเกี่ยวเอานิ้วตัวเองเข้า… เทคนิคการตวงข้าวเพื่อขายทำอย่างไรให้ได้ปริมาณมาก วิธีการปาดข้าวและเสียบติ้ว…ฯลฯ

บังเอิญว่าคุณพ่อเป็นครูด้วย การทำหน้าที่พ่อและครูจึงอยู่ในตัวคนคนเดียวตลอดเวลา แต่นั่นคือวิถีชีวิตสมัยก่อน  ที่สาระใหญ่คือการเพิ่มทักษะในการดำรงชีวิตให้แก่เด็กที่กำลังเติบโต…

ขอกราบคารวะคุณพ่อ ผู้เป็นทั้งครูและพ่อที่สร้างและอบรมสั่งสอนให้เป็นตัวเป็นตนขึ้นมา

ขอกราบคารวะครูทุกท่านที่ปั้นคนให้เป็นคน


ความไม่รู้คือเหยื่อ..

4 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มกราคม 15, 2009 เวลา 20:34 ในหมวดหมู่ สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย #
อ่าน: 2360

ปกติที่บ้านใช้ Internet ผ่าน wireless ระบบ adsl ของ TOT โดยใช้เครื่องส่งสัญญาณของ TP–Link ตั้งไว้ที่ห้องทำงาน ชั้นสองเป็นห้องนอนและห้องทำงานในตัวของคนข้างกายก็ใช้สัญญาณได้ดี ใช้อยู่สักสามปีก็เริ่มเกิดปัญหา คือสัญญาณหลุดบ่อย จนรำคาญ เรียกช่าง TOT มาซ่อมก็ว่าสายโทรศัพท์ไม่ดีต้องเปลี่ยนใหม่ เอ้า ผมก็อุตสาห์ไปซื้อมาเปลี่ยนเองเอาอย่างดีที่สุดเลย แต่ก็ไม่ดีขึ้น ช่างอีกคนมาก็ว่าเครื่องส่งสัญญาณไม่ดี…..

ผมจึงไปที่สำนักงาน TOT ใกล้ศาลากลางคุยไปคุยมาเขาก็บอกความจริงมาว่า มีคนใช้มากจนทำให้สัญญาณอ่อนลง และที่พักของผมก็อยู่ปลายสายยิ่งทำให้การรับสัญญาณยิ่งอ่อนลงมากๆ… ผมนึกในใจว่า เวรเอ้ย…ช่างทำไมไม่พูดความจริงนี้ตั้งแต่แรก…

ผมจึงตัดสินใจยกเลิกการใช้สัญญาณ Internet ของ TOT ไป ความจริงทราบจากข่าวว่า TOT ถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายนับหมื่นล้านบาท นึกในใจว่าสาเหตุนี้หรือไม่ที่ทำให้การบริการและประสิทธิภาพของระบบไม่ได้พัฒนาเท่าที่ควรจะเป็น… แต่ผมก็ยกเลิก หันไปใช้ Internet ผ่านมือถือ ซึ่งก็ใช้ได้ดี สะดวก ไปไหนๆก็ได้ที่มีสัญญาณ ลูกสาวอยากได้ก็เลยหามาให้อีกชุดหนึ่ง ที่บ้านเลยมีสามชุด คนละชุด..

ต่อมาลูกสาวบอกว่าอยากใช้ wireless ที่บ้านมากกว่า ติดตั้งที่เดียวใช้กันทั้งสามคนคนละห้องประหยัดด้วย เลยไปปรึกษา TOT อีกครั้งก็ทราบว่าได้ติดตั้งตัวขยายสัญญาณในบริเวณใกล้บ้านพักแล้ว ผมจึงซื้อบริการ Internet ระบบ adsl และจะใช้ wireless อีกครั้งหนึ่ง เมื่อซื้อ adsl ของ TOT ช่วงนี้เขาแถมโมเดมมาให้ตัวหนึ่ง….

กว่าช่างจะมาก็กินเวลาไปสามวันเพราะเขาว่าลูกค้าเข้าคิวติดตั้งหลายราย มาถึงก็ติดตั้งพร้อมเอาโมเดมตัวใหม่ ปรากฏว่าใครจะใช้ต้องต่อสายเชื่อมเข้าคอมฯเอา และมีเพียงช่องเดียวเท่านั้น อ้าว…งี้ก็ไม่ใช่ wireless น่ะซี ช่างบอกว่าไม่ใช่ครับ หากอยากได้ก็ต้องไปซื้อ ตัวเชื่อมต่อมาเชื่อมกับโมเดมนี้อีกที…???

ผมถามว่างั้นเอาเครื่องเก่าของผมที่เลิกใช้ไปมาติดตั้งได้ไหม เขาว่าได้ ก็ติดตั้งทันที แต่ช่างทำอย่างไรก็ไม่สามารถใช้ได้ ลองแล้วลองอีก set โน่นนี่ ก็ไม่ได้ซักกะที จนอ่อนใจเลยติดตั้งโมเดมแบบใช้สายไปก่อน ผมก็เลยมอบเครื่องส่งสัญญาณนั้นให้เขาไปลองใช้เวลาว่างตรวจสอบดูว่าจะแก้ไข หรือติดตั้งอย่างไรจึงใช้ได้

ช่างหายไปสองวัน ผมเลยโทรตามว่าเป็นไง เขาบอกว่าลองถึงที่สุดแล้วใช้ไม่ได้ ให้เพื่อนที่ว่าเก่งๆลองก็ไม่ได้ ช่างว่ามันคงเสีย….อ้าว…

งั้นต้องซื้อเจ้าตัวเชื่อมต่อโมเดมแล้วเป็น wireless มาน่ะซี ช่างก็ว่าใช่ แต่ตอนนี้ไม่มีเวลางานยุ่งมาก ให้ไปซื้อมาก่อนแล้วจะมาติดตั้งตอนสองทุ่ม…วันนี้… ผมต่อลองว่าจะไปซื้อเดี๋ยวนี้แล้วบ่ายแก่ๆแวะเข้ามาหน่อย เขาบอกว่างานยุ่งมาก แต่จะแวะมาให้และขอค่าบริการ 200 บาท..ผมงง..อะไรวะ..จะคิดค่าบริการ…ก็ควรจะเป็นบริการของ TOT นี่นา….

ผมรีบไปหาซื้อเจ้าตัว เชื่อมนั้นทันที ขึ้นไปตึกคอมฯโรงแรมโฆษะ..ถามร้านโน้นร้านนี้ ยี่ห้อนั้นยี่ห้อนี้ ราคาต่างๆ ในที่สุดมาลงที่ร้านเจ้าประจำ พยายามสอบถามความรู้ เบื้องต้นเกี่ยวกับเจ้าตัวนี้ น้องคนขายก็พยายามอธิบายพอเข้าใจ เมื่อถามถึงเครื่องนี้มีกี่ยี่ห้อ ราคาเป็นไง คุณภาพแตกต่างกันอย่างไร เพื่อประกอบการตัดสินใจ เธอก็อธิบายได้ดี มาลงที่ว่า ยี่ห้อ TP-Link นั้นมีข้อดีที่มีศูนย์ซ่อมอยู่ที่ร้านนี่เอง ส่วนญี่ห้ออื่นๆนั้นต้องส่งเข้ากรุงเทพฯ หากเกิดปัญหาต้องซ่อมยี่ห้อ TP-Link น่าพิจารณา แต่ช่าง TOT บอกผมว่า ยี่ห้อนี้คุณภาพสู้ยี่ห้ออื่นไม่ได้….

เอาละซี จะตัดสินใจอย่างไร..

น้องพนักงานขายพาไปคุยกับช่าง TP-Link ที่มีร้านติดกัน ผมก็เล่าให้ฟังทั้งหมดแล้วขอคำแนะนำ ช่างคนนี้ก็บอกว่า ช่าง TOT น่ะไม่รู้เรื่อง Set ค่า TP-Link ไม่เป็นจึงไม่สามารถใช้ตัวเก่าของผมได้ เขาบอกว่าต้อง set ค่าใหม่ เอามาให้เขาจะทำให้…ไอ้หย่า….มันเป็นอย่างนี้หรือ….

นี่เกือบซื้อตัวใหม่ไปแล้วนะ ราคาที่จ้องของดีดีไว้ก็ตั้ง เกือบสามพันบาท หากเอาปรับค่าใหม่แล้วใช้ได้ก็ไม่เสียกะตังเลยนะเนี่ยะ อย่างดีก็แค่ให้ช่าง TP-Link ก็คงไม่กี่ตัง….

ผมนึกย้อนหลังไปว่า ช่าง TOT คิดอะไรกับเรา

· เห็นเราไม่รู้เรื่องก็เลย..ตีกินซะเลย…

· เขารู้เรื่องจริงและเครื่องมันเสียจริงๆ

· ฯลฯ

แต่ก็นึกไปอีกมากมายว่า โลกยุคอิเลคโทรนิคนี่ ความไม่รู้อาจเป็นเหยื่อได้ง่ายๆ เหมือน ร้านซ่อมคอม ซ่อมทีวี เครื่องล้นห้องออกมาถึงฟุตบาท มาซ่อมทั้งนั้น ช่างมันก็โขกเอาเงินซะ เสียนิดเดียวก็ว่าเสียมาก อธิบายอย่างไรใครจะไปรู้เรื่อง….ว่าจริงหรือไม่จริง อาจจะจริงส่วนหนึ่งโกหกอีกหลายส่วน เราจะไปว่าอย่างไร ก็มันไม่รู้เรื่องอ่ะ…

กล้องถ่ายรูป DSLR ของผมตัวเก่าก็โดน ตีกินมาแล้ว พันห้าร้อยบาท ซ่อมเสร็จถ่ายไปแค่สิบรูปเหมือนเดิม…..ในที่สุดต้องส่งเข้าศูนย์ที่กรุงเทพฯ….เสียไปอีกสี่พัน…อิอิ..

แล้วมีอะไรในยุคนี้ที่ไม่รู้บ้างล่ะ…..

โอย….ล้นฟ้าล้นแผ่นดิน….

นึกในใจว่า….

เออ…ครั้งต่อไปสิ่งที่จะซ่อมเป็นอะไรหว่า……

อิอิ.. กรอด .. กรอด (กัดฟัน)….


Children Damaged by Materialism (2)

4 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มกราคม 14, 2009 เวลา 14:25 ในหมวดหมู่ สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย #
อ่าน: 4080

เด็กในโลกปัจจุบันเป็นผู้ที่ถูกครอบงำด้วย ลัทธิวัตถุนิยม มากกว่าเด็กในสมัยก่อนมาก

พวกเด็กๆควรได้รับการสนับสนุนให้มองตัวเองอย่างมีคุณค่าในความเป็นคนหรือเป็นมนุษย์ มากกว่าวัดกันด้วยทรัพย์สินสมบัติต่างๆที่ตนมี จนหมดความเป็นคนไป นอกจากนี้บรรดานักธุรกิจที่มุ่งแต่จะขายของและบริการทุกอย่างเพื่อสนับสนุนการมีวิถีชีวิต หรือไลฟ์สไตล์นิยมวัตถุอย่างรุนแรงอย่างในปัจจุบันที่วัดกันแต่ความเจริญทางวัตถุ ทำให้เกิดความโลภเข้าครอบครองวัตถุให้มากๆ และมีอัตตาแยกตัวเองเป็นเอกเทศ หรือเป็นปัจเจกมากขึ้น ทั้งๆที่ชีวิตจริงควรจะอยู่กันแบบชุมชนและร่วมมือร่วมใจกันในชุมชน

ผมขออนุญาตลอกข้อความที่สำคัญมาสนับสนุนข้อสรุปดังกล่าวเพิ่มเติมอีกคือ

_________________

สมาชิกท่านหนึ่งในคณะผู้สำรวจศึกษากล่าวว่า วงการค้าพาณิชย์ของสังคมและชุมชนเริ่มเข้ามาครอบงำสังคมเด็กที่กำลังเจริญเติบโต และควรเรียนรู้วัฒนธรรมให้ตกอยู่ในกำมือของพ่อค้าพาณิชย์ ซึ่งมีผลกระทบจิตวิทยาการเรียนรู้ของเด็ก ทำให้เด็กหลงอยู่ในด้านวัตถุจนไม่สามารถพัฒนาจิตใจให้เจริญตามควร..

ศาสตราจารย์กิตติคุณฟิลลิป เกรเฮม วิชาจิตเวชเด็ก ที่สถาบันสุขภาพเด็กกรุงลอนดอนกล่าวว่า สาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ปัญหาสุขภาพจิตเสื่อมโทรมเพิ่มขึ้นในขณะนี้คือการที่เด็กๆและวัยรุ่นใช้ชีวิตทุกจังหวะหมกมุ่นอยู่กับความโลภที่จะครอบครองวัตถุต่างๆให้มากเข้าไว้ ล่าสุดคือการแข่งขันกันใช้เครื่องนุ่งห่มที่ตามสมัย แฟชั่นของโลกและความอวดมั่งอวดมีที่จะครอบครองเครื่องมืออุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นสินค้าที่พ่อค้าแข่งกันผลิตออกมาล่อใจ

และยังกล่าวอีกว่า หลักฐานต่างๆที่สนับสนุนเรื่องนี้จะเห็นได้จากในประเทศอเมริกา อังกฤษ เด็กและวัยรุ่นถูกพ่อค้าวาณิชย์ครอบงำโดยสิ้นเชิงด้วย แรงผลักดันทางการค้า (Commercial Pressures) เป็นปัจจัยหลักที่ทำลายสุขภาพจิตของเด็ก

ผลการสำรวจครั้งนี้พบว่า ในอังกฤษประชากรผู้ใหญ่ร้อยละ 90 คิดเหมือนกันว่า โฆษณาสินค้าระหว่างเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาส มักจะโน้มน้าวให้ผู้ปกครองของเด็กอยากจะทุ่มเทเงินทองให้แก่ลูกหลานจนเกินกำลังของตน

ผลการสำรวจพบว่า สตรีมากกว่าร้อยละ 60 คิดว่าสื่อทั้งหลายเป็นตัวการผลักดันให้เกิดความนิยมในวัตถุซึ่งเป็นอันตรายต่อสังคม ส่วนบุรุษคิดเช่นนั้นร้อยละ 56

ส่วนใหญ่ของประชากรผู้ใหญ่ในการสำรวจ ให้ความเห็นว่า รัฐบาลควรห้ามปรามไม่ให้สื่อโฆษณาก่อให้เกิดการเปลี่ยนวิถีชีวิตชุมชน และทุกคนควรจะรับภาระร่วมกันที่จะสั่งสอนบุตรหลานของตนให้ตั้งตัวรับการไหลบ่าของ วัตถุนิยมในโลกอย่างถูกต้องและเหมาะสมด้วย (คุณรจนโรจน์ อ้างอิงข้อมูล ข่าวอินเตอร์เนท บีบีซี)

____________________

เรื่องทั้งหมดนี้ ท่านอาจจะกล่าวว่า ก็รู้ๆกันอยู่ ผมก็ว่าเป็นความจริง แต่ในฐานะที่ผมมีส่วนหนึ่งในการนำความรู้ความคิดเห็นที่เหมาะสมเข้าสู่การปฏิบัติในชนบท จึงต้องตื่นตัวในเรื่องเหล่านี้มากๆ เพราะเราอาจจะเป็นตัวกรองส่วนหนึ่งที่วิภาค และคัดสรรค์สิ่งเหล่านี้ให้แก่ชุมชนที่เขาห่างไกลระบบข้อมูล ที่ผ่านมาผมเองก็บันทึกเรื่องในทำนองนี้ไว้บ้างแล้ว เช่นที่นี่

http://gotoknow.org/blog/dongluang/190479 http://gotoknow.org/blog/dongluang/127459 http://gotoknow.org/blog/dongluang/120483 http://gotoknow.org/blog/dongluang/95980

ผมพยายามค้นหาอีกตัวอย่างหนึ่งที่อิทธิพลการโฆษณา และค่านิยมส่งผมกระทบอย่างแรงต่อจิตใจของครอบครัวผม ขออนุญาตเล่าให้ฟังอีกครั้ง

ตอนที่ลูกสาวเพิ่งเดินทางไปเรียนไฮสคูลที่ NZ ใหม่ๆ มีเพื่อนของเธอคนหนึ่งโทรมาหาคนข้างกายว่า เขาเป็นเพื่อนสนิทกับลูกสาว ซึ่งเราก็จำได้เพราะลูกสาวเล่าให้ฟังบ่อยๆ เธอคนนี้สมมุติชื่อ ขาว เธออ้างว่าหนูกำลังจะเรียนต่อแต่ไม่มีเงินค่าเทอม เพราะแม่เอาเงินทั้งหมดไปรักษาคุณยายที่กำลังป่วยอยู่ที่กรุงเทพฯ คุณพ่อก็หางานอยู่ จึงขอพึ่งพาขอยืมเงินไปเสียค่าเทอมและค่าหนังสือเสื้อผ้าจำนวน 1 หมื่นบาท ….??

เราสอบถามลูกว่าครอบครัวเขาเป็นสภาพเช่นนี้ไหม ลูกตอบว่าใช่ แต่ไม่รู้ว่าคุณยายเขาป่วย แต่ก็น่าเชื่อถือเพราะครอบครัวเขาก็ไม่ค่อยมี..และเขาก็ไม่เคยโกหก… เราตัดสินใจโอนเงินไปเข้าบัญชีคุณแม่เขา ซึ่งเขารับปากว่าจะทยอยส่งคืนให้หลังจากเดือนที่สองไปแล้ว

หลังจากนั้นก็ไม่เคยได้รับการติดต่อมาอย่างผิดปกติ เราก็คิดในแง่ดีว่าเขาคงยุ่งกับการป่วยของคุณยาย…

จนปลายเดือนที่สองเราลองติดต่อกลับไป พบความจริงว่า คุณแม่ของน้องขาวไม่รู้เรื่องนี้เลย..?? ไม่รู้ว่าลูกสาวมาขอยืมเงินค่าเรียน… แต่เป็นความจริงว่าคุณยายป่วย และเราก็ไม่ค่อยมีเงิน แต่การเรียนของลูกขาวนั้นก็หาเงินมาให้เรียนจนได้…. คุณแม่ไปตรวจสอบบัญชีการเงินก็พบว่าเงินเข้าบัญชีจริง.. คุณแม่เพิ่งรู้เดี๋ยวนั้นว่าลูกกำลังทำการโกหก หลอกลวงคุณป้าเพื่อเอาเงินมาทำอะไรสักอย่างตั้ง 1 หมื่นบาท…

หลังจากการสืบเสาะก็พบว่าลูกสาวเอาเงินไปซื้อมือถือรุ่นใหม่ล่าสุดที่เธอหมายปองไว้…. โอ้พระเจ้า……เธอทำได้…เด็กทำได้ขนาดนี้..

คุณแม่น้องขาวรับปากว่าจะหาทางเอาเงินคืนให้โดยการผ่อนส่ง แต่เลยมาเป็นเกือบสิบปีแล้วครับเราไม่ได้เงินคืนเลย…แต่เราก็อุทิศให้แล้ว เข้าใจดีว่าคุณแม่เขาก็อยู่ในฐานะที่ลำบาก เรานึกเพียงว่าขอให้ลูกขาวกลับตัวกลับใจได้เถอะ…..

เรื่องจริงผ่านคอมฯเรื่องนี้สอนให้เข้าใจว่า…

  • อิทธิพลของระบบโฆษณานั้นเข้าไปโน้มน้าวจิตใจเด็กให้เกิด ความอยากอย่างล้นพ้น จนก้าวข้ามศีลธรรมอย่างกล้าหาญ จนเราตกใจว่าทำได้ถึงเพียงนี้แล้วหรือ….

  • ตัวอย่างทำนองนี้มีมากมาย เด็กนักศึกษาหญิงขายตัวเพราะต้องการกระเป๋าถือยี่ห้อดัง…และ.. กล้าที่จะเสนอตัวด้วย..

  • แล้วอิทธิพลของระบบนี้มีอีกมากมายที่ท่านทั้งหลายก็คงประสบมาแล้วไม่มากก็น้อยทั้งสิ้น

แต่…เอ..เราจะเพียงแค่มาเล่าสู่กันฟังเท่านั้นหรือ….ครับ..


Children Damaged by Materialism (1)

4 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มกราคม 14, 2009 เวลา 12:09 ในหมวดหมู่ สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย #
อ่าน: 2548

นานๆจะเห็นบทความแบบนี้กัน ชี่อเรื่องคือ “Children damaged by materialism” หรือ เด็กกำลังถูกครอบงำและถูกบ่อนทำลายโดย ลัทธิวัตถุนิยม เป็นบทความแปลของรจนโรจน์ ในยลยิลอินเตอร์เนท ในหนังสือสกุลไทยเล่มเก่ากองอยู่ในห้องทำงานคนข้างกาย ที่พอมีเวลาบ้างผมก็เปลี่ยนสมองไปหยิบหนังสือเหล่านี้มาพลิกอ่านดู ไม่ได้อ่านนิยงนิยายหรอกครับ เปิดดูบทความที่น่าสนใจที่มักมีอยู่บ่อยๆ

อย่างเรื่องนี้เป็นต้น ผมแปลกใจที่ประเทศต้นตำหรับการก่อเกิดระบบทุนนิยม สมัยปฏิวัติอุตสาหกรรมโน้นนนน ปัจจุบันกลับมาพูดเรื่องนี้ สิ่งที่บทความนี้กล่าวถึงคือสิ่งที่เราก่นกันทุกวันถึงพลังมหาศาลของระบบนี้ที่ไหลบ่าเข้ามาบ้านเราโดยเราไม่มี ตัวกรอง ผมมองว่าลัทธิวัตถุนิยมนี้มีผลสองด้าน ด้านหนึ่งก็ดี เพราะเป็นการยกระดับวิถีชีวิตตามการเปลี่ยนแปลงของโลก แต่อีกด้านหนึ่งเนื้อในที่ไม่ดีมาทำลายของดีดีของเราไป โดยที่เราผู้เสพไม่รู้ตัวบ้าง รู้ตัวแต่ติดสุขบ้าง หรือรู้แบบผิดๆบ้าง

หัวเรื่องบทความนี้กล่าวว่า มีประเด็นบ่งบอกชัดเจนว่าการเจริญเติบโต หรือพัฒนาการของเด็ก ตลอดจนความเป็นอยู่ที่ดีของเด็กในอังกฤษกำลังถูกทำลายลงด้วยการถูกการพาณิชย์ของโลกเข้าครอบงำ

บทความกล่าวว่าอังกฤษได้ทำ โพลล์ สำรวจเรื่อง แบบอย่างการดำเนินชีวิต หรือวิถีชีวิต ของคนอังกฤษ ที่เรียกการสำรวจนี้ว่า GFK NOP Survey เป็นการตรวจสอบความคิดเห็นของประชาชนอังกฤษจากกลุ่มตัวอย่าง 1,255 คน แล้วพบว่า เด็กในโลกปัจจุบันเป็นผู้ที่ถูกครอบงำด้วย ลัทธิวัตถุนิยม มากกว่าเด็กในสมัยก่อนมาก

บ๊อบ ไรเต็มไมเออร์ ผู้บริหารของสโมสรเด็กของอังกฤษ กล่าวว่า ….พวกเราต้องสำรวจตัวเราเอง เพราะเราเป็นเบ้าหลอมให้กำเนิดแก่ คนในรุ่นต่อไปของเรา นั้น เราได้ทำให้พวกเขาหลงทาง และไม่สามารถประสบผลสำเร็จในการพัฒนาชีวิตของพวกเขา เพราะเรามัวแต่พะวงติดกับสิ่งที่พวกเราคิดว่าเป็น แบบอย่างของวิถีชีวิตที่ถูกต้อง

ดร.โรวัน วิลเลี่ยมส์ อาร์คบิชอพแห่งแคนเตอเบอรี ซึ่งเป็นผู้มอบเงินสนับสนุนการสำรวจครั้งนี้กล่าวว่า พวกเด็กๆควรได้รับการสนับสนุนให้มองตัวเองอย่างมีคุณค่าในความเป็นคนหรือเป็นมนุษย์ มากกว่าวัดกันด้วยทรัพย์สินสมบัติต่างๆที่ตนมี จนหมดความเป็นคนไป นอกจากนี้บรรดานักธุรกิจที่มุ่งแต่จะขายของและบริการทุกอย่างเพื่อสนับสนุนการมีวิถีชีวิต หรือไลฟ์สไตล์นิยมวัตถุอย่างรุนแรงอย่างในปัจจุบันที่วัดกันแต่ความเจริญทางวัตถุ ทำให้เกิดความโลภเข้าครอบครองวัตถุให้มากๆ และมีอัตตาแยกตัวเองเป็นเอกเทศ หรือเป็นปัจเจกมากขึ้น ทั้งๆที่ชีวิตจริงควรจะอยู่กันแบบชุมชนและร่วมมือร่วมใจกันในชุมชน

ผมขอกราบงามๆแด่ท่านอาร์คบิชอพแห่งแคนเตอเบอรี สามครั้ง สิ่งที่ท่านเปล่งวาจาออกมานั้นมีคุณค่ามากจริงๆ มันได้ย้ำความเข้าใจของเรา เพื่อนฝูงทั้งหลาย คำกล่าวในทำนองนี้ ในความหมายแบบนี้ เราเองก็กล่าวกันมามากมาย แต่เราแค่ปุถุชน คนหนึ่งที่ก่นด่าลัทธิทุนนิยมเท่านั้น ก็รู้ๆกันอยู่แต่คุณและผมก็เสพมันอยู่ทุกวัน…. ซึ่งสังคมถูกครอบไปด้วยลัทธินี้เราอยู่ในสังคมนี้ หนทางจะหลีกหนีไปได้คือการปลีกวิเวกออกจากสังคมไป หรือไม่ก็อยู่ในสังคมนี้แหละ แต่เท่าทัน และมีตัวกรองที่มีประสิทธิภาพพอสมควรที่จะอยู่อย่างไม่ลุ่มหลง ขาดสติ ยั้งคิด ถึงความพอดี พอเพียง เราเลือกเหตุผลหลัง เพราะมิเช่นนั้นก็เข้าป่าเป็นฤษีชีไพรกันไปหมดแล้ว

หากจะประมวลภาพของประเทศไทยต่อเรื่องนี้ ให้ไปดูพัฒนาการทางประวัติศาสตร์การพัฒนาประเทศของเรา วิเคราะห์แผนชาติดูซิ สร้าง GDP เป็นหลัก ซึ่งการเติบโตของ GDP นั้นก็ผนวกการสร้างปัญหา หรือ/และ สร้างความเสี่ยงในการเกิดปัญหาตามมาอีกมากมาย แต่ไม่พูดถึง หรือมองไม่เห็น

หากจะดูว่าการศึกษาเราหลงไหล ขาดสติอย่างไร ให้ไปดูระบบการศึกษาของเราที่ป้อนบัณฑิตก้าวเข้าสู่กองทัพทุน สนับสนุนทุน เช่น นิเทศศาสตร์ ผลิตคนไปคิดระบบการโฆษณาที่ฟังแล้วคนต้องตัดสินใจควักกระเป๋าเอาบัตรเครดิตไปซื้อสินค้าเขา.. แทนที่จะยั้งคิดในหลักพอเพียง คือไปสร้างค่านิยมการบริโภคขึ้นมา

หลงใหลได้ปลื้มกับรสอาหารมากกว่าคุณค่าอาหาร ค่านิยมในการบริโภคอาหารสำเร็จรูปแก่เด็กๆ

สร้างเงื่อนไขการเข้าถึงการบริโภคที่เกินความจำเป็นง่ายขึ้น สะดวกขึ้น เช่น ราคามือถือลดลง แต่เสียค่าบริการ ลดราคาวางเงินดาวน์มอเตอร์ไซด์ลงมาเพื่อกระตุ้นให้คนตัดสินใจ เอามอเตอร์ไซด์ออกมา แต่ไม่มีปัญญาผ่อน

…….มากมาย….มากมาย….

เราเองก็เป็นหนึ่งในการเป็นสื่อ หรือ ตัวแบบของการบริโภค หรือค่านิยมด้วยอย่างไม่รู้ตัวดังนั้น การมีสติ รู้เท่าทัน และการสร้างตัวกรองจึงเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง ในขณะที่เราก่นด่าความไม่ดีของระบบทุนนิยมแต่เราก็เดินตามไปต้อยๆ ทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว ทั้งมีสติและจำเป็นต้องไหลตามไปแบบถูกกระทำ แบบไหลตามไปปากก็โวยไปด้วย..

  • ชาติต้องคิดมากๆในการหันซ้ายขวาประเทศให้เข้าร่องรอยที่เหมาะสม

  • สถาบันหลักของชาติต้องเป็นธงนำในการสร้างค่านิยมที่ถูกต้อง

  • ผู้นำทุกระดับต้องฝึกฝนตนเองที่จะขบถต่อลัทธินี้แบบค่อยๆเป็นไป

  • ทุกระดับชั้นสร้างตัวกรองที่เหมาะสมขึ้น

  • กลุ่มความคิดต่างๆต้องกระตุกกันให้มากๆ บ่อยๆ ต่อเนื่อง

  • นำเครื่องมือของทุนมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในทิศทางใหม่ของประเทศ

  • สร้างค่านิยมใหม่ในเรื่องพอเพียงอย่างมีพลัง

  • ผู้นำคนไหนที่สนับสนุนทุนแบบทุนนิยมโดยไม่เห็นความสำคัญต่อสาระทั้งหมดนี้ให้เปลี่ยนไปเข้าหลักสูตรฟื้นฟูทัศนคติใหม่ในการพัฒนาสังคม ประเทศ

  • คู่ขนานไปกับสาระดังกล่าวรัฐต้องมีมาตรการมาสนับสนุนแนวทางนี้ในทุกด้าน

  • โดยเฉพาะสถาบันการศึกษาทุกระดับต้องสร้างหลักสูตรใหม่… พังกำแพงห้องเรียนออก ก้าวสู่ความเป็นจริงของสังคม วิภาคย์และมองหาทางออกร่วมกัน

  • ฯลฯ


ศาลาวัดหลังเก่า: ประเด็นสำหรับ Dialogue for Consciousness

14 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มกราคม 13, 2009 เวลา 12:35 ในหมวดหมู่ ชนบท, สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย #
อ่าน: 4761

ตั้งใจจะเขียนเรื่องตลาดชุมชนที่ผมไปร่วมงานมาเมื่อวานนี้ แต่อดใจไม่ได้ที่จะหยิบเอาเรื่องศาลาวัดแห่งนี้มาก่อน

ผมมีความประทับใจลึกๆเกี่ยวกับศาลาวัดอย่างในรูปนี้ ซึ่งวัดอื่นๆสมัยโบราณโดยเฉพาะในชนบทจะมีกันเกือบทุกวัด มีขนาด ใหญ่บ้างเล็กบ้าง แล้วแต่ศรัทธาและเงื่อนไขของชุมชนนั้นๆ

ศาลาวัดมีไว้ทำอะไร??

เอาไว้จัดงานบุญต่างๆ ฟังเทศน์ฟังธรรม เอาไว้จัดงานศพในบางแห่งบางพื้นที่ เอาไว้นั่งพักผ่อน เอาไว้จัดประชุมชาวบ้าน ….. ถูกหมดครับ แต่ในที่นี้ต้องการจะกล่าวการใช้ประโยชน์ศาลาวัดเพื่อคนสัญจรไปมาได้พักผ่อน น่าจะเรียกอะไรคล้ายๆความหมายว่าโรงทาน..ทำนองนั้น ผมไม่ได้ถามชาวบ้านว่าภาษาถิ่นเขาเรียกว่าอะไร…ท่านผู้ใดทราบกรุณาบอกด้วยครับ..

สมัยโบราณไม่มีถนนหนทางดีดี ไม่มียานพาหนะ ไปไหนมาไหนใช้วิธีเดินด้วยเท้า อย่างดีก็ม้าต่างวัวต่างเป็นต้น และสมัยโบราณก็มีผู้มีอาชีพค้าขายระหว่างหมู่บ้าน ระหว่างถิ่นเช่นเดียวกัน เช่น ขายเกลือ ขายน้ำมันก๊าด ขายเสื้อผ้า ขายยาสมุนไพร หรือแลกเปลี่ยนสิ่งของและอื่นๆตามยุคสมัย

คนสมัยก่อนที่ยังเป็นยุคบุกเบิกกันนั้น คนเดินทางด้วยเท้าไปแสวงหาถิ่นที่อยู่ใหม่ๆ ไปหาญาติพี่น้องต่างถิ่น การเดินทางก็ใช้เวลาหลายวัน ระหว่างทางก็ต้องอาศัยศาลาวัดเช่นนี้แหละเป็นที่พักผ่อน นอนพัก หากไม่มีคนรู้จักในหมู่บ้านนี้ ได้อาศัยข้าวก้นบาตร ได้อาศัยน้ำเย็นๆจากวัด ร่มเงาศาสนาแผ่ครอบคลุมหัวจิตหัวใจคนไทยโบราณมานาน

ผมมาดงหลวงปีแรก (2544) ก็ยังเห็นพ่อค้ามาขายเสื้อผ้า ยาสูบ และของใช้ในครัวเรือนสารพัด เอารถปิคอัพเก่าๆมา และมาพักกันที่ศาลาแห่งนี้ ทั้งๆที่มีศาลาใหญ่สวยงาม แต่เขามาใช้ศาลาแห่งนี้เพื่อพักผ่อนนอนกินที่นี่

คนที่เห็นแล้วผ่านเลยไปไม่ได้คิดอะไรก็แค่นั้น แต่ผมคิด ว่านี่คือวัฒนธรรมสังคมไทยโบราณของเรา ที่เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่คนต่างหน้า แปลกถิ่นให้มีที่กินที่นอน เหมือนคนภาคเหนือมีตุ่มใส่น้ำดื่มหน้าบ้าน…ทุกบ้าน ใครผ่านมาหิวก็สามารถดื่มกินได้…ช่างสวยงามจริงๆ นี่มั๊งสาวเหนือจึงงามแต้ๆ…งามทั้งกายทั้งใจ…อิอิ..

โรงทาน หรือศาลาวัดแห่งนี้เก่ามากแล้วทรุดโทรม คงถูกใช้ประโยชน์มาเท่าอายุคนทีเดียว ปัจจุบันไม่เห็นใช้ประโยชน์อะไรแล้ว เพราะมีศาลาวัดหลังใหม่ ใหญ่กว่า โอ่อ่ากว่า แต่วัดก็ไม่ได้รื้อศาลาหลังนี้ไปทิ้ง

อาคารหลังนี้ไม่มีคุณค่าทางศิลปะความงดงามล้ำค่าแต่อย่างใด แต่…

ผมนึกไปถึงว่าทำไมโรงเรียนไม่ใช้อาคารเก่าที่กำลังผุพังหลังนี้มาเป็นวัตถุโบราณเป็นครูสอน สะท้อนวัฒนธรรมดีงามของสังคมไทยรุ่นพ่อแม่เรา เอานักเรียนมานั่งที่นี่ มาสัมผัสจิตวิญญาณแห่งอดีตของเรา เอาผู้เฒ่าผู้แก่ พ่อใหญ่แม่ใหญ่ เจ้าอาวาส มาเล่าประวัติ เล่าถึงการใช้ประโยชน์ในอดีตที่ผ่านมา.. (อย่าไปซุกหัวแค่ในห้องสี่เหลี่ยม จนสมองทึบกันหมดแล้ว) ย้อนรอยถอยหลังไปในอดีตที่เราร่ำรวยน้ำใจ เราฟุ่มเฟือยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เราล้นเหลือการทำทาน ให้ทานแก่ผู้ผ่านทาง…..  มาซักไซร้ไล่เรียง สอบถาม เล่าความ บรรยาย สัมผัส แล้วเรื่องที่เกี่ยวเนื่องในวิถีชีวิตของคนโบราณก็จะหลุดออกมาเป็นกะบิ แล้วมาลงท้ายด้วยการกราบงามๆแก่พ่อใหญ่แม่ใหญ่ผู้เป็นวิทยากรท่านนั้นๆ จะเลยไปถึงผูกข้อต่อแขน รดน้ำดำหัวก็ไม่ผิดอะไร…

พ่อแม่เรา พ่อใหญ่แม่ใหญ่เรามีชีวิตหล่อหลอมมาอย่างนี้ เราให้กันอย่างนี้ ลูกหลานเอาเป็นตัวอย่าง เรียนรู้ไว้ ก่อนที่จะเติบใหญ่เป็นคนในสังคมใหม่ที่ขาดแคลนทาน การให้ ยากจนน้ำใจ ตระหนี่ถี่เหนียวผิดมนุษย์มนาในเรื่องไม่เป็นเรื่อง สังคมจะอยู่ได้อย่างไรหากทุนสังคมเดิมดีดีของเราหดหายไปจนสิ้น สิ่งที่งอกเงยมามีแต่การเอารัดเอาเปรียบ แก่งแย่งกัน ไขว่คว้าปริมาณให้มากที่สุด ละเลยคุณค่าทางใจแก่กัน

ภาพเหล่านี้สะท้อนใจผมมากครับ….เพื่อนร่วมโลก..

ผมเรียกการกระทำพูดคุยของคนต่างวัย ต่างรุ่น แบบนี้ว่า Dialogue for consciousness or awareness เป็นสุนทรียสนทนาอีกแบบหนึ่ง ที่ทำเพื่อปลุกสำนึกคนรุ่นดิจิตอลให้เห็น รับรู้ สัมผัสและตระหนักคุณค่าทางวัฒนธรรมดีดีของเราครับ


“ผลึก” Conductor หล่นที่ มข.2

11 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มกราคม 8, 2009 เวลา 13:30 ในหมวดหมู่ สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย, เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 2625

น้องอึ่ง เรียกร้องให้เพิ่มเติม ผลึกของ Conductor ที่ มข. ซึ่ง Conductor ก็รับปากว่าเมื่อเดินทางถึงกรุงเทพฯแล้วจะขยับเรื่องนี้ต่อ ผมขอถือโอกาสเก็บตกมาเผยแพร่ก่อนแล้วกัน ส่วนที่เหลือให้คอนเขาเต็มที่เลย หรือในส่วนที่ผมกล่าวต่อไปนี้หรือช่วงที่ 1 ขาดตกบกพร่องอย่างไรก็กรุณาเติมเต็มด้วยครับ

คอนพูดถึงโปรแกรม “OpenCARE” ผมไม่ทราบรายละเอียดมากนัก แต่เดาว่าเกี่ยวข้องกับกรณี Tsunami ที่ฝั่งอันดามัน ซึ่งคอนมีส่วนร่วมในกระบวนการช่วยเหลือด้วย และมีผลกระทบทางความคิดเห็นมากมาย โดยเฉพาะการหาทางสร้างเครื่องเตือน หรือชุดสำเร็จในการแก้ปัญหาหากเกิดกรณี Disaster ใหญ่ๆเช่นนั้นขึ้นมาอีกในอนาคต หากเข้าใจผิดขออภัยด้วยนะครับ แต่เกี่ยวกับสิ่งที่ คอน กล่าวถึงระบบการเตือนภัย และการสร้างความพร้อมในการแก้ปัญหา นี่คือประเด็นที่น่าสนใจมาก ผมเองก็มีบทเรียนเรื่องนี้และเตือนตัวเองบ่อยครั้งเหมือนกัน

ผมจำได้ว่านานมาแล้วที่เครื่องบินการบินไทยตกที่ภูเก็ตมีผู้โดยสารเสียชีวิตมากมาย หนึ่งในนั้นเป็นเพื่อนรักของคนข้างกายผมด้วย เมื่อเกิดกรณีร้ายแรงเช่นนั้น การบินไทยผู้รับผิดชอบโดยตรง ทำการแก้ปัญหานี้อย่างไร…..น่าสนใจมากครับ

หากถามผมผู้ไม่รู้เรื่องผมก็คงตอบไปตามประสา ว่า ผู้บริหารการบินไทยต้องประชุมด่วนและ สร้างมาตรการต่างๆออกมาเป็นระยะแล้วมอบหมายพนักงานไปรับผิดชอบตามลำดับขั้น……สั่งจ่ายงบประมาณไปใช้จ่ายในกรณีนี้ และ ฯลฯ…..

ผิดถนัดเลยครับ…..

วิสาหกิจที่มีงบประมาณหมุนเวียนนับหมื่นล้าน แสนล้าน มีพนักงานมากมาย มีการแข่งขันในสากล มีผู้เกี่ยวข้องมากมายโดยเฉพาะผู้เสียหาย …ฯลฯ.. จะมานั่งประชุมทำเช่นนั้นไม่ทันกิน..

แล้วการบินไทยทำอย่างไร…

เท่าที่ผมทราบนะครับ(ข้อมูลนี้เมื่อหลายสิบปีที่แล้ว ปัจจุบันคงพัฒนาไปไกลมากแล้ว) การบินไทย หรือการบินไหนๆก็ตามจะมาคอยให้เครื่องบินตกแล้วมาประชุมแก้ปัญหาแบบที่ผมกล่าวนั้นไม่ได้ ต้องทำล่วงหน้าครับ….

ต้องมีการสร้างสมมติฐานว่าเครื่องบินตก แล้วบริษัทการบินไทยจะทำอย่างไร

  • มาตรการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ระยะกลาง ระยะยาวถูกกำหนดออกมาก่อนแล้ว

  • บุคลากรที่จะต้องรับผิดชอบถูกกำหนดแล้ว

  • เครื่องไม้เครื่องมือที่ต้องใช้เตรียมพร้อมแล้ว

  • มีการฝึกอบรมทุกฝ่ายทุกคนให้พร้อมใช้มาตรการนั้นแล้ว

  • งบประมาณที่ต้องใช้เตรียมพร้อมแล้ว

  • หากมีคนเสียชีวิต ที่เป็นทั้ง พุทธ คริสต์ อิสลาม จะต้องมีขั้นตอนทำกับร่างผู้เสียชีวิตอย่างไรนั้นถูกเตรียมพร้อมหมดแล้ว…

  • ทุกอย่างพร้อมตลอด 24 ชั่วโมง ทันทีที่ทราบว่าเครื่องบินตกที่ไหน ผู้รับผิดชอบตามแผนงานถูกปฏิบัติทันทีในวินาทีนั้นโดยไม่ต้องมาประชุมรับฟังคำสั่งก่อน ทั้งนี้เพื่อรักษาชีวิตผู้โดยสารให้ทันท่วงทีและดีที่สุด

  • …..ฯลฯ…..

มี Package การปฏิบัติกรณีเครื่องบินตกออกมา นี่คือการเตรียมการเชิงรุก…จัดทำล่วงหน้า ผมหลับตาฟัง คอนบรรยายเรื่อง OpenCARE แล้วผมนึกถึงกรณีการบินไทยนี้ และโปรแกรมนี้เห็นว่ากำลังดำเนินการต่อ…

จากกรณีนี้ผมคิดเลยเถิดไปถึงเรื่องต่างๆในชีวิตประจำวัน วิถีชีวิตประจำวันทั้งผมและท่านทั้งหลาย มีกี่เรื่องที่เราคิดเตรียมการไว้ล่วงหน้าบ้าง เช่น

  • หากรถที่ขับอยู่เกิดยางแบน จะต้องทำอย่างไรบ้าง ขั้นที่หนึ่ง ขั้นที่สอง ขั้นที่สาม สี่ห้า มีการเตรียมพร้อมเรื่องนี้ไหม.

  • หากเรามีปัญหาสุขภาพและเกิดเป็นอะไรปัจจุบันทันด่วน จะต้องทำอะไรบ้าง ขั้นที่หนึ่ง ขั้นที่สอง ขั้นที่สาม สี่ห้า มีการเตรียมพร้อมเรื่องนี้ไหม.

  • หากลูกสาวเราโดนถูกรังแก ลูกสาวจะมีขั้นตอนป้องกันตัวหรือเรียกร้องความช่วยเหลืออย่างไรบ้าง ขั้นที่หนึ่ง ขั้นที่สอง ขั้นที่สาม สี่ห้า มีการเตรียมพร้อมเรื่องนี้ไหม.

  • หากเกิดไฟไหม้บ้านเรา….

  • หากคุณพ่อคุณแม่เกิดป่วยปัจจุบันทันด่วน…

  • หากขโมยเข้าบ้าน…

  • หาก…..หาก…หาก…

เท่าที่สังเกตทางการแพทย์จะมีชุดการเตรียมความพร้อมต่างๆที่เกี่ยวกับปัญหาสุขภาพไว้ค่อนข้างสมบูรณ์มากว่าสาขาอื่นๆ กล่าวอีกทีทำงานเชิงรุกมากกว่าสาขาอื่นๆ

นี่เป็นการสร้างหลักประกันให้แก่ชีวิตและทรัพย์สิน

นี่คือหลักการลดความเสี่ยงในการดำรงชีวิต

นี่คือหลักความไม่ประมาทในการดำรงชีวิต ซึ่งพระพุทธองค์ตรัสมานานกว่า สองพันปีแล้ว

มนุษย์ที่อ้างว่าอยู่ในยุคที่เจริญแล้วยังไม่ตระหนักในความจริงข้อนี้เลย ปล่อยให้ชีวิตล่องลอยอยู่บนความเสี่ยง..อยู่ได้..โส น้า น่า ..อิอิ..


“ผลึก” Conductor หล่นที่ มข.1

7 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มกราคม 7, 2009 เวลา 22:24 ในหมวดหมู่ สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย, เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 2611

มีโอกาสเข้าไปเป็นผู้ฟัง คอน ของเรา บรรยายที่ภาควิชา วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ บ่ายวันนี้ ในหัวข้อเรื่อง สิ่งที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอน เป็นการเชิญของ Blogger ท่านหนึ่งที่เป็นอาจารย์อยู่ที่นี่(อาจารย์ ดร.กานดา ใน G2K) ผมขอคุณ คอนเข้าไปฟังด้วย เพราะผมสนใจ เพราะเรารู้กันว่า คอนเขามีประสบการณ์มากมายและเป็นประสบการณ์ที่แตกต่างไปจากผมอันเนื่องมาจากฐานความรู้ที่แตกต่างกัน

ผู้ฟังเป็นนักศึกษาในภาควิชาตั้งแต่ปี 2-4 จำนวนก็เต็มห้องเลคเชอร์ขนาดใหญ่ ผมได้อะไรมามากมายสมใจทีเดียว แม้คอนจะถ่อมตัวว่านักศึกษาอาจจะฟังไม่รู้เรื่องก็ตาม ผมว่านักศึกษารู้เรื่องเพราะตอบสนองต่อประโยคคำพูดต่างๆของคอนพอสมควรทีเดียว ส่วนผม มีฐานการผ่านงานมาแล้วจึงรับได้เต็มๆ แม้ว่าสาระที่คอนกล่าวจะเป็นเรื่องราวทางคอมพิวเตอร์ ที่ผมไม่กระดิกก็ตาม แต่ผมรับหลักการได้ และสัมผัสได้ ผมขอยกเพียงสองผลึกเท่านั้น (ทั้งที่มีผลึกตกที่ห้องนั้นมากมายครับ)

การเรียนรู้ไม่จำเป็นต้องอยู่ในห้องเรียน ค้นคว้าเอง ศึกษาเองได้ นี่คือผลึกของคอนที่กล่าวแก่นักศึกษาพร้อมยกตัวอย่างสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวของคอนเองเพราะมีลูกน้องในที่ทำงานเป็นศิษย์เก่า มหาวิทยาลัยขอนแก่นคนหนึ่งจบสาขาฟิสิกส์ แต่ไปทำงานกับคอนในตำแหน่งโปรแกรมเมอร์ เพราะเขาเรียนของเขาเอง จนเก่ง

เรื่องนี้ผมก็มีตัวอย่างนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่นอีกคนหนึ่งจบทางด้านพัฒนาสังคม คณะมนุษยศาสตร์ แต่ไปเป็นโปรแกรมเมอร์ให้กับบริษัทเบียร์สิงห์ที่ไปตั้งโรงงานที่ท่าพระ ขอนแก่น เขาเรียนนอกห้องเรียน เรียนเอง มุมานะจนมีความชำนาญ ทั้งนี่เพราะใจรัก เมื่อใจรักก็แปรเปลี่ยนเป็นพลังที่ทุ่มเทให้กับความรัก ความสนใจของเขา และประสบผลสำเร็จด้วย เผลอๆอาจจะมากกว่าคนที่เรียนจบมาทางสายนี้โดยตรงด้วยซ้ำไป

อีกหัวข้อหนึ่งที่คอนวางผลึกไว้ให้นักศึกษาวันนี้ คอนกล่าวว่า ตอนที่เรียนที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ นั้นไป Take Course วิชา จิตวิทยาสังคม ที่คณะครุศาสตร์ และได้เอาสาระมาใช้มากจนปัจจุบันนี้

ผมทำงานมาหลายโครงการ และเกือบทุกโครงการที่ทำก็มักจะรบราฆ่าฟันกับฝ่ายวิศวกรรม เสมอมา เพราะความคิดเห็นที่มีต่อกิจกรรมมักจะแตกต่างกันเสมอเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคนในชุมชน คนข้างกายผมก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน เรามักจะมานินทาวิศวกรในโต๊ะอาหารเสมอ แม้ว่า พี่ชายคนข้างกายผมจะเป็นวิศวกรรุ่นพี่สถาบันคอนถึงสามคน เจอะหน้ากันก็ต้องเว้นเรื่องเหล่านี้ที่จะไม่แตะ เอาความเป็นพี่น้องมาคุยกันดีกว่า อิอิ…

วิศวกรจะมองเรื่องเหตุผลทางด้านเทคนิค และความคุ้มทุน แต่เหตุผลทางสังคมจะให้น้ำหนักน้อย ถึงน้อยมากๆ บางคนไม่สนใจเลยด้วยซ้ำไป มีเรื่องราวมากมายที่เล่าไม่จบเกี่ยวกับคู่ขนานวิชาชีพนี้ อิอิ.. แต่ก็มีวิศวกรหลายท่านที่คำนึงสาระเหล่านี้ และทำได้ดีมากๆด้วย

ผมเคยเข้าไปดูหลักสูตรวิศวชลประทาน ของกรมชลประทาน พบว่าเรียนเรื่องเล่านี้เพียงเป็นวิชาเลือก 3 เครดิต นอกนั้นเป็นสาระทางวิศวกรรมล้วนๆ ทั้งที่วิศวกรเหล่านี้ต้องออกไปทำงานกับคน สังคม ชุมชน ระบบของชุมชน วัฒนธรรมของชุมชน หากไม่เข้าใจเขาแล้วคุณก็อาจจะเยียบย่ำจิตใจชาวบ้าน

ผมมีตัวอย่างที่คลาสสิคต่อเรื่องนี้เพื่อมาสนับสนุนผลึกของคอนครับ ครั้งหนึ่งบริษัทส่งผมไปทำงานกับกรมทางหลวง ภายใต้ความร่วมมือกับ ADB เพื่อศึกษาและทำต้นแบบการก่อสร้างทางหลวงที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม…

เรื่องนี้เกิดที่ลำปาง ทางหลวงแผ่นดินเส้นหนึ่งถูกสร้างขึ้น 4 เลน มีเกาะกลาง และมี U turn ที่ห่างออกไปจากชุมชน ทั้งนี้เป็นไปตามหลักความปลอดภัยในวิชาชีพการออกแบบถนนหลวง เมื่อสร้างเสร็จชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ดีอกดีใจที่ได้ถนนคุณภาพดี มีสะพานลอย ถนนกว้างขวาง แต่บางส่วนก็บ่นว่า แต่ก่อนข้ามถนนตรงไหนก็ได้ ตอนนี้ต้องเดินขึ้นสะพานลอยซึ่งไกลออกไปและดูจะยุ่งยาก ไม่สะดวกเหมือนแต่ก่อน จะเลี้ยวรถทีก็ขับไปไกลโน้น… แต่เมื่ออ้างหลักความปลอดภัย ทุกคนก็กล้ำกลืนความรู้สึกต่างๆกันไป

แต่ที่ชาวบ้านไม่ยอมกล้ำกลืนและลุกฮือขึ้นมาเดินขบวนก็เมื่อเกิดมีคนตายขึ้นมาซิ… ไม่ใช่ตายเพราะอุบัติเหตุจากถนน ก็แก่ตายธรรมดานี่แหละ..

อ้าว มันไปเกี่ยวกับถนนอย่างไร…

เกี่ยวซิ เกี่ยวมากด้วย…

ก็เมื่อคนตาย ประเพณีทางเหนือก็ต้องเอาร่างไปเผาที่ป่าเฮ้ว(ป่าช้า) การเอาร่างไปก็ต้องใส่ล้อเลื่อนที่สร้างขึ้นมาเฉพาะแล้วลากไปตามถนนโดยเอาหัวออกไปก่อน และที่สำคัญห้ามเอาหัววกกลับมาทิศทางที่บ้านอยู่ ต้องเอาหัวไปทางป่าเฮ้วเท่านั้น…

แล้วกัน.. บ้านคนตายอยู่ฝั่งซ้าย ป่าเฮ้วอยู่ฝั่งขวา แล้วต้องไป U turn โน้นนนนนน….เมื่อ U turn หัวร่างผู้วายชนม์ก็ต้องหันกลับมาทางบ้านซิ….. ก็ผิดประเพณี…

เรื่องนี้ถึงกับเดินขบวนให้รื้อเกาะกลางถนนเพื่อประเพณีดังกล่าว….

ใช้เวลาต่อสู้เรื่องนี้กันนาน เพราะทางหลวงก็อ้างหลักความปลอดภัย ชาวบ้านก็ไม่ยอม พยายามหาทางออกกันหลายวิธี แม้มีนายช่างบางคนเสนอย้ายป่าเฮ้ว ก็มี…

แต่ในที่สุดทางหลวงก็ต้องรื้อจริงๆ…..

นี่คือบทเรียนที่สำคัญที่ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัยเช่นกันครับ…..


สะเมิง: เมื่อม้งเข้าห้องเรียน

2 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มกราคม 5, 2009 เวลา 14:19 ในหมวดหมู่ ชนบท, สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย #
อ่าน: 3607

โครงการที่ผมทำที่ อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่เมื่อ 30 ปีที่แล้วนั้น ถือได้ว่าเป็นยุคแรกๆของ องค์กรพัฒนาเอกชน ที่เรียกว่า อพช. หรือ NGO ก็ได้ ทีมงานไม่ถึง 10 คน รับผิดชอบกันคนละตำบล และมีทีมงานกลาง 2 คนที่รับผิดชอบทุกตำบลเฉพาะด้าน ผมเองรับผิดชอบงานด้านสังคม เน้นการจัดตั้งกลุ่มเครดิตยูเนี่ยน หรือกลุ่มออมทรัพย์นั่นเอง

โครงการนี้สนับสนุนโดยมูลนิธิจากประเทศเยอรมันแห่งหนึ่ง โดยการชักชวนของ ส.ศิวรักษ์ เนติบัณฑิตจากประเทศอังกฤษฝีปากกล้า พนักงานโครงการจึงถูกฝึกอบรมก่อนทำงานที่ โครงการบูรณชนบทแห่งประเทศไทย จังหวัดชัยนาท ที่มีอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์เป็นประธาน ที่เรียกย่อๆว่า บชท. คือ Thailand Rural Reconstruction Movement (TRRM) ซึ่งจำลองหลักการมาจาก ดร. เจมส์ ซี เยน แห่งประเทศ ฟิลิปปินส์ ที่เรียกว่า PRRM หลักการของท่านเรียก Credo 10 ท่านที่สนใจเข้าไปที่กูเกิลครับ

สมัยเมื่อ 30 ปีที่แล้วหลักการพัฒนาชนบทของบ้านเรานั้นเรียกได้ว่านำเข้ามาจากต่างประเทศทั้งนั้น ไม่ว่า คิบบุช โมชารป จากอิสราเอล เซมาเอิล อุลดอง จากเกาหลีใต้ ซาโวดายา จากศรีลังกา กรามินส์แบ้งค์ จากบังกาเทศ(ที่ได้รับรางวัลโนเบล) เครดิตยูเนี่ยน ที่ท่านคุณพ่อบุญเลื่อน หมั้นทรัพย์ แห่งสภาคริสตจักรแห่งประเทศไทยนำเข้ามาจากยุโรป ในปี 2509 ซึ่งมีต้นกำเนิดที่เยอรมันสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง

เท่าที่ผมทบทวนดูสมัยนั้นยังไม่มีคำว่า การมีส่วนร่วม การบูรณาการ ฯลฯ แต่มีคำว่า การยืนอยู่บนขาตนเอง การช่วยเหลือเขาให้เขาช่วยตัวเองได้ Top down-Bottom up และศัพท์แสงทางวิชาการก็เกิดมาภายหลังที่งานพัฒนาชนบท โดยองค์กรพัฒนาเอกชน กระจายไปทำงานทั่วประเทศ และพัฒนาประสบการณ์งานพัฒนาสังคมขึ้นมาเอง ผนวกกับกระแสงานพัฒนาสังคมทั่วโลกที่มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันมากขึ้น เพราะ คนทำงานด้านนี้ส่วนใหญ่ก้าวมาจากสถาบันการศึกษา ที่มีสำนึกทางการเมืองในยุคนั้น จึงนิยมสุมหัวคุยกัน เป็นประจำจนต่อมาก่อให้เกิด ศูนย์ประสานงานองค์กรพัฒนาสังคมเอกชนที่เรียก NGO-CORD หรือ พอช. ขึ้นทุกภูมิภาค

เดี๋ยวจะกลายเป็นเล่าพัฒนาการ NGO ในเมืองไทยไปซะ… วกเข้ามาที่ สะเมิง

เราไปจัดตั้งผู้นำชาวนาขึ้นทุกหมู่บ้าน สมัยนั้นสุ่มเสี่ยงมาก เพราะเป็นยุคที่รัฐต่อต้านแนวความคิดคอมมิวนิสต์ ชื่อผู้นำชาวนาจึงเป็นเป้ามองของสันติบาลว่า ทำอะไรกัน ทุกเดือนเราก็เอาผู้นำชาวนานี้มาเข้าหลักสูตรฝึกอบรมที่สำนักงานเกษตรภาคเหนือ(บริเวณสำนักงานที่มีร้านอาหารชื่อกาแลตั้งอยู่ในปัจจุบัน) ซึ่งมี ดร.ครุย บุญยสิงห์เป็นผู้อำนวยการสำนักงานอยู่ คนสมัยนี้ไม่รู้จักท่านแล้ว ท่านก็คือสามีของอาจารย์เต็มศิริ บุญยสิงห์ นักอภิปรายทางทีวีตัวยงในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา ดร.ครุยเอง ท่านจบมาจาก มหาวิทยาลัยคอแนล ที่มีชื่อเสียงของอเมริกา และท่านเป็นทีมงานศาสตราจารย์ที่ได้รับรางวัลโนเบลในช่วงนั้นด้วย ..

ผู้นำชาวนาที่มาเข้าหลักสูตรฝึกอบรมนั้นก็จะได้รับความรู้เกี่ยวกับการทำมาหากิน การยกระดับผลผลิต การปรับปรุงพันธุ์พืช การพัฒนาการเกษตรโดยเอาพืชเศรษฐกิจใหม่ๆเข้าไป ตามยุคสมัยนั้น.. ปรากฏว่าเมื่อผู้นำชาวนากลับไปในหมู่บ้านเขา บางคนก็ไปเล่าความรู้ใหม่ๆให้ญาติพี่น้องฟัง ให้เพื่อนบ้านฟัง อันเนื่องมาจากสะเมิงเป็นเมืองค่อนข้างปิดดังกล่าว

ความรู้เหล่านี้เป็นที่สนใจของชาวบ้านที่ตื่นตัว อยากรู้มาก และหนึ่งในจำนวนนั้นก็คือ ผู้นำชาวเขาเผ่าม้งที่ตำบลยั้งเมิน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ไกลที่สุดของโครงการ ผู้นำม้งติดต่อโครงการขอมารับการฝึกอบรมด้วย เขาจึงได้มาเข้าร่วมเพิ่มพูนความรู้ทุกเดือน แต่เนื่องจากเขามีข้อจำกัด เพราะว่าม้งฟังภาษาไทยได้ แต่คำที่เป็นศัพท์ทางวิชาการเขาจะไม่ค่อยรู้เรื่อง และที่สำคัญเขาไม่สามารถทำการบันทึกความรู้ได้ ใช้วิธีจำใส่หัวโตๆอย่างเดียว

ต่อมาผู้นำม้งขออนุญาตโครงการเอาลูกชายที่ผ่านระบบโรงเรียนของไทยมาแล้วเอามาด้วย เพื่อวัตถุประสงค์ทำการบันทึกความรู้โดยตรง….??? นี่คือความพยายามของเขาที่จะเรียนรู้ หรือพูดในภาษานักพัฒนาก็คือ มีความตื่นตัวในการรับเทคโนโลยี่ใหม่ๆ มีความตื่นตัวในการปรับตัวเองไปตามสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ดีไม่ดี ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์


การอบรมครั้งหนึ่ง ที่ประชุมพูดถึงว่าพื้นที่สะเมิงนั้นล่อแหลมต่อการเป็นแหล่งผลิตฝิ่น ที่นำไปทำเป็นเฮโรอิน ซึ่งผิดกฎหมายไทย และมีผลร้ายแรงต่อคนที่เสพติด ผู้นำม้งท่านนั้นก็บอกว่า เป็นความจริงที่ ชาวเขาหลายเผ่าทำการปลูกฝิ่น โดยเฉพาะเผ่าม้ง ปลูกกันเป็นไหล่เขาเลย

แต่ผู้นำม้งกล่าวว่า เฮาปลูกฝิ่น แต่เฮาบ่กินฝิ่น คนไทยน่ะง่าว กินฝิ่นกันมากมาย…. ??? แปรความได้ว่า เราปลูกฝิ่นแต่เราไม่เสพฝิ่น คนไทยน่ะโง่ที่ไปเสพฝิ่น…???

แสบไหมล่ะพี่น้องที่ได้ยินคำนี้….โส..น้า..น่า..โค กิ ฝิ่.. อิอิ


ปีวัวบ้า…2552…

8 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ ธันวาคม 27, 2008 เวลา 18:08 ในหมวดหมู่ สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย, เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2761

คนข้างกายเธอติดนิยายในสกุลไทย ประเภท แฟนคลับตัวยง ผมก็พลอยได้อ่านบางบทความบางเรื่องไปด้วย บทหนึ่งที่ดูผ่านๆประจำคือ ดวงเมือง..ของ โสรัจจะ นวลอยู่ อิอิ.. อย่าเครียด อย่าตกอกตกใจ ถือว่าเป็นการรับทราบไว้และไม่ประมาทนะครับ

2552 เป็นปีวัวบ้าครับ..???..

โดยสรุป เขากล่าวว่า

· สยามประเทศถูกร้อยด้วยดาวบาปเคราะห์เป็นลูกโซ่ อาถรรพ์ของดวงประชาธิปไตยได้สำแดงฤทธิ์อีกครั้ง วันที่ 2 มีนาคม เป็นต้นไปเป็นวินาศกับดวงเมืองเพราะดาวมฤตยูย้ายจากราศีกุมภ์เข้าราศีมีน การเปลี่ยนแปปลงการปกครองจะอุบัติขึ้น ดาวมฤตยูเป็นเจ้าแห่งการเปลี่ยนแปลง

· ต้นปีประเทศเข้าสู่ท่าทีใหม่ ยุคใหม่ มีการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ มีแผนการใหม่ๆอันเหมาะสมกับประเทศ

· แต่ดวงประเทศผูกไว้กับ ราหู พฤหัสบดี และมฤตยู ตั้งแต่ต้นปี และเกิดการทำมุมขึ้น …ทำให้เกิดความไม่ปรองดองกันของนักการเมือง มีการเพิ่มทิฐิมานะเต็มที่… ความรุนแรงแผ่ไปทั่ว กลุ่มบุคคลบูชาหลักการปกครองสมัยใหม่ กำลังปลุกปั่นผู้คนอย่างเต็มที่ เศรษฐกิจบ้านเมืองตกต่ำสุดขีด บ้านเมืองถอยเข้าสู่เผด็จการ การแข็งข้อของราษฎรมีความกระทบต่อการกระทำของผู้ใหญ่ที่หลงอำนาจและคอรัปชั่นสุดโต่ง..

· การที่มีผู้คิดจะเอาลัทธิใหม่เข้ามาปกครองประเทศ หากปล่อยไปประเทศจะวิบัติอย่างใหญ่หลวง ตกอยู่ในสภาพมิคสัญญี เดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า

· อิทธิพลของลัทธิใหม่เริ่มเป็นอันตรายต่อชาวโลก ควรเตรียมใจ เตรียมสติปัญญาการแก้ไขให้เต็มที่

· เดือน พ.ค. โดยทั่วไปไม่น่าไว้วางใจต่อสถานการณ์รอบด้านของโลก โดยเฉพาะประเทศไทยเรา ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เป็นนิมิตรหมายอันดีของประเทศชาติ อยู่ในสภาพเผชิญหน้า การท้าทาย แตกแยก หักหาญ การแย่งชิงอำนาจกัน เกิดหักมุมอันร้ายแรงได้ทุกขณะ ประเทศชาติแขวนบนเส้นด้ายเล็กๆ

· ปีฉลู 2552 นับว่าเป็นปีความวิปโยคอย่างแท้จริง รัฐบาลจะล้มลุกคลุกคลาน เกิดการล้มทางลัดด้วยปากกระบอกปืน ของทหารผู้มักใหญ่ใฝ่สูง เกิดการจลาจลในกรุงเทพฯ แตกแยกเคียดแค้น จะก่อความยุ่งยากทีละน้อยจนระงับไม่อยู่ ผู้มีอำนาจจะหมดวาสนา หรือต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ

· ปัญหาภาคใต้ก็รุนแรงขึ้น ….. ทำความยุ่งยากแก่รัฐบาล มากมาย……..

· เศรษฐกิจจะตกต่ำเป็นประวัติศาสตร์ของเมืองไทย ล้มละลายทางเศรษฐกิจ ประชาชนอดอยาก ถึงกับปันอาหาร ธนาคารแย่สุด..

· ปลายปีจะเกิดอาเพศ หิมะตก ซึ่งเป็นลางร้ายทั้งทางธรรมชาติ บุคคล การเมือง การปกครอง วัฒนธรรมประเพณี เกิดโรคภัยแปลกๆ มีปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วม

· ปลายปี จะเกิดคลื่นยักษ์ถล่มชายฝั่งอันดามันอีก น้ำท่วมใหญ่อีกครั้ง ใต้ฝุ่นจะเข้าถล่มภาคใต้

· ปีนี้แกนโลกเอียงมาก อาจเกิดภัยธรรมชาติมากขึ้น พายุรุนแรงมากกว่าเดิม แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ทั่วโลก มีผู้เสียชีวิตมาก

2552 ปีวัวบ้า

อย่าไปเชื่อ อย่าไปตระหนกตกใจ แค่รับรู้รับทราบ และไม่ประมาทเท่านั้น…

มอบดอกวาสนาให้ทุกท่านก็แล้วกันครับ



Main: 0.1204559803009 sec
Sidebar: 0.061167001724243 sec