Children Damaged by Materialism (1)
นานๆจะเห็นบทความแบบนี้กัน ชี่อเรื่องคือ “Children damaged by materialism” หรือ เด็กกำลังถูกครอบงำและถูกบ่อนทำลายโดย “ลัทธิวัตถุนิยม” เป็นบทความแปลของรจนโรจน์ ในยลยิลอินเตอร์เนท ในหนังสือสกุลไทยเล่มเก่ากองอยู่ในห้องทำงานคนข้างกาย ที่พอมีเวลาบ้างผมก็เปลี่ยนสมองไปหยิบหนังสือเหล่านี้มาพลิกอ่านดู ไม่ได้อ่านนิยงนิยายหรอกครับ เปิดดูบทความที่น่าสนใจที่มักมีอยู่บ่อยๆ
อย่างเรื่องนี้เป็นต้น ผมแปลกใจที่ประเทศต้นตำหรับการก่อเกิดระบบทุนนิยม สมัยปฏิวัติอุตสาหกรรมโน้นนนน ปัจจุบันกลับมาพูดเรื่องนี้ สิ่งที่บทความนี้กล่าวถึงคือสิ่งที่เราก่นกันทุกวันถึงพลังมหาศาลของระบบนี้ที่ไหลบ่าเข้ามาบ้านเราโดยเราไม่มี “ตัวกรอง” ผมมองว่าลัทธิวัตถุนิยมนี้มีผลสองด้าน ด้านหนึ่งก็ดี เพราะเป็นการยกระดับวิถีชีวิตตามการเปลี่ยนแปลงของโลก แต่อีกด้านหนึ่งเนื้อในที่ไม่ดีมาทำลายของดีดีของเราไป โดยที่เราผู้เสพไม่รู้ตัวบ้าง รู้ตัวแต่ติดสุขบ้าง หรือรู้แบบผิดๆบ้าง
หัวเรื่องบทความนี้กล่าวว่า “มีประเด็นบ่งบอกชัดเจนว่าการเจริญเติบโต หรือพัฒนาการของเด็ก ตลอดจนความเป็นอยู่ที่ดีของเด็กในอังกฤษกำลังถูกทำลายลงด้วยการถูกการพาณิชย์ของโลกเข้าครอบงำ”
บทความกล่าวว่าอังกฤษได้ทำ โพลล์ สำรวจเรื่อง แบบอย่างการดำเนินชีวิต หรือวิถีชีวิต ของคนอังกฤษ ที่เรียกการสำรวจนี้ว่า GFK NOP Survey เป็นการตรวจสอบความคิดเห็นของประชาชนอังกฤษจากกลุ่มตัวอย่าง 1,255 คน แล้วพบว่า “เด็กในโลกปัจจุบันเป็นผู้ที่ถูกครอบงำด้วย “ลัทธิวัตถุนิยม” มากกว่าเด็กในสมัยก่อนมาก”
บ๊อบ ไรเต็มไมเออร์ ผู้บริหารของสโมสรเด็กของอังกฤษ กล่าวว่า “….พวกเราต้องสำรวจตัวเราเอง เพราะเราเป็นเบ้าหลอมให้กำเนิดแก่ คนในรุ่นต่อไปของเรา นั้น เราได้ทำให้พวกเขาหลงทาง และไม่สามารถประสบผลสำเร็จในการพัฒนาชีวิตของพวกเขา เพราะเรามัวแต่พะวงติดกับสิ่งที่พวกเราคิดว่าเป็น แบบอย่างของวิถีชีวิตที่ถูกต้อง
ดร.โรวัน วิลเลี่ยมส์ อาร์คบิชอพแห่งแคนเตอเบอรี ซึ่งเป็นผู้มอบเงินสนับสนุนการสำรวจครั้งนี้กล่าวว่า “พวกเด็กๆควรได้รับการสนับสนุนให้มองตัวเองอย่างมีคุณค่าในความเป็นคนหรือเป็นมนุษย์ มากกว่าวัดกันด้วยทรัพย์สินสมบัติต่างๆที่ตนมี จนหมดความเป็นคนไป นอกจากนี้บรรดานักธุรกิจที่มุ่งแต่จะขายของและบริการทุกอย่างเพื่อสนับสนุนการมีวิถีชีวิต หรือไลฟ์สไตล์นิยมวัตถุอย่างรุนแรงอย่างในปัจจุบันที่วัดกันแต่ความเจริญทางวัตถุ ทำให้เกิดความโลภเข้าครอบครองวัตถุให้มากๆ และมีอัตตาแยกตัวเองเป็นเอกเทศ หรือเป็นปัจเจกมากขึ้น ทั้งๆที่ชีวิตจริงควรจะอยู่กันแบบชุมชนและร่วมมือร่วมใจกันในชุมชน”
ผมขอกราบงามๆแด่ท่านอาร์คบิชอพแห่งแคนเตอเบอรี สามครั้ง สิ่งที่ท่านเปล่งวาจาออกมานั้นมีคุณค่ามากจริงๆ มันได้ย้ำความเข้าใจของเรา เพื่อนฝูงทั้งหลาย คำกล่าวในทำนองนี้ ในความหมายแบบนี้ เราเองก็กล่าวกันมามากมาย แต่เราแค่ปุถุชน คนหนึ่งที่ก่นด่าลัทธิทุนนิยมเท่านั้น ก็รู้ๆกันอยู่แต่คุณและผมก็เสพมันอยู่ทุกวัน…. ซึ่งสังคมถูกครอบไปด้วยลัทธินี้เราอยู่ในสังคมนี้ หนทางจะหลีกหนีไปได้คือการปลีกวิเวกออกจากสังคมไป หรือไม่ก็อยู่ในสังคมนี้แหละ แต่เท่าทัน และมีตัวกรองที่มีประสิทธิภาพพอสมควรที่จะอยู่อย่างไม่ลุ่มหลง ขาดสติ ยั้งคิด ถึงความพอดี พอเพียง เราเลือกเหตุผลหลัง เพราะมิเช่นนั้นก็เข้าป่าเป็นฤษีชีไพรกันไปหมดแล้ว
หากจะประมวลภาพของประเทศไทยต่อเรื่องนี้ ให้ไปดูพัฒนาการทางประวัติศาสตร์การพัฒนาประเทศของเรา วิเคราะห์แผนชาติดูซิ สร้าง GDP เป็นหลัก ซึ่งการเติบโตของ GDP นั้นก็ผนวกการสร้างปัญหา หรือ/และ สร้างความเสี่ยงในการเกิดปัญหาตามมาอีกมากมาย แต่ไม่พูดถึง หรือมองไม่เห็น
หากจะดูว่าการศึกษาเราหลงไหล ขาดสติอย่างไร ให้ไปดูระบบการศึกษาของเราที่ป้อนบัณฑิตก้าวเข้าสู่กองทัพทุน สนับสนุนทุน เช่น นิเทศศาสตร์ ผลิตคนไปคิดระบบการโฆษณาที่ฟังแล้วคนต้องตัดสินใจควักกระเป๋าเอาบัตรเครดิตไปซื้อสินค้าเขา.. แทนที่จะยั้งคิดในหลักพอเพียง คือไปสร้างค่านิยมการบริโภคขึ้นมา
หลงใหลได้ปลื้มกับรสอาหารมากกว่าคุณค่าอาหาร ค่านิยมในการบริโภคอาหารสำเร็จรูปแก่เด็กๆ
สร้างเงื่อนไขการเข้าถึงการบริโภคที่เกินความจำเป็นง่ายขึ้น สะดวกขึ้น เช่น ราคามือถือลดลง แต่เสียค่าบริการ ลดราคาวางเงินดาวน์มอเตอร์ไซด์ลงมาเพื่อกระตุ้นให้คนตัดสินใจ เอามอเตอร์ไซด์ออกมา แต่ไม่มีปัญญาผ่อน
…….มากมาย….มากมาย….
เราเองก็เป็นหนึ่งในการเป็นสื่อ หรือ ตัวแบบของการบริโภค หรือค่านิยมด้วยอย่างไม่รู้ตัวดังนั้น การมีสติ รู้เท่าทัน และการสร้างตัวกรองจึงเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง ในขณะที่เราก่นด่าความไม่ดีของระบบทุนนิยมแต่เราก็เดินตามไปต้อยๆ ทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว ทั้งมีสติและจำเป็นต้องไหลตามไปแบบถูกกระทำ แบบไหลตามไปปากก็โวยไปด้วย..
- ชาติต้องคิดมากๆในการหันซ้ายขวาประเทศให้เข้าร่องรอยที่เหมาะสม
- สถาบันหลักของชาติต้องเป็นธงนำในการสร้างค่านิยมที่ถูกต้อง
- ผู้นำทุกระดับต้องฝึกฝนตนเองที่จะขบถต่อลัทธินี้แบบค่อยๆเป็นไป
- ทุกระดับชั้นสร้างตัวกรองที่เหมาะสมขึ้น
- กลุ่มความคิดต่างๆต้องกระตุกกันให้มากๆ บ่อยๆ ต่อเนื่อง
- นำเครื่องมือของทุนมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในทิศทางใหม่ของประเทศ
- สร้างค่านิยมใหม่ในเรื่องพอเพียงอย่างมีพลัง
- ผู้นำคนไหนที่สนับสนุนทุนแบบทุนนิยมโดยไม่เห็นความสำคัญต่อสาระทั้งหมดนี้ให้เปลี่ยนไปเข้าหลักสูตรฟื้นฟูทัศนคติใหม่ในการพัฒนาสังคม ประเทศ
- คู่ขนานไปกับสาระดังกล่าวรัฐต้องมีมาตรการมาสนับสนุนแนวทางนี้ในทุกด้าน
- โดยเฉพาะสถาบันการศึกษาทุกระดับต้องสร้างหลักสูตรใหม่… พังกำแพงห้องเรียนออก ก้าวสู่ความเป็นจริงของสังคม วิภาคย์และมองหาทางออกร่วมกัน
- ฯลฯ
« « Prev : ศาลาวัดหลังเก่า: ประเด็นสำหรับ Dialogue for Consciousness
Next : Children Damaged by Materialism (2) » »
4 ความคิดเห็น
ถ้าจำไม่ผิดล้นเกล้าฯ ร.6 ทรงได้ให้สติคนไทยมานานแล้วเรื่องลัทธิเอาอย่าง จวบจนทุกวันนี้เราก็ยังไม่ค่อยมีสติ ในการกลั่นกรองลัทธิทุนนิยมที่ถาโถมเข้าใส่ประเทศด้อยพัฒนา ยิ่งยุคโลกาภิบัติ(โลกไร้พรมแดนทางด้านข่าวสารข้อมูล) ถ้าฐานไม่ดีก็พังพินาศย่อยยับดังวิกฤติเศรษฐกิจ (แฮมเบอร์เกอร์) ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยสำหรับประเทศไทย ซึ่ง
มีคนกลุ่มหนึ่ง ที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาประเทศ ที่เห็นแก่ได้ ฉกฉวยโอกาสปราศจากคุณธรรมจริยธรรม เป็นกรรมของประเทศที่ขาดการพัฒนาฐานราก คุณภาพของคนส่วนใหญ่ยังมีปัญหา นำมาซึ่งปัญหาบ้านเมืองอย่างที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ วัตถุนิยม “คนรวยทำอะไรก็ได้” “คนรวยทำอะไรก็ดูดีไปหมด” “รวยเสียอย่างจะทำไม” “ก็คนมันรวย” ตราบใดที่คนส่วนใหญ่ของประเทศตกเป็นทาสของทุนนิยม วัตตถุนิยม สมองก็จะแฟบลง เราคงไม่ปล่อยให้การพัฒนาประเทศตกอยู่ในมือของกลุ่มคนที่ขาดสติ ทุกคนต้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศชาติ เพื่อความอยู่รอดของลูกหลานเราในอนาคต โดยการลงมือทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง อย่างมีสติค้นหาสิ่งดีที่มีอยู่สูงค่ากว่าวัตถุเป็นไหน อยู่อย่างคนฉลาดในความเป็นจริง ซื่อตรงซื่อสัตย์ต่อตัวเอง มีจิตอาษาช่วยกันนำพาประเทศชาติให้รอดพ้นจากลัทธิวัตถุนิยม ทุกคนทุกภาคส่วน ประเทศชาตินี้เป็นของคนไทยทุกคนค่ะ
บางทีอาจเป็นเพราะ โลกนี้ก้าวหน้าเร็วไปครับ ทำให้มีความรู้สึกว่าขืนช้าจะไม่ทันการ ที่จริงโลกหมุนด้วยโมเมนตัมเชิงมุมเท่าๆ เดิม ช้าลงด้วยซ้ำไป เวลาเราดูอะไรเร็วๆ แล้ว จะเห็นไม่ชัดเจน บางทีจึงทำให้ติดลักษณะฉาบฉวย
ช้าลง อาจช่วยได้ครับ
พี่หลินครับ
เห็นด้วยกับพี่ครับ
เพื่อนผมคนหนึ่งเป็นคริสเตียนที่เคร่งครัด เขาบอกผมว่าทางศาสนาทำนายว่ายุคปัจจุบันนั้นคือยึุคมืด ที่คนหลงผิด เห็นผิดเป็นชอบ ตาบอด เห็นทุนนิยทเป็นสิ่งดีงาม อะไรทำนองนี้ และเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นจนยุ่งเหยิงนี้ก็เพราะโลกเรามีสังคมก้าวเข้าสู่ยุคมืดจริงๆ…
นั่นเป็นความเชื่อ ความศรัทธาของเขาในทางศาสนา และเขาก็ประพฤติตัวดี จนหลายคนว่าเขาว่าหลงงมงายในบางครั้งด้วยซ้ำไป แต่ผมไม่ได้คิดเช่นนั้น..
คนที่มีสติ ก็ต้องตื่นขึ้นมาช่วยกันอย่างพี่หลินว่าคนละไม้ละมือ มากเข้าก็หมุนกงล้อได้เหมือนกัน…
คอนครับ
มีความคิดเช่นนั้นจริง บางคนอัพเดทความรู้อย่างที่ว่า กลัวตกยุค
ผมก็ว่าดี..เพียงแต่ศึกษาแบบเท่าทัน ก้าวให้ทันแต่หยั่งรู้ความเหมาะสมเข้าไว้ด้วย