จะเรียนหนังสือหรือจะติดคุก
(ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต)
คุณแม่ท่านหนึ่งนำลูกชายที่ติดเกมส์มาลาออก พร้อมแจ้งว่าตนเองไม่อยากให้ลูกทิ้งการเรียนเลยแต่บังคับลูกไม่ได้ พ่อเลี้ยงซึ่งเป็นคนหาเลี้ยงทั้งครอบครัว ก็กำลังรอจะเล่นงานแม่อยู่เพราะต้องเสียค่าเทอมให้ลูกเลี้ยงไปฟรี ๆ โดยไม่ยอมเรียน
ครูปูจึงรับหน้าที่เป็นด่านสุดท้ายในการทั้งปลอบทั้งอัด โดยมีคุณแม่นั่งร้องไห้กระซิก ๆ เพราะอินไปกับคำพูดครูแทนที่จะเป็นลูก ไล่ไปจน จนมุมเรื่องหนึ่ง เด็กก็จะแถไปอีกเรื่องหนึ่ง พอไล่ไปอีก ก็แถไปอีกเรื่องจนได้ แต่ไม่ว่าพูดเรื่องอะไรครูปูจะไล่เบี้ยไปให้สุดทุกเรื่อง มีใครเกี่ยวข้องบ้าง ใครเป็นพยาน อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ประจำวิชา เรียกมายันกันให้หมด
เหนื่อยก็เหนื่อย ลุ้นก็ลุ้น แต่ต้องวัดกันว่าใครจะอึดกว่ากัน เพราะก่อนใบลาออกจะถึงมือผู้อำนวยการ เด็กและผู้ปกครองต้องผ่านครูปูไปให้ได้ และไม่กี่รายหรอกค่ะที่ครูปูจะยอมเซ็นให้ยกเว้นที่จำเป็นจริง ๆ เช่น ย้ายที่อยู่หรือเหตุผลจำเป็นทางเศรษฐกิจที่สุด ๆ จริง ๆ
กรณีที่เกลี้ยกล่อมให้เด็กเปลี่ยนใจกลับมาเรียนต่อได้สำเร็จ จะมีอยู่ 3 รูปแบบ
กลุ่มแรก “อิน” กับข้อคิดที่ได้ระหว่างการพูดคุย เกิดสงสารพ่อแม่ เกิดสำนึกผิด เกิดประทับใจกับความปรารถนาดีของครูบาอาจารย์ เกิดนึกถึงความผูกพันธ์กับเพื่อน ๆ ขึ้นมา เลยตัดสินใจปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้วยตนเอง กลุ่มนี้มักเปลี่ยนพฤติกรรมได้ค่อนข้างถาวร
กลุ่มที่สอง เพราะครูเสนอทางเลือกที่จะช่วยเหลือ เพื่อให้การขาดเรียนไปของเขาไม่เกิดผลเสียหายมากนัก มีครูคอยพาไปวิ่งตามงานในรายวิชาต่าง ๆ ขอเช็คเวลาเรียนย้อนหลังโดยเสนอตัวอยู่ช่วยงานตามงานจนครบทุกเย็น เด็กถึงจะยอมเรียนต่อเพราะเห็นว่าหนทางในการแก้ไขไม่ได้ยากลำบากนัก ยังมีที่เหลือพอให้กลับตัวได้ กลุ่มนี้ต้องคอยช่วยเหลือให้กำลังใจ เสริมแรงอยู่เสมอ ๆ
กลุ่มที่ 3 นี่ มิได้เข้าใจอะไรเพิ่มหรอกค่ะแต่เพราะเถียงครูไม่ทัน แล้วก็คงท้อที่จะนั่งต่อล้อต่อเถียงกันต่อไปมากกว่า เลยตัดความรำคาญ “อ่ะ ผมเรียนก็ได้” แค่คำนี้คำเดียว พ่อแม่ก็ยิ้มแก้มแทบปริ แต่ครูอย่างเราไม่ได้ดีใจขนาดนั้นหรอกค่ะ เข้าใจเลยว่าภาระหนักหนาสาหัสในการติดตามประคบประหงมรอบใหม่นี้เพิ่งถูกกดปุ่มสตาร์ทเท่านั้นเอง
แต่รายนี้ ไม่ยอมง่าย ๆ เหมือนรายอื่นแฮะ
ขู่สารพัด บอกให้คุณแม่ไล่ออกจากบ้านไปเลย ถ้าไม่เรียน ให้ตัดค่าขนม ให้ออกไปหางานทำจะได้รู้รสชาติของความลำบาก ไอ้เจ้าตัวดีไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรเล๊ย มีแต่แม่นั่งร้องไห้กระซิก ๆ ดูท่าทางแล้วเด็กน่าจะอ่านเกมส์ออก และคงข่มแม่ได้จนชิน จึงไม่รู้สึกรู้สาอะไร เห็นน้ำตาแม่แทนที่จะคิดอะไรได้ ทะลึ่งเบะปากทำไม่รู้ไม่ชี้ซะงั้น (ฮึ่ม! หมั่นเขี้ยวนักเชียว)
กรณีเด็กเสียนิสัย เกียจคร้านไม่มีเหตุผลแบบนี้จะยิ่งแย่ถ้าเด็กไม่เกรงใจผู้ปกครองคนไหนในบ้านเลย เห็นอาการทั้งหมดแล้ว รู้เลยว่าความหวังตอนนี้อยู่ที่ครูเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น
ขึ้นเสียงตาขวาง ยังไงก็จะลาออกให้ได้ เราก็จำเป็นต้องเพิ่มความยืดหยุ่น ว้ากบ้างปลอบบ้าง ยามเขาเสียงแข็งเราก็ต้องผ่อน ยามเขากำลังใช้ความคิดก็ฉวยโอกาสเสนอทางเลือก เอาข้อดีเข้าหลอกล่อ เห็นเขาลังเลก็รีบเสริมแรง
แต่ยังไง๊ ยังไงก็จะลาออก เห็นเด็กเสียงแข็งมาก ๆ เราก็ต้องยอมเป็นฝ่ายผ่อนลง หลอกล่อต่าง ๆ นา ๆ ตึงบ้าง ผ่อนบ้าง
“ด้วยสาเหตุอะไรล่ะลูก ลาออกน่ะต้องมีเหตุผลที่จำเป็นนะ ถ้าจะออกไปเล่นเกมส์อาจารย์เซ็นให้ไม่ได้มันขัดต่อระเบียบ แล้วเด็กที่มีอาการใจแตกแบบเธอนี่ จริง ๆ อาจารย์ต้องส่งตัวให้ตำรวจด้วยนะ ถ้าสรุปว่าเธอเป็นเด็กใจแตก ผู้ปกครองควบคุมไม่ได้ มีหวังถูกส่งเข้าโรงเรียนดัดสันดานอย่างต่ำ ๆ ก็ 4 เดือนนู่นแน่ะ ไปฝึกระเบียบวินัยใหม่ ไปกินไปอยู่แบบทหาร ดื้อนักเขาให้โดดบ่ออึ ไปฝึกหนัก ๆ ทำงานแบกหาม หน้าพ่อหน้าแม่ก็ไม่ได้เห็นนะ เขาห้ามเยี่ยม (ขู่ฟ่อๆๆ)
เธอยังเป็นเด็กยังเป็นนักเรียน เขามีข้อบังคับอยู่ เขาเอาไว้จัดการกับเด็กที่ผู้ปกครองควบคุมไม่ได้แบบเธอนี่แหละ
เคยได้ยินเรื่องสารวัตรนักเรียนใช่ไหม ถ้าเขาไปเจอเธอตามสถานที่มั่วสุมเขามีสิทธิ์จับกุมเธอส่ง สน. ได้เลยนะ แล้วบุคคล 2 คนที่ต้องไปเซ็นเอาตัวเธอออกมาได้ก็คือพ่อหรือแม่กับ ผอ.เท่านั้น
คนขี้เกียจอย่างเราจะไหวมั้ย กับแค่ตื่นเช้าหน่อยมาโรงเรียน ส่งงานตามงาน สอบให้มันจบ ๆ แค่นี้เอง ยังทำไม่ได้เลย แล้วไปเจอแบบนั้น เธอจะไหวเหรอ”
หันไปขยิบหูขยิบตากับแม่เด็ก
“คุณแม่ยินยอมไหมคะ ถ้าอาจารย์แจ้งตำรวจเอาลูกไปฝึกสักครึ่งปี”
คุณแม่ก็พยักหน้า งง ๆ แกมกลัว ๆ
ทีนี้เด็กหน้าซีดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังทำหน้าเชิดอยู่
อาจารย์ที่ปรึกษาก็ช่วยขู่ฟ่อ ๆ ๆ
หน้าตายังลังเลเลิ่กลั่ก
“งั้น ผมขอลาออกกรณีทะเลาะวิวาท”
แนะ รู้ด้วยนะว่าทะเลาะวิวาทโรงเรียนไล่ออกสถานเดียว
สอบถามคุณแม่ว่ามีคนไปทำร้ายเขาจริงหรือไม่ คุณแม่ก็ืยืนยันว่าจริง ก็เลยจะให้ลาออกเพราะกลัวอยู่ต่อแล้วมีอันตราย
“อ้าว แล้วทำไมคุณแม่ไม่บอกตั้งแต่แรกล่ะ ตะกี้ยังบอกอยากให้เรียนต่ออยู่เลย เห็นบอกแต่ลูกติดเกมส์ อาจารย์ก็เลยช่วยกันหว่านล้อมสิ เอ๊ะ ยังไงกันคะคุณแม่”
“ก็ไม่อยากบอกอาจารย์เพราะกลัวลูกจะเดือดร้อนเดี๋ยวเขากลับมาทำร้ายลูกอีก คุณแม่เลยแจ้งความไว้อย่างเดียว”
“เออ ดี เนอะ คุณแม่ เด็กอยู่กับอาจารย์แต่ไม่ไว้ใจอาจารย์ ไปไว้ใจตำรวจ แล้วเป็นยังไงล่ะ ตำรวจเขาดำเนินการอะไรให้บ้างไหมล่ะคะ แค่เด็กตีกันเนี่ยะ”
คุณแม่ยิ้มแหย ๆ
“ก็ไม่เห็นเขาทำอะไรเลยค่ะ”
“เฮ้อ คุณแม่นะคุณแม่”
ครูปูตั้งทีมสอบสวนทันที ทราบว่ามีปัญหากันภายนอก มีรุ่นพี่ยกพวกไปจริง แต่พอไล่ถามถึงสาเหตุจากทุกคน ทราบว่าเจ้าหมอนี่ไปล่วงเกินหลานสาวของเขาที่อายุเพิ่ง 14 ปี แล้วเด็กก็หนีตามไปอยู่เจ้านี่ด้วย แต่พออยู่กันจริง ๆ กลับถูกทิ้งขว้าง วัน ๆ บ้าแต่เกมส์ จนเด็กผู้หญิงทนไม่ไหวต้องหนีกลับบ้าน จึงทำให้ทางบ้านโกรธแค้นยกพวกจะมาคุยให้รู้เรื่อง ไอ้เจ้านี่ก็ดีแต่ทำอึนบอกไม่รู้เรื่องไม่สนใจอย่างเดียว นักศึกษารุุ่นพี่ซึ่งมีศักดิ์เป็นอาของเด็กผู้หญิงก็เลยซัดเข้าให้หมัดนึง เมื่อถามว่าทำไมถึงต้องลงมือลงไม้ เจ้ารุ่นพี่ตอบว่า
“อาจารย์รู้ไหมก่อนหน้านี้หลานผมก็ท้องกับมัน ทางบ้านผมก็พาไปจัดการมาเรียบร้อยแล้ว ถึงขั้นนี้แล้วมันยังไม่ดูดำดูดี อาจารย์ว่ามันน่าไหมล่ะ”
หันไปถามคุณแม่ ซึ่งตอนนี้กลายเป็นมีอาการอึนตามลูกไป ปากบอกแต่ไม่รู้ ๆ
หันกลับมาหาเจ้าตัวดี แล้วแจ้งข่าวไม่ดีให้ทราบว่า
“เธอไม่ต้องไปโรงเรียนดัดสันดานแล้วล่ะ เตรียมตัวไปนอนคุุกเลยแล้วกันเพราะเด็กนั่นเพิ่งอายุ 14 ปีเอง เดี๋ยวจะให้เจ้าทุกข์เขาไปแจ้งความ เธอโดนคดีพรากผู้เยาว์แน่ ๆ ยิ่งไม่มีสถานภาพการเป็นนักศึกษาด้วยแล้ว ติดคุกสถานเดียว รู้ใช่ไหมว่าในคุกเป็นยังไง ค่อยไปนั่งเสียใจในคุกก็แล้วกันนะ”
เท่านั้นเอง เจ้าตัวดีรีบโพล่งออกมา
“ผมยอมแล้ว ผมยอมกลับมาเรียนแล้วครับ อย่าให้ผมติดคุกนะครับอาจารย์”
คุณแม่ก็ยกมือไหว้ปุลก ๆ
“อาจารย์คะช่วยหน่อยนะ ต่อไปนี้คุณแม่จะมาส่งเขาทุกวันเลย จะให้เขาปรับตัวใหม่ทั้งหมด”
ไอ้เจ้ารุ่นพี่มากระซิบ
“อาจารย์ครับเรื่องมันนานมาแล้วน่ะครับ ทางบ้านผมเขาก็อายไม่อยากเอาเรื่องแล้วล่ะครับ”
รีบกระซิบกระซาบตอบ
“เออ น่า เธออย่าเพิ่งพูดไป อาจารย์จะดัดนิสัยน้องมัน เล่นตามน้ำกับอาจารย์ไปก่อนดิ”
“อ๋อ เหรอครับ ได้ครับอาจารย์ได้ครับ”
“อาจารย์จะดูพฤติกรรมเธอ 1 เดือนเต็ม ๆ นะ ถ้าเธอปรับได้ค่อยว่ากันแต่ถ้าเธอยังขาด ๆ หนี ๆ เธอพ้นสภาพนักศึกษาแน่”
หันไปขยิบตาให้เจ้ารุ่นพี่
“เอาเป็นว่าอาจารย์ขอนะลูก ขอดูอีกเดือนนึง ถ้ายังเหลวไหลค่อยส่งให้ตำรวจดำเนินคดีตามที่ครอบครัวเธอต้องการแล้วกันนะ”
“ได้ครับอาจารย์” รุ่นพี่เล่นตามน้ำเสียงแข็งสมบทบาท
วันนี้นำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมอาจารย์ที่ปรึกษา ซึ่งก็ว่ากันไป เข้าใจล่ะว่าเด็กใช้ชีวิตอีเหละเขะขะขาดการสนใจดูแลทำให้เกิดปัญหาซ้ำซ้อนต่าง ๆ ขึ้น
จริง ๆ ถ้าเราตัดปัญหาก็แค่เซ็นแกร่กเดียวให้ลาออกไป ปัญหาก็คงพ้นไปจากเรา แต่เด็กที่ผู้ปกครองไม่ได้ควบคุมดูแลแบบนี้ไม่ใช่เหรอที่มีเวลาและโอกาสมากพอที่จะไปรวมตัวกันแล้วสร้างปัญหาได้อีกร้อยแปดพันประการ ตามความต้องการทางเพศทางสังคมของเด็กที่อยู่ในวัยฮอร์โมนกำลังพุ่งพล่าน
ถ้าเรายอมง่าย ๆ ก็เท่ากับเราเอาตัวรอดแล้วผลักภาระไปให้สังคมหรือเปล่า แล้วเราจะหนีปัญหาพ้นไปได้อย่างไร ในเมื่อเราก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคม ปัญหาเหล่านี้จะวกกลับมาหาเราแน่นอนไม่รูปแบบใดก็รูปแบบหนึ่ง
ในเมื่อรู้แล้วว่าครอบครัวไม่เข้มแข็ง โรงเรียนควรยืนหยัดเข้ารับหน้าที่แทน ขอให้เขาอยู่กับเราเหอะ เื่มื่อได้เห็นว่าเขาขาดเรื่องอะไรเราก็จะได้มีโอกาสค่อย ๆ เติมเต็มให้ได้
ถึงแม้ตอนนี้เขายังไม่เข้าใจ แต่ถ้าวันหนึ่งเราลากจูงเขาจนสามารถข้ามช่วงวัยแห่งความไม่เข้าใจไร้ทิศทางนี้ไปได้ ก็ถือว่าเราได้ปฏิบัติตามพันธกิจของสถานศึกษาที่จะต้องช่วยบ่มเพาะสมาชิกของสังคม
ถ้าสำเร็จก็ถือว่าได้ทำบุญ
ถ้าเหลว…ก็ได้รู้ไปว่าพยายามสุดความสามารถแล้วนี่เนอะ
เฮ้อ…
ความคิดเห็นสำหรับ "จะเรียนหนังสือหรือจะติดคุก"