ดับทุกข์ด้วยต้นทุนชีวิตจากครอบครัว
นึกถึงบันทึกที่เคยเขียนไว้เนื่องจากได้รับการขอร้องจากคุณแม่ของคู่กรณีให้อภัยให้กับลูกเขา แถมยังฝากฝังให้เราดูแลและตักเตือนได้เหมือนเป็นพี่เป็นน้องกัน
คนเป็นแม่เขาเมตตาได้ขนาดนั้น
แล้วคนแบบเราล่ะคิดได้แค่ไหน ?
————————
สิ่งเร้าอันเป็นเหตุไม่พึงประสงค์ที่พุ่งเข้ามากระทบชีวิตเพื่อทดสอบสมรรถนะของสตินั้น มักไม่เข้าแถวเป็นระเบียบนัก ช่วงใดโชคเข้าข้างก็อาจทิ้งช่วงห่างให้พอมีเวลาจัดการกับของเดิมบ้าง แต่เมื่อใดที่เขาเข้ามาแบบหน้ากระดานเรียงตับ เมื่อนั้นเราจะเห็นประสิทธิภาพที่แท้จริงของใจเราได้อย่างชัดเจน
บางคนเก่ง อาจวูบแค่จิตตก บางคนแก้ไม่ตกปรับไม่ทัน เลยไม่รอด ปล่อยให้ฝังลึกไปถึงใจ ย้ำคิดย้ำทำจนเสียจริต เลือกตอบสนองผิดเพี้ยนทั้งวาจาและใจ เสี่ยงต่อการสร้างความเสื่อมให้กับตนเอง เสี่ยงต่อการเสียมิตรสหาย เสียความเคารพนับถือ เสียบุคลิกภาพ หรืออาจเลยเถิดถึงขั้นเสียหน้าที่การงานสังคมไปนู่น
แต่ที่เสียแน่ ๆ เพียงแต่เจ้าตัวจะตระหนักรู้ได้ช้าหรือเร็วเท่านั้น คือ “เสียใจ”
แม้ประสบการณ์ยังน้อยนิด แต่สิ่งที่ว่ามาทั้งหมดนี่ตัวเองเจอมาบ้างแล้วเหมือนกันค่ะ
มิได้กำัลังจะชี้แจงกระบวนวิธีดับทุกข์ทั้งมวลหรอกนะคะ เพียงแต่พบข้อสังเกตจากการพิจารณาของตนเองว่า ทุกครั้งที่ดิ้นรนจะหาทางออกจากความไม่รู้ไม่เข้าใจไม่เป็นสุข สถานีแรกที่จิตจะวิ่งไปสถิตย์เหมือนเป็นที่พึ่งคือ “ครอบครัว”
เห็นว่าใจเรามีกลวิธีป้องกันตัวเองเบื้องต้นในขณะที่ยังหาทางแก้ทุกข์นั้นด้วยวิธีอื่นไม่ได้ คือเลิกคิดถึงความทุกข์นั้นไปชั่วขณะแล้วหนีไปคิดไประลึกถึงครอบครัวหรือคนที่รักเราแทน
แล้วก็ไม่ว่าจะนึกถึงในแง่มุมไหนก็ตาม เราจะระลึกขึ้นมาได้ทันทีเลยล่ะค่ะว่า
เรานี้เป็นคนสำคัญ ชีวิตเรามีความหมายมากมายต่ออีกหลายชีวิต สิ่งที่เราทำไปทั้งหมดต่อให้ใครไม่เข้าใจ ก็ยังมีครอบครัวเรานี่ล่ะที่จะพยายามเข้าใจหรืออย่างน้อยก็ให้อภัยให้โอกาสในการแก้ไข สิ่งที่เกิดขึ้นนี้จึงไม่สำคัญ เทียบไม่ได้แม้กระผีกของความรักและความเข้าใจที่ครอบครัวมีให้เรา
การใช้เวลาครุ่นคิดหมกมุ่นกับเรื่องนี้เทียบไม่ได้เลยกับช่วงเวลาที่เราได้อยู่กับครอบครัวหรือคนที่รักเราเช่นกัน
หากได้รับรู้คุณค่าที่เรามีในข้อนี้แล้ว เขาจะต้องเสียใจที่ปฏิบัติต่อเราเช่นนั้น
พอคิดแบบนี้ คู่กรณีแทบไม่มีความหมายต่อเราเลย
อาการระเริงกระหยิ่มยิ้มย่องเช่นนี้จะเป็นอยู่เพียงครู่เดียว เมื่อได้อิ่มเอมกับการคิดเองเออเองของตัวเองจนสาแก่ใจแล้ว วิจิกิจฉาถึงพฤติกรรมของคู่กรณีก็เกิดตามมา คำถามร้อยแปดผุดขึ้นมาพร้อมรอยย่นระหว่างคิ้วครั้งแล้วครั้งเล่า นั่งคิดพิจารณาถึงสิ่งที่เขากระทำแล้วเอามาสร้างภาพร่างความเป็นตัวตนของเขา ครอบครัว หน้าที่การงาน สภาพแวดล้อม เหตุปัจจัยรอบตัวต่าง ๆ ที่โมเมเอาเองมั่ว ๆ ว่าอาจเป็นเหตุที่ทำให้เขาเลือกทำเช่นนั้น
ขณะกำลังมโนภาพครอบครัวของเขาอยู่ดี ๆ ภาพครอบครัวตัวเองก็ผุดขึ้นมาเทียบเคียงกัน จึงเกิดคำถามโต ๆ ขึ้นทันทีว่า
แล้วหากคู่กรณีก็เป็นที่รักของครอบครัวเขา เป็นคนสำคัญเป็นชีวิตที่มีความหมายต่อครอบครัวและคนที่รักเขาเช่นกันล่ะ การที่เรากำลังจับจ้องเขาอย่างไม่พึงใจอยู่นี่ มันก็ไม่มีคุณค่าอะไรเลยเหมือนกันนะ เมื่อเทียบกับความรักความปรารถนาดีและความเข้าใจที่เขามีให้กันในครอบครัวเขาน่ะ
ทีครอบครัวเรา เรารู้ว่าเราสำคัญขนาดไหน แล้วทำไมถึงไม่คิดว่าเขาก็สำคัญในครอบครัวเขาพอที่จะได้รับความเข้าใจ การอภัยบ้างล่ะ
รู้อยู่แล้วว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่เขาต้องรักและห่วงใยลูกเขาขนาดไหน ต่อให้ลูกมีส่วนที่ไม่ถูกต้องบ้างเขาคงเลือกวิธีที่นุ่มนวลอดทนอดกลั้นที่สุด เหมือนกับที่เราได้รับจากครอบครัวเรายังไงล่ะ
ตัวตนอันใหญ่โตเกินจริงเมื่อครู่ ลดขนาดลงมาเท่ากันทันที
เขาก็ชีวิตหนึ่ง เราก็ชีวิตหนึ่ง ผิดพลาดพลั้งเผลอระหว่างทางแห่งการใช้ชีวิตนี้มานับครั้งไม่ถ้วน เพียงแต่ครั้งนี้เราเป็นผุ้ไม่พึงใจกับผลที่เกิดขึ้น จึงมุ่งเพ่งพิศจับผิดจ้องพลาดไปต่าง ๆ นานา หากคราวต่อไปเป็นเราที่เผลอไปกระทำให้เกิดผลกระทบกับเขาบ้าง เราเองยินดีจะถูกจับจ้องเช่นนี้บ้างหรือไม่
สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุต่าง ๆ กันไปและมีความเป็นไปของมันอยู่แล้ว ต่อให้เราพยายามจะเข้าไปรีบเร่งจัดการอย่างไร ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงและความเป็นไปของเรื่องทั้งหมดได้หรอก
คิดได้ดังนี้ก็มีเสียง “เออเนอะ ก็จริงนะ” มาจากข้างใน วางสิ่งที่เป็นอารมณ์และความคิดลบส่วนตัว หยิบเฉพาะเหตุผลมาเลือกคิดแบบแยกส่วนแล้วเลือกทำเฉพาะสิ่งที่ต้องทำ ยิ้มได้ทันควัน มองหน้าคู่กรณีได้อย่างไม่ขวยเขิน รีเซ็ตระดับพฤติกรรมระหว่างกันได้ใหม่ทั้งหมด
แถมเบิกบานจนออกนอกหน้าด้วยความละอายต่ออวิชชาในตอนแรก ทั้ง ๆ ที่คู่กรณีก็ยังเกร็ง ๆ อยู่เลย เดาเอาว่านี่คงไม่ใช่พฤติกรรมที่เขาคาดว่าจะได้เห็นจากคนเช่นเราหลังจากวิวาทะที่เพิ่งผ่านไป
ขอบคุณ “ความรัก” อันเป็นต้นทุนชีวิตที่ครอบครัวได้มอบให้
ที่ไม่เพียงสอนให้เราเข้าใจความรักแต่ในส่วนของเรา
แต่ยังสอนให้เข้าใจในความรักของผู้อื่น
เพื่อที่เราจะได้
“รักเป็น” และ “มอบความรักด้วยความเข้าใจเป็น”
« « Prev : ผีเข้า!
Next : หัวอก ผอ. » »
ความคิดเห็นสำหรับ "ดับทุกข์ด้วยต้นทุนชีวิตจากครอบครัว"