ความในใจของคนบ้าที่กำลังอาละวาด
เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา บริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์พื้นฐานเคลื่อนที่ PCT ที่โรงเรียนเป็นศูนย์ติดตั้งเครื่องรับสัญญาณแบบครอบคลุมทั้งพื้นที่ โดยมีครูหลายท่านและนักศึกษาจำนวนมากเป็นลูกค้าที่เหนียวแน่นมากว่า 3 ปีแล้ว
ประกาศยกเลิกโปรโมชั่นโทรฟรีทุกเครือข่ายไม่อั้น 24 ชม. เป็นเวลา 1 ปี ทิ้ง โดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า???
สำหรับครูแล้วถือว่าอัตราค่าโทรดังกล่าวคุ้มมากเนื่องจากต้องโทรประสานผู้ปกครองและติดตามนักศึกษาอยู่ตลอดเวลา หากใช้โทรศัพท์ส่วนตัวในอัตราค่าโทรปกติ จะไม่ต่ำกว่า 1 พันบาทต่อเดือนแน่นอน แต่พอหันมาใช้โทรศัพท์ดังกล่าว จ่ายเงินซื้อเครื่อง 3,600 บาท พร้อมโทรฟรีไม่จำกัดเครือข่ายอีก 1 ปี เท่ากับค่าโทรศัพท์เดือนละแค่ 300 บาท แถมได้โทรศัพท์มาใช้ฟรีอีก 1 เครื่อง ถือว่าคุ้มมาก จึงแห่กันซื้อเครื่องเกือบทั้งโรงเรียน
(ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต)
ซื้อเครื่องโทรศัพท์พร้อมเริ่มทำสัญญา เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.53 พอวันที่ 1 ต.ค. ก็บอกยกเลิกโปรโมชั่นที่เพิ่งใช้ไปได้ 4 เดือนทิ้งทันที โดยไม่มีการแจ้งให้ทราบด้วยนะ ที่รู้ก็เพราะโทรหาเบอร์โทรศัพท์นอกเครือข่าย (AIS และ DTAC) ไม่ได้ ติดต่อเข้า call center ก็ได้รับแจ้งว่า
“ประกาศหน้า website ให้ทราบแล้วนี่คะ” (ไม่รู้จักเข้าไปดูเองนี่)
“อ้าว อย่างนี้ไม่สมเหตุสมผลเลยนะคะ เข้าข่ายเอาเปรียบผู้บริโภคได้นะคะนี่”
ได้รับแจ้งอีก “คุณกลับไปดูสัญญาดีไหมคะ ข้อรองสุดท้ายเขียนไว้ว่า “บริษัทขอสงวนสิทธิ์การเปลี่ยนแปลงโปรโมชั่น โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า”
“อ๋ออออ เหรอออออออ??? แล้วไอ้โบรชัวร์ที่คุณแจกล่ะ โทรฟรีไม่อั้น 24 ชม. 1 ปีเต็ม คุณระบุไว้ในนั้นด้วยหรือเปล่า เวลาโฆษณาก็เอาซะเต็มที่เนอะ จะอธิบายว่ายังไง”
คราวนี้ call center เงียบ ให้คำตอบด้วยน้ำเสียงเรียบแบนเต้ดกลับมา จนทำให้เราเป็นฝ่ายกลับมาเซ็งแทน
“ก็เป็นนโยบายของบริษัทน่ะค่ะ”
“เออ เอา ว่ามา ขั้นตอนการร้องเรียนต้องทำยังไงบ้างคะ พวกพี่ทั้งองค์กรคงต้องทำเรื่องขอร้องเรียนเนอะ”
(ความรู้สึกยังกะโดนขึงพรืดให้เขาต่อย ๆๆๆ อยู่ฝ่ายเดียวอ่ะนะ)
พอมีเวลาว่างก็เลย search ว่ามีใครเดือดร้อนจากกรณีนี้บ้าง ปรากฎเป็นข่าวร้องเรียนกันครึกโครมพอสมควรเหมือนกัน แต่หน่้วยงานรับเรื่องร้องเรียนเพียงแต่แจ้งว่า ได้แจ้งให้บริษัททราบแล้ว แต่ยังไม่ได้รับคำตอบ คาดว่าคงมีได้รับผลกระทบจากเรื่องดังกล่าวมากพอควร
(เออดิ จะมาสรุปทำไม ก็วัน ๆ รับเรื่องร้องเรียนมากขนาดนั้น ไม่ต้องคาดแล้ว ไปรายงานความคืบหน้าจากการติดตามดีไหม หรือไม่ก็บอกขั้นตอนการปฏิบัติว่า ถ้าบริษัทยังคงนิ่งต่อไปลูกค้าควรจะต้องทำอย่างไรต่อไปดีไหม)
เอาไงดีล่ะพวกเรา ไม้ซีกหรือจะไปงัดไม้ซุง ขนาดองค์กรขนาดใหญ่ยังประสานให้ไม่ได้ แล้วครูตัวเล็ก ๆ อย่างเราใครมันจะไปฟัง ผลประโยชน์ทางธุรกิจ ก็ไม่มีกับใครเขา
อนิจจา ไทยแลนด์แดนสวรรค์ เบี้ยน้อยหอยน้อยพื้นที่ยืนในสังคมก็น้อย ว่าแล้วก็ก้มหน้าก้มตารับผลจากการตัดสินใจออกแบบนโยบายเงื่อนไขด้านกิจการโทรคมนาคมจากท่านผู้หลักผู้หย่ายในบ้านเมืองนี้กันต่อไปแล้วกัน
ยังมิสาแก่ใจ เครื่องรับสัญญานที่โรงเรียนยังมาเสียอีก ทีนี้ทั้งในและนอกเครือข่ายเป็นอัมพาตใช้ไม่ได้เลยอีกอยู่ 4-5 วัน วัยรุ่นก็เซ็งกันเข้าไปอีก
เมื่อวันอังคารที่แล้ว มีน้องโทรมาแจ้งว่าจะมีช่างจากบริษัทโทรศัพท์ดังกล่าวเข้ามาซ่อมเครื่องรับสัญญานให้
“เหรอออออออออ”
แผนชั่วผุดขึ้นมาในหัว เริ่มคิดเตรียมการ (หาเรื่อง) จะหาทางต่อว่ากลับบริษัททันที รู้ล่ะว่า พวกที่เข้ามาซ่อมเครื่องรับนี่ก็เป็นแค่บริษัทที่รับงานมาอีกที อาจไม่เกี่ยวข้องโดยตรง แต่คนมันกำลังเซ็งอ่ะ จะหาที่ระบาย (แำพะ) ที่ไหนได้ล่ะ เอาซะหน่อยแล้วกัน
สั่งการน้องเสร็จสรรพ
“เดี๋ยวเค้าซ่อมเสร็จแล้วอย่าเพิ่งให้กลับนะ โทรตามพี่ก่อน”
พอเดินไปถึง น้องที่ทำงานก็รู้หน้าที่ แนะนำตัวครูปูให้ช่างรู้จัก
“เออน้อง นี่ท่านผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายกิจการนักเรียนนักศึกษา อาจารย์ปูนะคะ”
น้องเขาก็มารยาทดีค่ะ ยิ้มมุมปากให้เล็กน้อย พร้อมก้มศรีษะให้
“สวัสดีครับ”
(แต่ความน่ารักน่าเอ็นดูไม่ได้เป็นประเด็นพิจารณาของพี่ในยามนี้หรอกน้องเอ๋ย ขอโทษทีพี่กำลังหน้ามืดวุ๊ยส์)
ตอบสวัสดีน้องกลับ พร้อมทั้งบอก ขอบคุณมากที่อุตส่าห์มาบริการให้อย่างรวดเร็ว
อยู่ดี ๆ ทั่น ผช.ที่ดูสุขุมคัมภีรภาพเมื่อครู่ก็แปลงร่างเป็นคนบ้าออกอาการอาละวาดในบัดดล
“เออ น้องคะ ไอ้เรื่องอยู่ดีๆ ก็ตัดโปรโมชั่นโทรไม่อั้นทิ้งนี่ พี่ว่าไม่ fair นะคะน้อง พี่คุยกับ call center น้องแล้วเนอะ ไม่เห็นมีเหตุผลอะไรให้เลย ยืนยันกระต่ายขาเดียวว่าเป็นนโยบายบริษัท ภาษาชาวบ้านเขาเรียก ยังไงข้าก็จะโกงอ่ะเนอะ พีว่าแบบนี้แย่นะ คราวนี้พวกพี่เจอกับตัวเอง ซึ้งเลยอ่ะกับบริษัทน้องนี่ พวกพี่ทำเรื่องร้องเรียนแน่นะน้อง ก่อนจะเลือกที่ติดตั้งตัวรับสัญญานพวกเธอคงคำนวนจำนวนผู้ใช้บริการมาแล้วล่ะเนอะ นั่นล่ะ เท่ากับจำนวนเรื่องร้องเรียนที่กำลังจะวิ่งเข้าไปหาบริษัทเธอล่ะ”
ไอ้หนุ่มหน้ามล ตอนนี้เปลี่ยนเป็นหน้าซีดไปเสียแล้ว แต่ยังคงรอยยิ้มเดิมไว้ แต่เปอร์เซ็นความสดชื่นลดลงอย่างเห็นได้ชัด พร้อมรอจังหวะแทรกเพื่อขอพูดอะไรบ้าง
“อันนี้ผมไม่ทราบเรื่องเลยครับ ผมเป็นแค่หน่วยซ่อมแซมนะครับ”
“เออจ๊ะ จริง ๆ พี่ก็รู้อยู่แล้วล่ะ เธอต้องมาจากคนละหน่วยคนละแผนกกันแน่ แต่น้องเอ้ย พี่ก็ต้องขอโทษทีนะ พวกพี่ได้รับความเดือดร้อนจริง ๆ นี่จ๊ะ เธอจะให้พี่หันไปเล่นงานใครล่ะ จะให้พี่ไปยืนด่าเครื่องรับเธอเล่นงั๊นเหรอ ทั้ง ๆ ที่เธอมาถึงที่ตัวเป็น ๆ ปักชื่อบริษัทแดงแจ๋ที่หน้าอกซะขนาดนั้น พี่ก็ต้องหันมาเล่นงานเธออยู่แล้วล่ะ อันนี้เธอเข้าใจพี่นะ (แนะ ขอความเห็นใจในขณะที่เล่นงานเขาอีกแนะ)
เรื่องดำเนินการฟ้องร้องพวกพี่ทำแน่ เพราะไม่ไหวจ๊ะ พวกพี่เดือดร้อนจริง ๆ นี่พวกพี่ยังเก็บโบรชัวร์โฆษณาเธอไว้อยู่เลยนะ พี่ถามคนที่เขารู้กฎหมายแล้ว เขาบอกฟ้องได้แน่ ไม่โฆษณาเกินจริงก็หลอกลวงเอาเปรียบผู้บริโภคอ่ะนะ”
(ติดหนังสือ ครูพันธุ์ก๊ากมาในมือด้วย คิดแผนชั่วไว้เล่น ๆ ไม่รู้จะเอาจริงหรือเปล่า แต่ตอนนี้เหมาะอ่ะ เอาเลยแล้วกัน)
“แล้วพี่อ่ะนะ เป็นนักเขียนนะเธอ (แหวะ! กระดากลิ้นจริง ๆ) มีเครือข่ายมีเพื่อน ๆ สื่อเยอะแยะ นี่ดูหนังสือพวกพี่สิ
(ยกให้น้องเค้าดูแว่ปนึงแล้วรีบเอาลง ก็แหม หน้าปกมันภูมิฐาน น่าชื่นชมน่าเกรงขามนักนี่ )
แล้วพี่ก็เป็นบล็อกเกอร์ประจำอยู่หลาย website ด้วยนะ พี่จะทั้งร้องเรียนไปด้วย เขียนประจานกรณีนี้ไปด้วย เอาเป็นว่าไม่ได้โปรโมชั่นคืนก็ไม่เป็นไร พี่ขอเอามันส์ไปเรื่อย ๆ ก็แล้วกัน
แล้วพี่ก็ขอเตือนเธอไว้เลยนะ กรณีที่เธอเจอคนต่อว่าแบบพี่ยังมีอีกเยอะ ถ้าบริษัทยังไม่แก้เรื่องนี้ เธอไปให้บริการที่ไหน แทนที่เขาจะขอบคุณเธอ ก็มีแต่จะด่าฝากเธอแบบนี้แหละ เผลอ ๆ ตอนนี้คงมีแต่คนเขานั่งรอเธอกันอีกหลายเจ้า เธอก็ต้องไปโดนเขาไล่เบี้ยแบบที่เธอกำลังโดนพี่อยู่นี่เรื่อยไปล่ะ ไม่เชื่อคอยดู” (นั่น มีขู่ฝากอีก!)
ฉอด ๆ เสร็จก็เดินกลับมาทำงานที่ห้องเฉย ๆ แค่นั้น
ในใจก็รู้สึกผิดต่อน้องพนักงานคนนี้หน่อย ๆ เหมือนกัน แต่ทำยังไงได้ล่ะ เพราะหวังผลว่า ทีมที่ออกมาปฏิบัติหน้าที่แบบนี้ จะต้องลง record ผลการปฏิบัติหรือข้อเสนอแนะ ข้อท้วงติงหรือหมายเหตุต่าง ๆ กลับไปด้วยแน่นอน
หวังไปค่ะ หวังไปลม ๆ แล้ง ๆ ว่าไอ้เรื่องที่ฉอด ๆ ไปตะกี้ อย่างน้อยจะต้องไปโผล่ในหมายเหตุที่ว่านั่นบ้างล่ะ(วะ) ถ้าไม่ได้ผล ไอ้หนุ่มนี่ก็โดน(ด่า) ฟรีไป ตัวเราเองก็ได้บาปติดตัวแถมมาอีกหน่อย
ในใจยังครุ่นคิดถึงไอ้หนุ่มคนนี้อยู่ตลอดเวลาที่ต้องกลายมาเป็นแพะ แบะ แบะ อ่ะงานนี้ (นี่ขนาดสงสารนะนี่)
อีกชั่วโมงถัดมา ได้รับโทรศัพท์จากน้องที่ประสานงานเรื่องนี้ โทรมาแจ้งว่า
“พี่ปูคะ พนักงานบริษัทโทรมา ขอคืนโปรโมชั่นโทรไม่อั้นให้พวกเราทั้งโรงเรียนเลยค่ะ”
“เฮ๊ย ทำไมมันติดจรวดงี้อ่ะ”
กรี๊ดกร๊าดกันทั้งโรงเรียน มีแต่น้องเดินมาขอบคุณ
แต่ในใจคนบ้าที่เพิ่งอาละวาดออกไปนี่สิ มานั่งย้อนนึกว่า เฮ้อ กรณีนี้ได้ผลตามที่ต้องการนะ
แล้วถ้าเราอาละวาดไปโดยไม่รู้เรื่อง ไม่มีข้อมูลเพียงพอ คิดไปเอง แถมไม่ได้อะไรเลยล่ะ
ปล่อยใจให้มัวแต่ครุ่นคิดแผนการจะทำร้ายทำลายอริ
ใช้เวลาเลือกประดิดประดอยคำที่จะสร้างความเจ็บปวดและเล็งให้เกิดผลกระทบให้มากที่สุด
ป า ก ค อ ก็ เ ล า ะ ร้ า ย เ กิ น ป ก ติ
อากัปกิริยาก็ขมึงทึง เพราะต้องควบคุมให้สมจริงสมจัง
สอดคล้องกับคำแข็ง ๆ ดุ ๆ ที่กำลังใช้อยู่
ยิ่งถ้าต้องใช้เวลาหมกมุ่นอยู่นาน ๆ แล้วคุมเรื่องเหล่านี้ไม่อยู่
เผลออมทุกข์ ติดทุกข์เข้าไปอีกล่ะจะทำยังไง
ทั้งน้อง ๆ ที่ทำงาน ทั้งเหยื่อ ก็ได้เห็นภาพอันไม่สวยงาม
ไม่น่าศรัทธาและไม่น่าเป็นมิตรของเราไปแล้ว
รู้ได้อย่างไร ว่าไอ้หนุ่มคนนี้
จะไม่มีโอกาสได้โคจรมาพบมาเจอ มารู้จัก มาช่วยเหลือเกื้อกูลกันอีก
แล้วรู้จักมักจี่เขามากพอหรือยัง ทำไมถึงช่างด่วนตัดสินใจไปทำร้ายน้องเขาได้น๊อเรา
นี่เราลงทุนมากมายขนาดนี้ เพื่อเงินเพียงไม่กี่พันบาทเองนี่หว่า?
นั่งปรารภกับน้อง ๆ ในที่ทำงาน
หลายคนให้คำตอบเดียวกันหมด โดยไม่ได้นัดหมายกันมาก่อน
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะอาจารย์ปู น้องมันคงชะตาถึงฆาตน่ะ แถวบ้านเรียก ซวย อ่ะค่ะ อย่าคิดมากเลย”
แป่ว!
« « Prev : ถอดบทเรียนการทำ คนนี้ไง’จารย์ปูครูพันธุ์ก๊าก!
Next : เก่งมาจากไหน ก็แพ้หัวใจอย่างครู » »
ความคิดเห็นสำหรับ "ความในใจของคนบ้าที่กำลังอาละวาด"