Flood Effect
อ่าน: 4302ท้องฟ้าวันเดินทาง
เช้าวันที่ 27 เวลาตีห้า ผมตื่นขึ้นมาตรวจสอบงานที่รับผิดชอบก่อนที่จะส่งให้บริษัท
ลูกสาวยืนยันกับเพื่อนว่าสายวันนี้จะหอบผ้าหอบผ่อนไปอยู่ด้วย เพื่อนก็แสนดี ยินดีต้อนรับ เธอโทรบอกคุณแม่เพื่อนคนนั้นแจ้งความประสงค์ ซึ่งครอบครัวเพื่อนก็เตรียมตัวรับ
สายหน่อยเธอพยายามติดต่อกับเจ้านายเพื่อแจ้งว่าจะเข้าทำงานสายเพื่อเก็บสิ่งของครั้งสุดท้ายก่อนที่จะแยกย้ายกัน คือผมกลับขอนแก่น รับแม่เขาที่สนามบินขึ้นอีสาน เธอจะอพยพไปอยู่กับเพื่อนที่ออกปากต้อนรับไว้ก่อนแล้ว
เราช่วยกันเก็บข้าวของขึ้นชั้นบนอีกครั้ง ลากตู้เย็นและเครื่องซักผ้าไปไว้ในที่ที่เหมาะสมแล้วเอาถุงพลาสติกใหญ่ ห่อ มัด ดูเหมือนของขวัญไปเลย
แม่ของลูกสาวโทรมาจากกระบี่ว่ากำลังจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ น้ำเป็นไง เก็บของหรือยัง ไปบ้านขอนแก่นด้วยกันได้ไหม..น้ำมาถึงไหนแล้ว…ฯลฯ….
ลูกสาว..เธอติดต่อกับเจ้านายได้ และได้รับข่าวดีว่า สำนักงานประกาศปิดจนถึงวันสิ้นเดือน เราก็เฮ….น่ะซี….. เธอยกเลิกการมาพักกับเพื่อน แจ้งว่าสำนักงานสั่งปิดจึงขอกลับขอนแก่น ไม่ลืมที่จะขอบคุณน้ำใจที่จัดที่พักไว้ให้
สาย..สาย..ได้รับ SMS จากประธานบริษัท เตือนให้พนักงานบริษัทในพื้นที่ต่างๆของ กทม.พึงระมัดระวังเรื่องน้ำท่วม แนะนำสิ่งที่ควรปฏิบัติ และประกาศจัดที่พักให้พนักงานที่น้ำท่วมบ้าน…
เที่ยง…..เราพร้อมแล้วที่จะเดินทาง ยาหยีนั่งคอยอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิแล้ว สั่งลาเพื่อนบ้าน ตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์กันแล้วฝากฝังบ้านไว้ด้วย จะโทรมาถามข่าวคราวน้ำท่วมประจำ เพื่อนบ้านที่อยู่ตรงข้ามไม่อพยพกลับสงขลา เพื่อนบ้านที่ติดกันบอกว่าจะอยู่สู้กับน้ำที่นี่
เราผ่านถนนรามอินทรามุ่งสู่วงแหวนตะวันออกและเป้าหมายคือสุวรรณภูมิ มีรถจอดเต็มบนทางยกระดับ ทั้งเห็นใจและเข้าใจว่าเขาเหล่านั้นไม่มีทางออกที่จะรักษารถ สถานที่ที่รัฐประกาศก็ไกลไปและอาจจะเต็มหมดแล้วก็ได้..
กว่าจะออกจากสุวรรณภูมิก็บ่ายสองโมง เราใช้เส้นทางทางด่วนใหม่กรุงเทพฯชลบุรี-ฉะเชิงเทรา-วังน้ำเขียว-โคราช-ขอนแก่น เป็นเส้นทางที่เราใช้ขาลง แต่ยาหยีผมแนะนำเส้นทาง ฉะเชิงเทรา-บุรีรัมย์-มหาสารคาม-ขอนแก่นสำรองไว้
พ่อเจ้า…ที่สถานที่รับส่งคนทั้งขาเข้าและขาออกที่สนามบินสุวรรณภูมิ ไม่มีระเบียบอะไรแล้ว รถติด เพราะมีรถจอดซ้อนสามแถว ทำให้รถเข้ามารับหรือส่งผู้โดยสารต้องกระดึบๆกัน แล้วมันก็ติดสะสมน่ะซี แต่มี เจ้าหน้าที่คอยจัดการ ก็พอกล้อมแกล้มไปได้
ผมขับรถฉลุยมอเตอร์เวย์ไปชลบุรี รถหนาแน่นมาก แต่ก็ทำความเร็วได้ เมื่อมาถึงทางแยกลงฉะเชิงเทรารถเริ่มติด แต่ก็พอไปได้ มีรถแซงขวามาแทรกแบบลัดคิวเช่นเคย
เนื่องจากเราสามคนพ่อแม่ลูกเพิ่งจะเริ่มเดินทาง ก็โออยู่ กระดื๊บๆไปเรื่อยๆ บางช่วงก็ทำความเร็วได้สัก 300 เมตรก็ติดอีก เป็นรถสารพัดชนิดตั้งแต่ เก๋งส่วนบุคคล กระบะ บรรทุกเครื่องครัว และรถบรรทุก 10 ล้อสารพัดสินค้า คันยาว…
เพราะข้างหน้าวิ่งผ่านตัวเมืองจึงติดไฟแดง เมื่อจำนวนรถมากก็ต้องติดแบบนี้ เราเอาเรื่องราวต่างๆมาคุยกันจนหมด ก็ยังไม่ผ่าน ข้าวกลางวันยังไม่ได้กิน แต่เราตุนขนมและน้ำมาเต็มรถ
ผู้โดยสารในรถเริ่มต้องการเข้าห้องน้ำ ปั้มก็มองไม่เห็น ได้แต่ปลอบใจกันว่า เดี๋ยวคงเจอะข้างหน้า อดทนหน่อย
รถก็วิ่งไม่ได้ กระดึ๊บๆไปเท่านั้น เพราะต่างก็อพยพมุ่งสู่อีสานกันทั้งนั้นส่วนหนึ่งคนกรุงเทพฯก็ไปวังน้ำเขียว เพื่อหลบมาสักพัก…
กว่าจะถึงกบินทร์บุรีก็นานมาก ที่ปั้ม ปตท.ก่อนจะขึ้นภูเขาวังน้ำเขียว รถแวะเข้ามาปั้มเพื่อเติมเต็มน้ำมัน เข้าห้องน้ำ พักรถ หาเครื่องดึ่ม อาหารกิน แทบไม่มีที่จอดรถ เข้าคิวเข้าห้องน้ำกันเลย ซี่งไม่เคยเห็นภาพนี้…. ลูกสาวหลับไปหลายรอบ เธอไม่ลงรถขอหลับต่อ เราจัดการปลดปล่อยน้ำออกจากร่างกายแล้วไปหาก๋วยเตี๋ยวร้อนๆกินกันสองคน สายตาก็มองคนมหาศาลที่แย่งกันกิน หาที่จอดรถ เอาน้องหมาลงมาเดิน ฯลฯ…
เราออกเดินทางต่อ มืดสนิท ปริมาณรถหนาแน่นมากขึ้น ถนนสองเลนกลายเป็นการวิ่ง 3 และ 4 เลนในที่สุด รถเราถูกบีบให้อยู่ขอบถนนซ้ายสุด แล้วก็กระดื๊บไปแบบนี้นานนับชั่วโมง การกระดื๊บ มันไม่ใช้กระดื๊บไปตลอดนะครับ แต่กระดื๊บไปสองสามวาก็หยุดสักพัก แล้วกระดื๊บใหม่ ที่เลนขาเข้าเห็นรถสวนมาน้อยมากและมีรถ ติดไปกระพริบแดงๆวิ่งไปสองสามคัน ใครๆก็เด่าว่า คงเกิดอุบัติเหตุ และนั่นอาจจะเป็นเหตุที่รถติด
สี่ทุ่มกว่าแล้ว ยังอยู่ที่กบินทร์บุรี ข้างทางที่เรากระดื๊บไปนั้น มีชาวบ้านถือเป็นโอกาสทำก้าวกล่องมาขาย ตั้งโต๊ะขายน้ำ ขายเครื่องดื่มประเภทกระทิงแดง และขายได้ คนที่นั่งในรถทางเลนขวาไม่ติดด้านขายของก็เดินลงจากรถมาซื้อของไปแจกจ่ายกัน บางช่วงรถเคลื่อนตัวไปกลับหารถไม่ถูกวิ่งหารถกันวุ่นไปหมด แต่จริงๆรถก็วิ่งไปไม่ไกลหรอก..เห็นแล้วก็ขำไม่ออก บางคนหน้าตาตื่นเชียว
สภาพที่ติดแหง๊กเช่นนี้ เราเห็นรถบางคันเลี้ยวเข้าปั้มน้ำมันที่ปิดกิจการ จอดรถเอาเต้นท์มากางและนอน…เออ เข้าท่านะ บางคันเลี้ยวเข้าจอดเพิงขายของของชาวบ้านข้างทาง คงให้ลูกหลานกินข้าว เขาคงไม่ได้แวะที่ปั้ม และไม่คิดว่ามันจะติดมากมายขนาดนี้
รถบางคันจอดตาย ถูกดันเข้าข้างทาง สภาพแบบนี้หากสภาพรถไม่ดี มันจะ โอเวอร์ฮีต แล้วเครื่องก็จะดับ หากยิ่งน้ำหล่อเย็นแห้งหมดละก็ เรื่องใหญ่ละค่าซ่อมไม่ต่ำห้าหมื่น…
จนถึงทางขึ้นภูเขาเราเห็นพนักงานจราจรมารวมตัวกันที่นี่จัดการบริหารรถ เราถูกเรียกให้แซงขวาขึ้นไป รดขาลงภูเขาถูกกักปล่อยให้ขาขึ้นวิ่งขึ้นใช้เวลามากกว่า เพื่อลดการติดแหง๊ก สาเหตุที่รถติดนั้นไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เป็นสภาพถนนตรงส่วนจะขึ้นภูเขานั่นแหละ ขบวนรถจากกรุงเทพฯวิ่งมา 3-4 เลนแล้วบีบลงเหลือ 1 เลน ไม่ติดวินาจสันตะโรก็ไม่ใช่แล้ว
วิ่งขึ้นภูเขาไปนิดเดียวก็ติดอีกแล้ว แต่กระดื๊บได้มากขึ้น เพราะผู้จัดการจราจรตรงตีนภูเขามาจัดการให้รถบรรทุกทุกประเภท ชนิด ขับชิดซ้ายเท่านั้น รถชนิดอื่นวิ่งตรงกลางถนน ทำให้รถพอขยับตัวได้ กว่าจะถึงยอดภูเขาได้ ก็ห้าทุ่มไปแล้ว
ผมเห็นทั้งขาขึ้นและขาล่องมีรถเมล์โดยสารทั้งชั้นเดียวบ้างสองชั้นบ้าง มากมายหลบมาใช้เส้นทางนี้เท่านั้น ผมนึกถึง NCA นครชัยแอร์ รถโดยสารที่คุณภาพดีที่สุด ผมว่าการออกต่างจังหวัดนั่งรถแบบนี้ดีที่สุด หนึ่ง มีห้องน้ำในตัว สองที่นั่งสบาย สามมีอาหาร น้ำดื่มตลอด สี่มีหนังให้ดู ห้าแอร์เย็นฉ่ำ หกปลอดภัยมากกว่า เจ็ดราคาถูกเพียงสี่ร้อยกว่าบาทระหว่างขอนแก่น-กรุงเทพฯ แปด สามารถเอาสิ่งของส่วนตัวติดตัวไปได้พอสมควร..
ขาลงจากภูเขาวังน้ำเขียวเข้าโคราชรถวิ่งได้ไม่ติด คนในรถหลับหมดยกเว้นคนขับรถ ถ้าคนขับหลับด้วยก็จบกัน ห้า ห้า ห้า
ถึงขอนแก่นก็ตีสามครึ่งโดยประมาณ เป็นการเดินทางที่ใช้เวลามากที่สุด เห็นใจ เข้าใจทุกท่านที่อพยพออกจากกรุงเทพฯ ต้องอดทน และเคารพกติกาสังคมกันหน่อยทุกอย่างก็จะไปได้ มันไม่สะดวกเหมือนยามปกติ
ปกติผมใช้เวลาเดินทาง ขอนแก่นกรุงเทพฯประมาณ 5-6 ชั่วโมง เมื่อคืนนี้เป็นสองเท่าเลย
นี่คือ Flood Crisis Effect จากกรุงเทพฯสู่เส้นการใช้รถใช้ถนนบนทางหลวงที่มุ่งสู่ภาคอีสาน รถติดเป็นระยะทางมากกว่า 60 กม. ไม่อยากคิดเลยว่าหากเกิดสงคราม จะทำกันอย่างไรนี่
แต่นี่มันเทียบไม่ได้กับท่านผู้สูญเสียบ้าน ทรัพย์สิน บางครอบครัวมีผู้เสียชีวิตด้วยซ้ำไปกับน้ำครั้งนี้
เป็นกำลังใจให้ครับ เริ่มใหม่ได้นะครับ