หอจดหมายเหตุพุทธทาส

151 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 22 มกราคม 2011 เวลา 23:53 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3557

แม้ว่างานจะล้นมือ คนข้างกายก็มานอนสัมผัสความหนาวที่เชียงราย ตามงานวิจัยของเธอ ผมก็ต้องลงมากรุงเทพฯด่วน ร่วมงาน มุทิตาจิต 78 ปี อคิน รพีพัฒน์ ที่หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ สวนรถไฟ จตุจักร กรุงเทพฯ เพราะท่านอาจารย์อคินนั้นเป็นที่เคารพรักของพวกเราเพราะท่าน “เป็นเจ้าที่ทำตัวเป็นไพร่” คนข้างกายผมก็เข้ามารับราชการกับท่านอาจารย์ครั้งแรกหลังจากจบที่ ISS ฮอลแลนด์ ซึ่งมีคนไทยหลายคนจบที่นั่น


หอจดหมายเหตุอยู่ตรงไหนก็ลองดูแผนที่ หรือดูไม่ออกก็เข้าไปที่ http://www.bia.or.th/ น่าสนใจมากครับ คนข้างกายบ่นเสมอว่า กรุงเทพฯมีข้อดีอย่างหนึ่ง มีสถาบันดีดีอยู่เยอะ มีงานแสดงดีดี บ่อย คนต่างจังหวัดไม่ค่อยมีโอกาสเช่นนั้น

ผมขอยังไม่กล่าวถึงงานเสวนาในงานมุทิตาจิต อาจารย์อคินนะครับ อยากแนะนำหยาบๆถึงหอจดหมายเหตุที่มีคุณค่าแห่งนี้ เชิญท่านที่สนใจ มากรุงเทพฯไม่รู้จะไปไหน มาที่นี่ครับ พาลูกหลานเข้ากรุงเทพฯก็อย่าไปเดินห้างอย่างเดียวนะครับ มาสัมผัสพุทธธรรมและศิลปะที่มีรากมาจากธรรมมากมาย ลงฝีแปลงโดยศิลปินสยามนามอุโฆษ หลายท่าน รวมทั้งท่านอาจารย์ผ่อง เซ่งกิ่ง แห่งอาศรมรุ่งอรุณที่ผมรักใคร่ท่านมาก


ผมไปงานก่อนเวลาจึงพบท่านอาจารย์ผ่อง ที่ผมไม่พบท่านมานานแล้ว เลยขอกอดท่านให้หนำใจกับความคิดถึง จริงๆท่านเป็นคนใต้ เป็นอาจารย์ที่ศิลปากร ทางด้านงานวาดรูป แล้วออกจากราชการมาทำงานเป็น NGO บ้านนอกที่ขอนแก่น มาช่วยท่าน อ.อคิน ทำหนังสือหลายเล่ม โดยท่านวาดรูปให้ หลังจากนั้นท่านก็ถือสันโดษไปปลูกกระต๊อปอยู่ในหมู่บ้าน พักใหญ่ ท่านจึงรู้ว่า แม้ว่าท่านจะรักชนบท รักชาวบ้าน แต่งานของท่านนั้นไม่เหมาะกับที่ที่อยู่ หากไปอยู่ในที่ที่เหมาะสมท่านจะทำงานได้มากกว่า จึงมาช่วยสอนหนังสือที่ มข.อีกครั้ง แล้วก็ลงกรุงเทพฯมาทำอาศรมตั้งแต่แรก


ขณะที่งานยังไม่เริ่มท่านก็ดึงมือผมไปดูงานของท่าน แล้วเล่าให้ฟังว่า หอจดหมายเหตุแห่งนี้ต้องการให้มีงานศิลปะมาประกอบตัวอาคาร โดยกลุ่มศิลปิน โดยให้วาดอะไรก็ได้ที่มีฐานมาจากธรรม แล้วศิลปินทั้งหมดก็เดินทางไปกราบท่าน ป.ปยุตโต ฟังท่านให้ธรรม แล้วศิลปินก็จำใส่หัวไปจินตนาการงานของตัวเองขึ้นมา อ.ผ่อง ก็ได้รูปที่เห็นนี้จำนวน 4 ภาพ อีกภาพหนึ่งไปติดไว้อีกแห่งหนึ่ง งานชิ้นนี้ต้องการแสดงธรรม ของธรรมชาติ ห้า ห้า ห้า คนบาปหนาอย่างผมฟังท่านไม่กระดิก รู้แต่ว่า ท่านใช้ความรู้ของศิลปินโบราณมาวาดรูปนี้คือใช้ เม็ดมะขาม ดินสอพอง แป้งฝุ่น และดินหม้อ แม้จะเสพศิลปะไม่กระดิกอย่างผม แต่ก็ทึ่งในความพยายามของท่าน


ดูซิครับแต่ละภาพมหึมา สวยงาม ยากที่ผมจะจินตนาการได้ว่า มนุษย์นี่ช่างสร้างสรรค์และประณีตจริงๆ งานแบบนี้หากไม่ได้ใช้พลังข้างในแล้ว อ.ผ่องกล่าวว่างานไม่เสร็จแน่นอน ทำงานแบบลงสีแปลงแรกสุดกับสีแปลงสุดท้ายนั้น ให้อยู่ในเรื่องเดียวกัน น้ำหนักฝีแปลง ความอ่อนช้อย สีสัน ฯลฯ ผมเองสัมผัสมหาศิลปินอย่างท่าน ถวัลย์ ดัชนีมาแล้ว พอเข้าใจพลังข้างในของศิลปินกลุ่มนี้

หากท่านมีโอกาสไปสถานที่แห่งนี้อย่าพลาดเดินขึ้นไปชั้นสองนะครับมีภาพหนึ่งที่สุดของที่สุดคือภาพนี้ครับ


เป็นภาพท่าน ป.ปยุตโต ท่านนายแพทย์บัญชา พงษ์พานิช กรรมการและเลขานุการมูลนิธิหอจดหมายเหตุพาทุกคนมาชมภาพนี้ ในภาพมีท่าน อ.อคิน รพีพัฒน์ อ.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อ.อมรา พงศาพิชญ์ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มาชมด้วย ท่านเดาซิว่ารูปนี้ใช้สีอะไรวาดรูป อ.ผ่องทนไม่ไหวเดินเข้ามาอธิบายเองว่า เป็นรูปที่มีอารมณ์ของท่าน ป.ปยุตโตจริงๆ ใช่เลย


ผมจำไม่ได้ว่าศิลปินที่วาดรูปนี้คือท่านใด แต่ฟังชัดหูว่า เป็นรูปเดียวในประเทศไทยตอนนี้ที่ใช้ สีที่ใช้คือ “ดินเหนียว” วาดรูปนี้ อ.ผ่องกล่าวว่า ศิลปินท่านนี้ตระเวนไปทั่วประเทศเพื่อหาดินเหนียวที่มีคุณสมบัติเฉพาะ และสีสันต่างๆกัน เอามาสร้างรูปที่วิเศษสุดรูปนี้ จริงแล้วคือความรู้ดั้งเดิมของคนโบราณของบ้านเรา ไม่ใช่เอาเทคนิคนี้มาจากต่างประเทศนะครับ

ห้องหนังสือใหญ่โตของหอจดหมายเหตุ ท่านเดินหาหนังสือที่พอใจแล้วก็จ่ายเงินเอง ตามขั้นตอนที่เขาเขียนอธิบายไว้ ไม่มีใครมานั่งรับเงิน

มีมุมเล็กๆเป็นร้านอาหาร ที่ เขาเอาข้าวใส่ถุงพลาสติก ใส่ตะกร้า เอากับข้าวใส่ถุงพลาสติกแล้วใส่ตะกร้า มีจาน มีช้อน ใครอยากซื้อก็มาเดินเลือกเอาไปนั่งกิน จ่ายเงินเอง กินแล้วล้างจานด้วยนะ

มีสตรีสูงอายุหลายท่านเป็นพนักงาน เดินเอาผ้าชุบน้ำเช็ดราวบันใด เช็ดตรงโน้น ตรงนี้ เอาฝุ่นออกไป เป็นงานที่น่ารักมาก ท่านอุทิศเวลามาทำงานให้กับสถานที่แห่งนี้ ผมเชื่อว่าท่านไม่ได้ค่าจ้างแต่อย่างใด ท่านมาทำบุญเพื่อทุกท่านที่เดินเข้ามาแห่งนี้


ผมรักสถานที่แห่งนี้จริงๆ มีห้องกว้างใหญ่ที่เปิดด้านที่มองไปเห็นสวนรถไฟ ผ่านหนองน้ำ งามจริงๆ เหมาะที่จะจัดเสวนาธรรม หรือทำ workshop เกี่ยวกับสมาธิ ฝึกจิต อะไรทำนองนี้ และก็มีโปรแกรมแบบนี้ทุกวันหยุดด้วย

บางท่านเคยไปมาแล้ว

ส่วนผมมาเป็นครั้งแรก

อิจฉาคนกรุงเทพฯ จริงๆครับ



อุบัติเหตุ ๒

80 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 22 มกราคม 2011 เวลา 0:10 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1336

ผมทิ้งค้างเรื่องอุบัติเหตุที่แขวงไชยบุรีไว้อีกตอน เพราะ งานยุ่ง ผ่านอุบัติเหตุรถลงข้างทางไปแล้ว ก็ตกใจกันพอสมควร ดีที่เจ้านายมาประสพเองย่อมคิดไปถึงทีมงานที่ใช้ชีวิตในสนามตลอดเวลาว่ามีความเสี่ยงต่อเรื่องอุบัติเหตุมากกว่าหลายเท่านัก เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะพลาด ก็ต้องพึงระมัดระวังและเตรียมพร้อมตลอดเวลา โดยเฉพาะยานพาหนะที่เราใช้กันเป็นประจำ

วันที่ 2 ที่ไชยบุรี ประชุมกันแต่เช้า แลกเปลี่ยนกันถึงงาน ปัญหาอุปสรรค เดินทางไปดูพื้นที่ แล้วก็ไปทานอาหารเที่ยงในเมืองไชยบุรี แล้วเดินทางกลับหลวงพระบาง เพราะเจ้านายทั้งสองคนต้องเดินทางเข้ากรุงเทพฯเที่ยวบินเย็น คราวนี้ยุบเอาผมไปนั่งรถ Everest คันที่เกิดอุบัติเหตุเมื่อวานร่วมกับเจ้านาย เพราะรถ Vigo ต้องทำงานต่อที่ไชยบุรี ผมนั่งหน้าคู่กับพนักงานขับรถ

ท่านผู้แทน ชอ..ขอให้ใช้เส้นทางเดิมตอนออกจากเมืองไชยบุรี เพราะต้องการดูการก่อสร้างถนนว่าทำไปถึงไหนแล้ว สภาพเป็นอย่างไร แล้วก็ไปบรรจบถนนสายหลักตรงด่านเก็บเงินของท้องถิ่น ถนนทั้งสายจากไชยบุรีไปหลวงพระบางนั้นเป็นลูกรัง และกรวด เมื่อไม่มีฝนตกถนนแห้ง ฝุ่นก็เริ่มมี


ข้ามแม่น้ำโขงด้วยเรือเฟอรี่ ผ่านเมืองนาน แล้วก็ขึ้น “ภูสแกน” ที่ถนนลาดยางขึ้นดอยไม่กี่กิโลเมตร พนักงานขับรถคุยกับผมว่า ภูสแกนแต่ก่อนที่ยังไม่ได้ลาดยางนั้น มีอุบัติเหตุเอาชีวิตคนไปมากมายนับร้อยนับพัน เขาว่างั้น ในทัศนะผมคิดว่าหากรถมีสภาพที่ไม่สมบูรณ์ และประมาท ก็เกิดอันตรายได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะช่วงลงจากยอดดอย จะวิ่งเร็ว ทางโค้งเยอะ เบรกไม่ดี ถนนลื่น หลับใน มีสิทธิ์เกิดอุบัติเหตุได้ตลอดเวลา

มีรถบรรทุก ปิกอัพ รถโดยสาร เก๋ง แม้มอเตอร์ไซด์สวนทางมาบ้าง ที่วิ่งตามกันก็มี แต่ไม่หนาแน่น รถวิ่งขึ้นดอยทางสูงชันข้างหน้าไปเรื่อยๆ แต่แล้ว…..

ขณะที่เรากำลังจะแซงรถคันหนึ่ง สังเกตรถของเราไม่วิ่งขึ้นไป มันช้าลง ช้าลง อย่างผิดปกติ พนักงานขับรถลองเปลี่ยนเกียร์ แม้จะเป็นแบบ ออโต ทันใดนั้นพนักงานขับรถก็บอกว่า “เข้าเกียร์ไม่ได้ครับ ไม่ทราบรถเป็นอะไร” เหยียบเครื่องเร่ง แต่รถไม่วิ่งและแล้วที่กระโปรงรถก็มีควันดำทะมึน ส่งกลิ่นเหม็นน้ำมัน


พนักงานขับรถเบรกรถ แล้วค่อยๆถอยหลังเข้าข้างทางอย่างช้าๆ ขณะที่ควันออกจากหน้ารถโขมงไปหมด เมื่อรถจอดสนิท ทุกคนรีบลงมา พนักงานขับรถเปิดฝากระโปรงรถดู พบว่ามีน้ำมันอะไรสักอย่างกระเด็นเต็มห้องเครื่องไปหมด


ที่พื้นถนนมีน้ำมันหกราดเป็นทางยาว ซึ่งอันตรายเพราะมันลื่น.. ไม่นานนักมีรถมอเตอร์ไซด์ชาวบ้านวิ่งขึ้นดอยไป เราไม่ทันคิดป้องกันอะไร มอเตอร์ไซด์คันนั้นก็ไปเหยียบน้ำมันเข้า ล้มลงทันที เท่านั้นเอง พวกเราต้องคอยวิ่งไปโบกรถให้ระมัดระวัง หลีกน้ำมันที่กองบนพื้นถนนนั้น ผมหักกิ่งไปปิด พอให้รู้ว่า ไม่ควรวิ่งทับตรงนี้

พนักงานขับรถคลำหาสาเหตุจนพบว่า สายท่อน้ำมันเกียร์หลุดทำให้น้ำมันไหลออกแล้วโดนเครื่องที่กำลังหมุนสาดใส่ทั่วห้องเครื่อง …. ต่างคนต่างคิดไปนานา ประการแรก จะแก้ปัญหารถคันนี้อย่างไร จะทำอย่างไรจึงจะเดินทางไปสนามบินได้ทัน เพราะเจ้านายต้องเข้ากรุงเทพฯ…

เจ้านายโทรบอกเจ้าของรถ Vigo บอกให้ทราบแล้วให้เอาช่างขึ้นมาซ่อมโดยด่วน แล้วโทรหาเพื่อนรักที่เป็นผู้กว้างขวางของลาว ขอร้องบอกให้เจ้าเมืองนานส่งรถมารับผู้โดยสารไปขึ้นเครื่องบินที่หลวงพระบางด่วน แล้วก็เดินไปเดินมา โทรสั่งการอะไรอีกหลายอย่าง รถบรรทุกจีนผ่านลงเขามาหลายคันอย่างช้าๆ เหยียบน้ำมัน แต่ไม่มีปัญหาสำหรับรถใหญ่ ดีซะอีกที่ทำให้น้ำมันกองนั้นหมดสภาพอันตรายลงไปทุกครั้งที่ล้อรถเหยียบผ่าน..


ขณะที่เราคอยการแก้ปัญหา คือ รถช่างมาซ่อม รถจากเจ้าเมืองนานมารับไปส่งหลวงพระบาง ก็ยังไม่มา เวลาก็ผ่านไป คำนวณระยะทาง เวลา และโอกาสที่จะทันเครื่องบินดูจะลดลงไปเรื่อยๆ เจ้านายโทรเข้ากรุงเทพฯสั่งการให้เลขา open เที่ยวบินหลวงพระบาง-กรุงเทพฯ และสั่งซื้อตั๋ว หลวงพระบาง-เวียงจัน เวียงจัน-กรุงเทพฯ ไม่นานเท่าไหร่ เลขาก็โทรตอบมาว่าเรียบร้อย…โฮ เราอยู่กลางป่ากลางดอยที่เมืองนาน ประเทศลาว สามารถสื่อสารสั่งการทุกอย่างได้หมด…นี่คืออำนาจของการสื่อสารไร้ขอบเขต


ในระหว่างรอนั่นเองผมก็เดินสำรวจพื้นที่ว่ามีต้นอะไรบ้าง มีอะไรข้างทาง เห็นเศษขยะก็ถ่ายรูปมาให้ดูว่า บนดอยสูงกลางป่าเมืองนาน ไชยบุรี มีสิ่งเหล่านี้อยู่จากน้ำมือมนุษย์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสัตว์ป่า สมัยทำงานที่ห้วยขาแข้ง เจ้าหน้าที่ป่าไม้เล่าให้ฟังว่านักท่องเที่ยวเอาปลากระป๋องไปกิน เปิดฝากินแล้วทิ้งกระป่องไว้ สัตว์ป่ามากิน เกิดติดจมูก ทำอย่างไรก็ไม่ออก จนเสียชีวิต..โธ่ ตายเพราะกระป่องปลากระป่อง…

พักใหญ่ๆ รถจากเจ้าเมืองนานก็มาเป็นปิกอัพสองตอน ฝุ่นเต็มไปหมดเลย เราเอากระเป๋าใส่กระบะด้านหลังแล้วก็นั่ง ผู้แทน ชอ.. สั่งคนขับรถว่า รีบไปสนามบินหลวงพระบาง เพราะมีคนจะลงกรุงเทพฯ เท่านั้นเอง ปิกอัพคันฝุ่นเต็มรถก็ห้อตะบึงตามคำสั่ง จนรู้สึกว่า อันตรายเกินไป ที่รีบไปสนามบินเพราะหากทันก็ไปตามกำหนดการเดิม หากไม่ทันก็ใช้ทางเลือกที่สองคือนั่งเครื่องไปลงที่เวียงจัน แล้วต่อจากเวียงจันเข้ากรุงเทพฯ

ระหว่างทางทุกคนพูดว่า ทำไมถึงเกิดอุบัติเหตุขึ้นอีกกับรถคันเดิม สันนิฐานว่า ช่วงเมื่อวานที่เกิดอุบัติเหตุนั้น ท้องรถคงไปครูดกับกองดิน และต้นไม้ กิ่งไม้ โดยพนักงานขับรถไม่เอ๊ะใจ ไม่ตรวจสอบให้ถ้วนถี่ แค่เอารถไปล้างให้สะอาด เท่านั้นเอง …นี่คือบทเรียน ต่างนึกไปว่า หากไม่ใช่สายน้ำมันเกียร์ แต่เป็นสายน้ำมันเบรกล่ะ…. โอ…ไม่อยากนึกเลย…..เจ้านายผู้ชายนั่น คนในเล่ากันว่ากำลังมีสิทธิ์ขึ้นเป็นผู้บริหารสูงสุด ท่านประธานปัจจุบันกำลังจะวางมือ… สำหรับผมนั้นแม้ตัวใหญ่ แต่ก็แค่เบี้ยที่หยิบเดินเท่านั้นเอง…

เราถึงหลวงพระบางเห็นคนโดยสารเดินขึ้นเครื่อง ก็คิดว่าทัน รีบลงไปแสดงตนว่าต้องการไปเที่ยวนี้ด้วย เจ้าหน้าที่การบินลาวบอกว่า ปิดรับผู้โดยสารแล้ว….

รถคันเดียวกันเกิดอุบัติสองครั้งในสองวันติดต่อกัน…

เจ้านายทั้งสองสามคนคือผู้บริหารระดับสูงของบริษัท..

เป็นอีกบทเรียนหนึ่งในชีวิตทำงานชนบท…



Main: 0.043851852416992 sec
Sidebar: 0.047933101654053 sec