จดหมายถึงอ๋อย 2

14 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 14 เมษายน 2010 เวลา 0:29 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 699

อ๋อย สมัยที่เราเรียนเราอ่านหนังสือกันมาก ล้วนเป็นเรื่องหนักๆทั้งสิ้น แม้แต่ Selected Work of Mao หรือ The Capitalist ของ Marx หรือ แม่ ของ Maxim Gorgi ฯลฯ ของคนไทยเองเราก็อ่านงานของจิตร ภูมิศักดิ์, ยอดธง ทับทิวไม้, ท่านกุหลาบ สายประดิษฐ์, ท่านปรีดี พนมยงค์ และอีกมาก บางคนสนใจกวี ก็อ่านของ คาลิล ยิบราล ฯลฯ เราไม่ได้อ่านใครอ่านมัน อ่านแล้วเอามาถกกันมากกว่าอ่านหนังสือเรียน มีหลายคนที่อ่านหนังสือ “แตก” จับประเด็นเก่ง สามารถมาสรุปให้เพื่อนฟังได้อย่างดี

อ๋อย คนรุ่นเราสมัยนั้นไม่เที่ยวเตร่ ดูหนังฟังเพลง ไม่ได้เมาเหล้า เล่นไพ่ตามหอพัก แต่เราเอาเวลาเหล่านั้นมาศึกษาเรื่องราวต่างๆของโลก หนังสือเหล่านี้หลายเล่มเราต้องเผาทิ้ง หรือซ่อนในที่ลับเพราะผิดกฎหมาย อย่างโฉมหน้าศักดินาไทย เดี๋ยวนี้ยังหาอ่านไม่ได้ แต่เราถกกันซะป่น บดกันเป็นผง คุยกันยันสว่างครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งเราเรียกกันว่า ตกผลึกทางความคิดใช่ไหมอ๋อย

เรื่องที่หวาดเสียวดูจะเป็นระบบชนชั้นในสังคมนี่แหละที่เราเอาทฤษฎีของ Marx เป็นตัวตั้ง เอาบทเรียนของ “อเยลเด” ในอาเจนตินา บทเรียนจากรัสเซีย ในจีนฯ มาศึกษา สมัยนั้นเราเป็นคนหนุ่มสาว ที่บริสุทธ์ผุดผ่อง เจตนาทั้งหมดเพื่อสังคมที่ดีกว่า คิดเอาบ้านเอาเมือง หรือที่เรียกคิดใหญ่ เพราะสภาพสังคมในช่วงนั้นอ๋อยก็รู้ว่ามันอยู่ในสภาพเผด็จการ ในคราบประชาธิปไตย สร้างเพื่อนพ้องน้องพี่ให้มีอุดมการณ์ ใกล้เคียงกับเรา พี่นิสิต จิรโสภณ รุ่นพี่เราที่แกร่งที่สุดก็ถูกถีบตกรถไฟเสียชีวิตด้วยความจัดจ้านของพี่เกินใครๆ .

อ๋อย เพื่อนเราที่ลุยเรื่องชาวนา ก็ไปสร้างชาวนาในภาคเหนือจนเดินตามเรามามากต่อมาก และเป็นเป้าให้กับบ้านเมือง และพ่อหลวงอินถา ศรีบุญเรืองก็สังเวยให้กับอุดมการณ์ ซึ่งสรุปกันว่า กอ.รมน.สั่งเก็บผู้นำชาวนา จนประเมินว่าอยู่ในเมืองกันไม่ได้ ต้องหลบรี้หนีภัยเข้าป่า พี่เป็นคนไปส่งหลายคน ตามระบบที่วางไว้ หลายคนไปเสียชีวิตไม่ได้กลีบคืนบ้านอีกเลย

อ๋อย เมื่อน้ำเดือด เพื่อนฝูงก็บอกว่าถึงเวลาที่ทุกคนต้องตัดสินใจต่อชีวิตครั้งใหญ่ คือการเข้าป่าแล้ว เพราะช่วงนั้นที่กรุงเทพฯ ทหารออกมาฆ่าผู้เดินขบวนแล้ว.. เพื่อนบางคนเก็บเสื้อผ้าด้วยน้ำตาแล้วเข้าป่าไปด้วยหัวอกที่ชอกช้ำ ไปนั่งกอดกันร้องให้ท่ามกลางป่าเขาที่เงียบสงัด พ่อแม่ พี่น้องยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลูกๆได้ตัดสินใจครั้งใหญ่แล้ว..

เคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลง ขัดแย้ง สัมพันธ์ สังคมเคลื่อนตัวออกไป วุฒิภาวะแต่ละคนสูงขึ้น พี่ตัดสินใจเลือกทางเดินของพี่คือสู่ชนบท แม้ว่าจะต้องเผชิญกับอุปสรรคทางบ้านเมือง และก็ไม่พ้นข้อหาทางการเมือง ที่ศูนย์การุณยเทพเชียงใหม่นั้น พี่พบท่านอาจารย์องุ่น มาลิกที่เราเคารพรักท่าน พบอาจารย์วิทยาลัยครู พบผู้นำชาวนาที่ตกขบวน และเพื่อนนักศึกษาหลายคน.. รวมทั้งไอ้แอ๊ด เดลินิวส์ การ์ตูนนิสต์ชื่อดังก็นอนเตียงติดกับพี่..


อ๋อย เพื่อนๆแอบออกมาจากป่ามาเยี่ยมพี่บ้างเป็นครั้งคราว แล้วก็หายหน้าไปจนป่าแตกนั่นแหละทุกคนก็อกหักออกมาสังคมเมืองอีกครั้ง

อ๋อย แดงที่เคลื่อนตัวทุกวันนี้ คนผ่านชีวิตช่วงของเรานั้นอ่านก็ออกว่านี่คือ แนวคิดเดิมที่เคยใช้มาก่อนปัดฝุ่นเอามาปรับใช้ในเงื่อนไขปัจจุบัน

อ๋อย แดงกล้าหาญเหลือเกินกว่าที่พี่คาดคิด กล้าหาญประกาศกลางกรุงเทพมหานคร ถึงการล้มอำมาตย์ ใครๆก็เข้าใจได้ว่าหมายถึงใคร วันที่พี่เข้าไปในพื้นที่ทำงานของพี่เห็นธงแดงยกขึ้นเหนือกระต๊อบชาวบ้านของพี่นั้น พี่รู้สึกเจ็บปวดลึกๆ จริงๆ….

อ๋อย คนที่อ๋อยปกป้องอยู่น่ะ แค่ใช้วาทะกรรมทางการเมืองสร้างผลงานเพราะอ๋อยและทีมงานของพวกเราในอดีตป้อนกระบวนวิธีให้ใช่ไหม อ่านสังคมชนบทออกมาแล้วใช้จุดอ่อนนั้นเป็นประโยชน์ทางการเมือง การเมืองที่อ้างแต่คะแนนเสียง อ้างผลการเลือกตั้ง แล้วก็ไปยืนยืดอกเป็นผู้มีเกียรติในอาคารที่โอ่อ่า แล้วใช้โอกาสนั้นแสวงหาประโยชน์ที่แนบเนียนมากขึ้นฝ่ายหนึ่ง อีกฝ่ายหนึ่งก็อดทนที่จะก้าวสู่อุดมคติของกลุ่มตนที่วาดฝันมา เช่นนั้นหรือ ต่างใช้ซึ่งกันและกัน

อ๋อย ปัจจุบันนี้ พี่ไม่เชื่อ ว่าขั้นตอนการปฏิวัติสังคมนั้นจะหยิบอดีตมาใช้ได้ในปัจจุบัน หรือว่ากลุ่มของอ๋อยพัฒนาไปไกลแล้ว และกำลังทดสอบขั้นตอนเหล่านั้น แต่ปากหนึ่งตะโกนว่า สันติ อหิงสา ไร้ความรุนแรง แต่มือข้างหลังเต็มไปด้วยอาวุธร้ายที่พร้อมจะลงมือเมื่อมีจังหวะ

อ๋อย ทฤษฎีปฏิวัติสังคมที่ใช้วิธีรุนแรงนั้น ไม่เคยจบลงด้วยเป้าหมายที่ต้องการ แนวความคิดสร้างสังคมที่วาดบนกระดาษและมิได้มาจากการปฏิบัติจริงนั้น ย่อมขาดสาระและรายละเอียดในสภาพจริง แนวคิดนั้นก็เป็นเพียงบลูปรินส์สวยที่ลอยอยู่บนฟากฟ้าเพียงเท่านั้น

อ๋อย ทางเดินชีวิตของพี่อยู่ในวงการพัฒนาชนบท มากกว่าสามสิบปี ในระหว่างทางเดินของช่วงเวลาดังกล่าว พี่สัมผัสในหลวงด้วยงานของพระองค์ พี่ชื่นชมพระองค์ท่านที่ก้าวลงมาผลักดันให้สังคมชายขอบของไทยได้ก้าวพ้นความทุกข์ยาก หากพระองค์ไม่ก้าวลงมา พี่ก็เชื่อแน่ว่าชายขอบของประเทศจะมีปัญหามากมายซึ่งหน่วยงานของรัฐก็เอื้อมมือไปไม่ถึง แค่นี้ก็ล้นพ้นแล้ว คนพูดน่ะมีมาก คนคิดก็มีเยอะ แต่พระองค์ทำ และนำประสบการณ์นั้นๆมาสร้างทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง.

พี่เชื่อในสิ่งที่พี่เห็น และได้สัมผัส อ๋อย พี่ไม่เชื่อในความฝัน และยิ่งความฝันที่รุนแรงนั้น พี่ไม่เห็นด้วย..



Main: 0.02213191986084 sec
Sidebar: 0.048290014266968 sec