ไปอยู่ป่ากันเถอะ…

9 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 8 สิงหาคม 2009 เวลา 12:37 ในหมวดหมู่ งานพัฒนาสังคม #
อ่าน: 1381

เมื่อเช้าเข้าไปเวียนลานมา หนีงานชั่วคราว (อิอิ อดไม่ได้) ไปเห็นประโยคเหล่านี้ที่ลานสวนป่าของพ่อครูบาฯเข้า..

….ผมแอบคิดเงียบๆนะ คนหัวโตผ่านงานสำคัญๆชั้นสูงมาแล้ว ใช้แต่สมอง ไม่ค่อยได้ใช้กำลังกาย พอมาลงมือลงไม้เลือดสูบฉีดอ็อกซิเจนวิ่งพล่าน เส้นเอ็นตึงตังแข็งแรง เหงื่อออกตามขุมขน ปอดผายหายใจแรงขึ้น โรคภัยต่างๆจะถอยออกไป ตามประสิทธิภาพภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเอง เป็นบทเฉพาะการที่กำลังนำพากายประสานกับใจ ในสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ เข้าสู่ธรรมะภาคปฏิบัติอย่างแท้จริง ในที่สุดแล้วเราจะได้ผู้จัดการหมู่บ้านเฮที่เข้าถึงทุกอย่างทั้งทางภาคทฤษฎี และปฏิบัติ…

ผมเลยนึกถึงประสบการณ์ผมที่ทำงานที่นครสวรรค์ อุทัยธานี กับกลุ่มป่าห้วยขาแข้ง 6 ปี ที่นั่น ผมได้รู้จักเรื่องราวของชีวิต สังคม และการเปลี่ยนแปลงของโลกมากสมควร


ได้พบเศรษฐี ผู้มีอันจะกินครอบครัวหนึ่ง ท่านเป็นเจ้าของโรงงานผลิตผ้าใบคลุมรถสิบล้อ หรือเทรเลอร์ใหญ่ๆยี่ห้อ BJ ซึ่งเป็นชื่อย่อท่าน ชีวิตท่านผู้ชายเกี่ยวข้องกับการเมืองของกรุงเทพฯมาพอสมควร ก็ย่อมมีพรรคพวกมากมาย ท่านผู้หญิงนั้นคุมกิจการและเจริญรุ่งเรืองมาตลอด

เมื่ออายุมากขึ้น โรคภัยไข้เจ็บก็วิ่งมาทัน ทั้งสองท่านก็เป็นโน่นเป็นนี่ แม้ว่าจะมีเงินทองมากมายแต่ก็เข้าๆออกๆโรงพยาบาล ลูกหลานก็บำรุงบำเรอแต่สิ่งดีดีเท่าที่จะหามาได้ในโลกนี้..

วันหนึ่ง(นานมาแล้ว)ท่านดูทีวีเห็นในหลวงทรงงานหนักเดินขึ้นลงป่าเขา เหงื่อตก..ฯลฯ.. เห็นสมเด็จทรงงานเพื่อชาวบ้านมากมาย.. สองท่านปรึกษากันแล้วก็ตัดสินใจครั้งใหญ่ว่าเราไปอยู่ป่าปลูกป่ากันดีกว่า.. แล้วก็ยกกิจการทั้งหมดให้ลูก สองคนก็ตระเวนหาพื้นที่ชายป่าที่จะมาอยู่และจะปลูกป่าทดแทนบุญคุณประเทศนี้ ท่านเลือกที่ “เขาชนกัน” จังหวัดนครสวรรค์ อันเป็นเขตที่ผมทำงานอยู่ในขณะนั้น ความจริงท่านไปอยู่ก่อนผมจะไปทำงานแล้ว..


ผมไปแนะนำตัวกับท่าน แวะเวียนไปเยี่ยมท่าน และเรียนรู้ชีวิตของท่านทั้งสอง ไม่น่าเชื่อเลยว่า เศรษฐีสามีภรรยาคู่นี้จะมาใช้ชีวิตค่อนข้างโดดเดี่ยวเช่นนี้ ที่พักก็แสนจะง่ายๆ ชั้นเดียว ไม่ได้หรูหราสมราคาฐานะของท่านเลย ท่านใช้รถปิคอัพคุณภาพดีหน่อยเพราะต้องการใช้ปีนเขาไปดูป่าที่ปลูก ไม่มีคนใช้ มีแต่ชาวบ้านแวะเวียนมาช่วยเหลือเป็นครั้งคราว ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหลายที่เคยมีเมื่ออยู่คฤหาสน์ที่กรุงเทพฯ แค่เรียบง่าย เงียบ สงบ ร่มรื่น


กิจประจำของท่านคือ จ้างชาวบ้านมาปลูกต้นไม้ โดยท่านไปของพื้นที่จากกรมป่าไม้ว่าจะช่วยปลุกป่าให้โดยบริจาคทุกอย่างที่จำเป็นต้องใช้ในการสร้างป่า..จ้างคนงานซึ่งเป็นชาวบ้านแถบนั้น กล้าไม้ที่กรมป่าไม้เอามาให้ ท่านใช้สารโพลิเมอร์ช่วยในการปลูกกล้าไม้เพื่อประกันว่าเมื่อปลูกแล้วโอกาสรอดมีมากกว่าปกติ ทราบแบบคร่าวๆว่าท่านควักกระเป๋าเพื่อการนี้นับสิบสิบล้านบาท

ผมใช้ชีวิตที่โครงการที่นั่น 6 ปี ป่าไม้ของท่านงอกงามขึ้นผิดตา ผมพาทีมงานไปช่วยท่านเป็นครั้งคราว และไปออกค่ายในพื้นที่ของท่าน

ท่านไม่ต้องการโฆษณา ไม่ต้องการลาภยศสรรเสริญ ท่านผ่านมาแล้ว ท่านบอกว่า ช่วงท้ายขอชีวิต ท่านขอ “ให้” ปลูกป่าถวายในหลวง สมเด็จฯ ให้กับสังคมและประเทศนี้ ท่านบอกว่า แค่ปลูกป่าให้ดีดีเท่านั้นอีกหลายอย่างจะตามมาโดยที่เราไม่ต้องตามไปสร้างมัน เช่น น้ำ อาหาร สัตว์ สิ่งแวดล้อมดีดี…..ฯลฯ…

จำได้ว่าปีนั้นมีฝนดาวตก ลีโอนิค ..ผมไปชวนนายอำเภอและข้าราชการ อ.แม่วงก์ขึ้นไปเยี่ยมท่านและนอนดูฝนดาวตกบนป่าในพื้นที่ที่ท่านทำกิจกรรมอยู่ เศรษฐีสองท่านให้การต้อนรับและสนับสนุน เป็นอย่างดี เราก็คุยแลกเปลี่ยนกันหลายเรื่อง

ก่อนหน้านี้ลูกหลานท่านมากราบกราน ร้องขอ ขอร้องให้ท่านกลับไปบ้าน ลูกหลานสงสารสภาพที่อยู่ เพราะไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรเลยเมื่อเทียบกับที่บ้าน ลูกหลานเป็นห่วง กลัวว่าจะอยู่ไม่ได้ จะเป็นอันตรายต่างๆนาๆ

ซึ่งก็เป็นเรื่องแปลกที่สุขภาพของท่านทั้งสองหายจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆหมดสิ้น แข็งแรง สดชื่น ท่านผู้หญิงทานมังสะวิรัติ ผมไปเยี่ยมท่านทีไรท่านก็ให้เห็ดโคนดองในขวดมาทุกที เพราะที่ อ.แม่วงก์นั้นมีเห็ดโคนป่าที่คุณภาพดีมากๆ ดอกใหญ่ พ่อค้ากรุงเทพฯขึ้นไปเหมาจากชาวบ้านทุกปีเมื่อถึงฤดูเห็ดออก เป็นคันรถเลย

ผมขออนุญาตไม่ระบุชื่อ สกุลท่าน ตามที่ท่านปวารนาไว้ว่าไม่ต้องการชื่อเสียง เกียรติยศใดๆทั้งสิ้น

เรื่องนี้เคยบันทึกไว้แล้ว มาบันทึกใหม่เพราะต้องการสนับสนุนประโยคของพ่อครูบาฯ และอนุโมทนากุศลกรรมที่ท่านเศรษฐีทั้งสองได้กระทำไว้แก่แผ่นดินนี้…

ด้วยความเคารพและศรัทธาครับ..



Main: 0.28679013252258 sec
Sidebar: 0.29859495162964 sec