มันเป็นอาคารง่ายๆ ธรรมดา หากเข้าไปนั่งเหมือนอยู่บ้านมากกว่า แต่เนื่องจากคุณผู้ชายเจ้าของเป็นสถาปนิก จบมาจากเมืองนอกเมืองนา ได้ใช้ความรู้ทางการออกแบบมาตกแต่งเสียอาคารธรรมดาเป็นร้านอาหารที่น่านั่งยิ่งนัก
เจ้าของคุณผู้หญิงชื่อเล่น แดง รหัส 13 รัฐศาสตร์ ลูกช้างติดธุระที่กรุงเทพฯจึงปล่อยให้คุณผู้ชายฉายเดี่ยวฝีมืออาหาร ใช้ได้ทีเดียว แต่เห็นเพื่อนร่วมโต๊ะบอกว่าปลาแดดเดียวเค็มไปนิด อิอิ..
ผมนั้นชื่นชอบ “ม่านบาหลี” ยิ่งนัก จอดรถปุ๋บ ก็เห็นรากยาวเฟื้อยของม่านบาหลีระย้าชานห้องอาหาร สวยถูกใจ จนเอาความคิดนี้ไปทำที่บ้านบ้าง
ยามมืดครึ้ม เปิดไฟในตัวอาคาร เรามายืนด้านนอกมองเข้าไป มันสวย อาคารโปร่งที่เอากระจกเป็นองค์ประกอบใหญ่ ยิ่งทำให้อาคารธรรมดาสง่า เขียวไปด้วยพุ่มไม้ ภายในตกแต่งด้วยรูปโบราณต่างๆขนาดเล็กๆ เล่นแสงไฟนิดหน่อย สร้างบรรยากาศน่านั่งคุยกัน
เรานัดกันทุกวันพุธแรกของเดือน ง่ายๆ ใครว่างก็มากินข้าวคุยกัน update ข้อมูลเพื่อนฝูงลูกช้างในมุกดาหารกัน และแน่นอนสารพัดเรื่องก็ตามมา ไม่วายเว้น การเมือง สุขภาพ ธุรกิจ ดินฟ้าอากาศ ฯลฯ มันเป็นสุนทรียสนทนาแบบหนึ่งนะ
ชายใส่แว่นนั่งข้างอาม่านั้นเป็นสูตินารีแพทย์ โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในมุกดาหาร ดูเหมือนรหัส 34 เป็นคนบ้านเดียวกับน้องขจิตแต่ภรรยาเป็นชาวเจียงฮาย(หากจำไม่ผิด) มาอยู่มุกดาหารจนกลายเป็นชาวมุกดาหารไปแล้ว น้องหมอเป็นคนน่ารัก เรียบง่าย ไม่ไว้ตัว เฉยๆ ยิ้มแย้ม ไม่ค่อยพูด แต่ถ้าพูดแล้ว ไหลไม่หยุดเหมือนกัน
ตอนแรกจะไปนั่งที่อื่น ถูกจับให้นั่งคู่อาม่าก็นั่งยิ้ม ฟังอาม่าคุยเพลินไปเลย พอมาไถ่ถามเรื่องหวัด 2009 เท่านั้นแหละ ความรู้ ประสบการณ์และความคิดเห็นขั้นวิกฤตก็ถูกเล่าออกมาอย่างน้ำไหล…. ทั้งวงเงียบฟังน้องหมอเล่าอย่างน่าตกใจ และสนใจยิ่ง
ผมว่าการดูแลรักษาผู้ป่วยหวัด 2009 ของเราผิดพลาดครับ..????? น้องหมอเขย่าวงอาหารเหมือนสะกดจิต
ผมบันทึกการรักษาผู้ป่วยเกี่ยวกับปอดมาหลายปี พบว่าผู้ป่วยเกี่ยวกับปอดที่เรียกว่า ปอดล้มเหลวนั้นมักเสียชีวิตสูงมากๆ และปอดล้มเหลวก็มักเกิดจากน้ำท่วมปอด น้ำที่ท่วมปอดก็มาจากการเติมน้ำเกลือของแพทย์..????!!!!!???
การรักษาผู้ป่วยสากล พื้นฐานเกี่ยวกับหลายโรคนั้น คือ การเติมน้ำเกลือ พร้อมๆกับการเยียวยาต่างๆ แต่จากการเฝ้าระวังของน้องหมอพบข้อสังเกตดังกล่าว จนมาเผชิญคนไข้หวัด 2009 หนัก ขนาดปอดขาวไปหมด และอายุก็มาก 70 กว่าปี น้องหมอใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนเฝ้ารักษาดูแลคุณยายท่านนี้ด้วยการงดให้น้ำเกลือ แต่ใช้ยารักษาเท่านั้น จนถึง ตี 5 หมดหนทางแล้วจึงหยุดการรักษา
หลังจากนั้น พบว่าคนไข้อาการดีขึ้น ดีขึ้น..อย่างแปลก
จากประสบการอื่นๆ และกรณีศึกษาคุณยายท่านนี้และอีกหลายคน น้องหมอเอาข้อสังเกตนี้รายงานให้อาจารย์แพทย์ทราบตามระบบ….แต่อนิจจา..ไม่มีคำตอบแถมถูกเตือนว่าน้องหมอกำลังทำการรักษาผิดไปจากคำแนะนำทางการแพทย์ที่ เมื่อรับคนไข้ที่เป็นหวัด 2009 ฉบับล่าสุดว่าต้องให้น้ำเกลือก่อนแล้วทำการรักษาด้วยยาตามขั้นตอน หากทำเช่นนี้น้องหมออาจผิดกฎหมาย…
อาม่าสนใจกรณีศึกษานี้ยิ่งนักจึงขอข้อมูลอย่างละเอียดเพื่อดูลู่ทางในการปรึกษาหารือกับผู้ใหญ่ได้อย่างไร..
ผมถามน้องหมอขึ้นว่า..หากผมเกิดเป็นหวัด 2009 แล้วเข้าโรงพยาบาล แล้วคุณหมอก็เอาน้ำเกลือมาให้ผม จะปฏิเสธได้ไหม…
น้องหมอบอกว่านั่นคือหนทางที่ดีที่สุด เพราะการไม่ใส่น้ำเกลือควรจะมาจากการปฏิเสธของคนไข้ เพราะหากหมอเป็นผู้สั่งเองจะผิด…
น้องหมอยืนยันข้อเท็จจริงนี้ และบอกว่าทุกรายที่เป็นหวัด 2009 มาเราใช้วิธีนี้และไม่มีปัญหา อาการดีขึ้นและหายจากหวัด กลับบ้านไปหมด
แต่ก็เตือนพี่น้องว่าบ้านเราจะเข้าสู่ฤดูหนาว หวัด 2009 จะมาระบาดรุนแรงอีก และหากยังใช้วิธีให้น้ำเกลือ จะมีคนไข้เสียชีวิตอีกหลายคน..น้องหมอเป็นห่วง ฝากบอกต่อๆไปด้วยว่า หากท่านผู้ใดสนใจข้อมูลให้ติดต่ออาม่า และหากรับฟังก็กรุณาบอกต่อๆญาติพี่น้องด้วย
รายละเอียดเชิงวิชาการอาม่าคงอธิบายได้ดีครับ