โซ่..

7 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ ธันวาคม 23, 2009 เวลา 21:11 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1825

งานสูบน้ำเพื่อการชลประทานห้วยบางทรายที่ผมแบกภาระอยู่นั้นเป็นน้ำหนักที่อยู่บนบ่ามาตลอด เพราะไม่สามารถสร้างการบรรลุผลให้เกษตรกรมาใช้ประโยชน์ได้มากเท่าที่คาดการณ์ เราพยายามมาหลายปี จนอาว์เปลี่ยน(ปาลียน)เปลืองเนื้อเปลืองตัวไปก็มาก

การก้าวออกจากหลักการเดิมจึงเกิดขึ้น จาก contract farming เป็นการทดลองพืชพื้นๆที่ชาวบ้านคุ้นเคยมาก่อนแล้วนั่นคือ มันสำปะหลัง การวางแผนงานจึงเกิดขึ้นกับพี่น้องชาวบรู หรือไทโซ่ 3 คนหนุ่ม และอีก 1 คนสูงอายุ 16 การทดลอง ทั้งชนิดของมันสำปะหลังและ experiment (ไม่ขอลงรายละเอียด)

เมื่อการทดลองสิ้นสุด เราก็เชิญผู้ร่วมการทดลอง และชาวบ้านเป้าหมายมาพูดคุยกันเพื่อเรียนรู้ ซักถามถึงผลที่เกิดขึ้นของการทดลองเป็นอย่างไร เพื่อให้ชาวบ้านที่สนใจเอาไปขยายการผลิตที่ลดต้นทุนแต่เพิ่มผลผลิตมากขึ้น

เราทำงานกับพี่น้องบรูมานานพอสมควร ทราบดีว่า อุปนิสัยของไทโซ่นั้นแตกต่างจากเกษตรกรอื่นๆต่างกรรมต่างวาระแตกต่างกัน

นายต๊อก อายุเป็นเยาวชนตอนปลาย มีครอบครัวแล้ว จบการศึกษา ป 4 เข้าร่วมการทดลองด้วยความสมัครใจ วันที่เราจัดเวทีสรุปบทเรียนนั้นเราเชิญท่านนายอำเภอดงหลวง เจ้าพนักงานพัฒนาที่ดิน และเจ้าพนักงานการเกษตรอำเภอ เพื่อให้ท่านเหล่านั้นมารับทราบและให้คำแนะนำ และนำผลไปเผยแพร่ต่อไปด้วยเราวางแผนไว้ว่าจะเชิญเกษตรกรทั้ง 4 คนมาเป็นวิทยากร

“เวลาของเรากับชาวบ้านนั้นต่างกัน” เมื่อถึงเวลาต่างทยอยมาแต่ไม่มีทางที่จะตรงกับเวลาตามกำหนดการ พอดีข้าราชการที่เราเชิญมานั้นท่านเข้าใจก็ไม่ได้ตำหนิ แต่อย่างใด

เมื่อถึงเวลาอันสมควร ปรากฏว่า นายต๊อก เชื้อคำฮดเกษตรกรที่เข้าร่วมการทดลองไม่มาปรากฏตัว ยุ่งละหว่า น้องเรารีบขับรถวิ่งหาตัวกันใหญ่ นายต๊อกไปไหนนนนนนน…..

สักพักน้องเอาตัวนายต๊อกมาจนได้ แกยิ้มแหยๆ….

ผม : ถามว่าหายไปไหน ทำไมไม่มาร่วมสรุปบทเรียน

ต๊อก: ผมกลัวขึ้นเวที ผมไม่อยากขึ้นเวที ผมพูดไม่เก่ง..

ผม: ……?!?!?!……

การจัดเวทีสนทนาจึงดัดแปลงให้เรียบง่ายที่สุด เป็นการนั่งล้อมวง มีผมเป็นผู้กระตุ้น ซักถามประเด็นต่างๆ….

ข้าราชการที่มาร่วมงานต่างชื่นชมว่าเป็นการสรุปบทเรียนที่น่าสนใจ แม้เขาเองก็ได้เรียนรู้อีกหลายอย่างครับ…

หลังสิ้นสุดงานผมถามน้องว่า ไปหานายต๊อกได้ที่ไหน เขาตอบว่า โน้น…ชี้ไปที่ตีนภูเขา นายต๊อกแอบไปขุดมันสำปะหลังที่ตีนเขานั้น…

การทำงานกับชาวบ้านนั้น จะเอามาตรฐานข้างนอกไปใช้..ในบางพื้นที่นั้นจงใตร่ตรองให้หนัก


เมืองไทยใน AM

10 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ ธันวาคม 23, 2009 เวลา 13:55 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1713

เมื่อวานไปประสานงานกับ รพ.ดงหลวง เรื่องการขอคำแนะนำเอาผักปลอดสารพิษที่ชาวบ้านปลูกมาส่งที่ รพ. (รายละเอียดจะเขียนบันทึก)

ระหว่างทางกลับมุกดาหาร เปิดวิทยุ am พบคลื่นจากประเทศจีน พูดด้วยภาษาลาว กล่าวถึงเรื่องราวในเมืองไทยกรณีอดีตนายกกับท่านนายกปัจจุบัน สรุปว่า หากจะมีการเจรจาก็ต่อเมื่ออดีตนายกต้องยอมรับกติกาที่ศาลได้พิพากษาไปแล้ว คือมาติดคุกก่อนแล้วค่อยเจรจากัน..


น้ำคลอง สารส้ม คลอรีน

2 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ ธันวาคม 21, 2009 เวลา 0:20 ในหมวดหมู่ ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม, สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย #
อ่าน: 3253

เมื่อเด็กๆสมัย 2500-2509 จำได้ว่าเราตักน้ำจากลำแม่น้ำน้อยมาใส่ตุ่มแดงซึ่งเป็นตุ่มโบราณที่ใช้ดินเผาไม่ได้เคลือบ ส่วนตุ่มลายมังกรจากราชบุรีนั้นเคลือบ น้ำดื่มเราใช้น้ำฝนที่รองจากหลังคาบ้าน หากน้ำฝนที่ใช้ดื่มหมด ก็ดื่มน้ำจากลำแม่น้ำน้อยนี่แหละ แต่จะฆ่าเชื้อโรคด้วยผงคลอรีน และแกว่งสารส้มทิ้งให้ตกตะกอนแล้วก็ใส่สายยางดูดเอาตะกอนทิ้งไป ก็จะเหลือน้ำใสๆ ทิ้งไว้นานๆกลิ่นคลอรีนก็หายไป ใช้ดื่มได้ เวลาเราจะซักเสื้อผ้าช่วงวันหยุดนั้นก็เอาถังใบใหญ่ๆไปตั้งริมตลิ่ง ตักน้ำแม่น้ำมาใส่ แกว่งสารส้ม เมื่อใสก็เอาน้ำในถังนั้นไปซักเสื้อผ้า

หากจะพูดถึงสิ่งแวดล้อมสกปรกนั้น มีตัวชี้วัดหลายประการ หนึ่งในนั้นคือ ความสกปรกของแม่น้ำลำคลอง ก็ตั้งแต่ความทันสมัยเข้ามา การปฏิบัติเขียวแพร่เข้ามาเมืองไทย นี่แหละ ชาวบ้านชาวช่องไม่รู้เรื่องอะไรหรอก ภาครัฐนั่นแหละที่เป็นผู้ชักนำเข้ามา

คิดๆไปรัฐบาลโดยนักวิชาการเองก็ไม่ได้คิดว่าสักวันหนึ่งสิ่งที่เรียกว่าทันสมัยนั้นจะส่งผลร้ายต่อบ้านต่อเมืองเรา มันเกี่ยวข้องกับการปฏิวัติเขียว เอ…เดี๋ยวนี้ไม่ได้ยินคำนี้มานานแล้ว เด็กรุ่นใหม่คงไม่ทราบแล้วว่า การปฏิวัติเขียวคืออะไร พาลจะนึกไปถึงคนสีเขียวเอารถถังเอาปืนออกมาปฏิวัติรัฐประหารบ้านเมืองเอารึไง..ไม่ช่าย..

ใครไม่รู้จักการปฏิวัติเขียวก็ลองเข้าไปดู ที่นี่ ตำบลม่วงเตี้ย อ.วิเศษชัยชาญนั้นเป็นทุ่งนากว้างขวาง สุดลุกตา เมื่อเขื่อนเจ้าพระยาสร้างเสร็จเขาก็ทำคลองชลประทานเลาะสองฝั่งเจ้าพระยา ฝั่งขวาก็เป็นโครงการบรมธาตุ เลาะแม่น้ำน้อย ผ่าน อ.โพธิ์ทอง อ.วิเศษชัยชาญ ไป อ.ผักไห่ ครอบคลุมพื้นที่นากว้างขวางมาก


ที่บ้านผมนั้น พ่อแม้จะเป็นครูแต่ก็ทำนากับแม่ด้วย ได้รับคำแนะนำว่าให้ร่วมทำการทดลองการใช้ข้าวพันธุ์ใหม่มาจาก “สถาบันข้าว” จากฟิลิปปินส์ ที่เรียก IRRI (International Rice Research Institute)และพันธุ์ข้าวที่เอามาทดแทนสมัยนั้นเรียกพันธุ์ IR-8 เป็นนาดำ ทั้งๆที่ทุ่งนาทั้งหมดทำนาหว่านมาเป็นร้อยๆปี เมื่อมีระบบชลประทานก็ได้รับคำแนะนำให้ทำนาดำ ใช้ข้าวพันธุ์ใหม่
ใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์

พ่อก็ลองทำตามนักวิชาการ เอาปุ๋ยวิทยาศาสตร์ใส่เข้าไป เราพบว่าวัชพืชขึ้นเต็มไปหมด เช่น “ต้นซิ่ง” ต้องซื้อยาปราบมาพ่นใบ ยาที่พ่นก็ต้องใส่ผงซักฟอกลงไปด้วยเพื่อวัตถุประสงค์ให้จับใบพืชชนิดนี้ ปรากฏว่า ปูปลา และสัตว์น้ำตายเกลื่อนไปหมด เนื่องจากเป็นยุคแรกๆของการใช้ปุ๋ยเคมี และยาปราบวัชพืช การระมัดระวังสารเคมียังทำกันอย่างหยาบๆ ต่างก็มีอาการปวดหัว มึนชากันมากบ้างน้อยบ้าง..

ในที่สุดหลายปีต่อมา ราชการก็เอาพันธุ์ข้าว IR-8 ที่พัฒนาขึ้นไปอีกที่เรียก ข้าว กข. เบอร์ต่างๆมาแลกพันธุ์ข้าวพื้นบ้านจนหมดเกลี้ยง
จนลืมไปหมดแล้วว่า พันธุ์ข้าวท้องถิ่น พื้นบ้านนั้นมีชื่ออะไรบ้าง ต้องกลับไปถามแม่… หลายปีต่อมาก็มีข่าวคนบ้านโน้นตาย คนบ้านนี้ป่วยอันเนื่องมาจากสารเคมีจากยาปราบศัตรูพืช สัตว์ต่างๆนั่นแหละ

สมัยนี้ไม่มีใครเอาน้ำแม่น้ำน้อยมาใช้ดื่มเหมือนอย่างที่เคยทำต่อไปแล้ว ใช้น้ำกรอง ใช้น้ำบาดาล หรือบางคนก็ซื้อจากโรงผลิตน้ำขายแล้ว

ตอนที่ทำงานที่สำนักงานเกษตรภาคอีสาน มีการศึกษาว่า “บ่อน้ำส้าง” หรือบ่อน้ำตื้นที่ชาวอีสานนิยมขุดแล้วเอาน้ำจากบ่อนี้ไปดื่มไปใช้กันนั้น ปนเปื้อนสารเคมีเกินกว่ามาตรฐาน ทางราชการต้องสั่งปิดบ่อ แต่กว่าจะสั่งปิดก็ดื่มกันมาหลายปีแล้ว และราชการก็มิได้สำรวจแหล่งน้ำดื่มประเภทนี้ทุกบ่อในอีสาน…??

นับวันมลภาวะจะมีมากขึ้น รอบตัวทั้งที่รู้จักและป้องกันได้ และที่ไม่รู้จักและไม่ได้ป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บแปลกๆใหม่ๆก็เกิดขึ้นมากมาย หมอตามไม่ทันแล้ว

อย่างน้อยงานที่ทำที่ดงหลวงก็พยายามสร้างสำนึกชาวบ้านให้ลดละเลิกสารเคมีได้มากขึ้นทุกปี คนที่ทำอย่างได้ผลที่สุดคือ พนักงานขับรถของผมชื่อ พิลา ครับ ปีนี้เป็นปีที่สองที่เขาผลิตข้าวอินทรีย์ และญาติพี่น้องเริ่มทำตาม เพื่อนบ้านต่างมาชื่นชม มาขอหยิบจับข้าวอินทรีย์ ต่างกล่าวว่า “เมล็ดสวยและน้ำหนักดี” พิลาใช้สูตรน้ำหมักหลายสูตร เพราะเขาเองก็ทดลองไปเรื่อยๆ ส่วนมากเป็นหอยเชอร์รี่หมัก และฉี่วัวหมัก พ่นฉีดใบต้นข้าว

ปีนี้ การทดลองมันสำปะหลังอินทรีย์ที่บ้านพังแดงได้ผล จาก 2-3 ตันต่อไร่เป็น 9-10 ตันต่อไร่ พิลาบอกพ่อตาว่าจะทดลองแปลงมันสำปะหลังเพิ่มอีกสักสองไร่..

งานพัฒนาฅน ใช้เวลานาน แต่ลึกๆเราก็หวังว่าสักวันหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีนั้นจะเกิด Critical Mass ขึ้น และวันนั้นจะไม่มีสารเคมีในท้องทุ่งอีกต่อไป มีแต่สารชีวภาพ…



Knowledge gap..

4 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ ธันวาคม 19, 2009 เวลา 9:28 ในหมวดหมู่ ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม #
อ่าน: 2702

วันหนึ่งผมไปทานอาหารกลางวันที่ร้านตะวันทอง ขอนแก่น ซึ่งเป็นร้านมังสวิรัติที่ใหญ่ที่สุด และผมเป็นลูกค้ามาตั้งแต่สิบปีที่ผ่านมา ผมได้หนังสือมาเล่มหนึ่งชื่อ “ควอนตัมกับดอกบัว” เขียนโดย มาตินเยอ ริการ์ และ ตริน ซวน ตวน แปลโดย กุลศิริ เจริญศุภกุล และดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ เป็นอีกเล่มที่ผมชอบมาก เพราะสนใจศาสนากับวิทยาศาสตร์ และสังคม ผมอ่านไม่เท่าไหร่ก็ Post ไปคุยกับ น้องชิว ต่อไปนี้เป็นการแสดงความเห็นของผมกับน้องชิวครับ


น้องชิว(ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ)ครับ

แว๊ปมาคุยด้วย ทั้งๆที่งานเขียนยังเร่งไม่เสร็จเลย เบื่อๆก็แว๊ปมาบ้าง

ตาม ติด ติดตามงานของชิวแล้ว พี่กลับเข้าหมู่บ้านที่ดงหลวง ก็เห็น..เอ…จะเรียกว่าอะไรดีล่ะ ช่องว่าง หรือ หลุมดำ หรือ Knowledge gap หรืออะไรก็ช่าง แต่ความหมายมันคือ วิทยาศาสตร์ คือการที่คนเราพยายามเข้าใจกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ และเมื่อโลกมีอายุเท่านี้ นักวิทยาศาสตร์ได้พัฒนาความรู้ที่เข้าใจกฏเกณฑ์ทางธรรมชาติ ของจักวาร มากมาย จนคนธรรมดาอย่างพี่ตามไม่ทัน และคนส่วนใหญ่ก็ตามไม่ทัน กลุ่มนักวิทยาศาสตร์นั้นไปไกลมากๆ นักสังคมวิทยามานุษยวิทยาดูจะไม่เขยื้อนเท่าไหร่…


ในขณะที่การดำรง ชีวิตของคนมากกว่าครึ่งหนึ่งของโลกยังพัฒนาบนพื้นฐานการมีชีวิตรอด ที่ไม่ได้ไปไกลไปกว่าเมื่อ 30 ปีหรือ 50 ปีที่ผ่านมา เช่นชุมชนในชนบท หนึ่งปีที่ชนบทก้าวไปนั้น พัฒนาช้ากว่าหนึ่งปีที่วิทยาศาสตร์ก้าวไปข้างหน้า ตรงนี้เองคือหลุมดำ ตรงนี้คือช่องว่าง

พี่วนเวียนในวงการพัฒนาชนบทมามากกว่า 30 ปี กล่าวได้ว่า การพัฒนาเมื่อ 30 ปีที่แล้วกับวันนี้ เราก็ยังทำเรื่องซ้ำๆ กิจกรรมซ้ำๆ แม้ว่าจะขยับออกไปบ้างก็เป็นเรื่องเครื่องมือ เทคนิค มุมมอง วัตถุ แต่ความรู้ความเข้าใจ จิตสำนึก มีการเปลี่ยนแปลงเฉพาะกลุ่มคนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับการลงทุนทางการเงิน เครื่องมือ ตรงข้ามเราสูญเสียหลายอย่างไปด้วยซ้ำ เช่น ทุนทางสังคม วัฒนธรรมที่ดีดี จิตใจที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ หดหายไปมากกว่าที่จะงอกงามขึ้นมา


ทุกครั้งที่พี่เข้าไปชนบท เห็น พูด สัมผัส ชาวบ้าน ก็หนักใจเพราะการก้าวเดินของงานพัฒนาเชิงคุณภาพนั้น ช้ากว่าการไหลบ่าเข้ามาของค่านิยมใหม่ๆ ที่ใครต่อใครก็พูดกันมานานแล้ว การสำนึก และการตื่นขึ้นมาตั้งสติต่อการออกแบบการดำรงชีวิตในสถานการณ์ปัจจุบันอย่าง เหมาะสมนั้น ดูจะไม่นิ่ง กว่าที่จะโน้มน้าวให้ชาวบ้านเปลี่ยนจากการใช้สารเคมีมาใช้สารชีวภาพก็ยาก เย็นแสนเข็ญ แต่ง่ายเหลือเกินที่เขาจะเดินไปที่ร้านข้างบ้านแล้วบอกซื้อเครื่องดื่มชู กำลัง วันละขวด หรือมากกว่า

เมื่อพี่ออกมาจากชนบท ตระเวนมาในสังคมแห่งนี้ สัมผัสเรื่องราวสารพัดเรื่อง ความรู้สึกเปรียบเทียบมันเกิดขึ้นมาโดยอัตโนมัติ นึกเลยไปในอนาคตว่า หากคนเราห่างกันทางด้านความรู้มากมายจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ลุงชาลีในดงหลวงแม้จะถูกยกย่องว่าเป็นปราชญ์ชาวบ้าน แต่แกไม่ประสีประสาเลยในเรื่อง นาโนเทคโนโลยี่ ตรงข้าม อีตา McKenna แกไปไกลสุดๆโลกแล้วแกจะเข้าใจไหมว่าพิธีฆ่าหมูบูชาผีที่บ้านดงหลวงเพื่อต้อนรับสมาชิกใหม่ในชุมชนนั้น คือ คุณค่าดั้งเดิมที่ชุมชนนี้ยอมรับและปฏิบัติกัน เมื่อมีคนใหม่เข้ามาอยู่ในชุมชน และอยู่กันอย่างพี่น้องร่วมกัน


พี่ยอมรับว่าคนเราไม่จำเป็นต้องรู้ไปหมดทุกเรื่อง แต่สังคมทุนนั้นมักจะเอาช่องว่างตรงนี้แหละทำมาหากิน หากวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต วิทยาศาสตร์เพื่อสังคม จะเป็นสิ่งประเสริฐยิ่ง และหากทุนนิยมเพื่อชีวิต เพื่อสังคม พี่ก็จะไม่คิดอย่างที่แสดงไว้ข้างบน

เป็นเพียงตั้งประเด็นเล่นๆน่ะครับ เพราะพี่เป็นคนสามโลก คือโลกชนบท โลกในเมืองที่รับรู้การเคลื่อนที่ไป และโลกจินตนาการที่อยากให้สังคมเป็นไป

แค่มาเล่าให้ฟังน่ะครับน้องชิวครับว่ามีมุมมองแบบนี้อยู่ครับ..อิอิ


เรียนรู้ชาวบ้าน..

2 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ ธันวาคม 12, 2009 เวลา 22:16 ในหมวดหมู่ ชนบท, เรื่องของชีวิต #
อ่าน: 2037

การเฝ้าเรียนรู้ฅนนั้น ไม่ง่ายอย่างพฤติกรรมที่เห็น

คำว่ารู้หน้าไม่รู้ใจ สะท้อนว่าฅนนั้นซับซ้อนมากกว่าตัวเป็นๆที่เห็น

แต่อยากจะพูดอีกมุมหนึ่งว่า พฤติกรรมที่เห็นนั้น ไม่อาจด่วนสรุปความคิดรวบยอดได้เสมอไป


การเข้าใจฅนนั้นต้องสนิทแนบพอสมควรจึงจะเข้าถึงมุมด้านในขิงเขา

ยิ่งเราเป็นคนนอก ชาวบ้านเป็นคนใน เราเองก็ไม่ได้อยู่กินตลอดเวลากับเขา แม้จะรู้ว่า ชาวบ้านนั้นตรงไปตรงมากับเรามาก มากกว่าอีกหลายคนที่ผ่านเข้ามาในวิถีชีวิตเขา แต่ก็ไม่ใช่ที่สุด


วันนั้นที่ประชุมกลุ่มผู้ใช้น้ำ บ้านพังแดงประชุมเพื่อปรับเปลี่ยนชุดบริหารงานใหม่ อดีตประธานมีสิ่งไม่ค่อยปกติหลายอย่าง เช่น ไม่ได้ทำบัญชีค่าใช้จ่ายของกลุ่มทุกครั้งที่มีการรับจ่าย ขอดูเอกสารหลายครั้งก็อิดออดที่จะเอามาให้ดู นัดพบปะกันเพื่อจัดระบบการบริหารงานใหม่ก็ไม่มา อ้างเหตุผลติดธุระต่างๆ ในที่สุดกลุ่มก็ลงมติตั้งประธานคนใหม่ แล้วลุยสะสางระบบต่างๆให้ชัดเจน โปร่งใส ตรวจสอบได้


คณะกรรมการชุดใหม่ดูขึงขัง และ active ประธานคนใหม่รับปากจะเข้าไปเคลียร์กับประธานคนเก่าตามแบบคนในหมู่บ้านเดียวกัน กรรมการคนอื่นๆ ก็เริ่มทำงาน

หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ประธานคนใหม่มาบอกว่า ได้พบกับประธานคนเก่าแล้วและได้คุยกันแล้ว พบว่า เขาไม่มีอะไรจะต้องระแวงสงสัยเลย ทุกอย่างมีเหตุผล อธิบายได้ แต่ความไม่พึงพอใจบางอย่างทำให้เกิดอาการปิดตัวเอง เมื่อเข้าถึงอาการปิดตัวเองก็ยุติ และประธานคนใหม่ก็เข้าใจ นำความมาบอกกล่าวกับทุกคนและ เสนอให้ประธานคนเก่าควรทำหน้าที่ต่อไปอีกด้วย


แม้ว่าประเด็นนี้ยังไม่ถึงที่สุด แต่ ได้เรียนรู้ใหม่ๆขึ้นมาในเรื่องการทำงานกับชาวบ้าน พัฒนาฅน พัฒนาชุมชน มีอะไรใหม่ๆให้เราขบคิดเสมอ มีสาระที่ให้เราต้องตามติดอยู่เรื่อยๆ

นึกเลยไปถึงกระบวนวิธีทางการแพทย์สอนนักศึกษาในปีสุดท้ายที่เรียน แพทย์ฝึกหัดนั้น นักศึกษาแพทย์จะต้องออกเยี่ยมเตียงคนไข้ โดยมีอาจารย์หมอยืนเป็นพี่เลี้ยง ให้นักศึกษาเรียนรู้จริงจากคนไข้ ทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนแพทย์ฝึกหัดมีความสามารถเพียงพอจึงผ่านไปสู่การเป็นแพทย์จริงๆ เข้าใจว่าพยาบาลก็เช่นกัน

นักศึกษาพัฒนาชนบท ไม่มีการลงสู่ชนบทแล้วเอาประเด็นที่พบมาถกกันให้ทะลุไป ที่ส่งนักศึกษาไปฝึกงานนั้นก็ดูจะ แค่ได้ไปชนบทเท่านั้นเอง….

อ้าว….ไปจนได้ อิอิ


เปลือก.. กับกระโถน

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ พฤศจิกายน 29, 2009 เวลา 18:29 ในหมวดหมู่ ชนบท #
อ่าน: 1583

ตั้งใจจะบันทึกเรื่องราวทำนองนี้ไว้นานแล้ว จะ จะ อยู่นั่นแหละ วันนี้ขอหยุดงานหลักมาเขียนบันทึกนี่ซะหน่อย

ก็คราวที่นานใหญ่ไปดูงานสนามเมื่อสองสามวันที่ผ่านมานี่แหละทำให้จำต้องบันทึกเรื่องนี้ไว้ เดี๋ยวจะผ่านไปอีก อิอิ

เรื่องของเรื่องก็คือ การรับนายใหญ่นั้นเราก็เชิญผู้นำชาวบ้านมาพบด้วยเผื่อท่านทั้งหลายอยากคุยกับชาวบ้านก็พร้อมที่จะให้พบกับชาวบ้าน มาประมาณ 10 คน ในระหว่างที่คุยกันเรื่องทรายถมทับหัวสูบ ก็มีหัวหน้างานคนหนึ่งเดินไปคุยกับชาวบ้านสอบถามเรื่องนั้นเรื่องนี้แหละ แล้วก็เดินกลับไปวงคุยกันนั้น สักพักก็รายงานนายใหญ่ว่า ชาวบ้านให้น้ำพืชโดย flooding หรือปล่อยให้ไหลไปตามลาดเอียงของพื้นที่ให้ท่วมร่องน้ำ และบอกด้วยว่า ข้างปลายท่อไม่ได้น้ำ….

ผมเดาออกเลยว่าทั้งหมดนั้นชาวบ้านหมายถึงอะไร แต่คนที่มาฟังเดี๋ยวเดียวโดยไม่รู้รายละเอียดทั้งหมดนั้นฟังแล้วเข้าใจว่าอย่างไร ผมทำงานระบบ On farm มาก่อนกับพื้นที่ชลประทานที่เขื่อนลำปาวกาฬสินธุ์ และอีก 6 เขื่อนขนาดกลางในอีสานในโครงการ NEWMASIP จึงทราบรายละเอียดพวกนี้ดี ผมทำงานกับกลุ่มผู้ใช้น้ำ ออกไปประชุมกลุ่มผู้ใช้น้ำเอง จึงรู้ว่าวิธีการจัดสรรน้ำนั้นทำอย่างไร ใครควรได้ก่อนหลังทั้งตามหลักชลประทาน และตามหลักการพัฒนาชุมชน

แต่ท่านหัวหน้าที่ไปสอบถามชาวบ้านมานั้นเป็นวิศวกรโยธา ไม่เข้าใจความหมาย และรายละเอียดของพื้นที่ และเดาใจชาวบ้านไม่ออกว่าที่เขาพูดถึงนั้นพุ่งเป้าไปที่ไหน สิ่งเหล่านี้หากไม่ได้คลุกคลีกับชาวบ้านแล้วจะตีความหมายคำพูดของชาวบ้านผิดเพี้ยนไปได้

หลักจากที่หัวหน้าท่านนั้นรายงาน ผมเห็นสีหน้าของนายใหญ่ไม่ค่อยดี ซึ่งพอเดาใจได้ว่าท่านคิดอะไร

หากเราดูระบบราชการที่ทำงานกับชนบทนั้นต่างจากระบบ NGO ที่ทำงาน คือ ราชการนั้นจะเน้นงานสำนักงานเป็นหลัก ใช้วิธีสั่งการลงไป เมื่อถึงคราวที่จะต้องลงไปในพื้นที่ก็ลง และเมื่อเสร็จก็กลับ จนกว่าจะมีกิจกรรมใหม่ก็ลงไปอีก….แบบเข้าชนบทเฉพาะกิจกรรมแล้วออก แต่ระบบงาน NGO นั้นการทำงานกับการคลุกคลีชาวบ้านเกือบแยกกันไม่ออก เพราะทุกอย่างเป็นงานและเป็นการชวนคุยธรรมดา ให้เวลากับชาวบ้านมากฯลฯ จึงมีความเข้าใจมากกว่า สนิทสนมกับชาวบ้านมากกว่า ลงลึกมากกว่า ชาวบ้านให้ความเปิดเผยมากกว่า (แต่ทั้งนี้ไม่ใช่ข้าราชการทั้งหมดนะครับ ดีดีก็มีเยอะไป)

ยิ่งมาแบบฉาบฉวย ชาวบ้านจะพูดเพื่อเปิดโอกาสรอประโยชน์ที่อยากได้รับ… ซึ่งก็เป็นค่านิยม เป็นสิทธิ เป็นความหวังของเขา และหลายแห่งราชการ ให้เสียจนชินเหมือนกัน ดงหลวงก็เหมือนกัน หลังจากที่เขาออกจากป่า ราชการก็อยากดึงเขาเข้ามาเป็นคนไทยที่ไม่มีความต่างทางความเชื่อทางการเมือง จึงทุ่มเทการให้ต่างๆมากมาย แม้ปัจจุบันเขาก็เผลอขอเราเฉยๆก็บ่อย…เผื่อเราใจอ่อนให้… ซึ่งเราก็ให้ แต่ให้ของเรามีเงื่อนไข มีความเข้าใจลึกๆถึงคนนั้น ครอบครัวนั้นมากกว่า ให้แบบคนนอกที่ไม่เข้าใจรายละเอียด

อย่างเช่น เกษตรกรคนหนึ่งเป็นคนขยัน มีพื้นที่ทำกินอยู่นอกโครงการสูบน้ำ แต่ติดขอบพื้นที่รับน้ำ เขาอยากเพาะปลูกพืชนั่นพืชนี่ตามที่เราแนะนำเกษตรกรที่อยู่ในพื้นที่โครงการ แกก็ปลูก ก็ทำ โดยพยายามลงทุนต่อท่อจากหัวจ่ายข้ามถนนไปพื้นที่แกจนได้ และก็ประสบผลสำเร็จด้วย เราส่งเสริมอะไร เอาด้วยหมด ไปทุกครั้งก็บ่นว่า “พวกที่มีที่ดินในพื้นที่รับน้ำไม่ทำการเพาะปลูกกัน ผมไม่ได้รับน้ำแต่อยากปลูก” ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่เกษตรกรท่านนี้พูดมาก เรียกร้องตลอด และแอบทำการทดลองเอง ตามความคิดความเชื่อของตนเอง ทั้งได้ผลและล้มเหลว

ท่านที่มาจากกรุงเทพฯรับฟังชายคนนี้มาแบบคนนอก ที่ไม่เข้าใจก็รายงานนายใหญ่ หากเราจะแจ้งข้อเท็จจริงก็จะหน้าแตกกันยับเยิน เราถือคติให้อภัยเขาเถอะ…. จึงยอมเป็นกระโถน..

ผมหละฝืนๆความรู้สึกจริง ต่อผู้เชี่ยวชาญส่วนกลางโครงการที่ผมทำอยู่ เพราะท่านเหล่านั้นมาใหม่ และออกพื้นที่เฉพาะเรื่อง เมื่อออกทำกิจกรรมเสร็จก็กลับ แต่คนที่จังหวัด เดินทางไปมาหาสู่ ไม่มีกิจกรรมก็เยี่ยมเยือน ไปเรื่องอื่น แต่ผ่านหน้าบ้านก็แวะทักทายกัน

เรื่องเหล่านี้เป็นวิถีงานชุมชนที่ต้องทำ แล้วความสนิทสนม ใกล้ชิดเกิดขึ้น เมื่อคนเราใกล้ชิดกัน อะไรอะไรก็ง่าย พูดจากันก็ง่าย เพราะเข้าใจกัน เห็นกันและกันทั้งหมด การทำอะไรก็เปิดเผยจริงใจเข้าหากัน ตรงข้ามการทำงานแบบ เช้าไปเย็นกลับ ไปเช้าวันนี้กลับเย็นพรุ่งนี้ แต่อีกครึ่งค่อนเดือนหรือมากกว่านั้นไปอีกที..มันขาดมิติความสนิทสนมกัน เมื่อขาดตรงนี้ ก็ขาดพื้นฐานการทำงานกับคนชนบท

หากมากไปกว่านี้ก็จะเป็นที่ฝรั่งกล่าวว่า Tourism Development ไป


Fuse

10 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ พฤศจิกายน 28, 2009 เวลา 22:26 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1862

เบอร์หนึ่งของหน่วยงานไปเยี่ยมพื้นที่ ก็มีการเตรียมงานกันพอสมควร สำหรับผมนั้นเฉยๆเพราะไม่ใช่ข้าราชการจึงพร้อมที่จะเผชิญของจริง และก็เผชิญจริงๆ…

หนึ่ง: ก่อนมาก็มีคนส่วนกลางส่งข่าวมาสองสามครั้ง จะเอาข้อมูลเรื่องนั้นเรื่องนี้ แค่แผนที่เข้าพื้นที่ก็ทำให้ถึงสามแบบสามครั้ง ทั้งแบบ Google ที่เป็น satellite ทั้งแบบ map แบบวาดจำลอง ไม่เอาจะเอาตามตัวอย่างที่ส่งมา โธ่หนังสือแผนที่ก็มี เสียเวลากับแค่ทำแผนที่นี่มากมายไร้ประโยชน์ เมื่อถึงเวลาจริงๆ ก็ไม่ได้ใช้แผนที่ที่สั่งการมา เพราะมีคนเจ้าถิ่นนั่งรถไปด้วย รู้ทั้งรู้ว่าต้องมีคนนั่งไปด้วย ทุกอย่างต้องป้อนให้นาย โดยการสั่งการให้ลูกน้องทำแทบตาย…นี่คือระบบราชการ

สอง: เบอร์หนึ่งมาคนเดียว ผู้ติดตามสี่สิบห้าคน ล้วนใหญ่โตทั้งนั้น เป็นการเดินทางที่เทอะทะ ใหญ่โตเกินเหตุ สิ้นเปลือง …นี่คือระบบ..red tape

สาม: ลงเครื่องที่อุบล มาถึงมุกบ่าย 5 เข้าร้านอาหารเวียตนาม กินของเล่นก่อน แล้วประชุม 6 โมงกำหนดการต้องเลิก 2 ทุ่ม ทั้ง 4 จังหวัดต้องนำเสนองานแบบรีบเร่ง ตัดสาระออกให้ได้เวลาที่กำหนด แต่ละจังหวัดเตรียมนำเสนอกันไม่ต่ำกว่า 30 นาทีพร้อมเอกสาร ในที่สุดก็จบลงที่ สองทุ่ม ทานอาหารมื้อค่ำกัน แล้วแยกย้ายกันไปพักผ่อน ….นี่คือการมาดูงาน

สี่: ขบวนแวะที่สำนักงาน เดินชมสถานที่ ถ่ายรูป แล้วเดินทางต่อ ท่านผู้ใหญ่รองลงมาจากเบอร์หนึ่งบอกให้เรานั่งไปกับเบอร์หนึ่ง นั่งคู่กับเบอร์สองเพื่ออธิบายให้ท่านทราบถึงโครงการ ท่านเบอร์สองก็ทำหน้าที่ซักเราให้ท่านเบอร์หนึ่งได้ยิน เราก็เล่าให้ฟังทั้งหมด ท่านเบอร์สองก็ถามสารพัดพร้อมแสดงความเห็นต่องานที่ทำตามมุมของท่านที่มีประสบการณ์มา แต่ท่านเบอร์หนึ่งนั่งหลับอยู่ข้างหน้า..?

ห้า: พาท่านลงไปที่อาคารสูบน้ำของโครงการสูบน้ำด้วยไฟฟ้า อธิบายสั้นๆแล้วก็ตรงเข้าประเด็นปัญหา แค่ประเด็นแรกเท่านั้นเอง เราเรียนท่านว่า ปัญหาที่พบตลอดมาทุกปีคือทรายมาถมทับหัวสูบน้ำ ต้องเกณฑ์ชาวบ้านมาขุดลอกซึ่งปริมาณมากต้องใช้เวลา 3 วันแรงงาน ประมาณ 25 คน

เท่านั้นเอง ท่านเรียกวิศวกรมาถามว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร วิศวกรเตรียมเรื่องนี้มาเสนอท่านอยู่แล้วก็กางแบบแปลนที่เตรียมมา…ใช้วิธีเอาน้ำในถังเก็บข้างบนมาพ่นใส่ทรายให้ฟุ้งแล้วดูดเอาออกไป…ด้วยปริมาณน้ำ…ลบม. เฮด เท่ากับ 30 บีบท่อให้เล็กลงมาเหลือ 4 นิ้ว แล้วบีบลงอีก…ติดหัวพ่น แล้วมีตัวดูดออก….

คุณมีตัวอย่างความสำเร็จวิธีการนี้ไหม….ไม่มีครับ..???!!! อ้าวแล้วคุณมั่นใจได้อย่างไรว่าวิธีนี้จะใช้ได้ที่นี่

มีวิธีอื่นไหม…ท่านผอ.กอง…..มีครับ คือผมเคยใช้ระบบปิด..ฯ…..

ใช้เวลาถกเรื่องนี้มากกว่า 45 นาทีเลยไม่ได้ไปดูพื้นที่ตรงอื่นเลย ในที่สุด ข้าราชการคนหนึ่งบอกว่า ไหนลองติดเครื่องสูบน้ำดูซิ

ผมรายงานฉะฉานว่าติดเครื่องไม่ได้ครับ เพราะมีปัญหาระบบไฟฟ้า…???!!! เป็นมากี่วันแล้ว ผมตอบสามวันมาแล้วครับ แล้วแก้ไขอย่างไร… ก็ต้องติดต่อตัวแทนบริษัทที่กรุงเทพฯให้ส่งช่างชำนาญการเรื่องนี้มาทำ แล้วจะมาเมื่อไหร่…

วุ้ย…..ตูจะบ้าตายมาบีบคั้นเอาคำตอบเบ็ดเสร็จกันตรงนี้เลยหรือ ก็เขายังไม่ตอบมาว่าจะมาเมื่อไหร่..เพราะเรื่องมันเพิ่งเกิดเราก็พยายามเต็มที่ เราทำงานมาเรารู้ดีว่าปัญหานี้เดือดร้อนถึงชาวบ้าน หากระบบเสียหาย ก็กระทบถึงชาวบ้านแน่นอน เราก็ถึงกับคิดระงับการผลิตพืชฤดูแล้งปีนี้ด้วยซ้ำไป..เพราะปัญหาระบบสูบน้ำไม่ร้อยเปอร์เซนต์

แต่ก็รับปากว่าจะแก้ปัญหานี้ให้ได้ภายในสัปดาห์หน้า… ท่านบอกว่า “ผมจะมาดูสัปดาห์หน้า”...โอ้โฮ ดีจริงๆ นายใหญ่จะเข้ามาดูอีก..

ในที่สุดคณะที่นั่งรถยาวเหยียดก็ออกจากพื้นที่โครงการไปสกลนครต่อไป..

หก: เรารีบกลับลงไปที่อาคารสูบน้ำ เรียกเจ้าหน้าที่ทุกคนมาแล้วตรวจสอบซิว่าที่บอกว่าจะลองเปลี่ยน Fuse ระบบดูนั้นทำไมไม่ทำ…คำตอบคือ หากล่อง Fuse สำรองไม่พบ เ..ว…ร..เอ้ย…

หาจนพบ ลองเปลี่ยนแล้วลองทดสอบติดเครื่องดู พบว่า เครื่องก็ไม่ทำงาน เอางี้ เข้าเมืองมุกดาหาร ไปซื้อ fuse มาใหม่ทั้งหมด ใช้ 17 ตัว เอา fuse นี้ไปด้วย ระยะทาง 60 กม. มาถึงตัวเมืองมุกดาหาร ไปหาร้านไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดสามร้าน ไม่มี fuse ขนาด 4 A ….เวรเอ้ย… เอ้างั้นตรวจสอบซิว่า fuse ที่เอามาด้วยนี้อันไหนเสียบ้าง พบว่าไม่เสียซักอัน งั้นหันหัวรถกลับไปดงหลวงใหม่อีก 60 กม.เอาไปเปลี่ยนใหม่ให้หมด

ผมลงที่สำนักงานเพราะต้องเร่งทำการสรุปเรื่องราวเพื่อทำรายงานต่อไป ปล่อยให้ลูกน้องบึ่งรถไปทำหน้าที่ อีกหนึ่งชั่วโมงถัดมาเสียโทรศัพท์ดัง เสียงลูกน้องดังลั่นสายว่า เครื่องทำงานแล้ว……

โธ่เอ้ย.คน(ลูกน้อง).โธ่เอ้ย..Fuse

เจ็ด: มาทบทวนพบว่าลูกน้องเปลี่ยน Fuse ใหม่ไม่หมดทุกตัว ซึ่งทั้งหมดมี 17 ตัว ไอ้ตัวที่ไม่ได้เปลี่ยนนั่นแหละมันเสีย….โธ่ ….ตู….

สรุป… ลองมาบีบแขนขาตัวเอง เอ ทำไมมันน่วมๆก็ไม่รู้..ห้า ห้า ห้า


วิกฤตน้ำ..

4 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ ตุลาคม 31, 2009 เวลา 9:44 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1910

วันที่ 30 แว็บไปนั่งฟังการสัมมนาเรื่อง วิกฤติน้ำ วิกฤติชีวิต: การจัดการน้ำเพื่อชีวิต..คนอีสาน ที่โรงแรมโฆษะ ขอนแก่น

มีสาระที่น่าสนใจมาก โดยเฉพาะท่านอาจารย์ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม ที่เกริ่นนำให้เห็นภูมิปัญญาของคนโบราณที่จัดการเรื่องน้ำและวิถีชีวิต ท่านเน้นว่า คนโบราณจัดการทำโดยเน้นเพื่อการอุปโภค บริโภคเป็นหลัก วิธีการจัดการน้ำนั้น เน้นความสัมพันธ์คนกับคน คนกับธรรมชาติและกับสิ่งเหนือธรรมชาติ ท่านเน้นความรู้ที่ต้องเคารพมากๆคือความรู้ที่มาจาก “คนใน” มิใช่ เอาแต่ความคิดเห็นของ “คนนอก”

คุณมนตรี จันทวงศ์ จากมูลนิธิฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติ ได้ นำข้อมูลที่คนส่วนใหญ่มักไม่รู้ คือข้อมูลจากรัฐ นโยบายของรัฐ แม้ข้อมูลบางเรื่องเป็นที่ไม่เปิดเผยมาก่อน โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง ข้อมูลงบประมาณมากมายมหาศาลที่รัฐได้เตรียมไว้สำหรับลงทุนทำงานเกี่ยวกับการจัดการน้ำทั่วประเทศ หลายแสนล้านบาท บางส่วนผ่านการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้วด้วยทั้งที่ยังไม่มีข้อมูลการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม ยังไม่ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลลาวในกรณีโครงการผันน้ำจากเขื่อนน้ำเทินมุดแม่น้ำโขงมายังภาคอีสานของประเทศไทย แต่รัฐบาลไทย หน่วยงานที่รับผิดชอบได้อนุมัติงบประมาณออกแบบโครงการนี้แล้ว

ข้อมูลของคุณมนตรีนำมาเสนอนั้นไปตอกย้ำการกล่าวของท่านอาจารย์ศรีศักดิ์ที่ว่า เป็นความคิดของ “คนนอก” แม้จะพยายามทำประชาพิจารณ์ แต่ เป็นเพียงพิธีการแบบ ชงเองกินเองเสียมากกว่า…

คุณไพรินทร์ เสาะสาย จากโครงการทามมูล สุรินทร์ นั้นมาชี้ให้เห็นถึงระบบนิเวศอีสาน 6 แบบที่เกี่ยวข้องกับน้ำในอีสาน เป็นข้อมูลที่มีคุณค่ามาก หากไม่เข้าใจเรื่องราวของระบบนิเวศแล้ว การออกแบบชลประทาน หรือการจัดการน้ำก็จะไปทำลายระบบเหล่านี้และการจัดการแบบคนนอกคิดนั้นก็จะไปสร้างปัญหาอีกแบบหนึ่งขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ซึ่งมีตัวอย่างมากมาย

ประทับใจข้อมูลคุณมัสยา คำแหง จากมูลนิธิพิทักษ์ธรรมชาติเพื่อชีวิต ที่นำเอางานวิจัยที่ชาวบ้านเป็นผู้ทำและประสบผลสำเร็จในการจัดการน้ำ เป็นข้อมูลที่ตอกย้ำว่าการที่ชาวบ้านมองหาทางออกเองนั้นมันเหมาะสม สอดคล้องกับเงื่อนไขและสภาพของชุมชน ที่สำคัญ ไม่ได้ใช้งบประมาณมากมายอย่างที่รัฐทำ เธอกล่าววลีที่ชอบมากคือ “ข้อมูลทำให้เกิดการตื่น ตระหนัก”..


ส่วนตัวมีข้อเสนอดังนี้

  • RDI หรือหน่วยงานใดก็ตามที่เข้าใจปัญหานี้ ควรจะเอาข้อมูลเหล่านี้ และมากกว่านี้ไปขยายให้ชาวบ้านทั่วไปได้รับทราบมากที่สุด ด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่งที่หน่วยงานนั้นเอื้ออำนวยให้
  • ทั้งข้อมูลที่เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านและข้อมูลที่เป็นนโยบายของรัฐ ควรทำการสรุปสาระแล้วจัดทำเป็นสื่อต่างๆเพื่อเผยแพร่ให้กว้างขวางที่สุด
  • กระบวนการขยายข้อมูลควรดำเนินการไปเพื่อให้เกิดการตื่น ตระหนักของประชาชน โดยเฉพาะชาวบ้านที่เกี่ยวข้อง


  • ช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นรัฐบาลเป็นเจ้าของโครงการ และหน่วยงานราชการเป็นฝ่ายลากจูงการจัดการน้ำแต่โครงการเหล่านั้นจำนวนมากพิสูจน์แล้วว่า ล้วนแต่มีผลประโยชน์แอบแฝงของกลุ่มธุรกิจ และนักการเมือง บางส่วนที่มีอำนาจ ประการสำคัญ โครงการต่างๆเหล่านั้นไม่ได้ก่อประโยชน์ให้แก่ประชาชนตามที่ประกาศไว้ตั้งแต่ต้น เหตุผลที่สำคัญคือ รัฐไม่ค่อยฟังคนในชุมชน เน้นความรู้ทางเทคนิคมากกว่าความเข้าใจทางภูมินิเวศวัฒนธรรมเกษตรของท้องถิ่นนั้นๆ
  • ความล้มเหลวที่ซ้ำซากนั้น เป็นความสูญเสียของงบประมาณของรัฐ ของประชาชน เป็นความล้มเหลวของโอกาสของประชาชน แต่กลับเป็นความอิ่มหนำสำราญของคนบางกลุ่ม
  • มีแต่ประชาชนสร้างเครือข่ายและลุกขึ้นมาเสนอและควบคุมโครงการนั้นๆเอง ตรวจสอบการดำเนินการโครงการ โดยร่วมมือกับนักวิชาการที่ยืนอยู่ข้างประชาชน แม้จะเป็นการยากยิ่งก็ตาม

ขอบคุณ RDI และกลุ่มหน่วยงานผู้จัดที่เปิดเวทีให้เกิดการเรียนรู้และกระตุ้นให้มีการต่อยอดความคิดในเรื่องนี้ต่อไป


ไปสวรรค์กันไหม…?

4 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ ตุลาคม 29, 2009 เวลา 23:55 ในหมวดหมู่ สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย #
อ่าน: 3043

ลมหนาวมาแล้ว มีสิ่งบ่งบอกหลายอย่างจากการสังเกต เช่น ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งเอาว่าวมาขาย เพราะว่าวเล่นในช่วงฤดูหนาวที่มีลมแรง ชาวบ้านจักตอกเพื่อเอาไปมัดข้าวที่กำลังจะเกี่ยว หน้าเกี่ยวข้าวก็คือการเข้าสู่ฤดูหนาว


หากใครก็ตามไปนั่งริมแม่น้ำโขงช่วงเย็นๆ ค่ำๆ ลมก็จะพัดแรงมาก และมีความเย็น เราไปนั่งทานข้าวกันตามร้านริมโขง ก็จะพูดแซวกันเสมอว่า ฝั่งลาวเปิดพัดลมแรงจังเลย.. เพราะลมจะพัดมาจากทิศทางนั้น

ยามค่ำมืดลง มองฝั่งลาวจากฝั่งไทย เราก็จะเห็นแสงไฟในเมืองสะหวันนะเขตสว่างไสวมากกว่าแต่ก่อน อนาคตลาวคือ แบตเตอรี่แห่งเอเชีย เพราะจะมีการสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำโขงเพื่อสร้างกระแสไฟฟ้าขายให้กับประเทศต่างๆมากมาย รวมทั้งประเทศไทย


สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว กำลังจะก้าวไปทางใดนั้น น่าสนใจยิ่งนักเพราะเป็นประเทศที่มีดินแดนติดกับประเทศไทยเรา ไม่ว่าเราจะทำอะไร หรือลาวจะสร้างอะไรย่อมส่งผลกระทบซึ่งกันและกันอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ยิ่งประชาชนสองฝั่งคือพี่น้องกัน มีวัฒนธรรมอันเดียวกัน เพราะอดีตคือพื้นที่ที่อยู่ภายใต้การปกครองอันเดียวกัน

เมื่อสังคมเปลี่ยนแปลงไป แม้ประเทศสังคมนิยมอย่าง ลาว เวียตนาม จีน ต่างก็หันหน้ามาสู่ระบบทุนนิยมหมดแล้ว แต่เป็นสังคมนิยม ทุนนิยมตามแบบฉบับของเขา


แต่สิ่งหนึ่งที่ขัดแย้งในความรู้สึกของผมมากคือ ในลาวมีการก่อสร้างบ่อนมากมาย เรียกได้ว่าตลอดแนวชายแดน ไทย-ลาวก็กล่าวได้ ไล่มาเลยตั้งแต่สุรินทร์ อุบลฯ นครพนม เชียงแสน และที่กำลังเกิดขึ้นอย่างใหญ่คือที่แขวงสะหวันนะเขต ตรงข้ามเมืองมุกดาหาร

ดูป้ายนี่ซิครับ เรียกร้องเชิญชวนให้ไปเที่ยวสะหวันเวกัส ซึ่งเปิดตลอด 24 ชั่วโมง


มีรถบริการรับส่งฝั่งมุกดาหาร-สะหวันนะเขตฟรี.. แต่น่าจะมีขั้นตอนบ้างก่อนที่จะไปนั่งรถฟรีตามประกาศ

นี่หรือคืองานพัฒนาสังคม เพื่อเงิน รายได้ เพื่อ GDP เพื่อความมั่งคั่ง เพื่อความสิวิไลซ์ เพื่อการมีงานทำ เพื่อให้เงินหมุนเวียน เพื่อ..เพื่อ…เพื่อ…

เงินที่ได้มาก็ไปขยายสาธารณูปโภคในเมืองให้หรูหราเพื่อสนับสนุนความสมบูรณ์ตามแบบฉบับตะวันตกที่เดินไปข้างหน้านานมาแล้ว

อุดมการณ์ก่อนล้มล้างระบอบทุนนิยมนั้นหายไปไหนหมด ทำไมกลับย้อนรอยในสิ่งที่ตัวเองวิภาควิจารณ์มาก่อนเล่า…

เวลาได้กลืนกินคน เวลาเปลี่ยนคน เปลี่ยนจิตใจ อุดมการณ์ไปหมดสิ้น

หรือผมเข้าใจผิด..?


หนาว ข้าว ตอก

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ ตุลาคม 28, 2009 เวลา 20:50 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2376

เมื่อคืนนั่งทานอาหารที่ริมโขงกับเพื่อนนักศึกษาเก่า มช. เพื่อเตรียมงานต้อนรับท่านผู้ว่าราชการจังหวัดคนใหม่ นายบุญส่ง เตชะมณีสถิตย์ พวกเราต้องปิดหน้าต่างร้านอาหารหมด เพราะลมพัดแรงมากและมีความเย็น…


เมื่อเช้าเดินทางไปทำงาน มีลมพัดแรงมาก ตลอดทั้งวันไม่ต้องใช้แอร์คอนดิชั่น ตอนค่ำเดินทางกลับที่พัก ดูอุณหภูมิที่มิเตอร์ในรถบอกว่า 28″C

ฤดูหนาวมาแล้ววววว

ย้อนกลับเข้าไปที่ดงหลวง ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปชาวบ้านมีงานในนายุ่งมาก ไม่ต้องมาจัดประชุมอะไรให้ยืดยาว เสียเวลาเกี่ยวข้าว และกระบวนการจัดเก็บ โน่นจนถึงกลางเดือนหรือสิ้นเดือนธันวาคมโน่นเลย

การเก็บเกี่ยวข้าวที่ดงหลวงและอีกหลายๆพื้นที่นั้นเริ่มมาตั้งแต่สองสัปดาห์ก่อน ชาวบ้านเรียก ข้าวดอ แล้วก็มาข้าวกลาง และข้าวหนัก ในท้ายที่สุด ตามลำดับลักษณะพันธุ์ข้าว..


เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา หากเราเดินทางไปทั่วชนบทอีสาน และสังเกตก็จะเป็นชาวบ้านเอาไผ่ป่ามาจักตอก เพื่อใช้มัดข้าวที่กำลังมาถึงช่วงนี้ ตอกนี้มีการใช้ในภาคอีสานและภาคเหนือ ในประเทศลาว และกลายเป็นธุรกิจที่ทำเงินไม่น้อยในแต่ละฤดูการเกี่ยวข้าว เพราะไผ่ที่จะเอามาทำตอกนี้ ต้องเป็นไผ่ป่าเท่านั้นที่ดีที่สุด อายุของไผก็จะต้องไม่แก่หรืออ่อนเกินไปจะได้เนื้อตอกที่นิ่ม เหนียวไม่หักหรือขาดง่ายๆ เหมาะที่จะเอาไปมัดข้าว

ราคาซื้อขายกันคือ 1000 ละ 80 ถึง 100 บาท และชาวบ้านบอกว่า เวลาซื้อ 1000 ละนั้น นับจริงๆจะไม่ถึง 1000 เส้น…??

เมื่อปีที่แล้วพบว่าตอกที่เอามาขายแถบ คำชะอี และทั่วไปในมุกดาหารนั้น มาจากลำปาง….? มาเป็นคันรถ 6 ล้อ มูลค่าหลายหมื่นบาท

ตลอดพื้นที่ริมโขงนั้นก็นำเข้าตอกมัดข้าวมาจากฝั่งลาว จุดหนึ่งที่มีการซื้อขายกันมากคือที่นครพนม มูลค่าการซื้อขายตลอดแนวแม่น้ำโขงนั้นกล่าวกันว่าน่าจะเป็นเงินล้านบาทเลยทีเดียว

บางทีผมก็คิดว่า งานพัฒนาเราคิดอะไรที่ไกลตัวเกินไป สิ่งใกล้ตัวแค่นี้ มองไม่เห็น คิดไม่เป็น และไม่มีการพูดถึง จึงไม่มีการสนับสนุน..

อ้าว. เริ่มที่อากาศหนาวมาลงที่ตอกซะแล้ว…



Main: 0.096570014953613 sec
Sidebar: 0.081838846206665 sec