กล้วย..และสายสัมพันธ์
อ่าน: 1222วันนี้นุชกับสามีเขาแวะมาหาผมพร้อมกล้วย 2 เครือใหญ่ มะละกอถุงใหญ่ และมะนาว และ…
นุชและหน่อยน้องสาวเคยมาพักบ้านผมในฐานะมาดูแลคุณแม่ที่ป่วยช่วยตัวเองไม่ได้ ต้องอยู่บนเตียงตลอด 7 ปี โดยนุชผู้พี่ดูแลคนป่วยในเวลากลางวัน หน่อยคนน้องดูแลกลางคืน และทั้งคู่เรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง สองพี่น้องเป็นลูกชาวบ้านที่ พ่อแม่ทำการเกษตร ทั้งคู่คือเด็กบ้านนอกและหาเงินเรียนหนังสือเอง ขาดเหลืออะไรค่อยขอเงินพ่อแม่มาเพิ่มเติม เราก็เลี้ยงดูเด็กสาว 2 คนเหมือนลูกหลาน กิน ใช้เหมือนกันหมด เมื่อคุณแม่เสีย นุชผู้พี่ก็เรียนจบพอดี ส่วนหน่อยยังเรียนต่ออีก 1 ปี เราเลยส่งเสียเขาเรียนจนจบ
นุชแต่งงานกับหนุ่มบ้านนอกที่จบปริญญาตรีเหมือนกัน นุชไม่ได้ใช้ความรู้ที่เรียนไปหางานทำกลับไปบ้านและทำการเกษตรโยการปลูกผักสวนครัวขาย สามีทำงานโรงงานใกล้บ้าน และช่วยภรรยาปลูกผักไปด้วย นี่เองที่ นุชและสามีเขาจึงเอาผลผลิตในสวนเขามาให้บ้านผมบ่อยๆ มากจนเรากินไม่หมดยังเผื่อแผ่ไปบ้านข้างเคียงซ้ายขวาด้วย
เราไม่ได้ สั่ง เรียกร้อง ถามหา หรือขอให้เขาเอามาให้ แต่เขาเอามาให้เอง บ่อยครั้งยังต่อว่าเขาว่ามากเกินไปนะ กินไม่หมด เขาก็ยิ้มๆซึ่งก็รู้ว่า เราก็เผื่อแผ่ไปข้างๆบ้านทุกที
เราคุยกัน ถามไถ่สุขทุกข์กัน เลยไปถึงพ่อแม่เขา การค้าขายพืชผัก การพัฒนาระบบการเพาะปลูก ซึ่งเท่าที่ติดตามมาก็ก้าวหน้าไปเรื่อยๆ การปลูกผักขายนั้น มีรายได้ที่ดี มีรถปิคอัพ มีรถไถนาเล็กๆ และเครื่องมือเครื่องใช้ในการประกอบอาชีพทำสวนผักแบบสมัยใหม่มากขึ้น และเขามีความสุขที่ทำงานเช่นนี้
ผมนั้นมองเลยกล้วยหวีใหญ่ๆ มะละกอกองนั้น และอื่นๆ มองเลยไปถึงการที่เรานั่งคุยกันมันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่เรามีต่อกัน สัมผัสจิตใจลึกๆของเขาที่มีต่อเรา ที่เรามีต่อเขา มันเป็นสายสัมพันธ์ที่สานต่อยืดยาวมาหลายปีแล้วนับตั้งแต่คุณแม่เสียไป จริงๆก่อนหน้าที่เด็กสาวสองพี่น้องจะเข้ามาดูแลคุณแม่นั้นก็มีชุดอื่นๆผ่านไปแล้ว สามสี่ชุด แต่ละชุดอยู่ได้ 6 เดือนถึงนานที่สุด 1 ปี แล้วก็ลาออกไปหางานอื่นใหม่ หรือด้วยเหตุผลอื่นๆตามวิถีของแต่ละคน แต่เด็กสองคนนี้อยู่นานที่สุดจนคุณแม่เสีย วันที่คุณแม่เสีย หน่อยก็นอนในห้องเดียวกับคุณแม่ ดูแลจนวาระสุดท้ายทีเดียว
สังคมไทยเรานั้นผูกกันด้วยวัฒนธรรม ประเพณีที่ดีงามเช่นนี้ การเอาสิ่งของติดไม้ติดมือไปมอบให้ผู้หลักผู้ใหญ่ ญาติพี่น้อง แล้วให้เวลาคุยกันนั้นผมเห็นว่านี่คือการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน มันพัฒนาไปสู่ความสนิทสนม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน ซึ่งบางคนอาจจะกล่าวเลยไปถึงว่านี่คือ จุดเริ่มต้นของระบบอุปถัมภ์ ผมก็ไม่ปฏิเสธ ซึ่งผมเองไม่กล่าวให้ร้ายเพียงอย่างเดียว เพียงด้านเดียวต่อระบบนี้ ผมกลับเสริมสร้าง สนับสนุนระบบการเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่กัน เพราะมันเป็นแรงเกาะเกี่ยวกันของสังคมของเรา
รายละเอียดเรื่องนี้มีมาก เช่น การฝากเอาสิ่งของไปให้โดยตัวเองไม่ได้ไป กับการที่ตัวเรานำสิ่งของไปให้เอง ให้เวลาและมีเวลาพูดคุยกันนั้นมันมีความหมายมากกว่า
ที่เขียนมานี้ไม่ได้เรียกร้องให้ใครต่อใครทำสิ่งเหล่านี้กันนะครับ เพียงผมสัมผัสความรู้สึกนี้เมื่อนุชกับสามีเขามาเยี่ยมเยือนและเอาของมาฝาก เรามีเงินเพียงพอที่จะซื้อกล้วยกินเอง จะเอาหวีสวยหรือใหญ่แค่ไหนก็ได้ แต่การรับกล้วยจากเด็กหนุ่มสาวที่มาเยี่ยมเรานั้นมีความหมายมากกว่าการได้กล้วยมากิน เรารู้สึกเมตตาเขา รู้สึกดีดีกับเขา ผูกพันกันกับเขา ขอบคุณเขา บอกกล่าวในสิ่งที่เป็นมงคลและเสริมสร้างแก่กัน
ขอบคุณนุชกับสามี หนุ่มสาวชาวสวนผักคู่นี้ครับ