บันทึกวันโลกแตก..
ไม่กี่วันที่ผ่านมา อดีตเลขานุการสำนักงานของผมมาเยี่ยม เธอคุยเก่งเหมือนเดิม เธอตัดสินใจลาออกจากงานสมัยนั้นเพราะต้องการให้เวลากับบุตรคนที่สองที่ไม่ค่อยแข็งแรง จะได้ให้เวลามากๆกับเขา สามีเธอเป็นวิศวกรประจำเทศบาลแห่งหนึ่ง ซึ่งก็เคยร่วมงานกับผมสมัยทำงานกับกรมชลประทานเมื่อสิบปีก่อน
ชีวิตสมัยนี้ต้องมีเงิน ยิ่งเป็นคนสมัยใหม่ไม่ได้ปลูกผักหรือทำสวนครัว ก็ต้องดิ้นรนไป เธอให้สามีทำงานที่ขอนแก่นต่อแต่เธอกลับบ้านที่จังหวัดรอยต่อภาคเหนือกับภาคอีสาน ในที่ดินเล็กๆที่ได้รับมรดกจากบุพการีนั้น เธอตัดสินใจทำห้องพักเล็กๆ 5 ห้อง อาศัยสามีมีความรู้เรื่องการก่อสร้าง เอาพี่สาวมาช่วยงานครัว จ้างแรงงานเพิ่มเติมมาทำอิฐเผาขายด้วย พร้อมกับ เอาบุตรชายให้หมอดูแลใกล้ชิด ทั้งหมดต้องกู้เงินเขามา กิจการก็พอไปได้ แม้จะเหนื่อยก็ยอม
แล้วโชคชะตาเอื้อให้ เมื่อทราบข่าวว่ามีตำแหน่งวิศวกรโยธาว่างที่เทศบาลเมืองนั้น สามีจึงรีบส่งใบสมัครและปรึกษากับเจ้านายเพื่อขอย้ายไปลงที่ตัวจังหวัดนั้นทันที ครอบครัวดีใจที่จะได้อยู่ใกล้ชิดกัน จะได้สร้างครอบครัวให้ก้าวหน้า มั่นคง จะได้ช่วยดูแลบุตรชายที่ไม่ค่อยสบายบ่อย
ทุกอย่างราบรื่น ที่ทำงานใหม่ยินดีรับ …. แต่ความมืดก็เข้ามาปกคลุมชีวิตทันที รอยยิ้มกลับกลายเป็นความเครียดและหมกมุ่น ความยินดีปรีดากลับกลายเป็นความกังวลหมองหม่น เธอเล่าให้ผมฟังว่า …..พี่..ท่านนายกที่ทำงานเดิม……เรียกสามีไปพบว่า หากจะย้ายออกไปก็ทำได้แต่ต้องเอาเงินมาวาง 4 แสนบาท…
ความหวังดับวูบลง จะเอาเงินที่ไหนไปให้เขาล่ะคะ แค่วันวันก็หมุนเงินแทบขาดใจแล้ว เธอน้ำตาไหลริน เธอเล่าต่อว่า หนูก็พยายามหาลู่ทาง พบว่า ท่านนายกคนนี้สนิทและเกรงใจนายตำรวจใหญ่ท่านหนึ่งที่เคยเป็นใหญ่ที่ขอนแก่น เผื่อพี่จะรู้จักท่านจึงอยากให้พี่ช่วยหน่อย……
โธ่ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ หน้าผมมืด บอกไม่ถูกคิดไม่ออก
เข้าใจ เห็นใจ เจ็บแทนและชิงชังสังคมเช่นนี้ ตลอดชีวิตผมที่เดินทางทางนี้ก็เพราะเรื่องเหล่านี้แหละ ผมไม่รับราชการก็เพราะเรื่องทำนองนี้ ผมเป็น Freelance ก็เพราะเรื่องเหล่านี้ เป็นอิสระชน ก็เรื่องชิงชังสังคมทรามเช่นนี้ พรรคพวกผมมีครับ มีมากด้วย แต่เป็นชาวบ้าน ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ ไม่มีตำแหน่ง แต่มีข้าวปลาอาหาร มีน้ำใจมีความเคารพนับถือด้วยใจกัน…..
น้องลากลับไปด้วยความผิดหวัง และทิ้งความเจ็บไว้ที่ผมอีกคน
ก่อนลาโดยไม่ได้อะไรไปจากผมนอกจากกำลังใจ…เธอกล่าวว่า พี่…หนูกลัวค่ะ หนูกลัวสามีหนูเขาจะบ้า ระเบิด.ขึ้นมาเอาปืนไปยิงนายก…คนนั้นตาย หนูเฝ้าปลอบใจว่าสู้ๆนะพ่อ เราคงมีทางหรอก….ค่อยๆหาทางกันไป
คนธรรมดา ครอบครัวใหม่ที่มีบุตรสองคน เจ็บป่วย ดิ้นรนด้วยสุจริต ทำมาหากินไปตามลู่ทางที่เปิดโอกาสให้ แล้วต้องเผชิญเงื่อนไขสังคมเช่นนี้ มันเจ็บ มันแค้น..เหมือนแรงกดดันที่ไม่มีทางออก….
ผมทบทวนเรื่องนี้หลายวันว่าจะช่วยน้องอย่างไรดี…. ทบทวนเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไร ได้แต่ภาวนาว่า เข้มแข็งไว้นะเธอ ปลอบปละโลมเธอด้วยวาจา กำลังใจที่พี่มอบให้กับน้อง…สาปแช่ง..มันผู้นั้น..
จึงบันทึกไว้เป็นหลักฐานทางสังคมของยุคสมัย..วันโลกแตก
แต่มันจะแตกด้วยเรื่องเหล่านี้นี่แหละครับ
ความคิดเห็นสำหรับ "บันทึกวันโลกแตก.."