NORM กับความทันสมัย

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มกราคม 29, 2013 เวลา 15:42 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1252

 

เนื่องจากทำงานเกี่ยวกับการพัฒนาสังคมชนบท จึงเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงสังคม นักวิชาการจะกล่าวถึงบ่อยๆว่าพลังหลักในการผลักดันสังคมให้เคลื่อนตัวไปในทิศทางที่เรียกรวมๆว่าความเจริญนั้นก็คือ ระบบทุนนิยม

เมื่อเกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม (ดูที่นี่) ปี พ.ศ. 2293-2393 นั้น มีการพัฒนาเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ มนุษย์ก็นำความรู้ใหม่ๆที่ได้นั้นมาดัดแปลงใช้ในเรื่องต่างๆในวิถีชีวิต ซึ่งเข้ามาทดแทนสิ่งเดิม เพราะ สิ่งใหม่ดีกว่าในด้านความสะดวกสบาย รวดเร็ว ชัดเจน อธิบายได้ พิสูจน์ได้ ฯลฯ เกิดการพัฒนาความรู้ด้านเทคโนโลยี และนำเอาเข้าไปเป็นหลักสูตรในการเรียนการสอนในสถาบันการศึกษา

เมื่อคนคลุกคลีกับการพัฒนาสิ่งใหม่ๆนั้นมากเข้า หรือกล่าวอีกทีคือ สภาพสังคมเมืองที่รับเอาสิ่งใหม่ๆเข้ามามากมายนั้นเป็นเสมือนเบ้าหลอมระบบชีวิตของคนเมืองให้มีความแตกต่างจากคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เกิดในชนบท ที่ด้อยกว่าหรือไม่มีสิ่งใหม่ๆ เทคโนโลยีใหม่ๆ เนื้อหาสาระชีวิตใหม่ๆ วิถีใหม่ๆ (แต่ของใหม่ดีกว่าหรือไม่ดีกว่าเก่ายังไม่อภิปราย)

ประเทศชาติยอมรับความเจริญ เป็นเป้าหมายของการผลักดันสังคมให้พัฒนาไปในทิศทางนั้นๆ ซึ่งการเคลื่อนตัวของสังคมไม่เท่ากัน ไม่พร้อมกัน สังคมเมืองก้าวไปก่อน เพราะเมืองคือศูนย์กลางการบริหารประเทศ ประเทศจึงลงทุนในทุกเรื่องที่เมืองก่อน แล้วค่อยๆขยายลงสู่ชนบท

เกิดช่องว่างในสังคม ระหว่างคนเมืองกับคนในชนบท แม้ว่าปัจจุบันระบบสื่อสารไร้พรมแดน เช่นวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์มือถือ และอื่นๆจะเป็นตัวเชื่อมช่องว่างนี้ให้แคบลงมา แต่ก็เกิดความแตกต่างของความเป็นคนในสังคมเมืองกับคนในสังคมชนบท ผลกระทบของการพัฒนาก็เกิดการให้คุณค่าว่า เมืองเจริญแล้ว ชนบทไม่เจริญ เมืองก้าวหน้า ชนบทล้าหลัง เมืองเป็นวิทยาศาสตร์ ชนบทเป็นส่วนที่งมงายไร้สาระ เมื่อระบบทุนเมืองเชื่อมต่อกับระบบทุนโลกมากขึ้น โดยมีระบบทุนนิยม หรือระบบธุรกิจ เป็นพลังสำคัญในการเชื่อมและนำเข้าทิศทางการพัฒนา โดยมีระบบการศึกษารองรับ หนุนเนื่องการเคลื่อนตัวของระบบทุนดังกล่าว เช่น เมื่อระบบทุนสร้างอุตสาหกรรมขึ้นมาต้องการผู้มีความรู้ทางเทคนิคเฉพาะด้าน ก็เกิดวิทยาลัยอาชีวศึกษา ระบบธุรกิจผลิตสินค้า เกิดการแข่งขัน ก็ต้องการนักการขาย นักการตลาด ก็เกิดการผลิตนักศึกษาด้านธุรกิจไปรองรับ เกิดขยายตัวด้านสื่อสารมวลชน ก็เร่งทำการผลิตนักศึกษาด้านสื่อสารมวลชน และ ….ฯลฯ….

ระบบการศึกษาเคลื่อนตัวไปรองรับการเติบโตทางธุรกิจ ทางทุนนิยม รองรับการเคลื่อนตัวทางสังคม อันเนื่องมาจากการการเคลื่อนตัวของกระแสหลัก คือระบบทุน

ระบบทุนคืออะไร…. ทุนคือระบบผลประโยชน์ที่ต้องการกำไรสูงสุดจากการประกอบธุรกิจใดๆ ( ดูความหมายที่นี่) โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าการปฏิวัติอุตสาหกรรมในช่วงแรกนั้นอันเป็นจุดเริ่มต้นของระบบทุนนิยมนั้น เขาไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการทำกำไรสูงสุด แต่ต้องการนำการสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์เข้ามารับใช้วิถีชีวิตมนุษย์มากขึ้น ทดแทนความไม่มีประสิทธิภาพแบบเดิมๆ แต่พัฒนาการของทุนก้าวเลยความพอดีไปสู่ความต้องการสูงสุด มากที่สุด นั่นเอง

หากย้อนกลับไปดูวิถีชีวิตเดิมๆของสังคมเรา เราเรียกสังคมเกษตรกรรมที่รวมตัวกันอยู่เป็นชุมชนที่มีองค์ประกอบความเป็นพี่น้อง คนชอบพอกัน รักใคร่กัน มีระบบสังคมที่ควบคุมการอยู่ร่วมกันคือ วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ ความศรัทธา ศาสนา ระบบอาวุโสระบบอุปถัมภ์ บทบาท หน้าที่ ชายหญิง แม้จะไม่มีร่างออกมาเป็นตัวอักษร แต่มีบรรทัดฐาน (NORM) ของสังคมที่ยอมรับร่วมกันเป็นเสมือนกติกาสังคม ที่ไม่มีหลักสูตรในห้องเรียนแต่ระบบครอบครัว สังคมเป็นห้องเรียนธรรมชาติที่เรียนรู้จากการปฏิบัติจริง

เช่น วันพระ พ่อแม่จะพาลูกๆไปทำบุญที่วัดร่วมกัน พ่อแม่จะบอกกล่าวการปฏิบัติตัวต่างๆระหว่างคนกับคน คือ ต่อพระต้องกราบไหว้ นอบน้อม รักษาระยะห่างเวลาพูดคุยกับพระ เป็นสตรีก็นั่งลงคุยกับพระ ต่อญาติพี่น้อง เด็กต้องไหว้ผู้ใหญ่ก่อนอย่างนอบน้อม หาน้ำมาให้ดื่มกิน บริการท่านในสิ่งที่ท่านต้องการหรือขอความช่วยเหลือ ต่อเพื่อนบ้าน เราเคารพผู้อาวุโส อายุน้อยกว่าเรียกผู้มีอายุมากกว่าว่าพี่ และพึงปฏิบัติต่อพี่ในสิ่งที่ควร ในเรื่องพิธีกรรมของวันพระ พ่อแม่ก็จะสอนสั่งว่าการใส่บาตรควรถอดรองเท้า ไม่ควรใช้ทับพีเคาะบาตรพระหากข้าวติดทัพพี ฯ เมื่อพระสวด ควรพนมมือ การนั่งควรนั่งแบบไหนถึงจะสมควรหากใกล้ชิดผู้ใหญ่ หากผู้ใหญ่นั่งแล้วเด็กจะเดินผ่านไปควรค้อมตัวและกล่าวคำสุภาพขอผ่าน หรือขออนุญาต หรือขอโทษ ตามเหตุผล เงื่อนไข เมื่อเสร็จพิธีบุญ มีการแลกข้าวและขนมกัน…ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ไม่มีการเรียนการสอนในห้องเรียน แต่พ่อแม่พี่น้องในครอบครัวจะช่วยกันเป็นเบ้าหลอมลูกหลานให้เป็นคนที่พึงประสงค์ของสังคมที่ทีบรรทัดฐานของสังคมที่สะสมสร้างสรรค์กันมา

เมื่อสังคมเปลี่ยนแปลงไป พัฒนาไป ชุมชนในเมือง มีวิถีชีวิตที่ไม่ได้อยู่บนกิจกรรมการเกษตร และสภาพแวดล้อมต่างๆที่เป็นเบ้าหลอมชีวิตแตกต่างออกไปจากสังคมชนบท เด็กรุ่นใหม่ที่เติบโตขึ้นมา นับครั้งได้ที่เข้าวัด และการเข้าวัดก็มิได้มีรายละเอียดเหมือนสภาพชุมชนดังกล่าวมาแล้ว เด็กมีความรู้จากโรงเรียน พ่อแม่ห่างจากวัฒนธรรม ประเพณีเดิมๆของสังคม เด็กก็ห่างออกไปจาก NORM เดิมๆของสังคม ในทางตรงข้าม ระบบสังคมเมืองมีสิ่งแวดล้อมใหม่ที่อยู่บนฐานของเทคโนโลยี แต่ละวัน Perception ของเด็กคือความรู้ เรื่องราว วิถีของคนในสังคมธุรกิจ สังคมเมือง ที่มีค่านิยมแตกต่างสิ้นเชิงจากสังคมชนบท ถามเด็กในตัวเมืองขอนแก่นว่ารู้จัก ฮีต คอง อีสานไหม เขาไม่รู้จัก หรือเคยได้ยินแต่อธิบายไม่ได้ ตรงข้ามเด็กชนบท อาจจะอธิบายไม่ได้ แต่เขาดำเนินชีวิตคามครรลองของฮีต คองที่มีผู้ใหญ่ พ่อแม่ กำกับอยู่..

Norm จำเป็นแค่ไหน.. คนคือสัตว์ประเสริฐ ที่มีองค์ประกอบภายนอกและภายใน ภายนอกคือรูปร่าง แต่ภายในคือ จิตใจ ระบบคิด หากอยู่ในแนวทางที่ดีก็เป็นฐานของความเป็นผู้ประเสริฐ หากจิตใจ ระบบคิดมีแต่กิเลส ตัณหา เอาประโยชน์ส่วนตน ฯ ก็เป็นที่มาของคนที่มีรูปร่างภายนอกเหมือนคนทั่วไป แต่ข้างในปนเปื้อนไปด้วยระบบคิด จิตใจที่ไม่พึงประสงค์แห่งการอยู่ร่วมกัน

นี่เอง ศาสนาจึงเกิดขึ้นมาเพื่อกำกับคนให้อยู่ในสิ่งอันควร ปฏิบัติในสิ่งที่พึงปฏิบัติร่วมกัน เพราะเราไม่ได้อยู่คนเดียว ครอบครัวเดียว ตระกูลเดียว ชนชาติเดียว แต่เราอยู่ในชุมชน สังคม ฯ ที่หลากหลาย แตกต่าง แต่ต้องอยู่ร่วมกัน แม้ว่าเนื้อแท้ที่สุดของศาสนาคือการหลุดพ้น แต่หลักการของศาสนาก็เหมาะสมแก่การใช้เพื่อเป็นครรลองแห่งการอยู่ร่วมกันท่ามกลางความแตกต่าง หลากหลาย แม้ว่า Norm จะมิใช่กฎหมายที่ใช้บังคับ แต่ Norm คือข้อพึงปฏิบัติแห่งการอยู่ร่วมกันในสังคม

Norm แห่งการอยู่ร่วมกันมีอะไรบ้าง เป็นคำถามที่น่าจะค้นหาจากเด็กสมัยนี้ว่า เขาเข้าใจและรู้จักมากน้อยแค่ไหน และน้อมนำมาปฏิบัติมากน้อยแค่ไหน….??!!

เป็นเรื่องที่น่าจะช่วยกันหาคำตอบ และทบทวนกันให้มากๆ


องุ่น เด็ก และแม่ของเขา

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มกราคม 18, 2013 เวลา 23:18 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1503

(ภาพนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่บันทึก แต่อยากเอามาใส่ไว้)

 

ครั้งหนึ่งนานพอสมควร เรายืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์ต่างจังหวัด เพื่อรอรถเมล์เข้าไปในเมือง ใกล้ๆแถวนั้นมีรถเข็นผลไม้ขาย แม่ค้าเป็นสตรีวัยกลางคน มีผลไม้หลายชนิด …

ใกล้ๆที่ยืนอยู่นั้นมีคุณแม่ท้องแก่คนหนึ่งยืนคอยรถเหมือนกันกับเรา มือขวาเธอจับมือลูกชายหน้าตามอมเชียว ลูกชายร้องให้พร้อมบอกแม่ว่าหนูอยากกินลูกไอ้นั่น พร้อมกับชี้ไปที่พวงองุ่น.. แม่ท้องแก่ปลอบลูกว่ามันไม่อร่อยหรอกลูก ลูกก็ไม่สนใจคำแม่ ร้องให้พร้อมกระตุกมือแม่ชวนให้ไปซื้อลูกองุ่นนั่น…

แม่ท้องแก่ตัดสินใจบอกลูกว่า

ลูก… แม่ไม่มีเงินซื้อ…ลูก… เรากลับบ้านดีกว่าเดี๋ยวรถเมล์มา ลูกชายหน้าตามอมแมมแหกปากดังขึ้นมากไปอีก พร้อมดึงมือแม่ว่า หนูอยากกินลูกไอ้นั่น แม่…

….

ทันใดนั้น แม่ท้องแก่ตัดสินใจจูงมือลูกไปหาแม่ค้าผลไม้นั่น พร้อมทั้งบอกแม่ค้าว่า

คุณพี่… ลูกหนูอยากกินองุ่น หนูไม่มีเงินซื้อ หนูขอที่มันหล่นๆสักสองสามลูกได้ไหมคะ…

แม่ค้าท่านนั้น..ยิ้มๆ..พร้อมกับเอามือไปกวาดองุ่นที่หล่นจากกองมากำมือ แล้วมอบให้เด็กนั่นไป เด็กยกมือไหว้แล้วก็หยิบใส่ปากตุ้ยๆๆ….

!!!!??????!!!!!????

ความรู้สึกผม….ความรู้สึกท่านคงไม่ต่างกันนะครับ….ต่อภาพอย่างนี้…..ต่อเรื่องราวแบบนี้….


พื้นที่ และหน้าผาแห่งการอยู่ร่วมกัน

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มกราคม 17, 2013 เวลา 14:48 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1246

เจ้าคุกกี้ หมาพันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ของผมตายจากไปแล้วเพราะจุดอ่อนของสายพันธุ์คือมะเร็ง ผมไม่รู้จักหมาพันธุ์นี้ จึงไม่เข้าใจพฤติกรรมของสายพันธุ์ เวลาเอาอาหารไปให้เขา อย่าเข้าไปนัวเนียเขาเป็นอันขาด เช่นจะไปลูบหัวเขาขณะเขากินอาหาร ไม่ได้ เขาจะขู่และกัดเราทันที ทั้งๆที่เราเป็นคนให้อาหาร…

ปลาที่มีลูกออกมาเป็นฝูง เวลาออกหากิน หรือแม่ปลาพาลูกปลาว่ายน้ำไป ใครเข้าใกล้ แม่ปลาก็จะแสดงอาการขู่เราทันที

นกทุกชนิด เวลาเลี้ยงลูก ก็จะวนเวียน หาอาหารให้ลูก หากนกตัวอื่นเข้ามาใกล้ๆ แม่นกก็จะบินเข้ามาโจมตีทันที แม้ว่านกตัวนั้นจะใหญ่โตแค่ไหนก็ตาม

สัตว์ทุกชนิดมีสัญชาติญาณในการปกป้องดูแล หวงชีวิตลูกน้อยของเขา หรือสิ่งของ ต่างๆที่เขาแสดงความเป็นเจ้าของ รวมไปถึงมีอาณาเขต บริเวณ ที่เขาประกาศโดยธรรมชาติว่า พื้นที่ส่วนนี้ เป็นของเขา เขาหวงแหนใครเข้ามาก็ต้องแสดงความเป็นเจ้าของกันหน่อย

ผมเขียนบันทึกมาหลายตอนถึงการเลี้ยงดู เจ้า “กระถิน” กระรอกแถวบ้าน ที่มันมีครอบครัวเจ้า “กระโถน” ตัวสีแดง เจ้า “กระถาง” สีนวลๆ เป็นลูก

ผมไปตัดกิ่งสาเกที่กำลังออกลูกเพราะทั้งใบและลูกไปหล่นใส่เพื่อนบ้าน เกรงใจเขาก็เลยตัดออกไปเยอะ เจ้ากระรอกเลยหมดอาหารไป คิดสงสารเลยเอาตะกร้าใส่กล้วย อ้อย มะละกอ ฝรั่ง อะไรที่พอมี ที่เหลือกิน หรือตั้งใจจะเอามาให้เขา ชักตะกร้าไปที่ต้นหมากเม่าข้างบ้าน เจ้ากระถินก็มากิน และนับวัน จะคุ้นเคยกับเรามากขึ้น เพราะเราถ่ายรูปเขาบ่อยๆ ดูเขาจะไม่กระโดดหนีทันทีเหมือนแต่ก่อน สู้หน้าเรา ซึ่งเราก็ชอบใจ ที่ได้ดูเขาเต็มๆตา

เราแปลกใจที่เจ้า กระโถน และกระถาง ไม่มากินผลไม้ในตะกร้า แบบนานๆมาแล้วก็ผ่านไป ทั้งที่ผลไม้ในตะกร้านั้นมากมาย มากเกินที่เจ้ากระถินตัวเดียวจะกินหมด นอกจาก เจ้ากระถินจะกินตัวเดียวแล้ว ก็มีนกกระจาบวนเวียนมาบ่อยๆ วันก่อนเห็นพาคู่ของมันมากินด้วย

 

วันหนึ่ง ผมนั่งทำงานใกล้ๆหน้าต่าง ผมรู้สึกว่ามีการเคลื่อนไหวที่ต้นหมากเม่า เหลือบไปก็เห็นเจ้า กระโถนมาปรากฏตัว ทำท่าจะเข้าไปกินผลไม้ในตะกร้า พอผมขยับนิดเดียว มันก็กระโดดหายไป ผมอยากถ่ายรูปเขาชัดๆ ใกล้ๆ

สักพักเขามาอีก และทำท่าอยากเข้าไปกินกล้วยที่ตะกร้า แบบเก้ๆกังๆ เพียงไม่กี่วินาที มันก็กระโดดไปพร้อมกับมีเจ้ากระถินกระโดดไล่ตาม แบบว่าขับไล่ให้ไป จากต้นหมากเม่า ไปต้นอโศก ไปต้นสารภี ไปต้นมะยม ต้นปีบ….รอบบ้าน

ผมเข้าใจทันทีเลยว่า นั่นเจ้ากระถินกำลังประกาศเขต พื้นที่ หรือบริเวณขอบเขตของเขา มิให้ใครมายุ่งในบริเวณนี้ อะไรทำนองนั้น

สัตว์มีพื้นที่ของเขา มีอาณาเขต ที่ประกาศ

หมาไปไหนๆจะฉี่รดต้นไม้ เพื่อประกาศเขต หรือแสดงการมาของตัวมันในพื้นที่นั้นๆ หมาตัวอื่นมาก็จะไปเที่ยวดมกลิ่น หมาเจ้าของพื้นที่ก็จะเห่าขับไล่ไป

เจ้ากระถินเป็นสัตว์ชั้นต่ำ พัฒนาการทางสมองน้อยกว่ามนุษย์ แต่มีสัญชาติญาณ มนุษย์เราพัฒนาสมองมามากที่สุด เราเองก็มีพื้นที่ ทั้งทางกายภาพที่เป็นรูปธรรม และพื้นที่ทางนามธรรม เช่นพื้นที่ทางจิตใจ พื้นที่ทางอารมณ์ ความรู้สึก พื้นที่ทางจินตนาการ ฯลฯ….

พื้นที่ที่เป็นรูปธรรมนั้นเข้าใจง่าย เห็นได้ สัมผัสได้ รับรู้ได้ และจัดการได้ แต่พื้นที่ทางนามธรรมนั้น ตาเนื้อมองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ ไม่สามารถรับรู้ได้ ก็เลยจัดการไม่ได้ มีแต่เจ้าของตัวตนนั้นๆเท่านั้นที่จะพัฒนาพื้นที่ทางนามธรรมนี้ให้สร้างสรรค์ สงบสุข และมีเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในสังคมเล็กและใหญ่

ดูเหมือนว่ามีแต่หลักการทางศาสนาเท่านั้นที่เป็นองค์ความรู้ในการจัดการพื้นที่ส่วนนี้ ซึ่งนับวันมนุษย์ก้าวข้าม มองเลยผ่านไปไม่ใส่ใจในการแสวงหา เข้าถึง เรียนรู้ ฝึกฝนเพื่อสร้างผลแห่งสันติสุข ปล่อยให้อุดมการณ์ใหม่เข้ามาครอบครองพื้นที่ส่วนนี้จนหมดสิ้น ซึ่งมีแต่มาเสริมประโยชน์ส่วนตนเท่านั้น

เรากำลังก้าวไปสู่หน้าผาแห่งการมีชีวิตอยู่ร่วมกัน..


กระถิน

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มกราคม 10, 2013 เวลา 0:53 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1647

สวัสดี ฉันชื่อ “กระถิน”

เป็นกระรอกอาศัยอยู่ที่ต้นไม้บ้านลุงบางทราย

มีแฟน ชื่อ “กระโถน” อิอิ ชื่อไม่เพราะใช่ป่ะ ก็เขาเกเรบ่อยๆนี่

เรามีลูก ชื่อ “กระถาง” ซนซะ

 

ฉันมากินกล้วยอร่อยๆที่ลุงบางทรายเอามาใส่กระจาดแขวนไว้ให้ที่ต้นหมากเม่านี้

หน้าตาฉันตลกมากไหม อ่ะ….

ฉันชอบกล้วย บางทีฉันก็คาบเอาไปกินในที่ที่ฉันชอบ

ฉันมาที่กระจาดแขวนนี่ทุกวัน วันละหลายเที่ยว

ก็บางวันลุงบางทรายเอาฝรั่งสุกๆมาให้กิน อร่อย อ่ะ

แต่ไม่ชอบข้าวโพด และขนมปัง..มันไม่อร่อย..

 

แล้วพบกันนะ…….

ลงชื่อ “กระถิน”



Main: 0.039592027664185 sec
Sidebar: 0.041118144989014 sec