ตัวตนไทโซ่ที่ Pullman กลางกรุงเทพฯ

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ พฤศจิกายน 27, 2012 เวลา 22:57 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1667

เมื่อวันที่ 26 ที่โรงแรม Pullman Bangkok King Power Hotel มีการประชุมนำเสนอบทเรียนที่เรียกว่า Rural Development Model based on Sufficiency Economy for Asia Rural Community in the Future ซึ่งจัดโดย JICA และ สปก. และทีมงานเก่าโครงการ ฟื้นฟูสภาพแวดล้อมในเขตปฎิรูปที่ดินด้วยการพัฒนาการเกษตรผสมผสาน หรือ คฟป. ที่ผมเคยประจำที่ อ.ดงหลวง มุกดาหารมาเกือบ สิบปี


เป็นเรื่องน่าสนใจมากเพราะเป็นการสรุปบทเรียนการทำงานมาทั้งหมดโดยทีมงานวิชาการจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น และมหาวิทยาลัย Chubu แห่งประเทศญี่ปุ่น โดยเฉพาะมุมมองของ Prof. Masato Noda หยิบเอาเรื่องพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา ไปเป็นประเด็นใหญ่ระดับโลก ที่ญี่ปุ่นสนใจเอาไปเป็นทางเลือกทางรอดของสังคมของเขา รายละเอียดค่อยเจาะกันต่อไป

ผมมีประเด็นเล็กๆที่จะหยิบมาสะท้อน กล่าวคือ การประชุมครั้งนี้ทางผู้จัดมิได้เปิดกว้างทั่วไปจะเชิญวงในเฉพาะส่วนที่เคยเกี่ยวข้องกับโครงการ คฟป. มาก่อน เช่น ตัวแทนผู้นำเกษตรกร ข้าราชการที่เคยร่วมงาน หน่วยงานราชการอื่นๆที่เกี่ยวข้องเช่น สภาพัฒน์ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักบริหารหนี้ กระทรวงการคลัง สำนักงานปลัดกระทรวง ฯลฯ

ฝ่ายต่างประเทศนั้นผมเห็นคนญี่ปุ่นมากันเยอะ ส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่ JICA และสถานทูตญี่ปุ่น และบริษัทที่ปรึกษา

บรรยากาศในงานเป็นการนำเสนอผลการศึกษาวิจัยทั้งของนักวิชาการไทยและญี่ปุ่น มุมแสดงกิจกรรมที่สำคัญ เช่นตลาดชุมชน กลุ่มข้าวพื้นบ้านและผักปลอดสารพิษ การเกษตรผสมผสาน และอื่นๆ


 

ตลอดงานช่วงเช้าที่ผมอยู่ร่วมงาน เสียดายที่ตอนบ่ายผมต้องเดินทางไปนครชัยศรี นครปฐมจึงไม่ได้ร่วมงานช่วงบ่าย ตลอดช่วงเช้ามีการนำเสนอผลการวิจัยของคุณ Noda ที่ผมสนใจมากๆ

ตลอดการสัมมนาครั้งนี้ ตัวแทนชาสบ้านจากจังหวัดที่มีโครงการ คฟป.นั้น นั่งกระจายกันอยู่ แต่ที่เดาออกโดยไม่ต้องหันไปดูคือ เกษตรกรจาก ดงหลวง มุกดาหารนั้นจะนั่งหลังสุด ติดฝาห้องเลย นี่หากแทรกฝาได้คงแทรกเข้าไปแล้ว อิอิ (ผมก็กล่าวให้เว่อร์ไป) ทั้งนี้ในฐานะที่ผมคลุกคลีกับดงหลวงมานานจึงรู้ดีว่า นี่คือตัวตนของกลุ่มคนไทโซ่ ดงหลวง

ไทโซ่จะถ่อมตัวเองว่าเป็นกลุ่มคนต่ำ ล้าหลัง เป็นน้อง เป็นผู้ด้อยกว่า….. ทุกครั้งที่เราจัดประชุมสัมมนาร่วมกับเกษตรกรจังหวัดอื่นๆ ภาพทำนองนี้ในลักษณะต่างๆจะปรากฏ หากเราเป็นคนช่างสังเกต ทำไมเป็นเช่นนี้ ก็ต้องเข้าในรากเหง้าของไทโซ่ ใครสนใจก็ไปศึกษาได้จาก เรื่องเล่าจากดงหลวง ที่ผมรวบรวมไว้นั่นแหละครับ

พฤติกรรมเหล่านี้ นักพัฒนาสังคมต้องเข้าใจ เรียนรู้ และอ่านรหัสนัยนี้ให้ออกเพื่อการเดินกระบวนการเรียนรู้ในกลุ่มไทโซ่ที่ต้องออกแบบให้เหมาะสมกับตัวตนของเขา

นักการศึกษา หากเอา Pattern การศึกษาที่ใช้กันทั่วไปมาใช้ก็จะไม่ได้ผลเต็มที่

“เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ดูจะเป็นคำที่มีความหมายมากกว่าการท่องบ่น และพูดอ้างกันทั่วๆไป…..


ชีวิตกังนัมสไตล์..

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ พฤศจิกายน 23, 2012 เวลา 22:01 ในหมวดหมู่ สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย, เรื่องของชีวิต #
อ่าน: 1387

สายวันหยุดสุดสัปดาห์วันนั้น ผมเดินออกมาหน้าบ้านเพื่อมาดูต้นไม้ว่าควรจะรดน้ำไหม พลันสายตาก็มองไปเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งเดินไปที่รั้งข้างบ้านถัดไปสองห้อง เดาเอาว่าเขาเป็นใครคนหนึ่งที่เอาแผนโฆษณาสินค้ามาประชาสัมพันธ์ให้กับสมาชิกบ้านจัดสรรแห่งนี้ เมื่อเขาเหลือบมาเห็นผมก็เปลี่ยนใจเดินตรงลี่มาที่ผมพร้อมยื่นใบโฆษณาตามที่ผมเดาไม่ผิด

เขายกมือสวัสดีพร้อมแนะนำสินค้าเครื่องกรองน้ำญี่ห้อที่ขายตรงชนิดหนึ่ง พร้อมแนะนำ อธิบายตามสไตล์ผู้มาขายตรง ผมดูสินค้าแล้วก็เห็นว่าที่บ้านขอนแก่นผมก็ใช้รุ่นนี้ เลยไม่คุยเรื่องนี้แต่กลับไปถามว่า พ่อหนุ่มเป็นคนที่ไหนล่ะ เขาตอบว่า กาฬสินธุ์ครับ คุณอาล่ะครับ เขาเรียกผมว่าคุณอาพร้อมเหลืบตาไปดูป้ายทะเบียนรถแล้วก็ยิ้มๆว่า อ้อ อยู่ขอนแก่นใกล้ๆกัน

ขายดีไหมเล่า…ผมถาม เขาบอกว่ามาช่วยภรรยาครับ เป็นงานหลักของภรรยา วันนี้ผมว่าช่วงเช้าก็มาช่วยภรรยา ผมอยู่ในหมู่บ้านนี้แหละ แต่เป็นโครงการโน้น พร้อมชี้มือไปทางนั้น ผมถามต่อว่า มีไอ้ตัวน้อยกี่คนล่ะ เขาตอบว่ายังไม่มีครับคุณอา ยังไม่พร้อมครับ นี่ต้องมาหารายได้พิเศษช่วยกันหารายได้ผ่อนบ้านผ่อนรถ ผ่อนทุกอย่าง …..

เย็นวันนั้นผมเรียกแท็กซี่จาก CU square มาบ้าน คนขับรถเป็นคนหนุ่มดูท่าทางทะมัดทะแมง ผมเห็นป้ายแนะนำตัวที่ห้อยจากเบาะหน้าตามหลักของกรมขนส่งทางบก บอกว่าเป็นทหารยศนายสิบ ผมก็เลยถามว่า เป็นทหารหรือครับมาหารายได้พิเศษหรือครับ เขาตอบว่าใช่ครับ ออกเวรยาม จากหน้าที่ปกติแล้วก็มาช่วยเหลือครอบครัว มาขับแท็กซี่นี่แหละครับ ไม่ไหวครับทหารชั้นยศผู้น้อยอย่างผมเงินเดือนไม่พอใช้ ผมมีครอบครัวมีลูกสาวคนหนึ่งกำลังน่ารัก หากไม่หาเงิน ลูกโตขึ้นมาผมก็คงรับไม่ไหว ต้องเตรียมหาเงินให้ลูก ภรรยาผมก็ทำงานแต่รายได้ก็แค่นั้น ครอบครัวใหม่ ต้องซื้อหาของจำเป็นมาสร้างครอบครัวกว่าจะได้มาแต่ละอย่าง ก็ต้องมาอดหลับอดนอน แต่จะให้ทหารอย่างผมไปทำอะไรได้เล่าครับ ความรู้ก็แค่นี้ ไม่ไปปล้นร้านทองหรอกครับ ไม่ปล้นรถขนเงินหรอกครับ..

ผมรักลูกรักเมีย ทำมาหาเลี้ยงชีพสุจริตดีกว่า……

ระหว่างนั่งรถกลับจากไปทำงานที่นครชัยศรี วิศวกรหนุ่มใหญ่ขับปิกอับที่ผู้รับเหมาก่อสร้างถนนเอามาให้ใช้ตามเงื่อนไขการจัดจ้างขับเข้าตัวเมืองมหานคร โดยมีผมนั่งมาด้วยเพื่อกลับบ้าน เราคุยกันหลายเรื่องระหว่างทางซึ่งรถติดมากเป็นช่วงๆ เมื่อใกล้เข้าใจกลางเมืองผมถามวิศวกรว่า บ้านอยู่ไหนเล่าครับ โน้น มีนบุรีโน้น….. หา…มีนบุรี แล้วขับรถไปกลับอย่างนี้น่ะหรือ เขาตอบว่าใช่ครับ นี่มันขับจากตะวันออกไปตะวันตกของตัวเมือง และเลิกงานก็ขับรถจากตะวันตกไปตะวันออกผ่านกลางเมืองที่รถติดมหาศาลอย่างนี้นะหรือ ทุกวันหรือ เขาตอบว่าใช่ครับ…

เขาอธิบายว่า โธ่ พี่…เพื่อนผมขับจากอ้อมใหญ่มาที่บริษัททุกวัน ไปกลับด้วย อีกคนขับจาก ฉะเชิงเทรา มาทำงานบริษัท ไปกลับทุกวัน เขาทำได้ไง…ผมขับแค่นี้ จิ๊บจ้อย ครับ

พี่อีกคนนะ เรียนปริญญาตรีวิศวะ แต่มาหางานทำเพื่อเอาไปเรียนหนังสือ ได้คุมงานก่อสร้างเป็นกะ อยู่ที่นครนายก แต่เรียนที่วิศวะเกษตร บางเขน เขาเรียนจบก็นั่งรถไปนครนายกเข้ากะคุมงาน เสร็จก็นั่งรถกลับกรุงเทพฯ ไปเรียนหนังสือ เสาร์อาทิตย์ก็ทำโอ…เขาทำเช่นนี้ตลอดสองปี จนเขาเรียนจบปริญญาตรี…วิศวกรรมศาสตร์สมใจ

พี่…ผมขับรถแค่นี้ จิ๊บจ้อยมาก….

เฮ่อ…ชีวิตกังนัมสไตล์

มันไม่เกี่ยวกันหรอกครับ ตั้งชื่อเล่นๆให้มันซะใจเล่น

เฮ่อ….ชีวิตของตัวเอง ใช้ซะ…..


ครูเสือ ถึงป้าหวาน

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ พฤศจิกายน 14, 2012 เวลา 0:13 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1262

เมื่อวาน มีเสียงโทรศัพท์มาถึง บอกว่า เสือ ครับจะมาเยี่ยมที่บ้าน

เอ มันเสือไหนกันล่ะ เสือ ดำ เสือโคร่ง เสือฝ้าย เสือมเหศวร…. สักพักเล็กๆก็นึกออก ครูเสือสมาชิกเฮฮาศาสตร์ของเรานี่เอง ลูกชายมาเรียนเทคนิค ภาควิชาคอมพิวเตอร์ ปีสองแล้ว มาเยี่ยมลูกก็อยากมาเยี่ยมพี่บู๊ด นานแล้วไม่ได้พบปะกัน

เอ้า..มาซิวันนี้อยู่บ้าน พรุ่งนี้อยู่ระยอง มาเลย มาเลย

รถเก๋งเก่าๆ สัมภาระในรถเต็มไปหมด ตามประสาคนง่ายๆ สบายๆ ไม่ใช่ประเภท เมโทร…ที่ต้องเนียบไปหมดทุกอย่าง

เราแลกเปลี่ยนกันนานสมควรเพราะไม่ได้พบปะกันนาน แม้ในลานในเฟสก็ไม่ได้คุยกัน ผ่านแวบๆบ้าง ครูเสือบอกว่า ยังสอนเด็กอยู่ ภรรยาคนเก่งไปทำงานเชียงใหม่ ลูกชายคนเดียวเรียนที่เทคนิคนี่แหละ หากหมดภาระอีกสัก 5 ปี ตั้งเป้าในใจไว้ว่าอยากเดินสู่อิสรภาพเหมือน ดร.ประมวลเพ็งจันทร์ แห่ง มช.ที่ลาออกจากราชการแล้วเดินจากเชียงใหม่ลงไปบ้านบ้านเกิดที่เกาะสมุย จนโด่งดัง

ผมหยิบเอา อาจารย์ประมวลมาคุยกับเสือเพราะผมรู้ว่า เสือเป็นคนหนึ่งที่สนใจด้านลึกของชีวิต และพอดีที่ อ.ประมวลให้สัมภาษณ์ใน สกุลไทย ฉบับล่าสุด ที่บ้านผมรับประจำ จึงได้อ่านคำสัมภาษณ์ท่าน ยังเฉียบ คม ลุ่มลึกเหลือเกิน ทำให้ผมต้องไปค้น เดินสู่อิสรภาพ หนังสือที่ท่านเขียนหลังเดินทางไกลด้วยเท้าเปล่าและไม่มีเงินติดตัวสักบาทเดียว เป็นฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5 ใครไม่เคยอ่านไปหามาอ่านซะ แนะนำครับ

ผมสนใจและชอบมุมมองชีวิตของ อ.ประมวลมาก จนต้องมาเขียนถึงท่านอีกและอยากแนะนำให้ใครๆอ่านหนังสือของท่านครับ

การเดินของท่าน แน่นอน ผ่านประสบการณ์สุดๆทั้งในแง่บวกและลบ คนข้างทางมองท่านเป็นคนบ้า คนเข้าใจท่านมองท่านคือเทวดา ผู้แน่วแน่ในการค้นหาตัวเองที่ยากใครจะทำจริงๆได้ เพราะคนเราติดสุขกันทั้งนั้น ที่ก้มหน้าทำงานกันงกงกนี่ก็เพื่อความสุข แม้ทางกายก็ตาม….รวมทั้งผมด้วย

แต่บ่อยครั้งที่ผมวกกลับมาสำนึกถึงเรื่องด้านในของตัวเอง สิ่งหนึ่งที่เหนี่ยวรั้ง หรือกระตุ้นจิต ด้านในไว้คือ การเดินเข้าสู่สภาวะความตายจากไป อันเป็นเรื่องปกติของชีวิต ทำอะไรได้บ้างเล่า รีบทำเสีย คิดมาคิดไปยังไม่ได้ทำอีกมากมาย…

ขอบคุณครูเสือที่เป็นกัลยาณมิตรมาเสวนาเรื่องราวด้านในแก่กันแบบสบายๆ คุยกันนานมากประมาณ 6-7 ชั่วโมง

ในระหว่างนั้น ครูเสือยังช่วยแก้ปัญหาเรื่องการเอาไฟล์ เรื่องเล่าจากดงหลวง ขึ้นไปแปะไว้ เพื่อให้ท่านที่สนใจดาวน์โหลดไป เพราะตัวหนังสือไม่มีแจก อยากจะแจกแต่ไม่มีจะแจกน่ะซีครับ ครูเสือสอนไว้ ทำให้ดู ให้ผมมาทำต่อ ก็ยังคลำอยู่เลยครับ จนคอมแฮงค์ไปเมื่อเช้าต้องหิ้วเข้าโรงซ่อมที่ it city หลักสี่ ช่างเขาเคาะสองสามทีบอกลุงเอาไปใช้ต่อได้แล้ว ไม่เอาตังค์ด้วย ขอบอกขอบใจแล้วก็หิ้วกลับบ้าน เสียค่าแท็กซี่ไปเกือบสองร้อยบาท แต่ไม่เสียค่าซ่อมคอมพ์ เดี๋ยวนี้ก็มานอนห้องหรูที่ระยองแล้ว พรุ่งนี้จะปฏิบัติภารกิจต่อไป

ขอบคุณครูเสือมากๆครับ จริงๆป้าหวานอาสาช่วยผมในเรื่องเอาไฟล์แปะไว้ที่ไหนสักที่ ก็เกรงใจป้าจริงๆ ครูเสือมาช่วยและมอบให้ผมทำต่อ ก็ยังเปะปะอยู่ครับเนี่ย… ช่วยกันเน๊าะป้าหวานเน๊าะ


บัณฑิตชนบท..

อ่าน: 1885

ที่สถาบันวิจัยแห่งหนึ่งรับนักศึกษาภาควิชาพัฒนาชุมชนมาฝึกงาน อาจารย์ก็มอบงานให้ทั้ง 5 คนไปลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลสนามตามแผนงานที่มีอยู่แล้ว

ก่อนลงสนามก็ต้องมาคุยกันก่อนว่ามี วิธีเก็บข้อมูลอย่างไร กระบวนวิธีมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง และอีกมากมาย ฯลฯ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของนักวิชาการ หรือนักพัฒนาชุมชนเมื่อจะเก็บข้อมูลก็ต้องมาทำความเข้าใจกระบวนการทั้งหมด โดยเฉพาะสาระของข้อมูลที่จะต้องเก็บ อย่างละเอียดยิบ เพราะประเด็นคำถามนั้นมีข้อจำกัดในการทำความเข้าใจด้วยภาษาให้ตรงกับสิ่งที่ต้องการ มีบ่อยครั้งที่ผู้ไปซักถาม ตีความหมายผิด ก็จะทำให้ได้ข้อมูลไม่ตรงกับความประสงค์ของผู้ออกแบบสอบถาม ยิ่งไม่เข้าใจภาษาท้องถิ่น สำนวนท้องถิ่น วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ วิถีปฏิบัติของท้องถิ่น ก็จะยิ่ง สื่อสารให้ผู้ให้สัมภาษณ์ไม่เข้าใจ ผู้ตอบก็จะให้ข้อมูลที่ไปคนละทิศละทาง สิ่งที่ได้ก็ไม่ใช่ข้อเท็จจริง กลายเป็นขยะไป

มีเรื่องเก่าที่ขอยกตัวอย่างอีกครั้ง นักศึกษาปริญญาโทมาเก็บข้อมูลสนาม ในเรื่องความรู้ความเข้าใจของชาวชนบทต่อหลักศาสนาบางประการ

นักศึกษา: คุณยายนับถือศาสนาอะไรครับ

คุณยาย: ศาสนาพุทธซิไอ้หนู

นักศึกษา: คุณยายช่วยอธิบายเรื่อง เมตตา หน่อยซิครับว่าหมายความว่าอย่างไร

คุณยาย: ห้วย…. จะให้ยายอธิบายจั๊งใด๋ ยายบ่อจั๊กแหล่ว…

ระหว่างคุยกันนั้น ยายก็เอาน้ำมาให้นักศึกษาดื่มกิน เมื่อเวลามาถึงเที่ยง ก็เตรียมอาหารมาให้กิน… เมื่อสิ้นสุดการซักถามนักศึกษาก็ลากลับไป แล้วก็ไปสรุปว่า คุณยายไม่เข้าใจเรื่องศาสนา โดยเฉพาะเรื่องความมีเมตตา แค่นับถือศาสนาพุทธเท่านั้น…?

หารู้ไม่ว่า ยายนั้นไม่สามารถอธิบายความหมายเป็นภาษาได้ แต่ยายปฏิบัติ ก็ยายมีเมตตาต่อนักศึกษาไงถึงได้เอาน้ำเย็นมาให้ดื่มกิน เอาข้าวปลามาเลี้ยงดูปูเสื่อ นักศึกษาเองนั่นแหละยังไม่เข้าใจหลักศาสนาภาคปฏิบัติ…

นักศึกษาคุ้นเคยแต่ท่องจำแล้วไปสอบเอาคะแนน ตามหลักการวัดผลการศึกษาไงเล่า การวัดผลวัดแค่การท่องจำและขีดเขียนออกมาได้ แต่การเอาความรู้นั้นๆไปปฏิบัติวัดไม่เป็น หรือไม่ได้วัด หรือไม่อยากไปวัดมันยาก…

กลับมาที่นักศึกษาที่มาฝึกงานที่สถาบันวิจัยฯ อาจารย์บอกว่า เธอทุกคนต้องจดบันทึกการสัมภาษณ์ว่าชาวบ้านตอบอะไรบ้าง จดมาให้ละเอียดเลย นักศึกษาสาวคนหนึ่งไม่สนใจการทำความเข้าใจเตรียมตัวลงสนาม กลับบอกอาจารย์ว่า หนูไม่จดหรอกค่ะ หนูมีเทปบันทึก ..?

วันแรกที่ลงสนามจริงๆ เธอแต่งตัวอย่างกับไปช็อปปิ้ง ทาปากแดง สวยเชียว แล้วก็ทำเช่นนั้นจริงๆให้รุ่นพี่สัมภาษณ์แล้วเธอก็เอาเทปมาบันทึก เธอไม่สนใจการสนทนาเพื่อเก็บข้อมูลของรุ่นพี่กับชาวบ้าน เธอเล่นผมยาวๆของเพื่อน นั่งถักเปียกัน…และ….

วันรุ่งขึ้นเธอมาบอกอาจารย์ว่าหนูไม่ไปฝึกงานแล้ว มันลำบาก หนูขอลาออกจะไปฝึกงานที่สำนักงานเทศบาลเมืองดีกว่านั่งแต่ในห้องแอร์เย็นๆ สบายกว่า…???

อาจารย์ที่สถาบันวิจัยนั้น ก็อนุญาตให้ลาออกไปฝึกงานที่อื่น..พร้อมส่ายหัวว่า นี่นักศึกษาภาควิชาพัฒนาชุมชนนะเนี่ยะ เข้าเรียนผิดคณะหรือเปล่า…

ไม่ระบุสถาบันนะครับ เสียหาย ความจริงมีรายละเอียดมากกว่านี้เยอะแต่เขียนไม่ได้….

อาจารย์ที่สถาบันวิจัยท่านนั้น บอกว่า ให้เด็กพัฒนาชุมชนไปทำ Seasonal calendar ของครอบครัวชาวบ้านหน่อย เขาบอกว่าทำไม่เป็น อาจารย์ถามว่าท่านไหนสอนเรื่อง “เครื่องมือการเก็บข้อมูลชุมชน” นักศึกษาตอบว่า ก็อาจารย์ ดร. …………..เป็นผู้สอน พอเดาออกครับว่า กระบวนการเรียนการสอนนั้น เกิดขึ้นจริง แต่ไม่ได้ฝึกปฏิบัติ แค่เรียนในห้องเรียน อาจารย์ก็พูดปาวๆพร้อมกับเทคโนโลยีทางการสอน เช่น Power point รูปภาพ รายงานที่วางไว้หน้าชั้น ….. แต่ไม่เคยพานักศึกษาออกปฏิบัติจริง จึงทำไม่เป็น

นักศึกษาทั้ง 5 คนลาออกไปฝึกงานกับเทศบาลที่นั่งแต่ในห้องเย็นๆ ต่อมาอีกสองวัน มีเด็กสองคนในห้าคนนั้นกลับมากราบอาจารย์ที่สถาบันวิจัย ขอกลับมาฝึกงานที่นี่ใหม่ แต่สามคนไม่มา สองคนนี้บอกว่า หากไปฝึกงานที่เทศบาลจะไม่ได้เรียนรู้เรื่องชนบทเลย ขอกลับมาและกราบขออภัยคราวที่แล้ว…

ที่บริษัทที่ปรึกษาก็เอาเด็กปริญญาโทออกไป แม้ปริญญาเอกก็เอาออกไปก็มีเพราะทำงานไม่เป็น ไม่ได้ ได้ไม่มีคุณภาพ ห่วยแตกว่างั้นเถอะ….

เป็นเรื่องหนักใจของหน่วยงานจริงๆที่บัณฑิตไม่มีคุณภาพตามมาตรฐานที่ควรจะเป็น…. ก็ดูการฝึกงานเป็นกรณีตัวอย่างซิ

สรุปว่า.. เป็นห่วงบัณฑิต ที่ไม่ได้มุ่งเน้นความรู้เชิงปฏิบัติ เราเป็นห่วงคุณภาพของความเป็นบัณฑิต ไม่ได้เข้าใจรากเหง้าของความรู้ ไม่ใช่ของจริง แค่ฉาบฉวย ล่องลอยไปกับกระแสสังคมที่เป็นสังคมบริโภค โอยจะสาธยายอย่างไรถึงจะหมดเนี่ยะ

ครับไม่ใช่ทุกสถาบันนะครับ ไม่ใช่บัณฑิตทุกคนนะครับ แต่ดูจะมีเรื่องราวดังกล่าวมานี้มากเหมือนกันครับ

จริงๆนักศึกษาที่มาสนใจทำงานพัฒนาชนบทนั้นไม่จำเป็นต้องแต่งตัว เซอ เซอ มอมๆ หล่อได้ สวยได้ครับ แต่ต้องไม่สักแต่หล่อ แต่สวยแต่ไม่มีกึ๋น หากสนใจอย่างนั้นไปเป็นพริตตี้ดีกว่านะจ๊ะคนสวย….


ปากกาของบัณฑิตคืนถิ่น

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ พฤศจิกายน 9, 2012 เวลา 8:59 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1417

เมื่อสัปดาห์ก่อนผมไปงานศพพี่จำลอง พันธุ์ไม้ท่านเป็นบัณฑิตอาสาของโครงการมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รุ่นแรกๆ ที่มี ดร.ป๋วย เป็นผู้ริเริ่ม ในงานศพที่ขอนแก่นครั้งนั้นมีเพื่อนบัณฑิตร่วมรุ่น ต่างรุ่น ร่วมสถาบัน ต่างสถาบันไปร่วมมากมาย รวมทั้งยาหยีของผม เพราะเธอเป็นบัณฑิตอาสารุ่น 8 ของ มธ. แม้ว่าเธอจะเรียนจบจากจุฬาฯ

ผมกล่าวได้ว่า ความเป็นบัณฑิตอาสาของ มธ.นั้นมีแรงเกาะเกี่ยวกันเหนียวแน่นมากๆ ไม่ว่าแต่ละคนจะไปประกอบอาชีพอะไร ฐานะทางสังคมเป็นเช่นไร ฐานะทางเศรษฐกิจเป็นอย่างไร เกาะเกี่ยวกันแน่นมากแม้ยามร่วงโรยลาจากกันไป

เป็นเพียงปรากฏการณ์ด้านหนึ่งเท่านั้นในสังคมที่มีคนกลุ่มหนึ่งผ่านกระบวนการฝึก ในหลักสูตรเพียงปีเดียวก็มีเยื่อใยกันขนาดนี้ เป็นสิ่งที่ดีครับ

คนอีกกลุ่มหนึ่ง ที่ไม่ผ่านกระบวนการบัณฑิตอาสา(ส่วนใหญ่) แต่มีสำนึกต่อบ้านเมืองสูงมาก คนกลุ่มนี้เอาบ้านเอาเมืองเป็นโจทย์ใหญ่ และกระโดดเข้าแบก อุ้ม ดัน ผลัก ลาก จูง คือกลุ่มคนที่เป็นผลผลิตทางอุดมการณ์ทางการเมืองและสังคมเข้ามาเป็นสำนึกอย่างสูง คนกลุ่มนี้จำนวนไม่น้อย กัดไม่ปล่อย ทำในทุกบทบาทที่เขาสังกัดอยู่ อาจจะเรียกกลุ่มนี้ว่า กลุ่มที่มีอิทธิพลเดือนตุลาเป็นพลัง หลายคนก้าวเข้าสู่เวทีการเมืองที่มีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงใดๆได้พอสมควรทีเดียว หลายคนยังจมดิ่งอยู่กับกระบวนการชาวไร่ชาวนา แม้ว่าหลายคนบ่ายหน้าเข้าสู่วงการธุรกิจ นักวิชาการ แต่ก็ไม่ทิ้งการร่วมด้วยช่วยกัน ยามใดที่เพื่อนร่วมอุดมการณ์ร้องขอ เขาก็พร้อมจะเทกระเป๋าให้ แม้ว่าจะเอาสีมาสาดใส่เสื้อเป็นนั้นเป็นนี่ แต่ความเข้มข้นนั้นปรอทวัดไม่ได้

บัณฑิตจะก้าวลงลึกถึงการเปลี่ยนแปลงวิถีแห่งบัณฑิตรุ่นใหม่ที่ฝันนี้ แน่นอนทุกท่านคาดคิดว่า “ต้องเปลี่ยนด้านใน” คือสำนึก ที่ตกผลึกมาจากระบบคิด ความใฝ่ฝัน เจตนา ประสงค์ ต้องการ ที่มาจากด้านใน เราจะสร้างสำนึกได้อย่างไร เราจะวัดมันได้อย่างไร เราจะประคับประคองให้สำนึกมันเติบโตขึ้น เข้มแข็งขึ้น มิใช่ฝ่อไปในบั้นปลาย เพราะแรงโน้มน้าวของค่านิยมแห่งยุคสมัยมันมาแรงจัดมากๆ

โปรแกรมด้านนี้ เชื่อว่าคณาจารย์ทุกท่านตระหนักดี และมีรูปธรรมหลายประการรองรับอยู่ แต่ต้องตรวจสอบบ่อยๆนะครับ เพราะจิตใจคนนั้นตอบสนองต่อสิ่งเร้า ตามหลักทั่วไปที่เราเข้าใจ ตราบใดที่สำนึกไม่ได้ตกผลึก มันก็พร้อมที่จะรื่นไหล เลี้ยวออกไปทิศทางอื่นๆ ผมเชื่อว่าการคืนถิ่นนั้นมิใช่ เอาทุนไปซื้อจอบซื้อเสียมแจก เอาที่ดินไปแล้วเจ้าไปทำมาหากินให้อยู่ได้ แต่สมัยนี้นอกจากจอบเสียมแล้ว เกษตรกรสมัยใหม่ต้องพก “ปากกา” ด้วย ปากกา เป็นตัวแทนการก้าวทันเทคโนโลยี ความรู้ใหม่ๆ และการรู้จักดัดแปลงเอาไปใช้อย่างเหมาะสม สอดคล้องกับสภาพทางกายภาพ ชีวภาพ เศรษฐกิจ สังคม เงื่อนไข แห่งนั้นๆ วิชาดัดแปลงมีเรียนมีสอนไหมล่ะ

หลายอย่างบัณฑิตต้องใช้ความรู้ไปสร้างความรู้ใหม่ๆ สถาบัน คณาจารย์ไม่สามารถป้อนได้หมดหรอก ดังนั้น เมื่อดัดแปลงได้เธอก็ก้าวไปอีกขั้นของการเป็นบัณฑิต อาจจะสร้างเครือข่ายแลกเปลี่ยนความรู้กัน โดยใช้เทคโนโลยี่ปัจจุบันที่มันพัฒนาการไปไกลมากแล้วนั้นให้เป็นประโยชน์แก่เส้นทางของเราเถิด

เขียนบันทึกไว้เผื่อฟ้าดินจะสื่อสารไปถึงบัณฑิตที่เป็นอนาคตของสังคมของเรา…


สำนึก

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ พฤศจิกายน 5, 2012 เวลา 15:17 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1470

วันก่อนผมเขียนถึงบัณฑิตคืนถิ่น โครงการของสมเด็จพระเทพฯ ที่มีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยดูแล และเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาไปจัดค่ายหรือเสวนากันที่น่าน วิทยากรท่านหนึ่งให้ผมโฟนอินเข้าไปร่วมด้วย ตอนหนึ่งผมกล่าวว่า “…ระบบการศึกษาให้แต่ความรู้ไม่ได้ให้สำนึก..” ผมเอามาโพสต์ในนี้ นักวิชาการศึกษาที่ผมนับถือยิ่งท่านหนึ่งกล่าวเห็นด้วย และจะไปพิจารณาต่อไป

ผมนำประเด็นนี้มาทบทวน เห็นว่าคำกล่าวของผมนั้นยังไม่ถูกต้อง ที่กล่าวว่า “ระบบการศึกษาให้แต่ความรู้ไม่ได้ให้สำนึก” ผมมีความเห็นว่า..ระบบการศึกษาให้แต่ความรู้..นั้นเป็นความจริง แต่การกล่าวว่า..ไม่ได้ให้สำนึกนั้น ไม่ถูกต้อง เพาะสำนึกนั้นให้ไม่ได้ แต่ควรใช้คำว่า “สร้างสำนึก” เพราะสำนึกนั้นมันเป็น “เรื่องภายใน” เป็นเรื่องจิต สภาวะหยั่งรู้ของจิตถึงความดี ความชอบ สิ่งที่ควรทำสิ่งที่ไม่ควรทำ สิ่งควรเคารพ ควรประพฤติ ควรปฏิบัติ มันเป็นเรื่องที่บอกกันได้ เรียนรู้กันได้ รับรู้ได้ แต่รู้แต่ไม่สำนึก รับรู้แต่ไม่เกิดสำนึก ซึ่งเป็นเรื่องสภาวะด้านในของจิต น่าจะใช้คำว่า “สร้างสำนึก” มากกว่า

รูปธรรมในเรื่องนี้มีมากมายในแต่ละวันของสังคมไทย

การจราจรทุกวันในเมืองโดยเฉพาะที่กรุงเทพฯนั้น มีพฤติกรรมมากมายที่บ่งบอกทั้ง ว่าผู้ขับขี่รถยนต์นั้นมีความรู้เรื่องกฎ กติกาจราจร แต่ไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร แต่ก็มีคนจำนวนหนึ่งในท้องถนนที่มีสำนึกสูงมาก เขาหยุดรถ ตรงเครื่องหมายที่เว้นช่องว่าไม่ควรหยุดรถตรงนี้ มีผู้ขับขี่จำนวนไม่น้อยที่ยอมให้รถอีกเส้นทางหนึ่งไปก่อน ที่เราเรียก “น้ำใจ” ที่มีให้ต่อกัน เห็นป้ายจราจรหลายแห่งบอกให้มีน้ำใจต่อกัน ซึ่งก็ดีที่เป็นป้ายเตือนสติให้คนเราไตร่ตรองเรื่องนี้มากขึ้น แต่ป้ายนี้ไม่สามารถสร้างคนให้มีน้ำใจได้

นานๆเราจะได้ยินว่าคนขับแท็กซี่เก็บกระเป๋าเงิน หรือสิ่งของมีค่าที่ผู้โดยสารลืมไว้ในรถแล้วเอาไปให้สื่อมวลชนประกาศหาเจ้าของ…นี่คือ “น้ำใจ” และนี่คือ “สำนึก” ไม่ต้องมีป้าย ไม่ต้องมีใครบอก แต่มันเกิดขึ้นมาภายในจิตใจว่า สิ่งที่ถูกต้องที่สังคมควรพึงปฏิบัติต่อกันนั้นคือการเอาสิ่งของมีค่านั้นๆคืนให้เจ้าของเขาเสีย

บังเอิญผมดูรายการไทยพีบีเอส เกี่ยวกับรัฐสภา ซึ่งวิทยากรเชิญคุณดำรง พุฒตาลมาคุยกันถึงเรื่อง AEC ตอนหนึ่งวิทยากรพูดถึงว่า ประเทศที่ไม่มีคอรัปชั่น โปร่งใสที่สุด ตรงไปตรงมาที่สุด ประชาชนเคารพกติกาสังคมมากที่สุด คือ ประเทศนิวซีแลนด์ วิทยากรเล่าว่า เขาได้รับฟังเรื่องเล่าจากสตรีไทยที่มีสามีเป็นชาวนิวซีแลนด์ เล่าว่า วันหนึ่งสามีไปตกปลา ก็นำปลากลับมาบ้าน แล้วบอกภรรยาที่เป็นคนไทยว่า …วันนี้ตกปลาได้ 10 ตัว…

เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมภรรยาไปเอาปลามาเพื่อประกอบอาหาร พบว่ามีปลาแค่ 4 ตัว จึงไปถามสามีว่า ที่บอกว่าตกปลาได้ 10 ตัวทำไมมีปลาเพียง 4 ตัว สามีกล่าวว่า ตกปลาได้ สิบตัวจริง แต่ 6 ตัวนั้นปล่อยกลับคืนทะเลไป ภรรยาคนไทยงงมากๆ ทำไมเป็นเช่นนั้น สามีอธิบายว่า ปลา 6 ตัวนั้น 3 ตัวเป็นปลาขนาดเล็ก กฎหมายห้ามจับปลาเล็กจึงปล่อยไป อีก 3 ตัวเป็นปลาขนาดใหญ่มาก กฎหมายก็ระบุว่า ปลาขนาดใหญ่นั้นเขาจะเป็นพ่อพันธ์แม่พันธ์ต่อไป ควรปล่อยให้เขาขยายพันธ์ต่อไป จึงปล่อยลงทะเลไป..

ภรรยางงใหญ่ บอกสามีว่า ก็เอาปลาใหญ่มาบ้างก็ได้ ไม่จำเป็นต้องปล่อยไปทั้งหมด สามีบอกว่า ทำเข่นนั้นไม่ได้ พร้อมทั้งกำมือมาทุบที่ดวงใจพร้อมกล่าวว่า หากทำเช่นนั้น “..จะเป็นความรู้สึกผิดข้างใน..” ไม่มีคำอธิบายใดๆอีกแล้ว มันแจ่มแจ้งแทงใจจริงๆ นี่คือ “สำนึก” ที่มันเกิดขึ้นมาข้างใน แม้เขาจะมีโอกาสละเมิดกฏิกา โดยที่ผู้อื่นไม่รู้ แต่ “ตัวเขาเองรู้” และนั่นคือรู้ว่าเป็นการกระทำที่ผิด ไม่ถูกต้อง สำนึกข้างในบอกว่า ไม่ควรทำ.. กฏิกามีไว้ดีแล้ว เหมาะสมแล้ว ทุกคนควรเคารพ และปฏิบัติตามเพื่อวัตถุประสงค์ของกติกานั้นๆ….

ผมนึกถึงช่วงที่ผมมีโอกาสไปลงชุมชนชนบทในประเทศลาว ผมพบว่า ในหมู่บ้านมีครอบครัวที่มีแต่คนแก่ หรือผู้สูงอายุ หรือผู้เฒ่า อยู่อย่างโดดเดี่ยว ผมนึกว่าหากเป็นเมืองไทย เขาอาจจะไปเป็นขอทานตามถนนในเมือง หรือดีหน่อยก็สังคมสงเคราะห์ก็เอาไปพักที่สถานที่พกคนชรา หรือมีเงินช่วยเหลือให้ แต่ที่ชนบทลาวแห่งนี้ คนแก่ คนเฒ่า ผู้สูงอายุอยู่ในชุมชนตามปกติได้ แม้จะไม่มีลูกหลานมาดูแลเพราะ “…..ชุมชนเขาช่วยกันดูแล…” คนโน้นคนนี้เอาข้าวมาให้ บ้านซ้ายบ้านขวาเอาเสื้อผ้า หยูกยามาให้…นี่คือน้ำใจ นี่คือสำนึก..

ในสังคมไทยเราก็มีเรื่องราวแห่งสำนึกนี้มากมาย โดยเฉพาะในชนบท… แต่หายากยิ่งกว่าหาทองในฝาเครื่องดื่มชนิดหนึ่งเสียอีก….

แล้วสังคมเราจะช่วยกันได้อย่างไร การศึกษาจะมีส่วนสร้าง “สำนึก” นี้ให้แก่คนหนุ่ม สาว ที่เป็นอนาคตของชาติได้อย่างไร..

เป็นคำถามที่ทุกคนต้องช่วยกันตอบครับ


ถึงบัณฑิตคืนถิ่น

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ พฤศจิกายน 3, 2012 เวลา 13:25 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1436

ขอแนะนำตัวเองว่า เป็นคนภาคกลาง ไปเรียนจบที่ภาคเหนือ มีครอบครัวกับคนภาคใต้ แต่มาใช้ชีวิตส่วนใหญ่ที่ภาคอีสาน ครอบครัวที่บ้านเกิดมีอาชีพทำนาพ่อเป็นครูประชาบาล

ตัวเองเรียนจบสมัยคลื่นกระแส 14 ตุลา หลายคนเรียก คนเดือนตุลา ก็มีอุดมการณ์กะเขาบ้าง สมัยเรียนก็ไม่ค่อยเรียน จับกลุ่มออกชนบททางภาคเหนือ รอบๆเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน พอจบออกมาเพื่อนๆเข้าป่ากันหมด ผมก็เข้าป่าเหมือนกันแต่เป็นป่าอำเภอสะเมิงจังหวัดเชียงใหม่ ทำงานพัฒนาชนบทกับสำนักงานเกษตรภาคเหนือ

ทำงานไปก็ศึกษาไป ก็รู้ตัวดีว่า ไม่เข้าใจชนบทดีพอ เพราะไม่มีความรู้เรื่องทางสังคมวิทยาหรือมานุษยวิทยา แต่มีใจจะพัฒนาชนบทเท่านั้น แม้ตัวเองจะเป็นลูกชาวนา บ้านนอก ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเข้าใจวิถีชนบทไปทั้งหมด

ภายใต้รูปธรรม ที่เรามองเห็น จับต้องได้ สัมผัสได้นั้น มันมีสิ่งที่เรียกว่านามธรรมที่เป็นสาระเรื่องราวมากมายที่เราไม่เข้าใจ มันมีประวัติศาสตร์ มีที่มาที่ไป กว่าจะมาเป็นสิ่งที่เห็นนั้นมีเรื่องราวที่มีคน กลุ่มคนเข้าไปเกี่ยวข้อง มีความคิดความเห็นเข้าไปเกี่ยวข้อง มีคามเชื่อ ศรัทธาเข้าไปเกี่ยวข้อง มีความสัมพันธ์ระหว่างกันเข้าไปเกี่ยวข้อง

อย่างที่มีการสรุปกันว่า ความเกี่ยวข้องนี้เรียกความสัมพันธ์ เป็นความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน ระหว่าคนกับสิ่งแวดล้อม ธรรมชาติ และระหว่างคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ

แต่ทั้งหมดนี้ล้วนมีเพื่อ ความสงบ ร่มเย็น ความพอดี พึ่งพาอาศัยกัน ซึ่งนำไปสู่คำสั่งสอนให้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน เอื้ออาทรแก่กัน เคารพซึ่งกันและกัน ให้อภัยกัน เกรงอกเกรงใจกัน และมีสำนึกแห่งความพอดีที่จะอยู่ร่วมกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

นี่คือภาพคร่าวๆของสังคมดั้งเดิมของเรา

ขยายความสักนิดหนึ่ง

ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน: คือลักษณะทางวัฒนธรรมของสังคมนั้นๆที่พึงปฏิบัติต่อกัน เช่น ผู้เด็กเคารพผู้ใหญ่ คนทั่วไปเคารพนักบวชหรือผู้ประพฤติในศีลในธรรม น้องเคารพพี่

ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสิ่งแวดล้อม ธรรมชาติ: มีประเพณีสิบสองเดือน มีฮีต หรือจารีต เช่น ยามสามค่ำเดือนสามของชนเผ่าไทยอีสานจะทำพิธีเปิดประตูเล้าข้าว แล้วทำขวัญวัวควายที่เคยใช้งานหนัก     ทุบตีเขา วันนั้นจะบำรุงบำเรออาหารการกิน ไปสารภาพบาปแก่เขาไปพูดจาสำนึกบุญคุณแก่สัตว์ที่เราใช้แรงงานเขา เป็นสำนึกที่พึงปฏิบัติต่อกัน แล้วเอามูลวัวควายไปใส่ไร่นา เตรียมการทำนาครั้งต่อไป..

ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ: คนภาคกลางไหว้เจ้าที่ เจ้าทาง ศาลพระภูมิ คนอีสานไหว้ปู่ตา ใครไปใครมาต้องไหว้ บอกกล่าว คนไทโซ่นั้นหากใครจะเข้าไปอยู่ในสังคมเขาถาวรหรือกึ่งถาวรต้องทำพิธีก๊วบ หรือไหว้เจ้าที่ บอกกล่าวเจ้าที่ เมื่อคนก้มกราบสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ สำนึกด้านในของเขาก็คิดแต่สิ่งดีดี สิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่มีประโยชน์ สำนึกเหล่ารี้ก็จะกำกับความคิด และมาสู่การปฏิบัติที่ดีดี ที่ถูกต้อง ที่สอดคล้องต่อวิถีของเขา…

 

เหล่านี้คือเนื้อหาสาระของชนบทที่ซ่อนอยู่ในวิถีชีวิตของเขา ส่วนใหญ่เราเคยเห็น แต่ไม่เข้าใจ หรือเข้าใจเหตุผล แต่ไม่ได้พัฒนาขึ้นไปสู่สำนึก

ทั้งหมดนี้ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ มันเคลื่อนตัวไป เปลี่ยนแปลงไปตามการเคลื่อนตัวของสังคมใหญ่ สิ่งใหม่ๆเข้ามาแล้วบดบังของเดิมๆเสียสิ้น ยิ่งเมื่อคนรุ่นใหม่ไม่ได้คลุกคลีกับชนบท กลับไปคลุกคลีกับสังคมเมือง หลุดออกไปจากชนบท และไปถูกสังคมเมืองหล่อหลอมจิตวิญญาณท่านให้เป็นคนเมืองด้วยวิถีชีวิต ระบบสังคม การศึกษา เศรษฐกิจ ค่านิยม พลังการโฆษณา พลังการดำเนินการค้าทางธุรกิจ เพลง เทคโนโลยี่ใหม่ ความทันสมัย ศิวิไลซ์…..อินเทรนด์…. คนเข้าคิวกันตั้งแต่เที่ยงคืนเพื่อซื้อ iPhone5 และตื่นสายจนไปใส่บาตรพระไม่ทัน

ภาพเหล่านี้บอกอะไรเราบ้างเล่า…

ผมเคยคุยกับเพื่อนๆในวงการพัฒนาชนบทว่า พวกเรานั้นเป็นมนุษย์สามโลก

โลกที่ 1 คือโลกเมือง มีความสะดวกสบายทุกอย่าง เจริญ ทันสมัย พัฒนาแล้ว แต่คุณต้องมีเงินเท่านั้นจึงจะอยู่ได้

โลกที่ 2 คือโลกชนบท ก็อย่างที่เล่าให้ฟัง

โลกที่ 3 คือโลกในความฝัน ที่อยากให้สังคมเป็น อยากให้เมืองและชนบทอยู่กันอย่างมีความสุข…..

ระบบสังคมเรา ดึงคนออกจากชนบทมาอยู่ในเมือง กินทุกอย่างที่ชนบทกิน แต่ต้องมีเงินเดือน อยู่ไปนานๆลืมรากเหง้าดั้งเดิมเสียสิ้น ลืมกำพืด กลับเข้าชนบทก็เห็นแต่ความล้าหลัง ความด้อย สกปรก ไม่เจริญหูเจริญตา ไม่ทันสมัย มองไม่เห็นอีกภาพของชนบท

ระบบการศึกษาให้แต่ความรู้ไม่ได้ให้สำนึก ความรู้ที่ได้จึงเดินหน้าเข้าเมืองหมด เพราะเมืองคือตลาดงานที่ใหญ่ที่สุดของบัณฑิต มีเงินเดินสะพัดมากที่สุด ความรู้ที่ได้ ที่มี จึงไปรับใช้ระบบธุรกิจที่มุ่งผลประโยชน์สูงสุด ใครทำได้มีรางวัลให้ ความรู้ที่มี ถูกกฎระเบียบข้อบังคับและวัฒนธรรมองค์กรธุรกิจกำกับให้ทำตามคำสั่ง หรือ Job description เท่านั้น วัฒนธรรมองค์กรธุรกิจเป็นเบ้าหล่อหลอมคนที่เราเรียกบัณฑิต ลืมรากเหง้าสังคมเดิมไปสิ้น

คำตอบของสังคมแบบนี้คือ ความร่ำรวย ความหรูหรา บ้านแพงๆ รถแพงๆ เครื่องมือเทคโนโลยี่ดีดี เครื่องแต่งตัวดีดี…. แล้วบอกว่านั่นคือความสำเร็จของชีวิต… ???

ภาพทั้งหมดนี้หลุดลอย ออกห่างจากสังคมชนบท ไกลไปจนต่อไม่ติด ไม่เข้าใจ สัมผัสสาระด้านในที่เป็นนามธรรมของสังคมชนบทไม่ได้

ขอเล่าเรื่องประกอบให้ฟังสักเรื่อง

ครั้งหนึ่งผมไปทำงานที่ประเทศลาว มีโอกาสไปเที่ยวเมืองหลวงพระบาง ที่เป็นเมืองมรดกโลก คนมักจะเที่ยว พระราชวัง วัดเชียงทอง พระธาตุพูสี สุสานมูโอต์ และอีกมากมายหลายที่…

ขอกล่าวเฉพาะพระธาตุพูสีตั้งอยู่หน้าพระบรมมหาราชวังหลวงพระบาง เป็นภูเขาเล็กๆบนยอดนั้นมีวัดมีพระเจดีย์ บันไดสองข้างทางที่ขึ้นไปนั้นมีต้นลั่นทม (คนลาวเรียกต้นจำปา) ตลอดแนว คนขึ้นไปกราบไว้ พระธาตุแล้วยืนข้างบนเพื่อชมวิวหลวงพระบาง โดยเฉพาะช่วงพระอาทิตย์ตก สวยงามมาก

ก่อนขึ้นพระธาตุพูสีทางขวามือห่างไปสัก 50 เมตรมีโบสถ์เก่าหลังหนึ่งที่หน้าโบสถ์มีกระดานแผ่นเล็กๆเขียนไว้ว่า “เชิญชมวัดป่าฮวกสร้างโดย รัชการที่ 5 ของไทย” แต่โบสถ์หลังนี้ไม่ได้อยู่ในโปรแกรมของบริษัทจัดทัวร์ของคนไทยเลย

ผมเดินเข้าไป พบชาวลาวคนหนึ่งนั่งที่พื้นโบสถ์ มีโต๊ะเล็กๆตัวหนึ่งวางสินค้าจำหน่ายแก่ผู้คนที่เข้ามาชมศิลปกรรมภาพวาดด้านในโบสถ์ หรือมากราบไหว้พระประธาน ภาพวาดบนโต๊ะของชายคนนั้นเป็นภาพเกี่ยวกับศาสนาที่วาดลงบนกระดาษสา

ผมเดินชมและกราบพระประธานแล้วมาคุยกับท่านผู้นั้น ท่านบอกว่าเป็นข้าราชการกรมศิลป์ของนครหลวงพระบาง ใช้เวลาว่างตอนเย็นหรือเสาร์อาทิตย์มาวาดรูปขายเพื่อเอาเงินมาทำนุบำรุงโบสถ์หลังนี้

ผมขอให้ท่านผู้นี้เล่าประวัติให้ฟังท่านยินดีเล่า ว่า…. วัดนี้ชื่อวัดป่าฮวก เพราะเดิมตรงนี้เป็นป่าไผ่รวก ก่อสร้างโดยรัชการที่ 5 แห่งสยาม มีหลักฐานคือหน้าบัญเป็นรูปพระครุฑซึ่งเป็นสัตว์ประจำกษัตริย์ของอาณาจักรสยาม ด้านหลังโบสถ์มีเจดีย์ และสถานที่กราบไหว้บูชา เป็นคติของชาวสยามว่าหากมเหสีชิ้นพระชนม์ก็จะเก็บพระอัฐิไว้ที่เจดีย์หลังวัด เมื่อคราวใดมาที่วัดก็จะถือโอกาสมากราบไหว้อัฐิด้วย เช่น วัดสวนดอกเชียงใหม่ เจดีย์ด้านหลังวัดคืออัฐิเจ้านายฝ่ายเหนือทั้งสิ้น

วัดแห่งนี้สมเด็จพระพี่นางเสด็จมามากกว่าสองครั้ง สมเด็จพระเทพฯเสด็จมามากกว่าสองครั้ง และเจ้านายองค์อื่นๆก็มาบ่อย

สมเด็จพระเทพฯท่านทรงมีพระราชดำริว่าต้องการสนับสนุนให้คนหลวงพระบางมาเรียนศิลปกรรมการบำรุงศาสนาศิลปกรรม แล้วให้มาทำหน้าที่ดูแล พระองค์ท่านจึงพระราชทานทุน 5 ทุนให้คนหลวงพระบางมาเรียนที่คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แล้วให้กลับไปดูแลโบสถ์หลังนี้และศิลปกรรมอื่นๆในหลวงพระบาง เช่นพระบรมมหาราชวังเป็นต้น ท่านผู้นี้จึงมีโอกาสไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพราะศิลปกรรมล้านนาล้านช้างเป็นอันเดียวกัน

ท่านผู้นี้จึงมาใช้เวลาว่างวาดรูปขายเพื่อเอารายได้เข้ากองทุนทำนุบำรุงวัดป่าฮวกแห่งนี้ เพื่อนๆที่เหลือก็ใช้ความรู้นั้นวาดรูปขายที่ตลาดกลางคืนของหลวงพระบางเพื่อแบ่งรายได้มาสมทบกองทุนนี้….

ท่านผู้นี้ชื่อสมบุน ท่านกล่าวว่าเป็นมหากรุณาธิคุณเหลือเกินที่ทรงเมตตาให้ทุนการศึกษาครั้งนั้น ด้วยสำนึกในพระราชดำริจึงตั้งใจทำหน้าที่นี้โดยรับมาดูแลโบสถ์หลังนี้ สลับกับเพื่อนๆ

น้องทุกคน กำลังคิดอะไร หวังอะไร และจะทำอะไรต่อไปตามเจตนารมณ์ขององค์สมเด็จพระเทพรัตนสุดาสยามบรมราชกุมารีพระองค์นี้ที่ทรงพระราชทานโครงการบัณฑิตคืนถิ่นมาเช่นนี้

พี่ๆขอให้น้องพิจารณาเอาเองเถิด..

สวัสดีครับ


งานเขียนห้วยขาแข้ง..

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ พฤศจิกายน 2, 2012 เวลา 18:18 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1246

“จงใช้ชีวิตให้ตรงกับศักยภาพของคุณ” ผมพูดเอง ไม่ใช่คำพูดของใคร หรือใครจะพูดในทำนองนี้มาแล้วก็เป็นเรื่องปกติ

ผมดีใจที่งานเขียนเรื่องเล่าจากดงหลวงเป็นที่พึงพอใจของท่านเลขาธิการ ส.ป.ก. วันนี้ท่านโทรมาหา แล้วบอกว่า ท่านอ่านทุกเย็นช่วงทานอาหารแล้วก็หยิบมาอ่านวันละเรื่องสองเรื่อง จนท่านบอกกับเลขาหน้าห้องว่า อยากไปเยี่ยมดงหลวงซะแล้ว…

ได้จังหวะผมก็เลยเสนอโครงการในฝันของผม ที่วันก่อนท่านกล่าวว่า เราทำงานโครงการมาด้วยกันที่ ห้วยขาแข้ง ชื่อโครงการก็ย้าวยาว ชื่อ โครงการประสานความร่วมมือเพื่ออนุรักษ์และพัฒนากลุ่มป่าห้วยขาแข้ง (HKKC-ICDP) โครงการนี้ได้รับงบประมาณแบบให้เปล่าจาก DANCED หรือ Danish Cooperation for Environment and Development แต่ต้องมีการสมทบจากรัฐบาลไทย และจากองค์กรพัฒนาเอกชน สมัยนั้นผมสังกัด Save the Children (USA) ซึ่งเป็น International NGO ท่านเคยบอกว่าเสียดายโครงการนี้ที่ไม่มีใครทำการบันทึกเหมือน “เรื่องเล่าจากดงหลวง”

วันนี้ผมเลยแย๊บท่านทันทีว่า ท่านเลขาฯครับผมอยากกลับไปกินๆ นอนๆ ที่นั่นสัก 4, 5.. เดือน เพื่อฟื้นความทรงจำแล้วเขียนบันทึกออกมาในรูปเรื่องเล่า… ท่านได้ยินก็บอกว่า …พี่เอาจริงนะ.. เอาเลย แล้วท่านก็ต่อว่า เนี่ยะ เชิญให้มาเป็นผู้เชี่ยวชาญพิเศษปีนี้ก็ไม่มาจะได้มอบหมายงานนี้ซะเลย.. แล้วท่านก็กล่าวต่อไปว่า เอางี้ ซิ..พี่ส่ง CV ให้ผม ผมจะตั้งพี่เป็นที่ปรึกษา แล้วพี่เข้าไปพื้นที่ก็สามารถเบิกค่าใช้จ่ายได้..

เอาแล้วซิ งานเข้าแล้วเรา…

ผมเรียนท่านว่าผมสนใจงานชิ้นนี้ เพราะกลุ่มป่าห้วยขาแข้งเป็นมรดกโลกซึ่งหลายคนไม่ทราบ และเป็นป่าผืนใหญ่ที่สุดของประเทศเรา เป็นต้นน้ำทางซีกตะวันตกของประเทศเรา อยากทราบว่างานของเราหลังสิ้นสุดโครงการแล้วเป็นอย่างไรบ้าง และสิ่งต่อเนื่องกันคือพื้นที่ส่วนเหนือของโครงการนั้นกำลังมีกรณีการสร้างเขื่อนแม่วงก์

ผมรับปากท่าน ว่าจะพิจารณา และปรับชีวิตให้เหมาะสมกับภารกิจนี้ แต่ขอเวลาหน่อย ในหลักการนั้นตกลงแล้ว

ผมตื่นเต้นต่องานนี้ เริ่มงานอย่างไม่เป็นทางการทันที คือ การลงไปห้องสมุดขอเบิกเอกสารของโครงการนี้มาทบทวนรายละเอียดกันหน่อย ได้มาสองเล่ม จริงๆมีมากมาย แต่วันนี้เอาแค่นี้ก่อนก็ได้

ผมตั้งใจว่าจะพัฒนาการเขียนขึ้นไปเป็นแบบมีเค้าโครง เพราะ เรื่องเล่าจากดงหลวงนั้น เป็นเรื่องเล่าสบายๆจริงๆ วันวันเห็นอะไรก็เขียนสิ่งนั้น พบประเด็นอะไรที่น่าสนใจก็หยิบมาขยายความ ใส่ทัศนะ มุมมองของตัวเองลงไป แต่ “งานเขียนห้วยขาแข้ง” มีเป้าหมายการเขียนเพราะต้องการติดตามผลงานของโครงการ จะเรียก Expose evaluation ก็ไม่ใช่ เป็นเรื่องเล่านั้นแหละ แต่มีประเด็นหลักของการเขียน..

คงค่อยๆพัฒนางานเขียนไป เพราะนี่เป็นเพียงแนวคิดเบื้องต้นเท่านั้น

ติดตาม “งานเขียนห้วยขาแข้ง” นะครับ..

ไม่รู้จะเริ่มจริงเมื่อไหร่..



Main: 0.11860990524292 sec
Sidebar: 0.033437013626099 sec