Children Damaged by Materialism (2)

4 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มกราคม 14, 2009 เวลา 14:25 ในหมวดหมู่ สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย #
อ่าน: 4071

เด็กในโลกปัจจุบันเป็นผู้ที่ถูกครอบงำด้วย ลัทธิวัตถุนิยม มากกว่าเด็กในสมัยก่อนมาก

พวกเด็กๆควรได้รับการสนับสนุนให้มองตัวเองอย่างมีคุณค่าในความเป็นคนหรือเป็นมนุษย์ มากกว่าวัดกันด้วยทรัพย์สินสมบัติต่างๆที่ตนมี จนหมดความเป็นคนไป นอกจากนี้บรรดานักธุรกิจที่มุ่งแต่จะขายของและบริการทุกอย่างเพื่อสนับสนุนการมีวิถีชีวิต หรือไลฟ์สไตล์นิยมวัตถุอย่างรุนแรงอย่างในปัจจุบันที่วัดกันแต่ความเจริญทางวัตถุ ทำให้เกิดความโลภเข้าครอบครองวัตถุให้มากๆ และมีอัตตาแยกตัวเองเป็นเอกเทศ หรือเป็นปัจเจกมากขึ้น ทั้งๆที่ชีวิตจริงควรจะอยู่กันแบบชุมชนและร่วมมือร่วมใจกันในชุมชน

ผมขออนุญาตลอกข้อความที่สำคัญมาสนับสนุนข้อสรุปดังกล่าวเพิ่มเติมอีกคือ

_________________

สมาชิกท่านหนึ่งในคณะผู้สำรวจศึกษากล่าวว่า วงการค้าพาณิชย์ของสังคมและชุมชนเริ่มเข้ามาครอบงำสังคมเด็กที่กำลังเจริญเติบโต และควรเรียนรู้วัฒนธรรมให้ตกอยู่ในกำมือของพ่อค้าพาณิชย์ ซึ่งมีผลกระทบจิตวิทยาการเรียนรู้ของเด็ก ทำให้เด็กหลงอยู่ในด้านวัตถุจนไม่สามารถพัฒนาจิตใจให้เจริญตามควร..

ศาสตราจารย์กิตติคุณฟิลลิป เกรเฮม วิชาจิตเวชเด็ก ที่สถาบันสุขภาพเด็กกรุงลอนดอนกล่าวว่า สาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ปัญหาสุขภาพจิตเสื่อมโทรมเพิ่มขึ้นในขณะนี้คือการที่เด็กๆและวัยรุ่นใช้ชีวิตทุกจังหวะหมกมุ่นอยู่กับความโลภที่จะครอบครองวัตถุต่างๆให้มากเข้าไว้ ล่าสุดคือการแข่งขันกันใช้เครื่องนุ่งห่มที่ตามสมัย แฟชั่นของโลกและความอวดมั่งอวดมีที่จะครอบครองเครื่องมืออุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นสินค้าที่พ่อค้าแข่งกันผลิตออกมาล่อใจ

และยังกล่าวอีกว่า หลักฐานต่างๆที่สนับสนุนเรื่องนี้จะเห็นได้จากในประเทศอเมริกา อังกฤษ เด็กและวัยรุ่นถูกพ่อค้าวาณิชย์ครอบงำโดยสิ้นเชิงด้วย แรงผลักดันทางการค้า (Commercial Pressures) เป็นปัจจัยหลักที่ทำลายสุขภาพจิตของเด็ก

ผลการสำรวจครั้งนี้พบว่า ในอังกฤษประชากรผู้ใหญ่ร้อยละ 90 คิดเหมือนกันว่า โฆษณาสินค้าระหว่างเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาส มักจะโน้มน้าวให้ผู้ปกครองของเด็กอยากจะทุ่มเทเงินทองให้แก่ลูกหลานจนเกินกำลังของตน

ผลการสำรวจพบว่า สตรีมากกว่าร้อยละ 60 คิดว่าสื่อทั้งหลายเป็นตัวการผลักดันให้เกิดความนิยมในวัตถุซึ่งเป็นอันตรายต่อสังคม ส่วนบุรุษคิดเช่นนั้นร้อยละ 56

ส่วนใหญ่ของประชากรผู้ใหญ่ในการสำรวจ ให้ความเห็นว่า รัฐบาลควรห้ามปรามไม่ให้สื่อโฆษณาก่อให้เกิดการเปลี่ยนวิถีชีวิตชุมชน และทุกคนควรจะรับภาระร่วมกันที่จะสั่งสอนบุตรหลานของตนให้ตั้งตัวรับการไหลบ่าของ วัตถุนิยมในโลกอย่างถูกต้องและเหมาะสมด้วย (คุณรจนโรจน์ อ้างอิงข้อมูล ข่าวอินเตอร์เนท บีบีซี)

____________________

เรื่องทั้งหมดนี้ ท่านอาจจะกล่าวว่า ก็รู้ๆกันอยู่ ผมก็ว่าเป็นความจริง แต่ในฐานะที่ผมมีส่วนหนึ่งในการนำความรู้ความคิดเห็นที่เหมาะสมเข้าสู่การปฏิบัติในชนบท จึงต้องตื่นตัวในเรื่องเหล่านี้มากๆ เพราะเราอาจจะเป็นตัวกรองส่วนหนึ่งที่วิภาค และคัดสรรค์สิ่งเหล่านี้ให้แก่ชุมชนที่เขาห่างไกลระบบข้อมูล ที่ผ่านมาผมเองก็บันทึกเรื่องในทำนองนี้ไว้บ้างแล้ว เช่นที่นี่

http://gotoknow.org/blog/dongluang/190479 http://gotoknow.org/blog/dongluang/127459 http://gotoknow.org/blog/dongluang/120483 http://gotoknow.org/blog/dongluang/95980

ผมพยายามค้นหาอีกตัวอย่างหนึ่งที่อิทธิพลการโฆษณา และค่านิยมส่งผมกระทบอย่างแรงต่อจิตใจของครอบครัวผม ขออนุญาตเล่าให้ฟังอีกครั้ง

ตอนที่ลูกสาวเพิ่งเดินทางไปเรียนไฮสคูลที่ NZ ใหม่ๆ มีเพื่อนของเธอคนหนึ่งโทรมาหาคนข้างกายว่า เขาเป็นเพื่อนสนิทกับลูกสาว ซึ่งเราก็จำได้เพราะลูกสาวเล่าให้ฟังบ่อยๆ เธอคนนี้สมมุติชื่อ ขาว เธออ้างว่าหนูกำลังจะเรียนต่อแต่ไม่มีเงินค่าเทอม เพราะแม่เอาเงินทั้งหมดไปรักษาคุณยายที่กำลังป่วยอยู่ที่กรุงเทพฯ คุณพ่อก็หางานอยู่ จึงขอพึ่งพาขอยืมเงินไปเสียค่าเทอมและค่าหนังสือเสื้อผ้าจำนวน 1 หมื่นบาท ….??

เราสอบถามลูกว่าครอบครัวเขาเป็นสภาพเช่นนี้ไหม ลูกตอบว่าใช่ แต่ไม่รู้ว่าคุณยายเขาป่วย แต่ก็น่าเชื่อถือเพราะครอบครัวเขาก็ไม่ค่อยมี..และเขาก็ไม่เคยโกหก… เราตัดสินใจโอนเงินไปเข้าบัญชีคุณแม่เขา ซึ่งเขารับปากว่าจะทยอยส่งคืนให้หลังจากเดือนที่สองไปแล้ว

หลังจากนั้นก็ไม่เคยได้รับการติดต่อมาอย่างผิดปกติ เราก็คิดในแง่ดีว่าเขาคงยุ่งกับการป่วยของคุณยาย…

จนปลายเดือนที่สองเราลองติดต่อกลับไป พบความจริงว่า คุณแม่ของน้องขาวไม่รู้เรื่องนี้เลย..?? ไม่รู้ว่าลูกสาวมาขอยืมเงินค่าเรียน… แต่เป็นความจริงว่าคุณยายป่วย และเราก็ไม่ค่อยมีเงิน แต่การเรียนของลูกขาวนั้นก็หาเงินมาให้เรียนจนได้…. คุณแม่ไปตรวจสอบบัญชีการเงินก็พบว่าเงินเข้าบัญชีจริง.. คุณแม่เพิ่งรู้เดี๋ยวนั้นว่าลูกกำลังทำการโกหก หลอกลวงคุณป้าเพื่อเอาเงินมาทำอะไรสักอย่างตั้ง 1 หมื่นบาท…

หลังจากการสืบเสาะก็พบว่าลูกสาวเอาเงินไปซื้อมือถือรุ่นใหม่ล่าสุดที่เธอหมายปองไว้…. โอ้พระเจ้า……เธอทำได้…เด็กทำได้ขนาดนี้..

คุณแม่น้องขาวรับปากว่าจะหาทางเอาเงินคืนให้โดยการผ่อนส่ง แต่เลยมาเป็นเกือบสิบปีแล้วครับเราไม่ได้เงินคืนเลย…แต่เราก็อุทิศให้แล้ว เข้าใจดีว่าคุณแม่เขาก็อยู่ในฐานะที่ลำบาก เรานึกเพียงว่าขอให้ลูกขาวกลับตัวกลับใจได้เถอะ…..

เรื่องจริงผ่านคอมฯเรื่องนี้สอนให้เข้าใจว่า…

  • อิทธิพลของระบบโฆษณานั้นเข้าไปโน้มน้าวจิตใจเด็กให้เกิด ความอยากอย่างล้นพ้น จนก้าวข้ามศีลธรรมอย่างกล้าหาญ จนเราตกใจว่าทำได้ถึงเพียงนี้แล้วหรือ….

  • ตัวอย่างทำนองนี้มีมากมาย เด็กนักศึกษาหญิงขายตัวเพราะต้องการกระเป๋าถือยี่ห้อดัง…และ.. กล้าที่จะเสนอตัวด้วย..

  • แล้วอิทธิพลของระบบนี้มีอีกมากมายที่ท่านทั้งหลายก็คงประสบมาแล้วไม่มากก็น้อยทั้งสิ้น

แต่…เอ..เราจะเพียงแค่มาเล่าสู่กันฟังเท่านั้นหรือ….ครับ..


Children Damaged by Materialism (1)

4 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มกราคม 14, 2009 เวลา 12:09 ในหมวดหมู่ สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย #
อ่าน: 2537

นานๆจะเห็นบทความแบบนี้กัน ชี่อเรื่องคือ “Children damaged by materialism” หรือ เด็กกำลังถูกครอบงำและถูกบ่อนทำลายโดย ลัทธิวัตถุนิยม เป็นบทความแปลของรจนโรจน์ ในยลยิลอินเตอร์เนท ในหนังสือสกุลไทยเล่มเก่ากองอยู่ในห้องทำงานคนข้างกาย ที่พอมีเวลาบ้างผมก็เปลี่ยนสมองไปหยิบหนังสือเหล่านี้มาพลิกอ่านดู ไม่ได้อ่านนิยงนิยายหรอกครับ เปิดดูบทความที่น่าสนใจที่มักมีอยู่บ่อยๆ

อย่างเรื่องนี้เป็นต้น ผมแปลกใจที่ประเทศต้นตำหรับการก่อเกิดระบบทุนนิยม สมัยปฏิวัติอุตสาหกรรมโน้นนนน ปัจจุบันกลับมาพูดเรื่องนี้ สิ่งที่บทความนี้กล่าวถึงคือสิ่งที่เราก่นกันทุกวันถึงพลังมหาศาลของระบบนี้ที่ไหลบ่าเข้ามาบ้านเราโดยเราไม่มี ตัวกรอง ผมมองว่าลัทธิวัตถุนิยมนี้มีผลสองด้าน ด้านหนึ่งก็ดี เพราะเป็นการยกระดับวิถีชีวิตตามการเปลี่ยนแปลงของโลก แต่อีกด้านหนึ่งเนื้อในที่ไม่ดีมาทำลายของดีดีของเราไป โดยที่เราผู้เสพไม่รู้ตัวบ้าง รู้ตัวแต่ติดสุขบ้าง หรือรู้แบบผิดๆบ้าง

หัวเรื่องบทความนี้กล่าวว่า มีประเด็นบ่งบอกชัดเจนว่าการเจริญเติบโต หรือพัฒนาการของเด็ก ตลอดจนความเป็นอยู่ที่ดีของเด็กในอังกฤษกำลังถูกทำลายลงด้วยการถูกการพาณิชย์ของโลกเข้าครอบงำ

บทความกล่าวว่าอังกฤษได้ทำ โพลล์ สำรวจเรื่อง แบบอย่างการดำเนินชีวิต หรือวิถีชีวิต ของคนอังกฤษ ที่เรียกการสำรวจนี้ว่า GFK NOP Survey เป็นการตรวจสอบความคิดเห็นของประชาชนอังกฤษจากกลุ่มตัวอย่าง 1,255 คน แล้วพบว่า เด็กในโลกปัจจุบันเป็นผู้ที่ถูกครอบงำด้วย ลัทธิวัตถุนิยม มากกว่าเด็กในสมัยก่อนมาก

บ๊อบ ไรเต็มไมเออร์ ผู้บริหารของสโมสรเด็กของอังกฤษ กล่าวว่า ….พวกเราต้องสำรวจตัวเราเอง เพราะเราเป็นเบ้าหลอมให้กำเนิดแก่ คนในรุ่นต่อไปของเรา นั้น เราได้ทำให้พวกเขาหลงทาง และไม่สามารถประสบผลสำเร็จในการพัฒนาชีวิตของพวกเขา เพราะเรามัวแต่พะวงติดกับสิ่งที่พวกเราคิดว่าเป็น แบบอย่างของวิถีชีวิตที่ถูกต้อง

ดร.โรวัน วิลเลี่ยมส์ อาร์คบิชอพแห่งแคนเตอเบอรี ซึ่งเป็นผู้มอบเงินสนับสนุนการสำรวจครั้งนี้กล่าวว่า พวกเด็กๆควรได้รับการสนับสนุนให้มองตัวเองอย่างมีคุณค่าในความเป็นคนหรือเป็นมนุษย์ มากกว่าวัดกันด้วยทรัพย์สินสมบัติต่างๆที่ตนมี จนหมดความเป็นคนไป นอกจากนี้บรรดานักธุรกิจที่มุ่งแต่จะขายของและบริการทุกอย่างเพื่อสนับสนุนการมีวิถีชีวิต หรือไลฟ์สไตล์นิยมวัตถุอย่างรุนแรงอย่างในปัจจุบันที่วัดกันแต่ความเจริญทางวัตถุ ทำให้เกิดความโลภเข้าครอบครองวัตถุให้มากๆ และมีอัตตาแยกตัวเองเป็นเอกเทศ หรือเป็นปัจเจกมากขึ้น ทั้งๆที่ชีวิตจริงควรจะอยู่กันแบบชุมชนและร่วมมือร่วมใจกันในชุมชน

ผมขอกราบงามๆแด่ท่านอาร์คบิชอพแห่งแคนเตอเบอรี สามครั้ง สิ่งที่ท่านเปล่งวาจาออกมานั้นมีคุณค่ามากจริงๆ มันได้ย้ำความเข้าใจของเรา เพื่อนฝูงทั้งหลาย คำกล่าวในทำนองนี้ ในความหมายแบบนี้ เราเองก็กล่าวกันมามากมาย แต่เราแค่ปุถุชน คนหนึ่งที่ก่นด่าลัทธิทุนนิยมเท่านั้น ก็รู้ๆกันอยู่แต่คุณและผมก็เสพมันอยู่ทุกวัน…. ซึ่งสังคมถูกครอบไปด้วยลัทธินี้เราอยู่ในสังคมนี้ หนทางจะหลีกหนีไปได้คือการปลีกวิเวกออกจากสังคมไป หรือไม่ก็อยู่ในสังคมนี้แหละ แต่เท่าทัน และมีตัวกรองที่มีประสิทธิภาพพอสมควรที่จะอยู่อย่างไม่ลุ่มหลง ขาดสติ ยั้งคิด ถึงความพอดี พอเพียง เราเลือกเหตุผลหลัง เพราะมิเช่นนั้นก็เข้าป่าเป็นฤษีชีไพรกันไปหมดแล้ว

หากจะประมวลภาพของประเทศไทยต่อเรื่องนี้ ให้ไปดูพัฒนาการทางประวัติศาสตร์การพัฒนาประเทศของเรา วิเคราะห์แผนชาติดูซิ สร้าง GDP เป็นหลัก ซึ่งการเติบโตของ GDP นั้นก็ผนวกการสร้างปัญหา หรือ/และ สร้างความเสี่ยงในการเกิดปัญหาตามมาอีกมากมาย แต่ไม่พูดถึง หรือมองไม่เห็น

หากจะดูว่าการศึกษาเราหลงไหล ขาดสติอย่างไร ให้ไปดูระบบการศึกษาของเราที่ป้อนบัณฑิตก้าวเข้าสู่กองทัพทุน สนับสนุนทุน เช่น นิเทศศาสตร์ ผลิตคนไปคิดระบบการโฆษณาที่ฟังแล้วคนต้องตัดสินใจควักกระเป๋าเอาบัตรเครดิตไปซื้อสินค้าเขา.. แทนที่จะยั้งคิดในหลักพอเพียง คือไปสร้างค่านิยมการบริโภคขึ้นมา

หลงใหลได้ปลื้มกับรสอาหารมากกว่าคุณค่าอาหาร ค่านิยมในการบริโภคอาหารสำเร็จรูปแก่เด็กๆ

สร้างเงื่อนไขการเข้าถึงการบริโภคที่เกินความจำเป็นง่ายขึ้น สะดวกขึ้น เช่น ราคามือถือลดลง แต่เสียค่าบริการ ลดราคาวางเงินดาวน์มอเตอร์ไซด์ลงมาเพื่อกระตุ้นให้คนตัดสินใจ เอามอเตอร์ไซด์ออกมา แต่ไม่มีปัญญาผ่อน

…….มากมาย….มากมาย….

เราเองก็เป็นหนึ่งในการเป็นสื่อ หรือ ตัวแบบของการบริโภค หรือค่านิยมด้วยอย่างไม่รู้ตัวดังนั้น การมีสติ รู้เท่าทัน และการสร้างตัวกรองจึงเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง ในขณะที่เราก่นด่าความไม่ดีของระบบทุนนิยมแต่เราก็เดินตามไปต้อยๆ ทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว ทั้งมีสติและจำเป็นต้องไหลตามไปแบบถูกกระทำ แบบไหลตามไปปากก็โวยไปด้วย..

  • ชาติต้องคิดมากๆในการหันซ้ายขวาประเทศให้เข้าร่องรอยที่เหมาะสม

  • สถาบันหลักของชาติต้องเป็นธงนำในการสร้างค่านิยมที่ถูกต้อง

  • ผู้นำทุกระดับต้องฝึกฝนตนเองที่จะขบถต่อลัทธินี้แบบค่อยๆเป็นไป

  • ทุกระดับชั้นสร้างตัวกรองที่เหมาะสมขึ้น

  • กลุ่มความคิดต่างๆต้องกระตุกกันให้มากๆ บ่อยๆ ต่อเนื่อง

  • นำเครื่องมือของทุนมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในทิศทางใหม่ของประเทศ

  • สร้างค่านิยมใหม่ในเรื่องพอเพียงอย่างมีพลัง

  • ผู้นำคนไหนที่สนับสนุนทุนแบบทุนนิยมโดยไม่เห็นความสำคัญต่อสาระทั้งหมดนี้ให้เปลี่ยนไปเข้าหลักสูตรฟื้นฟูทัศนคติใหม่ในการพัฒนาสังคม ประเทศ

  • คู่ขนานไปกับสาระดังกล่าวรัฐต้องมีมาตรการมาสนับสนุนแนวทางนี้ในทุกด้าน

  • โดยเฉพาะสถาบันการศึกษาทุกระดับต้องสร้างหลักสูตรใหม่… พังกำแพงห้องเรียนออก ก้าวสู่ความเป็นจริงของสังคม วิภาคย์และมองหาทางออกร่วมกัน

  • ฯลฯ



Main: 0.034294128417969 sec
Sidebar: 0.029078960418701 sec