ยิ่งให้ ยิ่งได้
โรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนจำเป็นต้องมีแผนการรับนักเรียนเข้าเรียนในแต่ละปีการศึกษา เพราะจำนวนผู้เรียนนั้นแปรผันตรงกับงบบริหารจัดการทั้งปี ก็โรงเรียนยังไม่ดังขนาดมีคนแย่งกันเข้า แบบที่เขาเรียกแป๊ะเจี๊ยะกันแพง ๆ นี่คะ ขาก็ไม่ได้ใหญ่เหมือนสถานศึกษาของรัฐที่ได้ทั้งงบและการสนับสนุนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเสียด้วย
หาเด็กเอง แก้ปัญหาเอง คิดเอง พัฒนาเองแต่กลับต้องเดินตามนโยบายของใครก็ไม่รู้มาเป็นแนวทาง???
แถมอีตอนประเมินก็ถูกเรียกร้องให้ทำอย่างนี้เท่านั้น ทำอย่างนั้นเท่านี้อีกนะ???
เกณฑ์อะไรช่างมีมาตรฐานครอบจักรยานและจักรวาลได้ปานนั้น
เรียกว่าเครื่องมือเดียว เฟี้ยวได้ทั่วโลก ว่างั้นนะคะ
หุหุหุ
เอ๊ะ เริ่มแก่แล้วก็เลยเริ่มบ่นอีกแล้วใช่ไหมเนี่ยะ
ไม่เป็นไรดอกค่ะ ก็ถือเป็นแบบฝึกสติและความอดทนของเอกชนอย่างเราที่ริอ่านมาแตะการจัดการศึกษาในบ้านเมืองนี้ก็แล้วกัน อิอิอิ
กลับมาเข้าเรื่องดีกว่าค่ะ
เป้าหมายใหญ่หรือตลาดกลุ่มแรกเลยก็คือนักเรียนระดับ ปวช.ที่เรียนอยู่แล้วนี่ล่ะค่ะ หากเขาสมัครเรียนต่อ ปวส.อีก ก็พอจะเป็นดัชนีชี้วัดความพึงพอใจที่ผู้ปกครองหรือนักเรียนมีต่อการบริหารจัดการโดยรวมของโรงเรียนได้บ้างค่ะ
ครูบาอาจารย์จะปลื้มมากกับข้อมูลที่ได้จากการสอบถามนักเรียนว่าเหตุผลหลักที่เขายังเลือกเรียนต่อก็เพราะยังรู้สึกผูกพันกับครู (^__________^)
เหตุผลรองลงไปก็เพราะผู้ปกครองพึงพอใจกับระบบการดูแลนักศึกษาของโรงเรียนบ้าง ซี้กับครู คุยกันถูกคอมา 3 ปีแล้ว มั่นอกมั่นใจถ้าต้องฝากลูกหลานไว้ต่อ ใกล้บ้านบ้าง ค่าเล่าเรียนไม่แพงบ้าง เป็นต้น
ระหว่างที่นักศึกษากำลังเฮฮากันอยู่ริมทะเลในกิจกรรมปัจฉิมนิเทศ พวกครูเราก็เกิดนึกสนุกขึ้นมา ชี้ไปที่นักเรียนทีละคนแล้วทายกันว่าคนไหนน่าจะเรียนต่อ ปวส.กับเรา คนไหนไปแน่ พร้อมเล่าวีรกรรมเด็ดประจำตัวประกอบ แถมมีรายละเอียดจำนวนหน่วยกิตและรายวิชาที่แต่ละคนยังค้างอยู่อีกด้วยนะ เพราะต้องไปนั่งลุุ้นใจหายใจคว่ำกันช่วงซัมเมอร์นี้อีกที ว่าพี่แกจะตามเก็บรายวิชาที่เหลือได้หรือไม่ จะจบแน่หรือเปล่า
แล้วก็เกิดเห็นตรงกันว่าเด็กที่เลือกจะเรียนต่อที่โรงเรียนนั้นมักเป็นเด็กที่ “เคย” มีวีรกรรมร่วมกันกับครูมาแล้วทั้งสิ้น ไม่ตกทุกข์ได้ยาก ก็มีปัญหาในครอบครัว ไม่ก็มีกรณีทะเลาะวิวาท หนีเรียน ติดยา ผลการเรียนต่ำ หนีออกจากบ้าน มั่วสุม เคยต่อล้อต่อเถียงกับพ่อแม่ เคยบังคับขู่เข็ญให้ปรับพฤติกรรม ร้องไห้ร้องห่มฟูมฟาย ตีอกชกตัว ก้าวเพี้ยน เดินพลาดกันมาแล้วทั้งนั้น
เออ เนอะ ทำไมเด็กกลุ่มนี้เขาถึงได้ผูกพันกับเรามากนะ
ได้ข้อสังเกตมาว่าเด็กที่มีครอบครัวดี เรียนดีอาจเพราะมีครอบครัวดูแล ให้ได้เรียนรู้ทักษะการบริหารจัดการชีวิต จึงพอจะช่วยตัวเองได้ พาตัวเองรอด อาจไม่ต้องการความช่วยเหลือจากพวกครูเรามากนักก็เป็นได้
กลับกันกับพวกขาโจ๋ทั้งหลายแหล่ที่มีวีรกรรมแห่งความสับสนมึนงงสงสัย รวมทั้งรายที่เจอข้อจำกัดต่าง ๆ กดดันให้เติบโตยืดตัวได้ไม่เต็มที่นัก หลังจากผ่านกระบวนการปะผุเคาะพ่นสี เช่น ปลอบประโลม โน้มน้าว เหนี่ยวรั้ง ขอความร่วมมือความเข้าใจจากพ่อแม่ รับตัวมาอยู่ด้วย หากิจกรรมให้ได้ปลดปล่อยพลังงาน เอาตัวมาหนีบไว้ใกล้ ๆ ส่งเข้าค่าย ให้ช่วยงาน ทำกิจกรรมนู่นนี่นั่น ส่งบำบัด #@+(_&&%&*$%^#$@
คนที่ผ่านเรื่องราวด้วยความเข้าใจมาได้จะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ทันทีที่แววตาค่ะ
เขาจะมองครูด้วยแววตาของคนที่รู้จัก รู้ใจ ยอมรับ เปิดเผย เข้ามาทักทาย มารายงาน มาบอกเล่า มาป้วนเปี้ยนอาสาจะช่วยงานนู่นนี่นั่น มาเสนอตัวขอมีส่วนรวมกับครูด้วยในทุกเรื่องที่เห็นช่อง พฤติกรรมการเกิดสำนึกและต้องการจะตอบแทนนี่ชัดมากในกลุ่มนักเรียนวัยรุ่นค่ะ
เด็กกลุ่มนี้มักจะผันตัวกลายเป็นคู่ซี้ เป็นศิษย์ก้นกุฎิของครูคนที่เคยช่วยเหลือเขาในช่วงเปราะบางของชีวิต ครูเองก็มักจะจดจำเจ้าเด็กกลุ่มนี้ได้แม่นยำ เล่าวีรกรรมได้เป็นฉาก ๆ พร้อมบรรยายความยากลำบากที่ต้องเผชิญกว่าจะลากกันมาจนมีวันนี้ได้ เล่าไปคล้าย ๆ จะบ่นนะคะ แต่ถ้าสังเกตให้ดี เรื่องเล่าแบบนี้มักจะทิ้งรอยยิ้มพิมพ์ใจให้กับครูผู้เล่าทุกคนล่ะค่ะ ^^
ถึงขนาดที่ว่าลูกศิษย์บางคนที่ความระลึกรู้เริ่มเจือจาง ทำท่าจะเลี้ยวกลับ แค่ครูมองตาก็จะ แหะ แหะ เกิดพุทธิปัญญารู้เท่าทันระงับตัวเองได้ในบัดดล ครูก็ตีหน้าตายไปงั้นเองค่ะ ที่จริงก็ลุ้นตัวโก่ง เพราะแค่เขาระลึกรู้เราก็ภูมิใจ๊ภูมิใจแล้วล่ะค่ะ
ถึงจะต้องบังคับบ้างตีกรอบบ้างก็เหอะ แต่ถ้าสามารถทำให้เขารู้ตัวได้บ่อย ๆ จนกลายเป็นนิสัย ก็เท่ากับเราติดอาวุธให้เขาแบบถาวรเลยนะคะ
ไอ้เจ้าศิษย์รักเสื้อขาวนี่อายุจะ 30 แล้ว ดันไปจ๊ะเอ๋กับครูปูขณะยืนสูบบุหรี่ที่ตลาด
หน้าซีดบุหรี่ร่วงจากมือพร้อมทั้งยกมือไหว้ขอโทษคร้าบทันที
นั่งคิดถึงลูกศิษย์เก่า ๆ ที่แวะเวียนกันเข้ามาหา มาไหว้มาอวยพรในเทศกาลต่าง ๆ ก็จริงด้วยนิ ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มหลังนี่แทบทั้งนั้นเลย เข้ามาถามสารทุกข์สุกดิบ เข้ามารายงานความก้าวหน้าก้าวหลังของการเรียน หน้าที่การงาน สถานภาพสมรส จำนวนบุตร บางคนถึงขั้นหอบลูกเพิ่งเกิดมาให้ครูตั้งชื่อให้ก็มี บอกเขาไปว่า
“อาจารย์น่ะชำนาญแต่ตั้งชื่อลูกหมา ลูกคนน่ะยังไม่ค่อยชำนาญเท่าไหร่นาเฟ๊ย”
หัวข้อการสนทนาจะออกรสขึ้นมาทันทีถ้าย้อนไปคุยกันเรื่องในอดีต อะไรที่เคยเป็นความลับ เคยอับอายแทบจะแทรกแผ่นดินหนี ก็มาเปิดโปงกันต่อหน้าครูต่อหน้าเพื่อนเก่า ๆ ให้ได้หัวร่องอหายกันน้ำหูน้ำตาเล็ด โดยมีครูเป็นศูนย์กลางในการย้อนเวลายิงมุขทีละเรื่อง เพื่อน ๆ ที่เหลือก็ทำตัวให้เป็นประโยชน์ด้วยการตั้งท่ารอกระหน่ำซ้ำเติมแบบที่ไม่มีหน้าไหนสบโอกาสแก้ตัวได้ทันแม้แต่รายเดียว อิอิ
จริงบ้างอำบ้างก็ไม่ใช่ประเด็นค่ะ ขอให้ทุกคนได้ซึมซับบรรยากาศความหลังครั้งเรียนชีิวิตผิด ๆ ถูก ๆ มาด้วยกันให้ได้ เท่านั้น ^^
ไม่ได้แปลว่าครูเราจะลำเอียงเด็กที่ติดปัญหามากกว่าหรอกนะคะ เพียงแต่ว่าเด็กกลุ่มนี้เขาแสดงออกอย่างชัดเจนแล้วว่าเขาต้องการความสนใจและการดูแลอีกแบบ ครูเราจึงต้องออกแบบเครื่องมือและวิธีการให้เหมาะสมขึ้นเนาะคะ
เอ๊ะ เหมือนเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ ไอ้เจ้าลูกคนไหนอ่อนแอ หรือเกเรมาก ๆ พ่อแม่ก็อาจต้องใช้เวลาหรือเทคนิคต่าง ๆ มากหน่อย ใครดูแลตัวเองได้แล้ว ติดปีกตัวเองได้ก็แค่ให้เกียรติเขาตัดสินใจเอง แล้วปล่อยให้บินไปโลด เพียงแต่คอยหันมาดูบ้าง ชื่นชมให้กำลังใจบ้างเป็นระยะ ๆ ก็พอ
จู่ ๆ ก็นึกขึ้นมาว่านี่ถ้าลูกศิษย์ที่เราดูแลอยู่ไม่มีใครมีปัญหาให้ช่วยอะไรเล๊ยช่ะ ทุกคนเป็นเด็กดีเรียบร้อย ได้มาตรฐานยังกะปั้มออกมาจากบล็อกเดียวกัน เราก็ไม่ต้องเหนื่อยยากตรากตรำต่อสู้กับความไม่เข้าท่าของนโยบายที่ถูกกำหนดโดยคนไม่เข้าใจ
ไม่ต้องต่อสู้กับระดับความเข้าใจความใส่ใจของผู้ปกครอง ไม่ต้องเหนื่อยยากลากถู ตีกรอบ ตะล่อมลูกชาวบ้านเขาทุกเมื่อเชื่อวันแบบนี้น่ะสิ
แค่คิดก็รู้สึกทะแม่ง ๆ นะคะ ไม่ใช่ไม่อยากเห็นเด็กทั้งหมดเรียบร้อย ไม่มีปัญหา รู้ตัวรู้ตนได้อย่างนั้นทั้งหมดหรอกค่ะ แล้วก็รู้อยู่ว่ามันเป็นไปได้ยาก ครูเราก็ยังคงต้องรับภาระอย่างนี้ต่อไปอีกนานแง๋ม ๆ
เพียงแต่พอมองจากมุมนี้ ก็ทำให้เห็นได้ชัดขึ้นว่าขณะที่ตั้งใจจะ”ให้” ด้วยการลงแรงกาย แรงสติปัญญาแรงใจไปจนหมดแก่ลูกศิษย์นั้น
ครูเราก็ได้รับในเวลาเดียวกันด้วยเนาะคะ
ได้ตระหนักถึงคุณค่าของตัวเอง
ได้ความสุขเมื่อได้เห็นภารกิจลุล่วงอย่างที่่พอจะเป็นได้
ที่สำคัญที่สุด คือได้ให้อ่ะค่ะ ^^
ครูอย่างเราถ้าขาดลูกศิษย์เจ้าปัญหาทั้งหลายไปนี่ ชีวิตคงเงียบเหงาน่าดูเชียวค่ะ
เอ หรือว่าครูเราเสพติดการแก้ปัญหากันไปเสียแล้ว วันไหนไม่มีใครทำเรื่องอะไรให้เดือดเนื้อร้อนใจ เลยรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปแบบนี้
กำลังนึกว่า คนทำอาชีพอื่นเขาเสพติดกับภารกิจแบบเราหรือเปล่าหว่า
ตำรวจจะคิดถึงผู้ร้ายที่ไล่จับมาเสียนานสองนาน ตอนพ้นจากหน้าที่ไปแล้วบ้างไหม
ชาวนาจะหวนนึกถึงการทำนาหลังขดหลังแข็ง ยามตัวเองเลิกทำนา แล้วมาซื้อข้าวเขากินบ้างไหม
วุ๊ย ไปกันใหญ่แล้วเรา
ก็แค่บันทึกเพ้อเจ้อของครูที่ไม่มีลูกศิษย์ให้ต่อกรตอนปิดเทอมอ่ะค่ะ ฮ่าๆๆ
« « Prev : ทางการเขาสั่งมาว่า…
Next : ทำเท่าที่ได้ ให้เท่าที่มี » »
ความคิดเห็นสำหรับ "ยิ่งให้ ยิ่งได้"