พ่อค้าอาวุธ

อ่าน: 29200

การลาออกหรือลาพักกลางคันของนักศึกษา มาจากหลากสาเหตุ ทั้งที่แก้ไม่ได้ เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ หาทุนให้ก็แล้ว หางานให้ทำก็แล้ว แต่ทางบ้านตกงานกันหมดจำเป็นต้องพึ่งพาแรงงานเด็กหรือการที่เด็กต้องย้ายตามผู้ปกครอง ปัญหาผลการเรียนไม่สมบูรณ์ ลากก็แล้ว ดึงก็แล้วก็ยังตก ๆ หล่น ๆ ไม่ถึงเกณฑ์เลื่อนชั้นเสียทีหรือที่พัฒนาไม่ได้ด้วยทุกกระบวนวิธีที่โรงเรียนมีแล้ว ก็ต้องส่งมอบการดูแลคืนแก่ผู้ปกครองไป

ส่วนที่ยังเหนี่ยวรั้งไว้ได้บ้าง เช่น อยากจะไปเรียนที่ที่เขาอนุญาตให้แต่งเครื่องแบบนักศึกษาตามแฟชั่นได้ อยากย้ายไปเรียนที่เดียวกับแฟน  ฯลฯ เหล่านี้ก็ต้องค่อย ๆ เปรียบเทียบให้ชั่งน้ำหนักเอาระหว่างความต้องการชั่วครู่กับความสำคัญของการเรียน

(ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต)

หรือประเภทไม่มีเหตุผลอะไรทั้งสิ้น เอาเป็นว่าพวกมากก็ลากกันไปได้ ถ้าให้ข้อคิดเรื่องการเสียเวลาหรือการที่จะต้องไปปรับตัวใหม่ก็อาจได้มองมาจากมุมอื่นบ้าง หรือแม้แต่การตั้งครรภ์ระหว่างเรียน อันนี้ก็ต้องคอยเป็นกำลังใจหรือช่วยหาข้อมูลทั้งเรื่องคดีความ การดูแลแม่และเด็กและการวางแผนการเรียนให้ใหม่ เป็นต้น

ประเภทที่คุยไม่ได้แล้วหรือไม่อยู่ให้คุยตามไม่ได้จริง ๆ ก็จะค่อย ๆ หายไปจากสารบบและความทรงจำของเพื่อน ๆ และคณาจารย์

ในบรรดาที่หายไปมีอยู่ 1 รายที่อาจารย์ที่ปรึกษาแจ้งมาว่าติดเกมส์จนไม่อยากเรียนหนังสือแล้ว ฐานะทางบ้านก็ไม่ค่อยดี พ่อแม่ห้ามปรามก็ไม่ฟัง บ้านช่องก็ไม่กลับ กลับมาก็แค่อาบน้ำแล้วก็ไปต่อ เพื่อนฝูงก็ไม่คบ โทรศัพท์มือถือก็ไม่ใช้ ถามไปที่เพื่อนหน้าไหนก็ติดต่อไม่ได้ซักคน ไม่เอาใครทั้งนั้น

ในที่ประชุมอาจารย์ก็ยังตั้งข้อสังเกตกันว่าในเมื่อไม่ทำอะไรเลย พ่อแม่ก็ไม่ได้ให้แล้วเอาเงินที่ไหนไปเล่นเกมส์ล่ะ?

ถามคุณพ่อคุณแม่ก็ได้แต่ไม่รู้ท่าเดียว ยุให้ไปแจ้งความคุณพ่อคุณแม่ก็บอกว่าเด็กก็ยังไม่ถึงขั้นหายไปเลย เพียงแต่มันไม่พูดไม่จา มาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ไป เมื่อเห็นว่ายังปลอดภัยดีทางบ้านก็ยังโอเค

แนะนำให้ทางบ้านสะกดรอยตามไปดูจะได้เห็นกับตาว่าลูกเราไม่มั่วสุมอะไรอยู่ตรงไหน จึงโดนสวนกลับมา

“โอย อาจ๊ารย์…ทุกคนก็ต้องทำมาหากินนะ ใครจะมีเวลาไปทำอะไรบ้า ๆ ขนาดนั้นกันล่ะ!”

อ้าว เหวอเลยสิเรา เพิ่งรู้ว่าเป็นฝ่ายคิดอะไรบ้า ๆ อยู่ฝ่ายเดียว :(

ข้อมูลทั้งหมดจึงมีเพียงเท่านี้!

เืมื่อทุกคนจนแต้มและเด็กขาดเรียนเกิน 15 วันตามระเบียบแล้ว จึงต้องส่งให้งานทะเบียนคัดชื่อออก

ความมืดแปดด้านของเรื่องนี้ยังคาใจครูปูอยู่ตลอดเวลา “ติดยา? ติดหญิง? หรือเพี้ยนอะไรของมันฟะ???”

คืนหนึ่งขณะกำลังนอนคิดถึงเรื่องต่าง ๆ ที่ลูกศิษย์เพิ่งเมาท์ให้ฟังทาง MSN เรื่องบ้านบ้าง เรื่องเพื่อน เรื่องแฟน เรื่องพ่อแม่ เรื่องรายวิชาที่เรียน ก็นึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองมี email address ของเด็กทุกคนที่เคยเรียนด้วยนี่นาเพราะต้องฝึกใช้ภาษาอังกฤษและสอบเก็บคะแนนทาง MSN ทุกคืน เลยได้อานิสงส์มาจนทุกวันนี้ มีเรื่องอะไรเด็ก ๆ ก็มักจะมากระซิบถาม มาบอก มาปรึกษา

ก็ระหว่างวันมันยุ่ง…จนไม่มีเวลานั่งคุยกับใครได้นาน ๆ นี่นา เลยต้องหาช่องทางอื่นเพื่อจะได้สื่อสารโดยตรงกับพวกเด็ก ๆ

ว่าแล้วก็ลุกขึ้นมาไล่ดู email ที่ add ไว้ใน MSN  300 กว่าชื่อแล้วก็เจอจนได้ แต่ไม่เห็นออนแฮะ  ทำไงดีสิ้นหวังสิเรา

เอ หรือพวกเล่นเกมส์นี่เขาต้องออนกันดึก ๆ หว่า?

เอาวะ นอนก่อนแล้วกัน ค่อยตั้งนาฬิกาปลุกขึ้นมาดูอีกที ช่วงนั้นฮึดทำอย่างนี้ทุกคืน ตีสองหนนึง ตีสี่หนนึง

ปรากฎว่าตอน 6 โมงเช้าที่ต้องตื่นไปทำงาน ดันตื่นไม่ไหวซะงั้น กรรมจริง ๆ :(

ซุ่มดูอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ แล้วคืนหนึ่งก็เจอ

ต้องวางฟอร์มนิดนึงซะแล้วเพราะไม่ได้คุยกันตั้งนานไม่รู้ป่านนี้เพี้ยนไปถึงไหนแล้ว ทักไปแบบชิว ๆ ก่อน

“หวัดดีจ้า สบายดีมั้ยลูก?  ^^”

ครั้งแรกเจ้าวิทย์คงกลัวครูปู (จะด่า) อยู่เหมือนกัน เลยรีบ off ไปเลย วันต่อมาจึงค่อย ๆ กล้าคุย ไอ้เราก็กลัวลูกศิษย์จะกลัวจะไม่กล้าคุยก็เลยต้องแอ๊บแบ๊วสุดฤทธิ์ ได้ผลแฮะ พอคุยบ้า ๆ บอ ๆ อิ๊อิ๊ อ๊ะอ๊ะ กลับยอมคุยด้วย

รู้ตัวแล้วว่ากรณีที่เด็กปิดตัวเองขนาดนี้ ครูควรระมัดระวังกลุ่มคำหรือสำนวนที่จะใช้กับเขา ยิ่งเป็นสถานการณ์ที่เขาไม่ไว้ใจใครเลยและรู้อยู่แล้วว่ากำลังโดนตามตัวยิ่งต้องสร้างบรรยากาศการพูดคุยที่เป็นมิตร ไม่เร่งรีบ เร่งเร้า ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวหรือด่วนว่ากล่าวติติง มิฉะนั้นกำแพงที่เขาวางกั้นไว้อาจสูงขึ้น ๆ จนอาจไม่มีใครสามารถปีนข้ามไปหาเขาได้อีก

ได้ข้อมูลเบื้องต้นมาบ้างแล้วว่ากินนอนร้านเกมส์แถวบ้านนั่้นเอง ที่ยังไม่ถามคือเรื่องเงินทองและการใช้จ่าย ได้แต่ชวนคุยสลับยิงมุขขำ ๆ ไปเรื่อย ๆ

(ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต)

สังเกตว่าเขาพิมพ์ตอบช้าบ่อยครั้ง พอถามก็บอกคุยหลายคนทั้งใน MSN และเพื่อนในเกมส์ออนไลน์อีกเพียบ จึงหันไปลอง search ดูรายละเอียดของเกมส์นี้อีกหน้าต่างหนึ่ง แล้วก็เอามาคุยกับวิทย์แบบมั่ว ๆ ไปก่อน

“อ๋อ เกมส์นี้เองเหรอ อาจารย์ก็หัดเล่นอยู่เหมือนกัน”

วิทย์ร้อง “เฮ๊ย อาจารย์ก็เล่นเกมส์กับเขาด้วยเหรอ”

“เออสิวะถามได้ ถึงจะแก่แต่ก็ยังมีไฟอยู่นาเฟ้ย” (ก็อยากให้เขารู้สึกว่าครูเป็นพวกเดียวกับเขานะ มั่วไปก่อนแล้วกัน :P)

เช้าวันรุ่งขึ้นจึงไปปรึกษาลูกศิษย์อีกกลุ่มที่เล่นเกมส์ออนไลน์เหมือนกันและค้นจากในเวปไซต์เกี่ยวกับเกมส์ออนไลน์ต่าง ๆ จึงได้ความรู้เพิ่มเรื่องแต้มคะแนน เรื่องการซื้อขายไอเทมอาวุธของวิเศษต่าง ๆ ที่ผู้เล่นจะได้รับเมื่อทำคะแนนถึงระดับต่าง ๆ แล้ว พอตกดึกก็เข้าไปคุยใหม่ วิทย์หลุดปากออกมาเองว่าตอนนี้เล่นเกมส์หาเงินเป็นอาชีพไปแล้ว

เรียกว่าเป็น “พ่อค้าอาวุธ” เต็มตัวไปแล้วก็ว่าได้

เกมส์มันส์ ๆ ก็มีให้เล่น รายได้ก็งาม เรื่องเรียนจึงแทบไม่ต้องพูดถึง :(

งงก็งงแต่ก็ไม่กล้าถามว่าค้าขายกันยังไง กลัวเขาจะตื่น (ที่จริงครูเองต่างหากที่เป็นฝ่ายตื่นอ่ะค่ะ) เลยทำเป็นฟังผ่าน ๆ ไปก่อน

วิทย์เล่าให้ฟังเป็นฉาก ๆ คงเพราะเชื่อว่าครูเป็นคอเกมส์เหมือนตัวเองจริง ๆ เขาบอกว่าตัวเองเป็นนักเล่นชั้นเซียน ไอ้เจ้าไอเทมอาวุธอะไรที่ใครต้องทำแต้มกันอย่างยากเย็น ตัวเองเล่นแป๊ปเดียวก็ได้แล้ว  จึงลงประกาศในอินเทอร์เน็ตและบอกต่อกับคู่ต่อสู้ที่วนมาท้าประลองในแต่ละวัน สนนราคาจะหนีจากราคากลางที่ประกาศในเวปไซต์ไปมากน้อยเท่าไหร่ก็ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของทั้งสองฝ่าย  เช่น เสื้อเกราะ ราคา 8,000 บาท ปีก 7,000 บาท ระเบิดราคา 5,000 บาท เป็นต้น

เมื่อมีการติดต่อซื้อขายก็แลกเบอร์โทรศัพท์เพื่อนัดเจอกันตามร้านอินเทอร์เน็ต แล้วไปจองเครื่องติดกัน 2 เครื่อง พอลูกค้ายื่นเงินมาให้ตามราคา วิทย์ก็จะทำการโอนอาวุธให้เดี๋ยวนั้นทันที เห็นกันจะ ๆ หน้าจอนั่นเลย เมื่อลูกค้าตรวจสอบจนแน่ใจว่าตนเองได้รับอาวุธนั้นแล้วก็เป็นอันเสร็จสิ้นการขาย ก็แยกย้ายกันไป

เดือนหนึ่ง ๆ วิทย์จึงมีรายได้จากการค้าอาวุธแบบนี้เป็นหลักหมื่น เลี้ยงตัวเอง เลี้ยงสาว เที่ยวเตร่ แถมยังให้แม่ใช้ได้อีกเดือนละ 6,000 บาท โดยไม่เคยบอกที่มาของเงินกับแม่เลย จากที่ทางบ้านกังวลกับอาการของวิทย์ในช่วงแรก ๆ จึงเปลี่ยนเป็นค่อย ๆ เลยตามเลยเนื่องจากถือเป็นรายได้ก้อนใหญ่ประจำเดือนที่เข้ามาจุนเจือครอบครัวได้เป็นอย่างดี

(ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต)

ครูปูจึงถึงบางอ้อ ณ บัดนั้น เข้าใจแล้ว่าทำไมทางบ้านไม่เดือดเนื้อร้อนใจเล๊ยช่ะ มีรายได้เป็นกอบเป็นกำอย่างนี้นี่เองวิทย์ถึงได้มีแรงฮึดนั่งเล่นเกมส์อย่างบ้าคลั่งทั้งวันทั้งคืนขนาดนี้ได้

รู้แล้วก็ทำอะไรไม่ได้หรอกค่ะ เพราะยังไงเด็กก็ไม่ได้เรียนแล้ว เพียงแต่ได้เข้าใจวิถีเรื่องพวกนี้มากขึ้น จะได้ระมัดระวังพวกที่ยังเรียนอยู่ได้บ้าง ครูปูทำได้เพียงแต่เป็นเพื่อนคุยไม่ให้ถลำลึกเรื่องอื่นเข้าไปอีกและตักเตือนให้ระวังเรื่องการใช้จ่าย การเก็บออมและการไปติดต่อซื้อขายกับคนแปลกหน้าในแต่ละครั้งเท่านั้น

วันหนึ่งขณะคุย ๆ กันอยู่เจ้าตัวก็ตัดพ้อออกมาว่าเซ็ง พอซักไซ้ไล่เลียงไปเลยรู้ว่ามีนักเลงดีหลอกว่าจะซื้ออาวุธ พอโอนอาวุธให้แล้ว ฝ่ายนู้นกลับแอบเอาพวกมารอแล้วขู่บังคับเอาเงินคืน พร้อมรุมซ้อมฝากรักเสียสะบักสะบอมเป็นของแถม ค่าที่เคยสบถด่าใส่กันตอนเล่นเกมส์ก่อนจะตกลงซื้อขายกัน

เลยได้ทีชี้ให้เห็นถึงความไม่แน่นอนและความไม่ปลอดภัยของการหาเงินแบบนี้ อายุก็มากขึ้นทุกวัน อีกหน่อยก็ต้องมีครอบครัวเป็นหลักเป็นฐานต้องอยู่ในสังคม พ่อแม่ก็แก่ลงเรื่อย ๆ จะมีอาชีพเป็นเด็กติดเกมส์ค้าขายของเล่นบ้า ๆ บอ ๆ ไปวัน ๆ อย่างนี้จนถึงเมื่อไหร่ เกมส์ก็เหมือนกันมันก็พัฒนาเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ อีกหน่อยเด็กรุ่นหลัง ๆ ตาดีกว่า หัวไวกว่าเรา จะเก่งอย่างนี้ไปได้อีกสักกี่น้ำกัน พอเกิดเหตุอย่างนี้ขึ้น ตอนอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น รู้สึกไหมว่าเงินเท่าไหร่มันก็ไม่คุ้มกับการที่จะมีชีวิตอยู่

คุยอยู่อย่างนี้ทุกวัน จนวิทย์ตัดสินใจเข้ามาหา ยอมลงเรียนซ่อมและไล่ตามเก็บรายวิชาที่คั่งค้างทั้งหมด เทอมนี้เหลือรายวิชาสุดท้ายคือฝึกงานอีกรายวิชาเดียวเท่าั้นั้น วิทย์ก็จะสำเร็จการศึกษาระดับ ปวส.อย่างสมบูรณ์ ขณะนี้ก็ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย เพื่อหาเงินเลี้ยงลูกสาวที่เกิดกับสาวคนหนึ่ง ตั้งแต่ช่วงที่ตัวเองกำลังเป็นเสี่ยรายได้งามจากการเป็นพ่อค้าอาวุธในเกมส์

กะว่าจะเขียนสรุปตะกอนความสุขของตัวเองในปี 2553 ที่กำลังจะผ่านไป  แต่พอเห็นวิทย์เดินเข้ามาหา ภาพความทรงจำทั้งหมดของลูกศิษย์คนนี้ก็ฉาย replay ชัดแจ๋วขึ้นมาในความคิด

แล้วก็รู้สึกปลื้ม ๆ ครึ้มอกครึ้มใจอย่างบอกไม่ถูก


นั่งมองเขาไป พลางก็คิดไปว่าคนเรานี่น้อพอคิดผิด ก็เลือกทางผิด ก็เดินไปผิดทิศผิดทาง เข้ารกเข้าพง จะทำอะไรมันก็ผิดไปหมด เพราะมันผิดมาตั้งแต่ตอนคิดแล้ว แต่พอรู้ตัวปรับวิธีคิดซะ เลือกแบบมีสติด้วยข้อมูลที่มากขึ้นก็จะเลือกได้ดีขึ้น ทำสิ่งที่พอเหมาะพอสมแก่เหตุแก่ผล แก่ตนแก่ผู้อื่นได้มากขึ้น

จุดเปลี่ยนในชีวิตคนเรา แม้เป็นจุดเล็ก ๆ ครูปูว่ามันยิ่งใหญ่และมีความหมายกับทั้งชีวิตของคน ๆ นั้นเสมอเลยค่ะ

สำหรับวิทย์ อีกหน่อยต่อไปเรื่องราวเหล่านี้จะกลายเป็นบทเรียนชีวิตที่มีคุณค่า ที่เขาจะเอาไว้เล่าใ้ห้ข้อคิดกับลูกหลานของเขาหรือคนอื่น ๆ ได้ต่อไป (คงเหมือนที่พวกเรากำลังถ่ายทอดผ่านบล็อกกันอยู่นี่กระมังคะ)

และไม่ว่าเรื่องเล่านั้นจะมีครูปูร่วมอยู่ด้วยหรือไม่ก็ตาม

แต่มัน ได้มอบรอยยิ้มอิ่มเอิบใจพร้อมกับแง่คิดเตือนสติให้กับครูของเขา ในช่วงที่ควรพิจารณาชีวิตในวันสุดท้ายของปี

เช่นวันนี้

เรียบร้อยแล้วล่ะค่ะ

(^_________^)

สวัสดีปีเก่า

ต้อนรับปีใหม่ด้วยใจแช่มชื่นเปี่ยมสุข

โดยถ้วนหน้ากันนะคะ ^^

Post to Facebook

« « Prev : อายเพราะมีแม่แก่

Next : เมื่อครูอังกฤษคิดจะแต่งกลอน ^^ » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

3293 ความคิดเห็น


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 4.1020591259003 sec
Sidebar: 0.12528300285339 sec