เมื่อใจแลกใจ ก็จะเข้าใจ

อ่าน: 2550

กรณีนักศึกษาหญิงมีปัญหากันหน้า locker ด่ากันไปมาแล้วบันดาลโทสะกระชากผมกัน โดยมีเื่พื่อน ๆ ล้อมวงอยู่ ทำให้อาจารย์ดูไกล ๆ ไม่รู้กว่าจะไปถึงก็อำกันว่าไม่มีอะไรไม่มีใครยอมรับสักคน เดินหน้าใสหลีกลี้หนีกระจายกันไปคนละทางสองทาง

อาจารย์งานพัฒนาวินัยนักเรียนนักศึกษา (ปกครอง) ได้หลักฐานมาแค่

ผม 1 กระจุก!

พอได้รับรายงานจากหัวหน้างานว่ายังจับผม (?) หรือมือใครดมไม่ได้เลย ครูปูจึงกดโทรศัพท์หาหัวหน้าห้องห้องนั้นทันที เบอร์โทรเส้นสายทุกระดับชั้นมีอยู่ครบ  มี option ให้เลือกด้วยนะ ว่าคนนี้เอาไว้หาข้อมูลเรื่องอะไร

เรื่องที่เกี่ยวกับเจ้าคนนี้ต้องถามใคร

คนนี้หายไปจะตามได้ที่ไหน

กลุ่มนี้น่าจะเอาไว้ทำม้าเร็วได้

กลุ่มนี้เอาไว้ psycho น้อง ๆ

แก็งค์ off road เอาไว้ลุยงานออกค่ายอาสาพัฒนาชนบทต่างจังหวัด

กลุ่มนี้เอาไว้ลุยกิจกรรม

กลุ่มนี้เอาไว้ออกงานได้

กลุ่มนี้เอาไว้สับขาหลอก

กลุ่มนี้เอาไว้รับแขก

กลุ่มนี้เอาไว้กรี๊ด เป็นต้น

เจ้าหัวหน้าห้องเล่าให้ฟังเป็นฉาก ๆ พร้อมสาธยายที่ไปที่มาต้นตอความบาดหมาง ใครด่าใครว่าอะไร ใครเริ่มลงมือก่อน แถมยืนยันอีกว่า “ผมรับรองว่าไม่มีอะไรรุนแรงไปกว่าการกระชากผมจริง ๆ นะ ‘จารย์”

“เออจ๊ะ อาจารย์เชื่อเอ็งอยู่แล้วล่ะ ขอบใจนะลูก”

พอปะติดปะต่อเรื่องราวได้ ก็ตรวจสอบกับอาจารย์ที่เกี่ยวข้อง ข้อมูลตรงกันทั้งหมดแล้วจึงเรียกคู่กรณีมาสอบถามปรับความเข้าใจกัน และสะท้อนให้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากทำเช่นนั้นไปแล้ว อีกทั้งผลกระทบเรื่องกฎระเบียบ ภาพพจน์ ความรู้สึกของพวกเขาเองหลังจากทำลงไปแล้ว

และสะท้อนไปเลยว่า ครูรู้สึกต่อเรื่องนี้ยังไง

เนื่องจากเป็นนักศึกษาโตแล้ว แค่คลี่ภาพรวมของเหตุการณ์ทั้งหมดให้เขาเห็นชัด ๆ ที่เหลือเขาก็วิเคราะห์กันเองได้ค่ะ เหลือแต่ปัญหาเรื่องการทำความเข้าใจกับอารมณ์ขุ่นเคืองที่เกิดขึ้นกับตัวเองเท่านั้น จึงต้องทิ้งระยะให้ไปใคร่ครวญด้วยตนเองเสียใหม่ ให้หยุดเรียนไปซัก 5 วัน แล้วค่อยมาสะท้อนให้ฟังถึงสิ่งที่คิดได้และแนวทางการแก้ไข

จริง ๆ นี่ก็คือการสั่งพักการเรียนนั่นเอง แต่ไม่ได้บอกอย่างนั้นหรอกค่ะ แค่บอกว่าเป็นสิ่งที่เขาต้องทำให้ได้อย่างเร่งด่วนก่อน ถ้าคิดอะไรได้ให้กลับมาคุยให้ฟังหน่อย แล้วถึงจะค่อยพูดเรื่องการกลับมาเรียน ส่วนงานด้านเอกสารและการทำความเข้าใจกับผู้ปกครองก็สำคัญพอ ๆ กัน ต้องครบถ้วนชัดเจนด้วยซึ่งก็มักจะเคลียร์กันได้ในที่สุด

ช่วงเย็นมีประชุมสรุปงานจึง share กับงานพัฒนาวินัยนักเรียนนักศึกษาและอาจารย์ที่ปรึกษาว่าหากเราจริงใจกับเด็ก เด็กจะรู้จักเราอย่างแท้จริง เขาจะเห็นหัวจิตหัวใจครู จะเข้าใจว่าสิ่งที่เราทำทั้งหมดว่าเพื่อประโยชน์ของตัวเขาเอง ไม่วันนี้ก็วันหน้า ยิ่งเขาโตขึ้น ๆ  ความเข้าใจเรื่องพวกนี้ก็จะยิ่งชัดขึ้นเรื่อย ๆ

การให้ความใกล้ชิดดูแลพูดคุยให้ความสนิทสนมและช่วยเหลือเขายามต้องการ เขาจะไว้ใจและให้ความร่วมมือตอบกลับเราในทุก ๆ เรื่อง

ครูต้องไม่ทำให้เด็กรู้สึกว่าเป็นคนละพวกกัน ถึงจะเป็นครูปกครอง นี่ก็ไม่ใช่เกมโปลิสจับขโมย

เด็กเป็นลูกศิษย์เราไม่ใช่ผู้ต้องหา ความผิดพลาดที่เขาทำก็ด้วยวัยที่ยังน้อยประสบการณ์ยังด้อยหรือสิ่งแวดล้อมเอย ครอบครัวเอยไม่ส่งเสริมพัฒนาการเท่าที่ควรย่อมพลั้งพลาดได้เป็นธรรมดา หากยังพอมีลู่ทางไหนใส่ความเข้าใจที่ถูกต้องลงไปได้ เปิดพื้นที่ปลอดภัย ๆ ให้ได้ทดลองทำซ้ำใหม่ ระหว่างนั้นก็เสริมแรงให้กำลังใจวางทีท่าเหมือนว่าสิ่งนั้นไม่เคยเกิดขึ้นแล้วกระเถิบตัวเองเข้าไปใกล้ชิดเขา กว่าที่เคยเสียหน่อย

ไม่ได้ลูกศิษย์คืนหรือไม่ได้ใจ ก็ให้มันรู้ไปล่ะ(วะ) ทีนี้

ฮี่ ๆ ๆ

ส่วนที่นอกเหนือจากสติปัญญาความสามารถของครูที่จะเหนี่ยวรั้งหรือเกินจะเยียวยาก็ตามแต่ใจจะไขว่คว้าแล้วกันค่ะ เมื่อก่อนทำใจไม่ได้หรอกนะคะไม่เคยยอมปล่อยซักราย เดี๋ยวนี้แก่แล้วหมดฤทธิ์ไปแยะ ยอมรับไปเลยบอกกันดี ๆ ว่าเราทำได้แค่นี้จริง ๆ เต็มที่แล้ว ที่เหลือจะยังไงให้เขาตัดสินใจ เพียงแต่ถ้าเขาไม่แก้ไขเรื่องนี้เราก็ไม่มีอะไรจะสอนเขาแล้ว ถ้าอยู่ด้วยกันแล้วครูบาอาจารย์สอนไม่ได้จะอยู่ด้วยกันไปทำไม โรงเรียนนะไม่ใช่สนามเด็กเ่ล่น

ถ้าเป็นกรณีที่คุยกันไม่ได้เลยหรือไม่ยอมคุยก็ถือว่าสุดมือสอยก็ปล่อยมันไปเถอะค่ะ เก็บแรงไว้สอยไอ้ที่ยังพอสอยได้ดีกว่า

ครูปูนี่ท่าจะเข้าข่ายโรคจิตค่ะ เห็นลูกศิษย์คนไหนผอมลงเรียกคุยเลย ปิดห้องคุยเหมือนเป็นเรื่องใหญ่เลยนะ เหตุผลที่ได้ฟังก็ขำ ๆ กันไปคนละแบบ

“ไม่มีอะไรจริงจริ๊ง ผมไปซื้อกางเกงขาเดฟมาแพงด้วยแต่ใส่ไม่ได้ พอลดน้ำหนักแล้วใส่ได้ ตอนนี้เลยติดไม่กินข้าวเย็นเปลีี่ยนไปเตะบอลแทนอ่ะ ไม่เชื่อ ‘จารย์โทรถามแม่ผมได้เลย ถ้าผมติดยาเมื่อไหร่ผมบอก’จารย์แน่ ‘จารย์ไม่ต้องห่วง ฮ่าๆๆๆ” (หัวเราะครืนกันทั้งแก็งค์)

แค่ขอบตาคล้ำก็ลากแขนมาซักจนสะอาดว่าไปทำอะไรมา เล่นเกมดูทีวีไม่สน เงื่อนไขคือต้องรายงานตัวทุกวันแล้วต้องคล้ำน้อยลง น้อยลงด้วยนะ  ยังไม่ดีขึ้นอีกโทรหาแม่เลย

“นี่ถ้าอาจารย์ปูมีอายครีมคงยกให้เขาไปแล้วล่ะค่ะ (แต่นี่ไม่มีกำลังรอให้ป๋าซื้อให้อยู่อ่ะ) รบกวนคุณแม่ช่วยดูและจัดการให้หน่อยนะคะ ขอบตาคล้ำงี้หมดหล่อกันเลยเนอะ ลูกชายเรา”

บางเรื่องอาจดูขำ ๆ แต่จริง ๆ แล้วถ้าเราใส่ใจจี้ติด ๆ แบบนี้อยู่เสมอ ๆ เขาจะตื่นตัวเพราะรู้ตัวว่ามีใครคนหนึ่งสนใจเขาอยู่ตลอดเวลา นี่เป็นการป้องปรามไม่ให้ลูกศิษย์เราไปเกี่ยวข้องกับอะไรที่ไม่เป็นประโยชน์ได้อย่างดีเชียวค่ะ แต่การสื่อสารก็ต้องมีศิลปะพอที่จะไม่เลยเถิดไปกระทบความรู้สึกเขาด้วยนะ

ผู้ปกครองส่วนใหญ่ก็ขำ ๆ ครูกันแต่ก็ร่วมด้วยช่วยกันเสียเป็นส่วนใหญ่

ถึงจะดูเพี้ยนไปหน่อย (หน่อยเดียวจริง ๆ) แต่ครูปูว่าผู้ปกครองเข้าใจและสัมผัสได้ค่ะว่าครูกำลังทำอะไรอยู่ และรู้ว่าไม่ง่ายเลยถ้าครูเขาไม่มีใจกับลูกเรา

ส่วนที่ไม่แฮปปี้ ก็อมโบตันกันต่อไปอ่ะนะ   กั่กๆๆๆ :P

เรื่องแบบนี้ถือเป็นบารมีที่ครูต้องทำเอง สั่งสมกันเองทั้งนั้น

แล้วมันต้องมาจากตัวตนจริง ๆ ของครูเสียด้วยสิคะ fake กันได้ที่ไหนล่ะเรื่องแบบนี้ ไม่รอดหรอก

เรื่องการปกครองคนนี่ ครูปูว่าไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์หรือลูกน้อง

หากเราลงทุนด้วยอะไรเราก็จะได้สิ่งนั้นตอบแทน

อยากรู้ว่าเราเป็นหัวหน้าแบบไหน

ก็ดูที่ผลของงานประกอบกับเสียงของลูกน้องที่แสดงระยะห่างระหว่างใจของกันและกันดู

อยากรู้ว่าตัวเราเป็นครูแบบไหน

ก็ลองมองไปที่ความงอกงามของศิษย์

แล้วตั้งใจฟังสิ่งที่เขาสะท้อนออกมาในรูปแบบต่าง ๆ ดูบ้าง

ชัดนะ

ครูปูว่า…

:)

Post to Facebook

« « Prev : แมวไม่อยู่ หนูกลับไม่ร่าเริง

Next : ครูพันธุ์ใหม่ หัวใจไม่จน » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

3 ความคิดเห็น


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.50689101219177 sec
Sidebar: 0.10466289520264 sec