ครูพันธุ์ใหม่ หัวใจไม่จน
เวลาได้ยินใครพูดถึงอาชีพครูว่า
เป็นครูแล้วจน ,
ครูชอบสร้างหนี้ ,
หรือ ลูกครูส่วนใหญ่จะเสียคน
ก็สุดแสนจะจี๊ด…เข้าไปถึงหัวจ๋าย…
(ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต)
ใครคิดกับเรื่องนี้ยังไงไม่รู้นะคะ
แต่ครูปูว่า ตัวเองไม่จน นะเออ!
ถ้า “จน” คือการมีรายได้ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายหรือความต้องการ จะแก้โรคจนตามนี้ ก็ต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่งหรือ 2 อย่างคือเพิ่มรายได้กับลดค่าใช้จ่ายหรือลดความต้องการลง
เรื่องเพิ่มรายได้นี่ เท่าที่นึกออกครูคงต้องรับคาบสอนให้เยอะขึ้นเอาค่าล่วงเวลา หรือรับสอนพิเศษนอกเวลาแบบที่ฮิต ๆ ทำกันเป็นธุรกิจร้อยล้านเป็นล่ำเป็นสันกันอย่างที่เห็นกันอยู่ (ยังนึกชมนะว่าเขาต้องเก่งจริงถึงจะมัดใจเด็ก ๆ ไว้ได้เยอะขนาดนั้น)
นอกจากนี้ก็คงเป็นการหารายได้เสริมจากการเกษตร จากงานฝีมือหรือจากการค้าขายตามแต่ทักษะและโอกาสของครูและครอบครัวจะอำนวย
ไอ้เรื่องสอนพิเศษนี่ ครูปูไม่รับค่ะ
แค่คิดว่าจะต้องแบมือรับสตางค์ค์จากเด็กนักเรียนหรือผู้ปกครอง ไม่ว่าค่าอะไร มันรู้สึกกระดาก ๆ ยังไงบอกไม่ถูกค่ะ ทั้ง ๆ ที่ตั้งแต่เป็นครูมามีแต่ผู้ปกครองมาติดต่อให้สอนพิเศษหลายราย เพราะลูก ๆ ไปบอกว่าเรียนกับอาจารย์ปูแล้วสนุกแถมรู้เรื่องอีกต่างหาก (โม้ๆๆ) ชั่วโมงละ 1,000 บาท ก็มีคนเคยเสนอมาแล้ว
จะบอกเด็กไปตรง ๆ ว่า “ไอ้ที่สอนเธอไปทุกครั้งน่ะมันพิเศษสุดความสามารถครูแล้ว ไม่มีพิเศษกว่านี้หรอก”
กิ๊กเก่าคนนึงเคยชวนเข้าหุ้นเปิดโรงเรียนติวภาษาอังกฤษแถวสยาม กะจะแข่งกับครูลิลลี่เพราะไปแอบดูครูปูสอนแล้ว มั่นใจว่าเด็กติดแน่ ก็ปฏิเสธไปเฉย ๆ ไม่ได้อธิบายอะไรเยอะ เพราะรู้เลยว่าครูอย่างเรากับนักธุรกิจอย่างเขาเห็นต่างกันอย่างมากในเรื่องนี้
(แหม นี่ถ้าตกปากรับคำไปนะ ป่านนี้คงไม่ต้องมานั่งห้อยขาต่องแต่งอยู่บนคานอย่างนี้ร๊อก เฮ้อ… )
ใครอยากเรียนเพิ่มจริง ๆ ครูปูจะนัดสอนเพิ่มให้ตอนเย็น หรือถ้าเป็นศิษย์เก่าที่จบไปแล้วไปเรียนมหาวิทยาลัยหรือไปทำงานแล้วติดปัญหาการใช้ภาษาอังกฤษก็จะใช้วิธีการเดียวกัน เป็นวันหยุดได้จะยิ่งดีเพราะระหว่างสัปดาห์ก็ยุ่งยังกะลิงแก้แหอยู่แล้ว แต่ต้องมาเจอกันที่โรงเรียนนะและไม่มีค่าใช้จ่ายจ๊ะ
ตัวเองจึงไม่มีรายได้อื่นนอกจากเงินเดือน
ทีนี้ก็เลยต้องเลือกใช้วิธีลดค่าใช้จ่ายหรือความต้องการลงแทน เช่น บันทึกนี้ ค่ะ
โดยส่วนตัวคิดว่าประเด็นเหล่านี้มีผลต่อความก้าวหน้าในรายได้ของตัวเองค่ะ
วางเป้าหมายชีวิตให้ชัด แล้วจะรู้เห็นชัดว่าการที่จะไปให้ถึงเป้าหมายนั้นจะต้องใช้ชีวิตแบบไหน ภารกิจคืออะไรบ้าง ต้องระแวดระวัง ต้องสำรองเรื่องอะไรตรงไหน นี่จะทำให้เราไม่เผลอไปเลือกทำอะไรที่เกินตัวหรือไม่ใช่ตัวเราเข้า
ดูแลความสุขของคนอื่นและตัวเองให้เพียงพอ กินใช้ก็ตามใจตัวตามใจปากบ้าง เอาสังคมไว้บ้างแต่พอควรเพียงแค่เกรงใจกระเป๋าหน่อย พยายามรู้ตัวตลอดว่าสมเหตุสมผลแค่ไหนหรือไอ้ที่อยากจริง จริ๊ง แต่ไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่แถมเกินงบแง๋ ๆ ก็อย่าไปอยากบ่อย ปีนี้สติแตกไปแล้ว จะแตกอีกทีก็รอไว้ปีหน้าแล้วกันนะ ตะเอง
ถ้าเป็นความต้องการของครอบครัวเป็นโอกาสพิเศษจริง ๆ อันนี้ก็น่าพิจารณานะคะ ถ้าครอบครัวมีความสุขก็เท่ากับเราก็พลอยมีความสุขไปด้วย เรียกว่าลงทุนทีเดียวแต่ได้กำไรตั้งสองเด้งแน่ะ อิ..อิ..อิ
พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ถ้าเราเก่งจริงมีคุณค่าจริง องค์กรที่มีวิสัยทัศน์ย่อมเลือกที่จะลงทุนด้วยอยู่แล้ว
ทุ่มเทและจริงใจกับสิ่งที่ทำอย่างเต็มที่ สมาธิและความสนใจจึงไม่ค่อยเหลือไปว่อกแว่ก ไปสนใจกรี๊ดกร๊าดอยากได้นู่นนี่บ่อยนัก ก็วัน ๆ มีแต่งานอ่ะ อยู่แต่กับงานจะไปอยากได้อะไรนักหนา แล้วอย่างนี้ความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การงานจะไปไหนเสีย
คิดถึงแนวคิด Neo-Humanist ที่คุณคนไม่รากเคยคุยให้ฟังขึ้นมาซะงั้น
“การมีเป้าหมายและวิธีในการดำเนินชีวิตด้วยวิธีการทางบวก ไม่คิดลบ ไม่พูดลบกับตัวเองและผู้อื่น ไม่นินทา ไม่ดูถูก ไม่ซ้ำเติมใคร ไม่นิยมอาหารจากเนื้อสัตว์ต่าง ๆ เลือกบริโภคอาหารที่ให้พลังชีวิตสูง เช่น ผักสด ผลไม้ โยเกิร์ต ถั่ว และเมล็ดธัญพืชเป็นหลัก มีความสุขกับชีวิตเรียบง่าย กินอยู่แบบพอดี มีวินัยในการใช้จ่าย ไม่นิยมของฟุ่มเฟือย ชอบแบ่งปันส่วนเกินให้ผู้ที่อ่อนแอกว่าและที่สำคัญคือการชอบทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นมากกว่าเพื่อตัวเอง”
ยิ่งเราก้าวหน้าในวิชาชีพ ความสุข ภาคภูมิใจและรายได้ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น เราจะสัมผัสได้ถึงการยอมรับจากลูกศิษย์ ผู้ปกครองและสังคมรอบตัว ความงอกงามและสง่างามที่เกิดขึ้นกับตัวเรานี้จะหันมามอบความอิ่มเอิบใจให้ยิ่งตระหนักรู้ว่ายังมีสิ่งดี ๆ มีคุณค่า มีความหมาย ที่ชีวิตควรชื่นชมมากกว่าตัวเงินอีกตั้งแยะ
พ่อแม่พี่น้องครอบครัวเราก็ไม่ต้องอายใครเพราะเขาเหล่านั้นจะเลือกภูมิใจเป็นว่ามีลูก มีพี่ มีน้อง มีภรรยา มีสามี มีพ่อ มีแม่เป็นคนดี ทำอาชีพที่มีเกียรติ แถมยังดูแลครอบครัวได้อย่างนี้ ขี้คร้านจะโม้กันไปสามบ้านแปดบ้านล่ัะ ไม่ว่า (^__^)
ถ้าครูรู้จักตัวเอง เราจะบริหารจัดการศักยภาพของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลของงานซึ่งก็คือความเจริญงอกงามของลูกศิษย์จะสะท้อนคุณค่าในตัวเราได้อย่างชัดเจน
เมื่อครูหาความสุขเจอ ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการชีวิตก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น ไอ้เรื่องที่จะขาดความระลึกรู้ ใช้จ่ายเกินตัว ก่อร่างสร้างหนี้ หรือการไร้ความสามารถในการดูแลบริหารจัดการชีวิตตัวเองและครอบครัว หรือปัญหาใด ๆ ที่เข้ามากระทบ ย่อมจะไม่เกินความสามารถของครูพันธุ์ใหม่ที่เข้าใจชีวิตอย่างเราไปได้หรอกเนอะ
แหม ลูกชาวบ้านเรายังสอนแล้วพาลากถูลูถูกังไปส่งถึงฝั่งมาเสียนักต่อนักแล้ว
นี่ลูกเราเองเบ่งมากับมือ สำเนามันจะไม่ถูกต้องไปได้จะได
แม่น ก่อ เจ้า
อิ..อิ..อิ
ในเมื่อมีครบทั้งความสุข ความภาคภูมิใจ เกียรติและศักดิ์ศรีเช่นนี้แล้ว
ชีวิตคนเรายังจะเหลืออะไรให้ต้องการไปมากกว่านี้กันอีกเล่า
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ครูอย่างเราก็เตรียมตัวตะโกนดัง ๆ ใส่ตัวเองกันได้แล้ว
ตรู รวย แล้ว โว้ย…
« « Prev : เมื่อใจแลกใจ ก็จะเข้าใจ
Next : ถอดบทเรียนการทำ คนนี้ไง’จารย์ปูครูพันธุ์ก๊าก! » »
ความคิดเห็นสำหรับ "ครูพันธุ์ใหม่ หัวใจไม่จน"