Jacaranda

7 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 6 มีนาคม 2011 เวลา 20:39 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1166

เจ้าดอก Jacaranda หรือ “ศรีตรัง” นี้ เคยเอามาอวดบ้างแล้ว

อดไม่ได้ที่จะเอามาอีก เพราะเขากำลังบานอยู่หน้าบ้านขอนแก่น

คุณแม่(ยาย) หอบหิ้วมาจากเมืองตรัง เพราะเป็นคนตรัง

ลูกๆกี่คนกี่คนไปตั้งรกรากที่ไหนก็จะหอบเอา

ศรีตรังไปปลูกให้ เหมือนประกาศว่า บ้านนี้คนตรังนะ อะไรทำนองนั้น

เหมือนดอกผักบุ้ง แต่เป็นสีม่วงอ่อนๆ กลีบดอกก็บอบบางมากๆ

หล่นเต็มโคนต้นสวยไปอีกแบบ

ต้นที่บ้านไม่สวยเท่ารูปที่แสดงด้านล่างนี้นะครับ

ที่อาฟริกา เคนยา ที่คนข้างกายไปมานั้นบอกว่า มีเต็มเมืองไปหมด สวยซะ

ที่บ้านมีสองต้น ซ้ายขวาหน้าบ้าน แต่ต้นขวามือของบ้านถูกช่างซ่อมบ้านตัดไปโดยไม่เข้าใจ เลยตายไปซะ โอย ผมถูกคนข้างๆบ่นซะต้องปิดหู

เอารูปมา ดูกัน ยามที่มานอน นครเวียงจันทบุรีศรีศัตนาคนหุตอุตมราชธานี อิอิ

นี่คือชื่อเต็มของนครเวียงจัน ครับ

http://board.goosiam.com/html/0104425.html

 

(ขอคุณภาพจาก internet)


จากสีวร ถึงสีน้ำและเสียงเพลง

317 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 5 มีนาคม 2011 เวลา 20:44 ในหมวดหมู่ งานพัฒนาสังคม, ทุนสังคม #
อ่าน: 7567

ผมแอบชื่นชม พ่อหวังและอีกหลายๆพ่อในชนบทที่เขามีวิธีการสอนคนแบบดั้งเดิม แบบบุพกาล อะไรทำนองนั้น ไม่มีหลักวิชา ที่สมัยใหม่ต้องเข้าไปเรียนวิชาสร้างคน(ครู)กันในห้องเรียน แต่ออกมาสร้างใครไม่เป็นจริงๆ ตรงข้ามบางคนกลับไปทำลายซะอีก


ครูดีดีมีเยอะนะครับ อย่าคิดว่าตีขลุมไปหมด ที่ผมกล่าวเช่นนั้นเพราะว่า ผมไปพบชาวบ้านคนหนึ่งที่เหมือนกับเด็กหนุ่มอีสานทั่วไป ที่โตขึ้นมาจากป่าเขาก็อยากเข้าเมือง ความรู้ก็แค่ ป.4 แล้วจะเลี้ยงตัวเองได้อย่างไร มีอย่างเดียวคือแรงงาน สีวร ไม่ใช่สีเหลืองสีแดง แต่เป็น “สีวร” ชื่อเด็กหนุ่มดงหลวงคนนี้ ตะลอนไปหางานทำทั่วไปหมด ที่ไหนมีการจ้างก็ทำไม่เลือกหนักเบา …

ในที่สุดพบว่า เงินที่ได้จากค่าจ้างแค่ซื้อปลาทูกินเท่านั้น หลายปีเข้า ก็เหมือนเดิม สีวรทบทวนชีวิตตัวเองแล้วก็หันหลังให้กับสังคมเมืองเดินกลับบ้านป่า กลับไปอยู่กับพ่อแม่ ทำนาทำไร่ และมีครอบครัวเหมือนหนุ่มทั่วไป แต่ลึกๆสีวรดิ้นรนจากสภาพเดิมๆ แต่ไม่รู้จะทำอะไร แล้วสีวรก็เดินชีวิตเฉียดข้าไปที่ยาเสพติด…

พ่อหวังเป็นชาวโซ่ ธรรมดาคนหนึ่งแต่ผ่านการปรุงชีวิตจากป่า จากงานพัฒนาของเครือข่ายอินแปง ที่เอาชีวิตมาปอกกันเป็นรายคน ว่าตั้งแต่เกิดมาจนถึงปัจจุบันนี้เป็นอย่างไร แล้วจะเดินไปทางไหนกัน การเข้าค่ายปอกเปลือกชีวิตครั้งนั้นทำให้ผู้นำไทบรูจำนวนมาก ตกผลึกกับชีวิต…เขาเหล่านั้นเดินกลับบ้านด้วยความหวังของการสร้างครอบครัวแบบพึ่งตัวเอง..

พ่อหวังกลับมาเห็นสีวร ซึ่งเป็นเหมือนลูกหลาน เห็นมาตั้งแต่เด็ก จนโตรู้นิสัยใจคอ รู้หัวนอนปลายตีนดี เห็นแววการดิ้นรนแต่ไม่มีทางออก ไม่มีทางไป และเดินเฉียดยาเสพติดเข้าไปทุกที พ่อหวังเห็นว่าเด็กคนนี้จะเสียคนแน่จึงชวนมาอยู่บ้านสวน มากินมานอนมาคุยกันมาทำงานทำนาทำสวนนี่แหละ แต่ทำไปด้วยคุยไปด้วย พ่อหวังที่ผ่านโลกมาก่อน ผ่านการใช้ชีวิตในป่า ต่อสู้กับรัฐบาลมาก่อน แล้วก็ออกมาสร้าวครอบครัวใหม่ด้วยแนวทางเกษตรผสมผสาน พออยู่พอกิน พอประมาณ

สองปีที่สีวรใช้ชีวิตกับพ่อหวัง ไปๆ-มาๆระหว่างบ้านตัวเองกับบ้านพ่อหวัง ความรักที่พ่อหวังให้แก่สีวร การสั่งสอนแบบไม่สอนคือทำไปด้วยกัน ใช้เวลาพูดคุยแลกเปลี่ยน และคลุกวงในของชีวิตกันและกัน สองปีนั้นสีวรอิ่มเอมกับมิติใหม่กับชีวิต เขากราบลาพ่อหวังพาครอบครัวลูกน้อยไปสร้างบ้านสวนขึ้นมาด้วยมือเขาเอง ปลูกทุกอย่างที่กินได้ แรงงานที่เคยรับจ้างเขา แต่คราวนี้ แรงงานทุกหยาดหยด มันคือสิ่งที่เขาได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

สีวรบอกว่า ผมเรียนชีวิตจากพ่อหวังจากงานพัฒนา จาการพูดคุยแลกเปลี่ยน จาการดูพ่อๆทั้งหลายที่สร้างชีวิตมาก่อนผม ผมเข้าใจแล้วว่าผมควรจะทำอะไร ทุกวันนี้ภรรยาสีวรมีความสุขกับการเก็บผักต่างๆในสวนไปขายที่ตลาดมีรายได้ไม่ต่ำกว่าวันละ 2-3 ร้อยบาท


เมื่อผมเข้ามาสัมผัส Hug school ฟังคุณครูทั้งหลายปอกเปลือกตัวเองให้ฟังแม้ว่าจะเป็นเสี้ยวส่วนก็ตาม ทุกคนกล่าวเป็นเสียงเดียวว่า เขามีความสุขมากที่ทำงานที่นี่ เข้าใจได้ไม่ยากเลยที่ผู้บริหารโรงเรียนเป็นพี่น้องในครอบครัวเดียวกัน แต่มีความเหมือนกันที่ทุกคนรักดนตรี อาจจะเลยไปถึงรักมากที่สุดด้วย รักศิลปะ และช่างดีเสียนี่กระไรที่คุณพ่อก็เป็นคนที่รักดนตรี รักอิสระ และสร้างสรรค์

Hug school ต่างจากโรงเรียนในวิถีชีวิตพ่อหวังที่หลอมสีวรขึ้นมาเป็นผู้คนได้ มันต่างกันสุดหล้าฟ้าเขียว แต่มีสิ่งที่เหมือนกัน ที่เป็นแก่นลึกข้างในของพื้นฐานการสร้างคนคือ “ความรัก” ที่มนุษย์พึงมีต่อกันเพื่อเสริมสร้างให้แก่กัน

ความรักนี้ช่างยิ่งใหญ่จริงๆ ความรักมันสร้างโลกได้จริงๆ ในสังคมเรามีแม่พระ พ่อพระเช่นนี้มากมายที่เราผ่านพบบ่อยๆ

แต่ในระบบการเรียนในห้องของเรานั้นที่มีกระทรวงศึกษาเป็น Manager ใหญ่นั้น ความรักมันไปซ่อนซุกอยู่ตรงไหน หรือมันระเหยระเหิดไปหมดสิ้นนานแล้ว มีแต่หว่านคำพูดหรูๆ สร้างเกณฑ์ประเมินกันหน้าดำคร่ำเครียด


ถามว่าเมื่อพ่อหวังสร้างสีวรมาด้วยความรักความเป็นลูกหลานในหมู่บ้านเดียวกัน และประสพผลสำเร็จเช่นนี้ จะมีอะไรเกิดขึ้นในสายสัมพันธ์ของคนทั้งสอง ครอบครัวทั้งสอง และทัศนคติที่เขามีต่อเพื่อนร่วมหมู่บ้าน….

นี่คือทุนทางสังคมที่ดีงาม หมดจรด ทุกอย่างมันก็ตามมา ความเอื้ออาทรต่อกันและกันลามออกไปถึงผู้อื่นที่สีวรทำกับผู้อื่น มองกับผู้อื่น

หากมีความขัดแย้งเกิดขึ้นในหมู่บ้าน คนสองคนจะไล่ฆ่าแกงกันไหม มีแต่จะยื่นมือมาจับต้องและนั่งลงคุยกันฉันท์พี่น้อง และอภัยให้แก่กัน

ผมคิดว่า Hug school กำลังทำงานที่ยิ่งใหญ่ เหมือนที่มงคลวิทยากำลังสร้างอยู่ เหมือน ดร.อาจองยื่นสองมือไปโอบกอดเด็กสัตยาไส เหมือนลูกหลานที่มีแต่ความหวังดีมอบให้ เหมือนกับพ่อแม่มีต่อลูก…

Hug school ใช้ศิลปะแขนงต่างๆเป็นสื่อกลางที่กล่อมเกลาด้านในของตัวเด็ก ไม่ว่าจะเป็นเสียงเพลง สีน้ำ…..ฯลฯ ชื่นชมคนหนุ่มสาวกลุ่มนี้ครับ

ความรักสร้างคน สร้างสังคม สร้างโลก

เรามารักกันเถอะครับ…


โรงเรียนฟื้นแล้ว

378 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 5 มีนาคม 2011 เวลา 10:04 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3669

ก่อนจะขอเวลาไปทุ่มให้กับงานเขียนที่รีบเร่ง ขอแวบมาหยอดงานเมื่อคืนหน่อย HUG school นั้นผมผ่านไป-มาตลอดเพราะตั้งอยู่บนถนนมิตรภาพสายหลักของเมืองขอนแก่น เยื้องๆ รพ.ศรีนครินทร์ ท่านผู้เป็นเจ้าของก็เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในขอนแก่นและเมืองไทย คือคุณหมอวันชัย วัฒนศัพท์ เจ้าของสถาบันสันติศึกษา เคียงคู่กับ สถาบันพระปกเกล้า และมีบทบาทในการแก้ไขความขัดแย้งเมืองไทยมาหลายงานทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง


โดยส่วนตัว คุณหมอเองก็เคยเป็นบอร์ดของสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยขอนแก่นซึ่งครั้งหนึ่งผมเป็นตัวแทน NGO เข้าไปนั่งเป็นกรรมการอยู่ด้วย และสถาบันแห่งนี้คนข้างกายผมทำงานอยู่ที่นั่น และเมื่อครั้งที่คุณหมอไปตั้งโรงเรียน KKVS ที่เป็น Bilingual school ลูกสาวผมก็ไปเรียนที่นั่น และบ่อยครั้งที่เปิดฟังรายการวิทยุที่คุณหมอจัดรายการ ที่เอาข่าวสาร แนวคิดต่างๆมาคุยให้ฟัง


มาอีกทีเมื่อ ออต เข้ามาร่วมมือกับ Hug school แล้วเอาสาระมา Post ลงที่ลาน ก็ได้ติดตามมาตลอด แต่ไม่เคยย่างก้าวเข้ามาที่นี่เลย..

ทึ่งกับคนหนุ่มสาวที่รวมตัวกันทำอะไรที่มีสาระแก่อนาคตของประเทศ เช่น HUG school ผมเองถ้าเป็นน้องอึ่ง ครูอารามและน้องหมอน้อยจากลำพูนก็ต้องมาเยี่ยมแน่นอน ได้คุยกับพ่อครูว่า เป็นโรงเรียนที่แหวกกรอบเดิมๆของโรงเรียนออกมาอย่างน่าติดตามยิ่งนัก

ยังไม่ขอลงรายละเอียดและแนวความคิดเห็นส่วนตัวต่อทีมคนหนุ่มสาวเหล่านี้นะครับ


เพียงขอแหย่หัวเรื่องไว้ก่อน เพราะต้องจบงานเขียน พรุ่งนี้ต้องเดินทางไปลาว กลับจากลาวหากเคลียร์งานเสร็จก็จะกลับมาเขียนต่อครับ

แต่อยากตั้งประเด็นไว้ก่อนว่า

  • สังคมปัจจุบันพูดกันมากขึ้นในเรื่องการเรียนการสอนในกรอบเดิมๆว่าล้มเหลว และมีความพยายามมานานเหมือนกันที่จะแหวกออกมาจากกรอบนั้น นับตั้งแต่แนวคิด summer hill เข้ามาในเมืองไทย และเกิดโรงเรียนบ้านเด็กที่กาญจนบุรี
  • การวิภาคอย่างรุนแรงต่อระบบการศึกษาของ ไอวาล อิลลิสในหนังสื่อชื่อ Deschooling ดูที่ (http://www.skyd.org/html/priest/ivan.html)
  • หลังจากนั้นก็เกิด อาศรมรุ่งอรุณ เกิด โรงเรียนสัตยาไสที่ลพบุรีของดร.อาจอง (ดูที่ http://www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php?table_id=1&cate_id=4&post_id=60101)
  • เกิดโรงเรียนนานาชาติ เกิด Bilingual school มากมาย
  • เกิด Home school
  • ลามเลยไปถึงรูปแบบการฝึกอบรมในวงการพัฒนาชนบทมานานแล้ว

พ่อครูบาฯท่านเป็นโรคปากเปื่อย ที่รักษาไม่หาย เพราะบ่นถึงระบบการศึกษาไทยมานาน แล้วปรากฏการณ์ในสังคมที่เกิดมาจากเด็กวัยรุ่นก็ยังมีให้เห็นตลอดมา ระบบมันสิ้นหวังแล้วหรือ

ความจริงผมมีฐานเรื่องเหล่านี้มาบ้างเพราะเรียนจบมาทางการศึกษาโดยตรง แต่ไปใช้ความรู้ทาง Informal Education มาโดยตลอดเสียมากกว่า

น่าเฝ้ามอง Hug school และมงคลวิทยาจริงๆ โรคปากเปื่อยของพ่อครูท่าจะรักษาหายแล้วหละ อิอิ..


เมฆ.การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

417 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 5 มีนาคม 2011 เวลา 8:47 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 6737

 

แต่ก่อนทุกวันศุกร์ผมจะขับรถจากมุกดาหารกลับบ้านขอนแก่น

เป็นความสุขหลังพวงมาลัย คือ เปิดวิทยุ AM ฟังเพลงที่เลยยุคสมัยไปแล้ว

เปิดข่าวสารเพื่อนบ้าน และเหลือบมองเมฆบนท้องฟ้า

หากตรงไหนสวยงามก็จะหยุดรถ

แล้วคว้ากล้องตัวโปรดมาเก็บภาพนั้นทันที

จากการเป็นคนหนึ่งที่ชอบถ่ายรูปเมฆ

ก็นึกรำคาญเสาไฟข้างถนนทุกทีที่เห็นรูปเมฆสวยๆ

เพราะถ่ายรูปแล้วติดเสาไฟ สายไฟรุงรังไปหมด

หากเลือกได้ก็พยายามขับรถไปในเส้นทางที่มีพื้นที่โล่ง

เช่นไร่ข้าวโพด ไร่อ้อย ฯลฯ

หากมาจากมุกดาหาร-กุฉินารายณ์

ก็สามารถตรงไป อ.สมเด็จ ต่อไปกาฬสินธุ์ ขอนแก่นได้

บางครั้งผมเลือกเส้นทางกุฉินารายณ์ไปโพนทอง เพราะเหตุผลข้างต้น

แล้วผมก็ได้รูปชุดนี้มา แปลกดี สวยดีครับ

ชุดนี้จอดรถที่ไร่อ้อย วิ่งเข้าไปกลางไร่อ้อยเพื่อหนีสิ่งกีดขวาง

แล้วก็เก็บการก่อเกิดเมฆชุดนี้มา

แล้วผมก็เอาไป post ใน FB ชมรมรักมวลเมฆตั้งแต่เดือน 8 ปี 53

เมื่อวานนี้ ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติโทรมาหาขณะอยู่ที่ HUG school

ว่าขอรายละเอียดเรื่องรูปหน่อย วารสารสารคดี

เลือกรูปจากชมรมไป 30 รูปเอาไปทำ บทความ ของผมดูจะติดไป 2 รูป

ความจริง บรรณาธิการเมล์มาขอ 4 รูป แต่ผมไม่มีเวลาค้นให้

เพราะเร่งเขียนรายงานเมืองลาวอยู่ครับ

นี่ก็จ่อคอหอยเข้ามาแล้ว

——-

…เล่าให้ฟังเล่นๆครับ…


แบบดูน้องนกอาบน้ำ

165 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 3 มีนาคม 2011 เวลา 8:19 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2042

เฮ้…..พวกเราลงมาเลย มาเล่นน้ำกานนนนนน

ได้ข่าวว่า เขาไปสปากัน บางคนไปนอนให้สาวๆโป๊ะโคลนจากภูเขาไฟ

เฮ่อ…จะสู้สปาโคลนของเราได้ เร้อออ….

เย้ เย้ สนุกที่ซู๊ดเลย เย้….เย้…..


เศษกระดาษบนถนน

869 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 3 มีนาคม 2011 เวลา 8:14 ในหมวดหมู่ งานพัฒนาสังคม, เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 12254

ผมไม่ใช่คนเจ้าระเบียบหลอกนะ บางครั้งออกจะเถื่อนๆซะด้วย

พ่อแม่ก็สอนอยู่เรื่องความสะอาด เรียบร้อย ระเบียบ

ยิ่งพ่อเป็นครูก็ต้องเป็นแบบอย่าง

ยิ่งตักเตือน ว่ากล่าว ลงไม้เรียวกันประจำ ลือกันทั้งบางไปเลย

ความเป็นเด็กบ้านนอกทำอะไรแบบง่ายๆ

ไม่ชอบพิธีรีตองมากนัก

แค่ให้เกียรติกันตามที่ถือปฏิบัติกันมา ก็พอดีแล้ว

แต่เมื่อโตขึ้นมา งานอยู่ในชนบทอีก แต่ที่พักอยู่ในเมือง

เรียกมนุษย์ สามโลก(บวกโลกจินตนาการเข้าไปด้วย)

มีอะไรหลายอย่างในสังคมที่ขัดหูขัดตา

อย่างพวกแซงรถมาเบียด

ในขณะที่คันอื่นเข้าคิวกันเป็นแถวกัน

หากตรงกับจังหวะที่รถผมพอดี เคยยกมือชี้หน้าหลายครั้ง

เจ้ามอเตอร์ไซด์ผ่าไฟแดงทุกวัน…ฯลฯ

อย่างรูปข้างบน รถสวยเชียว แต่คนในรถเปิดกระจก

เอาเศษกระดาษทิ้งลงบนถนนหน้าตาเฉย

Norm ของสังคมมันหดหายไปหมด

นี่เห็นกันจะจะ ไอ้ที่ลับหูลับตาล่ะจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

สังคมมันมีขึ้นลงเหมือนหลักธรรมชาติ

ก็ที่เขาปฏิวัติสังคมนิยมนั้น สังคมมันมีเรื่องแบบนี้

แล้วรุนแรงขึ้น ซับซ้อนขึ้น ใหญ่ขึ้น มากขึ้น

เมื่อปฏิวัติแล้ว ดูดีเชียว สักพักหนึ่งก็เอาอีกแล้ว

ลองเงี่ยหูฟัง ลาว เขมร เวียตนาม แม้จีน ซิ

มนุษย์นี่หนอ หากไม่มีธรรมกำกับแล้ว

ความสวยงามหามีไม่….


เก้าอี้ตัวเดิม

85 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 1 มีนาคม 2011 เวลา 15:53 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2533

(บอกซะก่อนว่ารูปกะเรื่อง เหมือนรัฐบาลกับฝ่ายค้าน อิอิ)

งานเขียนรายงานที่เน้นคุณภาพนั้นมันดูดเวลาเราไปหมดเลย

หูได้ยินแว่วๆเพียงว่า กัดดาฟี่ แย่แล้ว

Luke Donald ชนะกอล์ฟที่ ACCENTURE WGC

พธม คืนถนนบางเลนให้ กทม.แต่โดยดี

ลุงแสน ยังเฝ้ามองต้นผักหวานในสวนของแก

พ่อหวังกำลังชื่นอกชื่นใจที่ลูกสาวแต่งงานที่ดงหลวง

สาวไทยอาจจะเสียชีวิตที่ ไครส์เชิร์ท NZ

ชาวอีสานเริ่มกังวล ฤดูแล้งที่กำลังมาถึง

“ครัวคุณตุ๊” ปิดร้าน

เพราะเธอเดินทางตลอดเดือน ทำหน้าที่หัวหน้าวิจัย 4 โครงการ

วัวลุงเขียว มาร้อง บอ บอข้างบ้าน

เพราะชอบใจที่ฝักก้ามปูสุกล่วงลงพื้นและมันได้ลิ้มรสหวาน

มะม่วงออกช่อเต็มต้น

สารภีกำลังชวนผึ้งฝูงใหญ่มาโลมเล้าเอาเกสรและน้ำหวานไป

ฝ้ายคำ และพวงคราม ดอกสุดท้ายกำลังจะล่วงหล่น

แต่เจ้า จันกะพ้อ กำลังออกตุ่มดอกเต็มต้น

……ฯลฯ…….

ผมยังนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิม ที่เดิม ท่าเดิม

เพราะงานเขียนยังไม่เสร็จ..อิอิ..

……


พวงคราม

227 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 26 กุมภาพันธ 2011 เวลา 1:03 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 4607

นานมาแล้วไปซื้อไม้ดอกประเภทเลื้อย

เอามาปลูกริมรั้วเพื่อให้เขาเลื้อยพันรั้ว

และออดดอกให้เราชื่นชม

หนึ่งในนั้นคือเจ้าดอกสีม่วงสวยนี่

ไม่ได้เห็นมานานแล้ว ชอบที่องค์ประกอบดอกเขาแปลก

ดอกสีม่วงเข้มวงในกลางดอกใหญ่นั้น

เขาออกมาทีหลังแล้วหลุดร่วงก่อน

เทพเจ้าองค์ใดหนอ ปั้นแต่งเจ้ามาให้ชื่นชม

เป็นดอกไม้ประจำคณะศึกษาศาสตร์ มช.

“เจ้าพวงคราม”


อักษรเยือน

340 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 25 กุมภาพันธ 2011 เวลา 10:42 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3719

ยังหมกอยู่กับตัวอักษร ที่บรรยายงานที่ทำ

4 โครงการที่มีความแตกต่างกัน 3 แบบ

อยู่ต่างประเทศเสีย 3 โครงการ

ต้องเปลี่ยน Mode ความคิด จากโครงการหนึ่ง ไปอีกโครงการหนึ่ง

ขุดความรู้รอบด้านมาใช้ แต่มักไม่ได้อย่างใจ

แต่ก็ดีขึ้น แต่ตาก็แฉะมากขึ้น อิอิ..

ส่งอักษรมาเยี่ยมเยือน เด้อครับ..


ดอกไม้โรย

196 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 20 กุมภาพันธ 2011 เวลา 20:59 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2603

คนสรรหาไม้ดอกมาปลูก เพื่อเชยชมยามดอกไม้บาน

เขาบานแล้วก็ร่วงโรยหล่นหลุดจากขั้ว

 

คนแก่หง่อมคนหนึ่ง คนดูแลมากกว่าหนึ่งคน

นั่งรอคอยลูกหลานมาจากเมือง

นานเต็มที ที่เขาไม่ได้มาหา

เพราะภาระรุงรังมัดเขาไว้ แม่เฒ่าเข้าใจ…

เพราะชีวิตเดินไปบนสายพานของระบบ

ความอบอุ่นวันวานแบบชนบทมันผ่านไปแล้ว

แม่เฒ่า นั่งสายตาเหม่อลอยไปไกลสุด

 

ดอกไม้ดอกนี้รอเวลาหลุดจากขั้ว……..


โลกมนุษย์ในอีก 50-80 ปีข้างหน้า

248 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 15 กุมภาพันธ 2011 เวลา 23:32 ในหมวดหมู่ การบริหารจัดการประเทศ, งานพัฒนาสังคม, เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 5650

เมื่อวานนี้กับวันนี้เป็นการจัด Lesson Learn workshop ของโครงการเดิมที่ทำมาเกือบสิบปีที่มุกดาหาร โดย ส.ป.ก.เป็นหน่วยงานหลักในการจัดงาน คนข้างกายในฐานะถูกเชิญให้เป็นผู้มาประเมินผลโครงการที่เรียกว่า Terminal evaluation ก็เข้ารับฟังด้วย มีท่านเลขา ส.ป.ก. และท่านรองเลขา ส.ป.ก.มาร่วมงานด้วย

สำหรับท่านเลขานั้นท่านเป็นคนใหม่สำหรับโครงการ ท่านเป็นวิศวกรที่มาดำรงตำแหน่งที่นี่ ก็ชื่นชมโครงการ ส่วนท่านรองฯท่านนี้นั้น เสมือนเป็นเจ้าของโครงการเพราะสร้างมากับมือ จึงทะลุปรุโปร่ง บางช่วงมีการเมืองเข้ามาแทรกบ้างจนเป๋ไปก็มี

คนข้างกายความจริงต้องเดินทางไปพิษณุโลกเพื่อรับผิดชอบงานศึกษาวิจัยการใช้น้ำบาดาลมาทำการเกษตร กับกรมทรัพย์ฯ แต่ก็ต้องมานั่งฟังสรุปผลงานนี้ด้วย และเธอก็บอกชอบใจที่ได้ฟังท่านรองเลขาฯพูดเมื่อวาน

ท่านกล่าวว่า เพิ่งกลับมาจากเกาหลี และที่นั่นมีโอกาสฟังปาฐกถาของศาสตราจารย์ ที่ได้รับโนเบล “เรื่องภาวะโลกร้อน ผลกระทบ และการเตรียมตัวของมนุษยชาติ” ผมเองก็ชอบ เหมือนท่านรองเลขาฯมาตอกย้ำประเด็นความสำคัญและการที่หน่วยงานต้องคิดและเตรียมตัวเริ่มทำอะไรได้แล้วทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยเฉพาะในระยะยาวที่ยังคุยกันน้อยมากๆว่ารัฐต้องทำอะไร หน่วยงานต่างๆต้องทำอะไร ชาวบ้านต้องทำอะไร แต่ละคน แต่ละภาคส่วนต้องทำอะไร…

ท่านกล่าวว่า ปัญหาใหญ่คือ ภาวะขาดแคลนอาหาร… แรงงานภาคเกษตรลดลง ผู้สูงอายุมากขึ้น ปัญหาภัยธรรมชาติ ฯลฯ เพราะเป็นที่คาดการณ์ว่า ที่แห้งแล้งจะแล้งหนัก ที่ฝนตกชุกก็จะมากเกินความพอดี พืช สัตว์ ปรับตัวไม่ทัน หรือเกิดโรคภัยใหม่ๆมากขึ้น..และทั้งหมดนี้ส่งผลโดยตรงต่อการผลิตทางการเกษตร

เราก็รู้มาบ้างว่า ดร.อรรถชัย จินตเวช ที่คณะเกษตรศาสตร์ มช.ท่านศึกษา simulation เรื่องโลกร้อนอยู่ ทราบว่าอีตาเม้งของเราก็ศึกษาเรื่องนี้

ผมเองแลกเปลี่ยนกับท่านรองเลขาฯว่า เรื่องใหญ่เรื่องนี้น่าที่จะมีวาระการสัมมนาบ่อยครั้งขึ้นเพื่อเอาวิชาการเรื่องนี้มาแลกเปลี่ยนและเฝ้ามองทิศทางกันให้มากขึ้น และต้องเตรียมตัวตั้งแต่เดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นก็สายเกินไป

อย่างน้อยที่สุด มา update เรื่องงานศึกษา วิเคราะห์วิจัย การทดลองต่างๆที่ไหนในโลกนี้เอามาศึกษาแลกเปลี่ยนกัน ปรากฏการณ์ต่างๆมีสาเหตุจากอะไรแม้จะยังสรุปไม่ได้ก็ถือเป็นการเตือนภัยกัน และในฐานะที่แต่ละคนยืนในจุดที่แตกต่าง มีหน้าที่การงาน จะทำอะไรได้บ้าง

ผมทำงานกับชาวบ้าน ควรทำอะไรบ้าง…. ผมเสนอท่านว่า ผมได้เริ่มทำไปบ้างแล้วแม้จะเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ แต่ก็น่าจะมีประโยชน์ในการเอาผลมาใช้ คือ ผมได้เห็นประโยชน์การให้ชาวบ้านทำบันทึกอุณหภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์ ปริมาณน้ำฝน และปรากฏการณ์ธรรมชาติต่างๆรอบตัวชาวบ้าน เกิดอะไรเมื่อไหร่ ผลเป็นอย่างไร บันทึกไว้ ซึ่งยากนะครับที่จะให้ชาวบ้านบันทึกเพราะชาวบ้านไม่ใช่นักเขียนบันทึกอย่าง blogger ทั้งหลาย แต่ก็มีเทคนิค เช่น ให้ลูกๆช่วย หรือหากหน่วยงานจะมีสิ่งตอบแทนบ้างก็แล้วแต่เงื่อนไข


ข้อมูลเหล่านี้เหมือนเป็น ฐานข้อมูลเบื้องต้นที่ทำหน้าที่เฝ้าระวัง ฯลฯ ท่านรองเลขาสนใจ แต่ผมไม่ได้อยู่ดงหลวงแล้ว ไปติดตามเอาข้อมูลมาใช้ได้ ในระบบราชการทำอะไรได้บ้างก็ต้องไปคิดอ่านกันต่อไป

คิดเลยเถิดคนเดียวไปถึงฝ่าย GIS ของ ส.ป.ก. ได้คุยกับผู้ชำนาญการเพื่อสร้างโปรแกรมทำฐานข้อมูลตัวนี้ขึ้นมา เช่น หากว่าการบันทึกดังกล่าวข้างต้นมีประโยชน์ ความจริงกรมอุตุเขามีอยู่แล้ว แต่สถานีห่างเกินไป และไม่ได้บันทึกปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรที่เป็นฐานอาหารของเรา หากทุกหมู่บ้านในพื้นที่ ส.ป.ก.(หรือทุก 10-20 หมู่บ้าน…?) มีการบันทึก สาระดังกล่าว บันทึกปรากฏการณ์ต่างๆ เอานักวิเคราะห์ต่างๆมา นักวิจัยพันธ์ข้าวสายพันธุ์ใหม่ และพืชต่างๆสายพันธุ์ใหม่มาคุยกัน อีก 20 ปีข้างหน้าเราน่าที่จะบรรลุการแก้ไขอะไรมาบ้าง


FW mail เรื่องปลาตาย นกตายมาถึงบ่อยมากขึ้น บ้างก็กล่าวว่าโลกมีการเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็กโลก โอย ผมไม่รู้เรื่อง..แต่ที่แน่ๆ ในเขื่อนน้ำงึมสองที่ลาวเมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นเกิดมีปลาตายลอยแพกันแล้ว ตอนนี้คนที่บริษัทไปศึกษากันใหญ่ว่ามาจากสาเหตุอะไร…

นี่แค่น้ำมันพืชขาดตลาด ยังเดือดร้อนกันขนาดนี้(แม้จะมีเรื่องธุรกิจ การเมืองอยู่เบื้องหลัง)

หากข้าวไม่มีกิน จะกลับไปกินเผือกกินมันก็ไม่มีป่าให้ไปขุดเผือกแล้ว คุยกันว่า ชุมชนอโศกต่างๆนั้นจะอยู่รอดเพราะท่านเตรียมตัวเรื่องอาหารมานานแล้ว…..

คิดไปเรื่อยเปื่อย แต่ต้องทำจริงๆ..

(ขอบคุณภาพจาก internet และ FW mail)


โศลกเหลือง

1831 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 15 กุมภาพันธ 2011 เวลา 16:31 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 17387

ฝ้ายคำเหลืองบานช่อสวย

ที่ห้องเย็นเยือกกลางเมือง คุยกันเรื่องงานพัฒนาชุมชน

ที่กลางถนนในเมืองใหญ่ ถกกันดังลั่นเรื่องอธิปไตย

ใต้ร่มมะขามหน้ากระทรวง

พ่อใหญ่แม่ใหญ่ มาแสดงความคับข้องใจ และความต้องการ

จักรยานริมถนนหยุดลง ร้องเชิญชวนซื้อโชค

นักการเมืองคิดการใหญ่ต่อบ้านเมือง

ชาวบ้านคิดเล็กๆเพื่อครอบครัว

…..

อีกไม่นานฝ่ายคำสวยก็ทิ้งกลีบล่วงหล่น หลุดจากขั้ว

หม่นหมอง คล้ำดำกระด่าง จมดิน

ดอกใหม่ผลิบาน แล้วล่วงหล่นเฉกเช่นกัน

ทิ้งไว้เพียงภาพ คำบอกเล่า

แล้วเวลาก็กลืนกินสิ้นหมด


Hachiko

638 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 13 กุมภาพันธ 2011 เวลา 20:08 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 21488

คนที่รักน้องหมา น่าจะหาเวลาดูหนังเรื่อง Hajiko หรือ Hachiko

กำลังฉายอยู่ที่ HBO A12 หรือ D43 เวลา 19:20

นำแสดงโดย Richard Gere

**เรื่องของฮาจิโกะ** สุนัขผู้ซื่อสัตย์
Hachiko Monogatari

ย่านชิบูยะ ในประเทศญี่ปุ่น มีรูปหล่อสุนัขตัวหนึ่ง ชาวญี่ปุ่นหลายคนรู้จักมันเป็นอย่างดี มันตัวแทนให้ระลึกถึงความรัก และมิตรภาพระหว่างคนกับสุนัข
เจ้าฮาจิโกะ (Hachikō) สุนัขพันธุ์อากิตะ (Akita)

อ่านเรื่องราวได้ที่

http://www.thailandsusu.com/webboard/index.php?topic=117723.0

นานๆดูหนังดี ดูแล้วคนที่บ้าน ขี้มูกโป่งไม่หยุดเลย

(ขอบคุณรูป เรื่องจาก internet)


ภาพเชิงซ้อน

179 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 12 กุมภาพันธ 2011 เวลา 9:36 ในหมวดหมู่ งานพัฒนาสังคม, เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 6032

ความโยงใยของแต่ละชีวิต หากเอาเส้นมาลากถึงกัน

และให้สีสันแสดงความหมายของลักษณะการโยงใย

หรือความสัมพันธ์ เกี่ยวข้องกัน

โฮ…รูปร่าง ภาพ หน้าตาจะเป็นอย่างไร

คงพิลึกพิลั่น หรือวิจิตรพิสดาร

ในทางสังคมวิทยาก็มีการศึกษาเรื่องนี้อยู่

ที่เรียกว่า Sociogram หรือ Mobility mapping ซึ่งเป็น PAR Tool ขนิดหนึ่ง

นักสังคมชุมชน หรือนักอะไรก็ได้ลองทำดูก็น่าสนใจนะ

เช่น เวลาเข้าสู่ชุมชนอยากทราบว่าใครคือที่พึ่งแท้จริงก็ลองทำ village mapping

แล้วเอาชื่อคนใส่เข้าไปตรงจุดที่เป็นที่ตั้งบ้าน

อาจใส่รายละเอียดมากกว่านี้ก็ได้..

แล้วไปพูดคุยใครต่อใครในหมู่บ้านว่า

หากเจ็บป่วยไม่ทราบสาเหตุ ไปหาใคร

เวลาขาดแคลนเงิน แต่จำเป็นต้องใช้ ไปพึ่งใคร

เวลา เด็กทะเลาะกัน ตีกัน ไปหาใคร

หากตั้งคำถามนี้กับหลายๆคนก็จะได้คำตอบ

ที่เป็นชื่อคนในชุมชนที่มีคนระบุมากน้อยแตกต่างกันไป

แค่นี้ก็ทราบเบื้องต้น แล้วว่าใครเป็นใครในชุมชนนั้นๆ

แม้ว่าสังคมใหม่จะจัดบทบาทหน้าที่ชัดเจนไปแล้วก็ตาม

บทบาทที่ซ้อนบทบาทก็มีอยู่มากมาย

นี่คือภาพซ้อนในสังคม ที่น่าสนใจ

เราใช้บ่อยในงานชุมชน เพราะเราเป็น “คนนอก” ที่อยากเข้าใจ “คนใน”

ใช้ได้ดีครับ

ยิ่งมีแผนที่หลายแผ่นแสดงการเข้ามา อพยพ เกี่ยวดอง ฯลฯ

ของครอบครัว คนในชุมชนในช่วงเวลาที่ผ่านมา

ทราบรายละเอียดพัฒนาการ เรื่องราวสำคัญๆของชุมชน

เราจะยิ่งเข้าใจ ชุมชนมากกว่ารายงานปกติ

เราเข้าไปศึกษาสังคมชุมชนลาวว่า

ทำไมจึงมาตั้งโรงงานสูบน้ำที่บ้านนี้

หากไม่ถามโดยทั่วไปก็ต้องนึกถึงความเหมาะสมทางกายภาพ

ตามหลักวิศวกรรมชลประทาน

นั่นอาจจะใช่ส่วนหนึ่ง แต่เมื่อศึกษาลึกๆ ทราบว่า

เพราะรัฐ “ต้องการตอบแทนชุมชนนี้ที่เป็นกำลังหลักในการปลดปล่อยประเทศ”

….?….


นั่งจนพุงอืด

341 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 11 กุมภาพันธ 2011 เวลา 16:35 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 3968

อยู่ที่ RDI-KKU กับลุงเปลี่ยน

เตรียมเอกสารสำหรับสัมนาวันที่ 14-15 ก.พ. นี้

ที่ โรงแรมโฆษะ ขอนแก่น

ผู้หลักผู้ใหญ่จะมาฟังเราสรุปงาน

พรุ่งนี้ลุงเปลี่ยนก็แอบเหาะกลับหงสาแล้ว

ผมยังมีงานเขียนรอข้างหน้าอีกหลายเล่มเกวียน อิอิ

มาบ่นเหมือน จอมป่วน อ่ะ


บนรถเมล์ระหว่างประเทศ

113 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 5 กุมภาพันธ 2011 เวลา 0:15 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2280


หายไปหลายวันเพราะไปทำงานในเวียงจันมา เขียนแต่รายงานจนนิ้วบวมครับ  อิอิ

นั่งรถบัสระหว่างประเทศ มันก็เกือบไม่ต่างรถเมล์ต่างจังหวัดในบ้านเราที่มีความสบายๆ อยากจอดก็จอด เกิดจะไม่จอดก็ทำให้ผู้โดยสารนั่งหน้าเขียวหน้าเหลือง ก็ปวดท้องฉี่น่ะซี พอถึงเป้าหมายวิ่งกันจู๊ดๆ


วันที่ผมเดินทางไปนั้น แปลกที่ผมเอากระเป๋าใบใหญ่ไปด้วยและมีเป้เอาคอมเครื่องมือหากินและเอกสารเต็มไปหมด กระเป๋าเสื้อผ้าทุกครั้งก็เอาใส่ท้องรถ มาครั้งนี้ เขาบอกว่าคนไม่มากเอาไว้ข้างบนเถอะ เดี๋ยวจะมีกล่องสินค้าจำนวนมากใส่ท้องรถ หิ้วเอากระเป๋าขึ้นไปเลย…

คนก็ไม่มากเหมือนทุกเที่ยวแหละ มีสัก 15 คนทั้งที่สามารถนั่งได้ ประมาณ 40-45 คน ปกติรถจะจอด 1 ครั้งที่ ปั้มน้ำมันเลยจังหวัดอุดรธานีไปหน่อยเดียว เพื่อให้ผู้โดยสารเข้าห้องน้ำ มาคราวนี้จอดเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ปั้มน้ำมันแห่งเดิมๆ และไปจอดในที่ที่ผิดปกติกว่าที่ควรจะจอด เมื่อทุกคนเดินเข้าแถวเข้าห้องน้ำกลับออกมาก็ร้องอ๋อ….ที่ให้เราเอากระเป๋าขึ้นไปไว้ข้างบนเพราะนี่เอง ก็แม่ค้าลาวมาซื้อสินค้าในอุดรแล้วเอาขึ้นรถโดยสารคันนี้เข้าประเทศ ทุกครั้งก็พอเห็นแต่ไม่มาก คราวนี้เป็นคันรถปิคอับเลย

ท่านคงเอาออกนะครับว่ายามนี้พ่อค้าแม่ค้าเขาซื้ออะไรตุนอะไร ก็”น้ำมันพืช”ซิครับ สองคันรถปิคอับ รีบขนใส่ท้องรถและเอาขึ้นไปห้องผู้โดยสารข้างหลังอีกเต็มหมด นอกจากนี้ก็มีกระสอบเมล็ดพันธ์แตงโมน่าจะประมาณ 40 ถุง เดาออกนะครับ ทุกด่านก็หากินกับการค้าขาย เจ้าหน้าที่ด่านก็หรีตาข้างหนึ่งซะ แม่ค้าก็ยินดีควักกระเป๋า…..เฮ่อ

เมื่อรถถึงนครเวียงจัน คนขับรถสามล้อเครื่องก็มาแย่งลูกค้าตรงประตูนั่นแหละ ผู้โดยสารแทบจะเดินลงไม่ได้ ต่างตะโกนหาลูกค้า เมื่อผมได้คันหนึ่ง ตกลงราคากันได้ พอออกรถ เจ้าคนขับก็เสนอสินค้าทันที ..ผมไม่คาดหวังมาก่อนว่าจะได้ยินคำเชิญชวนเหล่านี้ จริงๆทุกครั้งที่นั่งรถเมล์แบบนี้มาแล้วไปต่อรถตุ๊กๆไปที่พักก็จะได้ยินคำเหล่านี้..ผมก็ตั้งคำถามในใจ..นี่หรือสังคมนิยม นี่หรือการปลดปล่อยประเทศ นี่หรือการขจัดสังคมเก่า การปฏิวัติสังคมนิยมก็มาพ่ายแพ้สังคมทุน ที่มุ่งหาเงิน ที่เป็นพระเจ้า โดยไม่สนใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้างกับสังคมลูกหลาน และอนาคตของชาติ…ผมคิดในแง่บวกว่า ระบบไม่ยอมแน่ให้มีสิ่งเหล่านี้ แต่การหลงหูหลงตาพนักงานรัฐ ก็มีสิ่งเหล่านี้โผล่ออกมา ตามการขยายตัวของสังคมเมือง และการท่องเที่ยว

ในขณะที่ในมือผมมีหนังสือชีวประวัติของท่าน “พูมี วงวิจิด” ผู้นำการปฏิวัติสังคมลาวคนหนึ่งที่โชกโชนกับการขับไล่ฝรั่งเศส ศักดินาและสังคมทุนนิยม ที่ผมนั่งอ่านมาตลอดทาง ลึกๆในมโนสำนึกผมคิดไปไกลว่างานของผมที่ทำอยู่นั้น ก็เป็นการปฏิวัติสังคมแบบหนึ่ง แต่อยู่ในรูปแบบพัฒนาสังคม ที่เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ตลอดเวลาที่ทำงานด้านนี้มาเราเห็นภาพคู่ขนานนี้มาจนชินตา….แต่เราก็ต้องทำ

หลายวันในชนบทลาวนั้น ผมเข้าเห็นสภาพชุมชน ผู้คน วิถี แม้จะยังฉาบฉวยเพราะเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง แต่ก็เห็นประเด็นความขัดแย้งมากมายภายใต้การปกครองแบบสังคมนิยม กับวัฒนธรรมชุมชนและทุนนิยม ผมต้องกราบขออภัยพี่น้องลาวถ้ามาอ่านบันทึกนี้ตรงนี้ว่า ไปเวียงจันก็เหมือนไปต่างจังหวัดของประเทศไทย เพราะใช้เงินบาท ทุกร้าน ทุกบ้าน ทุกโรงแรมเปิดแต่ทีวีไทย UBC ที่ส่งมาจากประเทศไทย ที่ไนท์คลับใต้โรงแรมเสียงเพลงไทยดังรอดออกมา เครื่องดื่มทุกชนิดมาจากประเทศไทย แม้ปลานิลตัวใหญ่ในตลาดก็มาจากหนองคาย นี่เป็นปกติที่พึ่งพากันในระบบทุน การตลาด กำลังการผลิต ศักยภาพของประเทศ..


และในทีวีนั้นคือแหล่งเผยแพร่วัฒนธรรมทุนนิยมที่เน้นการบริโภคแบบเกินความพอดีทั้งนั้น สาวลาวก็แต่งตัวเหมือนสาวไทยวัยรุ่น เด็กหนุ่มก็เลียนแบบ ตั้งแต่ผมบนหัวจนจรดรองเท้า..

วันที่ผมนั่งรถกลับบ้านขอนแก่น เจ้าหนุ่มลูกทุ่งคนหนึ่งนั่งหลังผม เขาร้องเพลงคลอไปตามเพลงที่ พนักงานขับรถเปิดเพลงลูกทุ่งให้ผู้โดยสารฟัง เขาร้องมาตลอดทางจริงๆ ตั้งแต่ออกจากด่านหนองคายยันขอนแก่น เขาพยายามหันปากไปทางกระจก แต่ผมนั่งอ่านหนังสือที่เก้าอี้ตัวหน้า เสียงเพลงทั้งจากลำโพงและจากไอ้หนุ่มข้างหลังมันร้องให้ผมฟังจน ผมทนไม่ไหว เอามืออุดหูหลายครั้ง ดันร้องเพราะซะอีก ลูกคอสั่นระรัวเลย นานไป เออ ก็ดีเหมือนกันนะ

ช่วงรถหยุดให้เข้าห้องน้ำ ผมถามต่อหน้าคนเยอะๆเลยว่า “อ้ายชอบร้องเพลงหรือ” ผมถามเชิงตำหนิว่าน่าจะเกรงใจคนอื่นบ้าง เขายิ้มพร้อมบอกตรงๆว่า “ใช่ครับผมชอบร้องเพลงมากครับ..” ฝรั่งที่นั่งถัดไปอ่านหนังสือมาตลอดส่ายหัวไปมา …

ผมก็คิดบวกไปซะ..ว่าเออ เรานั่งมาเที่ยวนี้มากับนักร้องลูกทุ่งก็แล้วกันนะ..อิอิ แต่อย่าให้เจอะทุกเที่ยวเลยนะ พอแล้ว…


เฮ 8

182 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 23 มกราคม 2011 เวลา 23:55 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1644

มีสมาชิกหลายท่าน เสนอให้จัดเฮ 8 หรือ เฮที่เท่าไหร่แล้วเนี้ย เท่าที่ทราบ อ.แป๋ว ป้าหวาน ป้าแดง และอีกหลายท่าน

ผมเห็นด้วยครับ

  • เราเว้นมานานพอสมควรไม่ได้จัด คิดถึงอยากพบปะกัน
  • ทำหนังสือมาก็หลายเล่มแล้ว คุยแลกเปลี่ยนแบบไม่เป็นทางการบ้างก็ดี
  • อยากปรึกษาหารือ สรุปบทเรียนเฮกันเพื่อร่วมมือช่วยเหลือกัน
  • ก็อยากพบกันอ่ะ
  • ฯลฯ

ต้องขอบคุณ อ.แป๋ว ป้าหวาน ป้าแดง มากๆนะครับที่เคาะกระดิ่งมาหลายครั้งแล้วใน FB ผมก็เสียมารยาทไม่ได้ตอบสนองป้าหวานเท่าที่ควร ขออภัยอีกทีนะครับ ผมกำลังอยู่ในหัวเลี้ยวหัวต่อของงานเก่ายังไม่ขาด งานใหม่กำลังโถมเข้ามา บางงานก็หนักอึ้ง และยังไม่มีตารางที่แน่นอนลงตัว เช่น บางทีสั่งด่วนมาว่า อีกสองวันไปไชยบุรีนะ อีก สองวันไปเวียงจันนะ เลยต้องเตรียมพร้อมตลอด กว่าจะลงตัวคงอีกสองสามเดือนน่ะครับ

เลยไม่กล้ารับปาก และไม่กล้าเดินออกหน้าเรื่องการจัดงานเฮ นะครับ

ช่วงนี้เป็นช่วงฤดูหนาว อากาศดี หากมีวันหยุดหลายวันเหมาะสมก็น่าจะจองวันล่วงหน้าจัดเฮกันอีกก็ดีนะครับ จะเอาตามที่ป้าหวานเสนอไว้ หรือที่ท่านอื่นๆเสนอไว้ก็ลองเคาะโต๊ะ ส่งเสียงกันก็ดีนะครับ

หนึ่งในนี้แว่วมาว่า ป้าแดงเสนอตัวอยากจัดที่หนองคายบ้าง ผมก็สนับสนุนครับ หนองคายมีสถานที่เยอะมากที่เหมาะจะจัด มีสถานที่เที่ยว พักผ่อน อาหารอร่อย ทิวทัศน์งาม คนก็งามด้วย อิอิ

อยากมาส่งเสียงอีกครั้งตามหลังป้าหวาน ป้าแดง อ.แป๋ว และอีกหลายคนว่าจัด เฮ 8 เหอะ

 

รักนะ จุ๊บๆ (อย่าเพิ่งอ๊วกซะก่อนล่ะ)


ทดลอง

329 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 23 มกราคม 2011 เวลา 21:51 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 11864

ช่วงเปิดโรงเรียนทุกเช้าที่บ้านจะได้ยินเพลงชาติ เพราะไม่ไกลกัน สมัยเด็กๆเรียนโรงเรียนวัด และคำว่า “บวร” หรือที่เรียก บ้าน วัด โรงเรียนนั้น เป็นภาพที่สัมพันธ์กันใกล้ชิดมาก เมื่อสังคมเปลี่ยนไป บทบาทวัดลดลง โรงเรียนเน้นความเป็นเลิศทางวิชาการ ลืมชุมชน แต่ชนบทนั้นยังพอมีให้เห็น


ภาพนี้จะเห็นว่าหลังบ้าน หลังโรงเรียนคือบึงใหญ่ที่รองรับน้ำ ที่เรียกแก้มลิง เวลาฝนตกหนัก ตัวเมืองขอนแก่นก็จะระบายน้ำออกมานี่ก่อนจะระบายลงลำน้ำพอง ไปลงน้ำชีต่อไป สมัยที่มาอยู่ใหม่ๆนั้น มีน้ำตลอดปี มีบัวขึ้น มีนกมาอาศัย มีชาวบ้านรอบๆไปหาปลา

ช่วงที่ไปทำงานลาว ก็เอาข้อมูลมานั่งเขียนรายงานที่บ้าน ห้องทำงานก็มี แต่ชอบทำงานที่ห้องนอน ดัดแปลงมุมห้องเป็นที่ทำงานไป เพราะอยู่สูงวิวดี มองไปทางบึงหญ้าเขียว ต้นไม้เขียว สดชื่นดี เบื่องานเขียนก็ลากเก้าอี้ไปนั่งระเบียงฟังเสียงนก ดูเจ้ากระรอกมาหากิน บางช่วงมีดอกไม้บาน ฤดูหนาวอากาศดี โอย ไม่อยากไปไหน บ้านเราคือวิมานจริงๆ


ต้นไม้หลังบ้านผมนั้นคือจามจุรี ต้นใหญ่อยู่ติดรั้ว ออกลูกหลานไปในบึง กลายเป็นที่ร่มของวัวชาวบ้าน และเพิ่งเห็นครูที่โรงเรียนมาใช้ต้นไม้นี้เป็นที่ฝึกลูกเสือ เนตรนารี เดินไต่เชือกระหว่างต้นไม้กัน ก็ดีมีประโยชน์ เด็กสนุกกัน ส่งเสียงวี้ดว้ายตามประสาเด็ก เพราะเล่นกัน บางคนไปแกว่งเชือก คนข้างบนก็กรี๊ดกัน ครูก็ยืนยิ้ม


แต่แล้วอีกไม่กี่วันถัดมา มีเด็กผู้ชายกลุ่มหนึ่งพากันเดินมาที่กลุ่มต้นไม้นี้ และข้ามฝั่งมาหลังบ้านผม และแอบไปนั่งกันข้างกอไผ่ หลังบ้านเพื่อนที่ติดกัน ผมแอบดูว่า เด็กพวกนี้หนีครูมาหรือไง แต่ไม่ใช่ เพราะเป็นเวลาเที่ยง มองไม่ถนัด เพราะมีใบต้นไม้บัง สักพักหนึ่งได้กลิ่นบุหรี่ เอ เด็กพวกนี้แอบมาสูบบุหรี่กันหรือ…


พยายามแอบดู โห…..ชัดเลย ไอ้หนูเอ๋ย แอบหลบครูที่โรงเรียนมาสูบบุหรี่กันที่นี่เอง มีการพกไฟแช๊ก แบ่งกันสูบ เวียนกัน ทั้งไอ้ตัวเล็กตัวใหญ่ แถมคุยกันลั่น ดูเหมือนสักสองมวนได้ แล้วก็ยกทัพเดินกลับโรงเรียนไป



วันรุ่งขึ้น พอเที่ยงละก็ ยกก๊วนกันมาอีกแล้ว สังเกตเขามาสูบบุหรี่เฉยๆ แล้วก็กลับไป แต่เราก็เกรงว่าวันหลังจะเลยมาขโมยของในบ้านหรือเปล่า คิดไปในทางไม่ดี

แต่มานึกสมัยเราเด็กๆเท่านี้ เราก็แอบผู้ใหญ่สูบบุหรี่เหมือนกัน มันไม่วิเศษวิโส สูบใหม่ๆสำลักจะตาย แถมเมาอีกพักใหญ่ๆ แต่ก็อยากลอง จนเกิดเรื่องจนได้ ลองไปลองมาไฟไหม้กองฟาง โดยพ่อจับตีซะรอบบ้านเลย ทิ้งไปนานมาสูบอีกทีก็ตอนเรียนมหาวิทยาลัย ตามเพื่อน แต่เหม็นปาก เสียเงิน ..แต่ก็สูบบ้างไม่สูบบ้างมาเรื่อยๆ โดยเฉพาะช่วงกินเหล้า กินเบียร์ สูบหนักจนลิ้นชา มาเลิกเอาจริงๆก็ ตอนมากินเจนี่แหละเกือบยี่สิบปีมาแล้ว

มองย้อนไปที่เด็กและโรงเรียนแห่งนี้ ผมว่าคุณครูก็คงสอน แนะนำ บอกกล่าวเรื่องเหล่านี้อยู่ตามปกติ แต่ก็มีเด็กส่วนหนึ่ง จำนวนหนึ่งที่ยังกล้าลองแบบแอบทำ

ผมนึกประเด็นว่า เอ การบอก การสอน การแนะนำ ในห้อง หน้าเสาธง ฯลฯ คงไม่พอ ในกรณีนี้ หากผมเอาหลักฐานทั้งหมดไปให้ครู เด็กพวกนี้ก็อาจโดนตีหน้าชั้น หน้าเสาธง หรือหนักก็ทำข้อตกลงกันมิให้ทำอีก แต่ก็ไม่สามารถกั้นได้ เพราะโอกาสมีมากมาย


เหมือนคุยกับ คนรู้จักกันว่า เขาทะเลาะกับลูกสาวบ่อย เพราะจับได้ว่าลูกสาวชอบนุ่งกางเกงขาสั้น แบบสมัยนิยม แม่ไม่ชอบให้ลูกสาวทำเช่นนั้น ลูกสาวก็นุ่งขาสั้นแล้วนุ่งขายาวทับ พอออกนอกบ้านก็เอาขายาวออก แม่จับได้ ก็โดยพ่อตีซะ ก็ไม่เข็ด เผลอก็เอาอีก

วัยอลวนนี้เป็นเรื่องใหญ่ของสังคม พฤติกรรมไม่พึงประสงค์นี้จะแก้ปัญหาอย่างไรหากไม่ใช้ไม้เรียว เหตุผลหรือ บางคนอาจได้ แต่จำนวนมาก ไม่สนใจ แต่ผมเห็นที่เยอรมัน(เคยไปเที่ยว) วัยรุ่นข้ามทางม้าลายโดยไม่ดูไฟสัญญาณ ผู้ใหญ่ที่เดินอยู่เรียกมาสอน แนะนำ ตักเตือนทันที ซึ่งไม่ใช่พ่อแม่เขา แต่เด็กสมัยนี้ในบ้านเรา เขาจะด่าให้ อย่ามา…เสือก..

ในกรณีเด็กมาสูบบุหรี่ข้างบ้านผมนั้น ผมไม่ได้เอาหลักฐานไปให้โรงเรียน ตั้งใจว่าจะลงไปคุยกับเขา

แต่สองสามวันมานี้ เขาไม่มา….


หอจดหมายเหตุพุทธทาส

151 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 22 มกราคม 2011 เวลา 23:53 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3567

แม้ว่างานจะล้นมือ คนข้างกายก็มานอนสัมผัสความหนาวที่เชียงราย ตามงานวิจัยของเธอ ผมก็ต้องลงมากรุงเทพฯด่วน ร่วมงาน มุทิตาจิต 78 ปี อคิน รพีพัฒน์ ที่หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ สวนรถไฟ จตุจักร กรุงเทพฯ เพราะท่านอาจารย์อคินนั้นเป็นที่เคารพรักของพวกเราเพราะท่าน “เป็นเจ้าที่ทำตัวเป็นไพร่” คนข้างกายผมก็เข้ามารับราชการกับท่านอาจารย์ครั้งแรกหลังจากจบที่ ISS ฮอลแลนด์ ซึ่งมีคนไทยหลายคนจบที่นั่น


หอจดหมายเหตุอยู่ตรงไหนก็ลองดูแผนที่ หรือดูไม่ออกก็เข้าไปที่ http://www.bia.or.th/ น่าสนใจมากครับ คนข้างกายบ่นเสมอว่า กรุงเทพฯมีข้อดีอย่างหนึ่ง มีสถาบันดีดีอยู่เยอะ มีงานแสดงดีดี บ่อย คนต่างจังหวัดไม่ค่อยมีโอกาสเช่นนั้น

ผมขอยังไม่กล่าวถึงงานเสวนาในงานมุทิตาจิต อาจารย์อคินนะครับ อยากแนะนำหยาบๆถึงหอจดหมายเหตุที่มีคุณค่าแห่งนี้ เชิญท่านที่สนใจ มากรุงเทพฯไม่รู้จะไปไหน มาที่นี่ครับ พาลูกหลานเข้ากรุงเทพฯก็อย่าไปเดินห้างอย่างเดียวนะครับ มาสัมผัสพุทธธรรมและศิลปะที่มีรากมาจากธรรมมากมาย ลงฝีแปลงโดยศิลปินสยามนามอุโฆษ หลายท่าน รวมทั้งท่านอาจารย์ผ่อง เซ่งกิ่ง แห่งอาศรมรุ่งอรุณที่ผมรักใคร่ท่านมาก


ผมไปงานก่อนเวลาจึงพบท่านอาจารย์ผ่อง ที่ผมไม่พบท่านมานานแล้ว เลยขอกอดท่านให้หนำใจกับความคิดถึง จริงๆท่านเป็นคนใต้ เป็นอาจารย์ที่ศิลปากร ทางด้านงานวาดรูป แล้วออกจากราชการมาทำงานเป็น NGO บ้านนอกที่ขอนแก่น มาช่วยท่าน อ.อคิน ทำหนังสือหลายเล่ม โดยท่านวาดรูปให้ หลังจากนั้นท่านก็ถือสันโดษไปปลูกกระต๊อปอยู่ในหมู่บ้าน พักใหญ่ ท่านจึงรู้ว่า แม้ว่าท่านจะรักชนบท รักชาวบ้าน แต่งานของท่านนั้นไม่เหมาะกับที่ที่อยู่ หากไปอยู่ในที่ที่เหมาะสมท่านจะทำงานได้มากกว่า จึงมาช่วยสอนหนังสือที่ มข.อีกครั้ง แล้วก็ลงกรุงเทพฯมาทำอาศรมตั้งแต่แรก


ขณะที่งานยังไม่เริ่มท่านก็ดึงมือผมไปดูงานของท่าน แล้วเล่าให้ฟังว่า หอจดหมายเหตุแห่งนี้ต้องการให้มีงานศิลปะมาประกอบตัวอาคาร โดยกลุ่มศิลปิน โดยให้วาดอะไรก็ได้ที่มีฐานมาจากธรรม แล้วศิลปินทั้งหมดก็เดินทางไปกราบท่าน ป.ปยุตโต ฟังท่านให้ธรรม แล้วศิลปินก็จำใส่หัวไปจินตนาการงานของตัวเองขึ้นมา อ.ผ่อง ก็ได้รูปที่เห็นนี้จำนวน 4 ภาพ อีกภาพหนึ่งไปติดไว้อีกแห่งหนึ่ง งานชิ้นนี้ต้องการแสดงธรรม ของธรรมชาติ ห้า ห้า ห้า คนบาปหนาอย่างผมฟังท่านไม่กระดิก รู้แต่ว่า ท่านใช้ความรู้ของศิลปินโบราณมาวาดรูปนี้คือใช้ เม็ดมะขาม ดินสอพอง แป้งฝุ่น และดินหม้อ แม้จะเสพศิลปะไม่กระดิกอย่างผม แต่ก็ทึ่งในความพยายามของท่าน


ดูซิครับแต่ละภาพมหึมา สวยงาม ยากที่ผมจะจินตนาการได้ว่า มนุษย์นี่ช่างสร้างสรรค์และประณีตจริงๆ งานแบบนี้หากไม่ได้ใช้พลังข้างในแล้ว อ.ผ่องกล่าวว่างานไม่เสร็จแน่นอน ทำงานแบบลงสีแปลงแรกสุดกับสีแปลงสุดท้ายนั้น ให้อยู่ในเรื่องเดียวกัน น้ำหนักฝีแปลง ความอ่อนช้อย สีสัน ฯลฯ ผมเองสัมผัสมหาศิลปินอย่างท่าน ถวัลย์ ดัชนีมาแล้ว พอเข้าใจพลังข้างในของศิลปินกลุ่มนี้

หากท่านมีโอกาสไปสถานที่แห่งนี้อย่าพลาดเดินขึ้นไปชั้นสองนะครับมีภาพหนึ่งที่สุดของที่สุดคือภาพนี้ครับ


เป็นภาพท่าน ป.ปยุตโต ท่านนายแพทย์บัญชา พงษ์พานิช กรรมการและเลขานุการมูลนิธิหอจดหมายเหตุพาทุกคนมาชมภาพนี้ ในภาพมีท่าน อ.อคิน รพีพัฒน์ อ.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อ.อมรา พงศาพิชญ์ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มาชมด้วย ท่านเดาซิว่ารูปนี้ใช้สีอะไรวาดรูป อ.ผ่องทนไม่ไหวเดินเข้ามาอธิบายเองว่า เป็นรูปที่มีอารมณ์ของท่าน ป.ปยุตโตจริงๆ ใช่เลย


ผมจำไม่ได้ว่าศิลปินที่วาดรูปนี้คือท่านใด แต่ฟังชัดหูว่า เป็นรูปเดียวในประเทศไทยตอนนี้ที่ใช้ สีที่ใช้คือ “ดินเหนียว” วาดรูปนี้ อ.ผ่องกล่าวว่า ศิลปินท่านนี้ตระเวนไปทั่วประเทศเพื่อหาดินเหนียวที่มีคุณสมบัติเฉพาะ และสีสันต่างๆกัน เอามาสร้างรูปที่วิเศษสุดรูปนี้ จริงแล้วคือความรู้ดั้งเดิมของคนโบราณของบ้านเรา ไม่ใช่เอาเทคนิคนี้มาจากต่างประเทศนะครับ

ห้องหนังสือใหญ่โตของหอจดหมายเหตุ ท่านเดินหาหนังสือที่พอใจแล้วก็จ่ายเงินเอง ตามขั้นตอนที่เขาเขียนอธิบายไว้ ไม่มีใครมานั่งรับเงิน

มีมุมเล็กๆเป็นร้านอาหาร ที่ เขาเอาข้าวใส่ถุงพลาสติก ใส่ตะกร้า เอากับข้าวใส่ถุงพลาสติกแล้วใส่ตะกร้า มีจาน มีช้อน ใครอยากซื้อก็มาเดินเลือกเอาไปนั่งกิน จ่ายเงินเอง กินแล้วล้างจานด้วยนะ

มีสตรีสูงอายุหลายท่านเป็นพนักงาน เดินเอาผ้าชุบน้ำเช็ดราวบันใด เช็ดตรงโน้น ตรงนี้ เอาฝุ่นออกไป เป็นงานที่น่ารักมาก ท่านอุทิศเวลามาทำงานให้กับสถานที่แห่งนี้ ผมเชื่อว่าท่านไม่ได้ค่าจ้างแต่อย่างใด ท่านมาทำบุญเพื่อทุกท่านที่เดินเข้ามาแห่งนี้


ผมรักสถานที่แห่งนี้จริงๆ มีห้องกว้างใหญ่ที่เปิดด้านที่มองไปเห็นสวนรถไฟ ผ่านหนองน้ำ งามจริงๆ เหมาะที่จะจัดเสวนาธรรม หรือทำ workshop เกี่ยวกับสมาธิ ฝึกจิต อะไรทำนองนี้ และก็มีโปรแกรมแบบนี้ทุกวันหยุดด้วย

บางท่านเคยไปมาแล้ว

ส่วนผมมาเป็นครั้งแรก

อิจฉาคนกรุงเทพฯ จริงๆครับ



อุบัติเหตุ ๒

80 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 22 มกราคม 2011 เวลา 0:10 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1342

ผมทิ้งค้างเรื่องอุบัติเหตุที่แขวงไชยบุรีไว้อีกตอน เพราะ งานยุ่ง ผ่านอุบัติเหตุรถลงข้างทางไปแล้ว ก็ตกใจกันพอสมควร ดีที่เจ้านายมาประสพเองย่อมคิดไปถึงทีมงานที่ใช้ชีวิตในสนามตลอดเวลาว่ามีความเสี่ยงต่อเรื่องอุบัติเหตุมากกว่าหลายเท่านัก เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะพลาด ก็ต้องพึงระมัดระวังและเตรียมพร้อมตลอดเวลา โดยเฉพาะยานพาหนะที่เราใช้กันเป็นประจำ

วันที่ 2 ที่ไชยบุรี ประชุมกันแต่เช้า แลกเปลี่ยนกันถึงงาน ปัญหาอุปสรรค เดินทางไปดูพื้นที่ แล้วก็ไปทานอาหารเที่ยงในเมืองไชยบุรี แล้วเดินทางกลับหลวงพระบาง เพราะเจ้านายทั้งสองคนต้องเดินทางเข้ากรุงเทพฯเที่ยวบินเย็น คราวนี้ยุบเอาผมไปนั่งรถ Everest คันที่เกิดอุบัติเหตุเมื่อวานร่วมกับเจ้านาย เพราะรถ Vigo ต้องทำงานต่อที่ไชยบุรี ผมนั่งหน้าคู่กับพนักงานขับรถ

ท่านผู้แทน ชอ..ขอให้ใช้เส้นทางเดิมตอนออกจากเมืองไชยบุรี เพราะต้องการดูการก่อสร้างถนนว่าทำไปถึงไหนแล้ว สภาพเป็นอย่างไร แล้วก็ไปบรรจบถนนสายหลักตรงด่านเก็บเงินของท้องถิ่น ถนนทั้งสายจากไชยบุรีไปหลวงพระบางนั้นเป็นลูกรัง และกรวด เมื่อไม่มีฝนตกถนนแห้ง ฝุ่นก็เริ่มมี


ข้ามแม่น้ำโขงด้วยเรือเฟอรี่ ผ่านเมืองนาน แล้วก็ขึ้น “ภูสแกน” ที่ถนนลาดยางขึ้นดอยไม่กี่กิโลเมตร พนักงานขับรถคุยกับผมว่า ภูสแกนแต่ก่อนที่ยังไม่ได้ลาดยางนั้น มีอุบัติเหตุเอาชีวิตคนไปมากมายนับร้อยนับพัน เขาว่างั้น ในทัศนะผมคิดว่าหากรถมีสภาพที่ไม่สมบูรณ์ และประมาท ก็เกิดอันตรายได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะช่วงลงจากยอดดอย จะวิ่งเร็ว ทางโค้งเยอะ เบรกไม่ดี ถนนลื่น หลับใน มีสิทธิ์เกิดอุบัติเหตุได้ตลอดเวลา

มีรถบรรทุก ปิกอัพ รถโดยสาร เก๋ง แม้มอเตอร์ไซด์สวนทางมาบ้าง ที่วิ่งตามกันก็มี แต่ไม่หนาแน่น รถวิ่งขึ้นดอยทางสูงชันข้างหน้าไปเรื่อยๆ แต่แล้ว…..

ขณะที่เรากำลังจะแซงรถคันหนึ่ง สังเกตรถของเราไม่วิ่งขึ้นไป มันช้าลง ช้าลง อย่างผิดปกติ พนักงานขับรถลองเปลี่ยนเกียร์ แม้จะเป็นแบบ ออโต ทันใดนั้นพนักงานขับรถก็บอกว่า “เข้าเกียร์ไม่ได้ครับ ไม่ทราบรถเป็นอะไร” เหยียบเครื่องเร่ง แต่รถไม่วิ่งและแล้วที่กระโปรงรถก็มีควันดำทะมึน ส่งกลิ่นเหม็นน้ำมัน


พนักงานขับรถเบรกรถ แล้วค่อยๆถอยหลังเข้าข้างทางอย่างช้าๆ ขณะที่ควันออกจากหน้ารถโขมงไปหมด เมื่อรถจอดสนิท ทุกคนรีบลงมา พนักงานขับรถเปิดฝากระโปรงรถดู พบว่ามีน้ำมันอะไรสักอย่างกระเด็นเต็มห้องเครื่องไปหมด


ที่พื้นถนนมีน้ำมันหกราดเป็นทางยาว ซึ่งอันตรายเพราะมันลื่น.. ไม่นานนักมีรถมอเตอร์ไซด์ชาวบ้านวิ่งขึ้นดอยไป เราไม่ทันคิดป้องกันอะไร มอเตอร์ไซด์คันนั้นก็ไปเหยียบน้ำมันเข้า ล้มลงทันที เท่านั้นเอง พวกเราต้องคอยวิ่งไปโบกรถให้ระมัดระวัง หลีกน้ำมันที่กองบนพื้นถนนนั้น ผมหักกิ่งไปปิด พอให้รู้ว่า ไม่ควรวิ่งทับตรงนี้

พนักงานขับรถคลำหาสาเหตุจนพบว่า สายท่อน้ำมันเกียร์หลุดทำให้น้ำมันไหลออกแล้วโดนเครื่องที่กำลังหมุนสาดใส่ทั่วห้องเครื่อง …. ต่างคนต่างคิดไปนานา ประการแรก จะแก้ปัญหารถคันนี้อย่างไร จะทำอย่างไรจึงจะเดินทางไปสนามบินได้ทัน เพราะเจ้านายต้องเข้ากรุงเทพฯ…

เจ้านายโทรบอกเจ้าของรถ Vigo บอกให้ทราบแล้วให้เอาช่างขึ้นมาซ่อมโดยด่วน แล้วโทรหาเพื่อนรักที่เป็นผู้กว้างขวางของลาว ขอร้องบอกให้เจ้าเมืองนานส่งรถมารับผู้โดยสารไปขึ้นเครื่องบินที่หลวงพระบางด่วน แล้วก็เดินไปเดินมา โทรสั่งการอะไรอีกหลายอย่าง รถบรรทุกจีนผ่านลงเขามาหลายคันอย่างช้าๆ เหยียบน้ำมัน แต่ไม่มีปัญหาสำหรับรถใหญ่ ดีซะอีกที่ทำให้น้ำมันกองนั้นหมดสภาพอันตรายลงไปทุกครั้งที่ล้อรถเหยียบผ่าน..


ขณะที่เราคอยการแก้ปัญหา คือ รถช่างมาซ่อม รถจากเจ้าเมืองนานมารับไปส่งหลวงพระบาง ก็ยังไม่มา เวลาก็ผ่านไป คำนวณระยะทาง เวลา และโอกาสที่จะทันเครื่องบินดูจะลดลงไปเรื่อยๆ เจ้านายโทรเข้ากรุงเทพฯสั่งการให้เลขา open เที่ยวบินหลวงพระบาง-กรุงเทพฯ และสั่งซื้อตั๋ว หลวงพระบาง-เวียงจัน เวียงจัน-กรุงเทพฯ ไม่นานเท่าไหร่ เลขาก็โทรตอบมาว่าเรียบร้อย…โฮ เราอยู่กลางป่ากลางดอยที่เมืองนาน ประเทศลาว สามารถสื่อสารสั่งการทุกอย่างได้หมด…นี่คืออำนาจของการสื่อสารไร้ขอบเขต


ในระหว่างรอนั่นเองผมก็เดินสำรวจพื้นที่ว่ามีต้นอะไรบ้าง มีอะไรข้างทาง เห็นเศษขยะก็ถ่ายรูปมาให้ดูว่า บนดอยสูงกลางป่าเมืองนาน ไชยบุรี มีสิ่งเหล่านี้อยู่จากน้ำมือมนุษย์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสัตว์ป่า สมัยทำงานที่ห้วยขาแข้ง เจ้าหน้าที่ป่าไม้เล่าให้ฟังว่านักท่องเที่ยวเอาปลากระป๋องไปกิน เปิดฝากินแล้วทิ้งกระป่องไว้ สัตว์ป่ามากิน เกิดติดจมูก ทำอย่างไรก็ไม่ออก จนเสียชีวิต..โธ่ ตายเพราะกระป่องปลากระป่อง…

พักใหญ่ๆ รถจากเจ้าเมืองนานก็มาเป็นปิกอัพสองตอน ฝุ่นเต็มไปหมดเลย เราเอากระเป๋าใส่กระบะด้านหลังแล้วก็นั่ง ผู้แทน ชอ.. สั่งคนขับรถว่า รีบไปสนามบินหลวงพระบาง เพราะมีคนจะลงกรุงเทพฯ เท่านั้นเอง ปิกอัพคันฝุ่นเต็มรถก็ห้อตะบึงตามคำสั่ง จนรู้สึกว่า อันตรายเกินไป ที่รีบไปสนามบินเพราะหากทันก็ไปตามกำหนดการเดิม หากไม่ทันก็ใช้ทางเลือกที่สองคือนั่งเครื่องไปลงที่เวียงจัน แล้วต่อจากเวียงจันเข้ากรุงเทพฯ

ระหว่างทางทุกคนพูดว่า ทำไมถึงเกิดอุบัติเหตุขึ้นอีกกับรถคันเดิม สันนิฐานว่า ช่วงเมื่อวานที่เกิดอุบัติเหตุนั้น ท้องรถคงไปครูดกับกองดิน และต้นไม้ กิ่งไม้ โดยพนักงานขับรถไม่เอ๊ะใจ ไม่ตรวจสอบให้ถ้วนถี่ แค่เอารถไปล้างให้สะอาด เท่านั้นเอง …นี่คือบทเรียน ต่างนึกไปว่า หากไม่ใช่สายน้ำมันเกียร์ แต่เป็นสายน้ำมันเบรกล่ะ…. โอ…ไม่อยากนึกเลย…..เจ้านายผู้ชายนั่น คนในเล่ากันว่ากำลังมีสิทธิ์ขึ้นเป็นผู้บริหารสูงสุด ท่านประธานปัจจุบันกำลังจะวางมือ… สำหรับผมนั้นแม้ตัวใหญ่ แต่ก็แค่เบี้ยที่หยิบเดินเท่านั้นเอง…

เราถึงหลวงพระบางเห็นคนโดยสารเดินขึ้นเครื่อง ก็คิดว่าทัน รีบลงไปแสดงตนว่าต้องการไปเที่ยวนี้ด้วย เจ้าหน้าที่การบินลาวบอกว่า ปิดรับผู้โดยสารแล้ว….

รถคันเดียวกันเกิดอุบัติสองครั้งในสองวันติดต่อกัน…

เจ้านายทั้งสองสามคนคือผู้บริหารระดับสูงของบริษัท..

เป็นอีกบทเรียนหนึ่งในชีวิตทำงานชนบท…



Main: 0.10537695884705 sec
Sidebar: 0.043792963027954 sec