ผมทิ้งค้างเรื่องอุบัติเหตุที่แขวงไชยบุรีไว้อีกตอน เพราะ งานยุ่ง ผ่านอุบัติเหตุรถลงข้างทางไปแล้ว ก็ตกใจกันพอสมควร ดีที่เจ้านายมาประสพเองย่อมคิดไปถึงทีมงานที่ใช้ชีวิตในสนามตลอดเวลาว่ามีความเสี่ยงต่อเรื่องอุบัติเหตุมากกว่าหลายเท่านัก เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะพลาด ก็ต้องพึงระมัดระวังและเตรียมพร้อมตลอดเวลา โดยเฉพาะยานพาหนะที่เราใช้กันเป็นประจำ
วันที่ 2 ที่ไชยบุรี ประชุมกันแต่เช้า แลกเปลี่ยนกันถึงงาน ปัญหาอุปสรรค เดินทางไปดูพื้นที่ แล้วก็ไปทานอาหารเที่ยงในเมืองไชยบุรี แล้วเดินทางกลับหลวงพระบาง เพราะเจ้านายทั้งสองคนต้องเดินทางเข้ากรุงเทพฯเที่ยวบินเย็น คราวนี้ยุบเอาผมไปนั่งรถ Everest คันที่เกิดอุบัติเหตุเมื่อวานร่วมกับเจ้านาย เพราะรถ Vigo ต้องทำงานต่อที่ไชยบุรี ผมนั่งหน้าคู่กับพนักงานขับรถ
ท่านผู้แทน ชอ..ขอให้ใช้เส้นทางเดิมตอนออกจากเมืองไชยบุรี เพราะต้องการดูการก่อสร้างถนนว่าทำไปถึงไหนแล้ว สภาพเป็นอย่างไร แล้วก็ไปบรรจบถนนสายหลักตรงด่านเก็บเงินของท้องถิ่น ถนนทั้งสายจากไชยบุรีไปหลวงพระบางนั้นเป็นลูกรัง และกรวด เมื่อไม่มีฝนตกถนนแห้ง ฝุ่นก็เริ่มมี
ข้ามแม่น้ำโขงด้วยเรือเฟอรี่ ผ่านเมืองนาน แล้วก็ขึ้น “ภูสแกน” ที่ถนนลาดยางขึ้นดอยไม่กี่กิโลเมตร พนักงานขับรถคุยกับผมว่า ภูสแกนแต่ก่อนที่ยังไม่ได้ลาดยางนั้น มีอุบัติเหตุเอาชีวิตคนไปมากมายนับร้อยนับพัน เขาว่างั้น ในทัศนะผมคิดว่าหากรถมีสภาพที่ไม่สมบูรณ์ และประมาท ก็เกิดอันตรายได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะช่วงลงจากยอดดอย จะวิ่งเร็ว ทางโค้งเยอะ เบรกไม่ดี ถนนลื่น หลับใน มีสิทธิ์เกิดอุบัติเหตุได้ตลอดเวลา
มีรถบรรทุก ปิกอัพ รถโดยสาร เก๋ง แม้มอเตอร์ไซด์สวนทางมาบ้าง ที่วิ่งตามกันก็มี แต่ไม่หนาแน่น รถวิ่งขึ้นดอยทางสูงชันข้างหน้าไปเรื่อยๆ แต่แล้ว…..
ขณะที่เรากำลังจะแซงรถคันหนึ่ง สังเกตรถของเราไม่วิ่งขึ้นไป มันช้าลง ช้าลง อย่างผิดปกติ พนักงานขับรถลองเปลี่ยนเกียร์ แม้จะเป็นแบบ ออโต ทันใดนั้นพนักงานขับรถก็บอกว่า “เข้าเกียร์ไม่ได้ครับ ไม่ทราบรถเป็นอะไร” เหยียบเครื่องเร่ง แต่รถไม่วิ่งและแล้วที่กระโปรงรถก็มีควันดำทะมึน ส่งกลิ่นเหม็นน้ำมัน
“
พนักงานขับรถเบรกรถ แล้วค่อยๆถอยหลังเข้าข้างทางอย่างช้าๆ ขณะที่ควันออกจากหน้ารถโขมงไปหมด เมื่อรถจอดสนิท ทุกคนรีบลงมา พนักงานขับรถเปิดฝากระโปรงรถดู พบว่ามีน้ำมันอะไรสักอย่างกระเด็นเต็มห้องเครื่องไปหมด
ที่พื้นถนนมีน้ำมันหกราดเป็นทางยาว ซึ่งอันตรายเพราะมันลื่น.. ไม่นานนักมีรถมอเตอร์ไซด์ชาวบ้านวิ่งขึ้นดอยไป เราไม่ทันคิดป้องกันอะไร มอเตอร์ไซด์คันนั้นก็ไปเหยียบน้ำมันเข้า ล้มลงทันที เท่านั้นเอง พวกเราต้องคอยวิ่งไปโบกรถให้ระมัดระวัง หลีกน้ำมันที่กองบนพื้นถนนนั้น ผมหักกิ่งไปปิด พอให้รู้ว่า ไม่ควรวิ่งทับตรงนี้
พนักงานขับรถคลำหาสาเหตุจนพบว่า สายท่อน้ำมันเกียร์หลุดทำให้น้ำมันไหลออกแล้วโดนเครื่องที่กำลังหมุนสาดใส่ทั่วห้องเครื่อง …. ต่างคนต่างคิดไปนานา ประการแรก จะแก้ปัญหารถคันนี้อย่างไร จะทำอย่างไรจึงจะเดินทางไปสนามบินได้ทัน เพราะเจ้านายต้องเข้ากรุงเทพฯ…
เจ้านายโทรบอกเจ้าของรถ Vigo บอกให้ทราบแล้วให้เอาช่างขึ้นมาซ่อมโดยด่วน แล้วโทรหาเพื่อนรักที่เป็นผู้กว้างขวางของลาว ขอร้องบอกให้เจ้าเมืองนานส่งรถมารับผู้โดยสารไปขึ้นเครื่องบินที่หลวงพระบางด่วน แล้วก็เดินไปเดินมา โทรสั่งการอะไรอีกหลายอย่าง รถบรรทุกจีนผ่านลงเขามาหลายคันอย่างช้าๆ เหยียบน้ำมัน แต่ไม่มีปัญหาสำหรับรถใหญ่ ดีซะอีกที่ทำให้น้ำมันกองนั้นหมดสภาพอันตรายลงไปทุกครั้งที่ล้อรถเหยียบผ่าน..
ขณะที่เราคอยการแก้ปัญหา คือ รถช่างมาซ่อม รถจากเจ้าเมืองนานมารับไปส่งหลวงพระบาง ก็ยังไม่มา เวลาก็ผ่านไป คำนวณระยะทาง เวลา และโอกาสที่จะทันเครื่องบินดูจะลดลงไปเรื่อยๆ เจ้านายโทรเข้ากรุงเทพฯสั่งการให้เลขา open เที่ยวบินหลวงพระบาง-กรุงเทพฯ และสั่งซื้อตั๋ว หลวงพระบาง-เวียงจัน เวียงจัน-กรุงเทพฯ ไม่นานเท่าไหร่ เลขาก็โทรตอบมาว่าเรียบร้อย…โฮ เราอยู่กลางป่ากลางดอยที่เมืองนาน ประเทศลาว สามารถสื่อสารสั่งการทุกอย่างได้หมด…นี่คืออำนาจของการสื่อสารไร้ขอบเขต
ในระหว่างรอนั่นเองผมก็เดินสำรวจพื้นที่ว่ามีต้นอะไรบ้าง มีอะไรข้างทาง เห็นเศษขยะก็ถ่ายรูปมาให้ดูว่า บนดอยสูงกลางป่าเมืองนาน ไชยบุรี มีสิ่งเหล่านี้อยู่จากน้ำมือมนุษย์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสัตว์ป่า สมัยทำงานที่ห้วยขาแข้ง เจ้าหน้าที่ป่าไม้เล่าให้ฟังว่านักท่องเที่ยวเอาปลากระป๋องไปกิน เปิดฝากินแล้วทิ้งกระป่องไว้ สัตว์ป่ามากิน เกิดติดจมูก ทำอย่างไรก็ไม่ออก จนเสียชีวิต..โธ่ ตายเพราะกระป่องปลากระป่อง…
พักใหญ่ๆ รถจากเจ้าเมืองนานก็มาเป็นปิกอัพสองตอน ฝุ่นเต็มไปหมดเลย เราเอากระเป๋าใส่กระบะด้านหลังแล้วก็นั่ง ผู้แทน ชอ.. สั่งคนขับรถว่า รีบไปสนามบินหลวงพระบาง เพราะมีคนจะลงกรุงเทพฯ เท่านั้นเอง ปิกอัพคันฝุ่นเต็มรถก็ห้อตะบึงตามคำสั่ง จนรู้สึกว่า อันตรายเกินไป ที่รีบไปสนามบินเพราะหากทันก็ไปตามกำหนดการเดิม หากไม่ทันก็ใช้ทางเลือกที่สองคือนั่งเครื่องไปลงที่เวียงจัน แล้วต่อจากเวียงจันเข้ากรุงเทพฯ
ระหว่างทางทุกคนพูดว่า ทำไมถึงเกิดอุบัติเหตุขึ้นอีกกับรถคันเดิม สันนิฐานว่า ช่วงเมื่อวานที่เกิดอุบัติเหตุนั้น ท้องรถคงไปครูดกับกองดิน และต้นไม้ กิ่งไม้ โดยพนักงานขับรถไม่เอ๊ะใจ ไม่ตรวจสอบให้ถ้วนถี่ แค่เอารถไปล้างให้สะอาด เท่านั้นเอง …นี่คือบทเรียน ต่างนึกไปว่า หากไม่ใช่สายน้ำมันเกียร์ แต่เป็นสายน้ำมันเบรกล่ะ…. โอ…ไม่อยากนึกเลย…..เจ้านายผู้ชายนั่น คนในเล่ากันว่ากำลังมีสิทธิ์ขึ้นเป็นผู้บริหารสูงสุด ท่านประธานปัจจุบันกำลังจะวางมือ… สำหรับผมนั้นแม้ตัวใหญ่ แต่ก็แค่เบี้ยที่หยิบเดินเท่านั้นเอง…
เราถึงหลวงพระบางเห็นคนโดยสารเดินขึ้นเครื่อง ก็คิดว่าทัน รีบลงไปแสดงตนว่าต้องการไปเที่ยวนี้ด้วย เจ้าหน้าที่การบินลาวบอกว่า ปิดรับผู้โดยสารแล้ว….
รถคันเดียวกันเกิดอุบัติสองครั้งในสองวันติดต่อกัน…
เจ้านายทั้งสองสามคนคือผู้บริหารระดับสูงของบริษัท..
เป็นอีกบทเรียนหนึ่งในชีวิตทำงานชนบท…