เที่ยวลาวใต้ 5 หลี่ผี คอนพะเพ็ง

419 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 14 มีนาคม 2010 เวลา 13:35 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 8365

ที่โรงแรมจำปาสักพาเลสนั้นห้องพักกว้างขวางมีความเป็นมาตรฐาน ที่แปลกคือ รอบห้องนั้นเป็นทางเดิน


อันเนื่องมาจากเดิมเป็นการก่อสร้างเป็นพระราชวังของเจ้าบุญอุ้ม ณ จำปาสัก แต่เกิดการเปลี่ยนแปลงเสียก่อนรัฐบาลใหม่จึงดัดแปลงมาเป็นโรงแรม ท่านดูรายละเอียดได้ที่นี่ ประวัติโรงแรมจำปาสักพาเลส

คณะรัฐมนตรีสมัยทักษิณเคยมาที่นี่และถ่ายรูปไว้ดังภาพซ้ายมือล่าง

หลังจากอาหารเช้าที่อยากทานเท่าไหร่ก็เชิญตามสบาย แต่มีแต่คนไทยไปแย่งกันเอง ผมเห็นการบริหารจัดการเรื่องอาหารแล้วยังด้อย และทานแบบทิ้งขว้างก็เยอะ เพราะเป็นบุปเฟต์ คนเราจึงตักอาหารมากันเต็มที่ แล้วทานไม่หมด คนนั้นคือคนไทยครับ

เราเดินทางไปดูน้ำตกหลี่ผี ระหว่างทางนั้นต้องหยุดพักและข้างทางให้ผู้โดยสารเข้าห้องน้ำ จึงมีอาชีพสร้างห้องน้ำขึ้นในลาวเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวซื้อบริการ ผมว่าเป็นการพัฒนารองรับการท่องเที่ยวที่บูมกันมากๆ ทำให้ผมย้อนไปนึกถึงการเดินทางไปเที่ยวเวียตนามในดินแดนลาวนั้นเส้นทางนั้นยังไม่มีบริการนี้ เมื่อนักท่องเที่ยวไทยนั่งรถไปเที่ยวต้องวิ่งเข้าป่าทั้งชายหญิง ทุลักทุเล ไม่ทราบว่าเส้นทางนั้นก่อสร้างห้องน้ำบริการแบบเส้นทางไปน้ำตกหลี่ผีหรือยัง


สักพักใหญ่ๆเราก็มาถึงท่าเรือเข้าไปในเขตสีพันดอน เพื่อเที่ยวดูน้ำตกหลี่ผี ข้ามเรือไปแล้วก็เห็นบริการห้องน้ำอีก เขียนเชิญชวนทั้งภาษาอังกฤษและภาษาลาว ว่า “บริการห้องน้ำ คนละ 1000 กีบ เท่ากับ 5 บาทไทย”


ที่นี่เรียกบ้านดอนเดด เราต้องนั่งรถ 5 แถว เปิดโล่งโจ่งพาเราไปหลี่ผี บนถนนแบบชาวบ้านจริงๆฝุ่นเต็มไปหมด เห็นนักท่องเที่ยวไทยหลายคันใส่หน้ากากกันทุกคน ถนนก็แคบเวลาสวนกันคันหนึ่งต้องหยุดเพื่อให้อีกคันไปก่อน หลายคนคงบ่นว่าล้าหลัง ฝุ่นเต็มไปหมด ทำไมไม่ลาดยางเหมือนฝั่งไทย ผมกลับคิดว่า เออ นี่แหละเสน่ห์อย่างหนึ่ง ฝรั่งหลายคนใช้วิธีเช่าจักรยานไปดูน้ำตก และเช่าโฮมเสตย์แถบนี้นอนกันเป็นสัปดาห์เลย


ระหว่างเส้นทางไปน้ำตกหลี่ผีนั้นไกด์สาวลาวชี้ให้ดูซากหัวรถจักรไปน้ำที่ฝรั่งเศสมาสร้างและทิ้งไว้ ผมนึกย้อนหลังคราวไปเที่ยวหลวงพระบางที่ไปดูหลุมศพ อองรีย์ มูโอต์ ชาวฝรั่งเศษที่มาสำรวจแม่น้ำโขงย้อนขึ้นไปจนไปเสียชีวิตที่หลวงพระบาง ก่อนเสียชีวิตเขาเขียนรายงานแล้วในที่สุดฝรั่งเศษต้องยกเลิกการยกกำลังที่จะบุกจีนทางแม่น้ำโขงเปลี่ยนไปเป็นแม่น้ำหอมในเวียตนามแทน แต่ก็ถือโอกาสยึดเวียตนาม เขมร ลาว และเกิดเรื่องราวกับไทยอย่างที่เราเรียนกัน

เจ้าหัวรถจักรนี้คือความพยายามที่จะยกเรือขึ้นบกเพื่อหลบหลักคอนพะเพ็ง หลี่ผี และเกาะแก่งต่างๆทีมีมากมายในแม่น้ำโขง ซึ่งที่มุกดาหารก็มีเรือมอริส เป็นประวัติศาสตร์ทิ้งไว้เพราะเรือบางลำได้นำขึ้นบกแล้ววิ่งขึ้นไปได้ เช่นมอริส แล้วพ่อค้าไทยหัวใสก็ซื้อมาจากฝั่งลาวมาทำร้านอาหารในแม่น้ำโขงที่มุกดาหาร ปัจจุบันเลิกใช้แล้ว จอดเฉยๆ ผมไม่ทราบเหตุผล อาจเป็นเพราะหลายปีที่ผ่านมาเกิดการยิงกันตายถึง 5 ศพในเรือลำนี้ก็ได้…


รถ 5 แถวพาเราไปจอดใกล้ๆหลี่ผีเราต้องเดินเข้าไปอีกสัก 30 เมตร ข้างทางก็มีร้านชาวบ้านมาขายกล้วยปิ้ง น้ำ ขนมพื้นบ้าน ส้มตำ


เราเดินถึงหลี่ผีก็เห็นนักท่องเที่ยวทั้งไทยทั้งฝรั่งต่างหามุมมองน้ำตกและถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอกัน มองเห็นหลี่ เครื่องมือจับปลาอันเป็นที่มาของชื่อหลี่ผี.. มีป้ายเตือนนักท่องเที่ยวระวังอันตรายที่อาจพลัดตกลงไปได้ ซึ่งมีบ่อยๆ


น่าตกใจที่มีแต่หิน น้ำมีนิดเดียว..??!!! เหลือเพียงร่องรอยระดับน้ำที่เคยมีอยู่ หากเดินทางเป็นพันกิโลจากไทยเพื่อมาดูหินก็เซ็งเป็ดเลย… ผมซูมกล้องไปที่น้ำใสๆก้นหลี่ผีก้พบเศษขยะมากพอสมควร ขวดเบียร์ กระป๋องเบียร์ และอื่นๆลอยวนอยู่ก้นหลี่ผีนั่น แหล่งท่องเที่ยวกับขยะเป็นของคู่กันนะ…อิอิ


พักพอหายเหนื่อยเราก็เดินทางกลับไปน้ำคกคอนพะเพ็งต่อ เส้นทางกลับก็ผ่านร้านขายสินค้าแบบในไทย ที่ท่าเรือดอดเดด ผมเห็นร้านขายเครื่องดื่มไทยหลายอย่างและมีน้ำตราหัวเสือของลาววางขายด้วย


ระหว่างทางนั่งเรือกลับ เราเห็นน้องหมายืนบนหัวเรือสวนทางกับเรา เขาคงกลับบ้านดอนเดดนะคงไม่ไปเที่ยวหลี่ผีแน่เลย อิอิ ที่ท่าเรือนั้น ผมสังเกตเห็นรถบรรทุกสินค้าเต็มลำ จึงเข้าไปถามว่าในเก่งนั่นคืออะไร เขาบอกว่าเป็นปลาจากแม่น้ำโขงจะเอาไปขายที่ปากเซ แล้วในถุงแดงๆสามใบนั้นคืออะไร เขาบอกว่าทั้งหมดนั่นคือยอดผักหวานป่า เท่านั้นเองผมก็ขอเขาเปิดดูแล้วสัมภาษณ์ใหญ่เลยมามาจากไหน เอาไปไหน ราคาเท่าไหร่ เก็บอย่างไร ชาวบ้านชอบกินไหม มีใครเอามาปลูกในสวนบ้างไหมหรือเอามาจากป่าอย่างเดียว…พบว่า มาจากดอน หรือป่าที่เป็นเกาะแก่งกลางแม่น้ำโขง และจำนวนมากมาจากเขมร ราคากิโลกรัมละ 80-100 บาทไทย ใจผมนึกอยากหิ้วกลับบ้านจัง เพราะในไทยที่มุกดาหารขาย กก.ละ 250-400 บาท


จากนั้นไกด์พาไปเที่ยวคอนพะเพ็งต่อ สวยสมใจครับ ยิ่งใหญ่สมราคาคุยจริงๆ ใครไม่รู้ตั้งสมญาว่า “ไนแอการาแห่งเอเซีย” ผมก็ยกมือให้สุดๆ ดูซิครับสภาพแบบนี้ตลอดทั้งปี แม้ฤดูน้ำหลาก น้ำก็จะมากกว่านี้แต่สภาพไม่ต่างไปจากนี้เท่าไหร่ แล้วจะเอาเรือข้ามไปได้อย่างไร ก็มีทางเดียวคือ ยกขั้นรถรางจากใต้คอนพะเพ็งไปเหนือคอนพะเพ็ง แล้วทำอย่างนี้เรื่อยไปตลอดแม่โขง แบบนี้ฝรั่งเศสสมัยนั้นจึงถอดใจ..


อยู่กับปลวก..

317 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 14 มีนาคม 2010 เวลา 10:35 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 6798

เพราะเราทั้งคู่ทิ้งบ้านให้เป็นที่นอนเล่นของผู้ช่วยแม่บ้าน แม้ว่าจะไม่ค่อยพอใจที่เธอไม่ค่อยทำงานเข้าตาเท่าไหร่ แต่ก็อยู่กันมานาน บอกอะไรก็ทำ แต่นานไปเธอก็ไม่ทำ อิอิ คิดเสียว่ารกคนดีกว่ารกหญ้า

แล้วมันเป็นไงล่ะ..

ปลวกซิครับท่าน ผมบ่นมาหลายบันทึกแล้ว ผมก็ควานหาวิธีการต่างๆที่ไม่ใช้สารเคมี


ป้าจุ๋มแนะนำไว้ ว่ามีเพื่อนที่รับทำการกำจัดปลวก ผมก็เก็บเป็นข้อมูลไว้..

น้องเบิร์ดแนะนำน้ำส้มสายชู เพราะหากถูกตัวเขาจะแสบแล้วเขาหนีไป..น่าสน

ไปบ่นให้พี่ใหญ่ที่ทำงานด้วยกันฟัง ท่านก็บอกว่า บ้านพี่นะก่อนสร้างเทปูน เอาแผ่นพลาสติกผืนใหญ่มาปูก่อนแล้วจึงเทปูน เขาว่ามันกลัวพลาสติก นี่ก็สร้างบ้านมานับสิบ สิบปีแล้ว ไม่มีปลวกครับ…เออ ผมก็เก็บข้อมูลไว้..

ไปค้นข้อมูล เขาว่า หัวกลอย หากเอามาฝานแล้วแช่น้ำเอาน้ำมาพ่นมันจะตายและหนีไป เอาหละได้การที่ดงหลวงมีกลอยเยอะจึงสั่งชาวบ้านหากลอยให้หน่อย…

วันนั้นแวะไปเอากลอยกับผู้เฒ่าในหมู่บ้าน พ่อใหญ่ถามว่า อาจารย์เอากลอยไปกินหรือ..ทำเป็นไหมล่ะ ..ผมบอกพ่อใหญ่ว่าไม่ได้เอาไปกินหรอก จะเอาไปหมักพ่นฆ่าปลวก…

พ่อใหญ่บอกพร้อมชี้ไปที่บ้านข้างๆว่า นี่..นี่..อาจารย์บ้านลูกสาวนี่ใช้เกลือครับ เกลือแกงเรานี่แหละเทใส่โคนเสาไปเลย ไม่มีปลวกซักตัว มันคงเค็ม เออ..ผมได้หลายวิธีแล้ว

วันหยุดสุดสัปดาห์ก่อนผมก็เอาทุกสูตรมารวมกัน ไปซื้อน้ำส้มสายชูมา 6 ขวด (ที่บ้านไม่ทานน้ำส้มสายชู ทานซีอิ้ว) ไปซื้อเกลือ เอาน้ำส้มควันไม้ หมักกลอย เอามาผสมกันกะว่า ฮื่อคราวนี้แหละปลวกก็ปลวกเถอะเห็นดีกัน…

วงกบข้างครัวเป็นที่ทดลองเพราะปลวกกัดกินจนโผล่หัวออกมาให้เห็น จัดการไปซื้อ ไซลิงค์แบบพลาสติก เอาเข็มแบบใหญ่มา จัดการซะบ้านเลอะไปเลย ทิ้งไว้สัปดาห์หน้าค่อยมาดู คนข้างกายก็ตระเวนไปทั่วประเทศ ผมก็เข้าดงหลวง ทิ้งบ้านไว้กับแจ๋ว ..ทั้งปี..อิอิ

ต่างคนต่างกลับมา ตรงรี่ไปดูผลงาน….ชะ ชะ ชะ ชะ เจ้าปลวกน้อย ยังก่อสร้างบ้านของเขาอยู่ เขี่ยเอาดินออกตัวเขาก็ร่วงลงมาเลย…สรุปว่าไม่ได้ผล หรืออาจเป็นเพราะผมทำไม่ถูกวิธี หรือเป็นเพราะเอามาผสมกันทุกอย่างแล้วฤทธิมันฆ่ากันเอง …

ผมขึ้นไปห้องนอน น้ำยาที่บริษัทมาฉีดไว้ ตรวจสอบดูก็ได้ผลเฉพาะส่วนที่พ่นน้ำยาไว้ ตรงอื่นๆผมยังได้ยินปลวกมันกัดพื้น ตัดสินใจยกเตียงออก เจาะพื้นกลางที่เตียงครอบอยู่

แม่เจ้า….อยากจะพูดให้เว่อไว้หน่อย ปลวกวิ่งพล่าน มากเป็นกำกำเลย ผมจัดการเอาน้ำยาที่บริษัททิ้งไว้ให้ราดลงไป ทีนี้ก็เกิดงานเข้าหละซี แกะตรงโน้นก็มี ตรงนี้ก็มี หมดกัน เลยตัดสินใจย้ายห้องนอนไปนอนข้างล่างห้องลูกสาวที่เจ้าตัวไม่อยู่เพราะมาทำงานกรุงเทพฯ ต้องรื้อพื้นปาเก้ และคงต้องทิ้งทั้งหมด ทำใหม่ ทีนี้คงปูกระเบื้องแล้วหละ…..

เราแพ้มันซะแล้ว สู้ไม่ไหว พิจารณามันเหมือนภูเขาน้ำแข็ง ส่วนที่เห็นคือส่วนภูเขาข้างบนน้ำ ส่วนที่อยู่ใต้น้ำซิ มากมายนัก….

ดูรูปข้างบนซิ ยังกะนวัตกรรมพิสดาร ที่ใครมาสร้างไว้ จริงๆคือผลงานของปลวกตัวเล็กๆนี่แหละ


ขอคารวะท่านผู้กล้า..

1500 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 13 มีนาคม 2010 เวลา 22:59 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 15847

 

ขอคารวะดวงวิญญาณท่านผู้กล้า

พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผกก.สภ.บันนังสตา จ.ยะลา

(ภาพจากมติชนออนไลน์)


โศลกแดง..

604 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 10 มีนาคม 2010 เวลา 20:36 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 11871

โศลกแดง


เราเกิดมาในบ้านหลังนี้ เรารักเราผูกพัน

เรารู้ว่าพี่น้องเราไม่เท่าเทียมกัน บางคนร่ำรวย บางคนยากจน

คนคนหนึ่งได้รับการศึกษา ในสถาบันระดับสูงของประเทศ

แต่อีกมากมายนักไม่มีโอกาสเช่นนั้น

คนที่ได้รับการศึกษาคนนั้นมีโอกาสมากมายที่จะเลือกทางเดินแห่งชีวิต

แต่เขาเลือกเดินลงสู่ชนบท เพราะเขารักบ้านหลังนี้

ความรักนี้ไม่ได้มากไปกว่าคนอื่นๆหรอก แต่เลือกที่จะยึดอาชีพการทำงานกับชนบท

ไม่มีเกียรติ์ และไม่มีความร่ำรวยรออยู่ข้างหน้า

มีแต่ปัญหาและความหวังดีและกล้าที่จะเผชิญพร้อมๆกับพี่น้อง

มาวันนี้บ้านหลังใหญ่หลังนี้เดือดร้อน เพราะคนในบ้านทะเลาะกัน

เราท่านก็รู้ดีว่าเพราะอะไร

ช่วยกันเถอะครับ…ช่วยเป็นหนึ่งในความพยายามที่จะให้พี่น้องเราหันหน้ามาคืนดีกัน

“หากเราไม่เป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหานี้ เราก็คือส่วนหนึ่งของปัญหานั่นเอง..”


ก็แค่อยาก..

105 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 9 มีนาคม 2010 เวลา 17:55 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3488

 


ผมมักจะจอดรถเมื่อรู้สึกหิว จึงแวะหาของขบเคี้ยว หรือจอดรถเพราะต้องการถ่ายรูปธรรมชาติ


ผมมักจะจอดรถเมื่อรู้สึกปวดฉี่ จึงแวะข้างทาง หรือจอดรถเพราะต้องการถ่ายรูปวิถีชีวิตข้างถนน


ผมมักจะจอดรถเมื่อรู้ว่ามีโทรเข้ามา จึงแวะข้างทาง หรือจอดรถเพราะต้องการถ่ายรูปเมฆสวยๆบนท้องฟ้า


ผมมักจะจอดรถเมื่อรู้ว่ามีสิ่งผิดปกติกับรถ จึงแวะข้างทาง หรือจอดรถเพราะต้องการถ่ายรูปวิวข้างทางที่สดสวย


ผมมักจะจอดรถเมื่อเห็นสัตว์กำลังข้ามถนน จึงแวะข้างทาง หรือจอดรถเพราะต้องการถ่ายรูปพระอาทิตย์สวยๆ

ก็แค่อยากถ่ายรูป อ่ะครับ


คนใต้คนหนึ่งที่ผมรู้จัก..

737 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 8 มีนาคม 2010 เวลา 23:14 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 8015

คิดถึงเพื่อนรักที่ชื่อนายสถาพร ศรีสัจจัง

เพราะน้องครูปูชักชวนเพื่อนลานไปงานบวชเม้ง และระบุโปรแกรมไปที่เกาะยอ เลยนึกถึงเพื่อนรักลูกช้างรุ่นเดียวกันที่เป็นคนที่มีพลังในการทำงานมากที่สุดคนหนึ่ง เมื่อวานซืนเขาเพิ่งโทรจากเกาะยอไปหาผมที่ขอนแก่นด้วยความคิดถึงกัน สถาพรชวนไปเที่ยวที่สวนที่เกาะยอ จะเลี้ยงไวน์ว่างั้น อิอิ พอดีผมและครอบครัวมีโปรแกรมลงใต้มาตรังช่วงเช็งเม้ง เขาก็ชวนให้ไปนอนคุยกันที่นั่น ผมเองก็มีเพื่อนรายทาง หลังสวน ชุมพร ภูเก็ต พังงา… แต่โปรแกรมครอบครัวติดขัดบางประการ..

เลยถือโอกาสนี้แนะนำเพื่อนรักสถาพร ศรีสัจจังคนมีพลังทำงานเหลือเฟือคนนี้ครับ

 

คำประกาศเกียรติคุณนายสถาพร ศรีสัจจัง
ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์
ประจำปี 2548

นายสถาพร ศรีสัจจัง ปัจจุบัน อายุ 55 ปี เกิดเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2493 ที่จังหวัดพัทลุง เป็นกวีและนักเขียนที่สร้างผลงานหลายประเภททั้งกวีนิพนธ์ เรื่องสั้น นวยนิยาย บทความ ปกิณกะคดี และวรรณกรรมเยาวชน ผลงานหลายเรื่องได้รับการยกย่อง ได้รับรางวัล และได้รับการแปลเป็นภาษาต่างประเทศ เช่น บทกวี “ดาวเหนือ” เรื่องสั้น เรื่อง “คลื่นหัวเดิ่ง” วรรณกรรมเยาวชนเรื่อง “เด็กชายชาวเล” เป็นต้น

สถาพร ศรีสัจจัง เป็นกวีและและนักเขียนที่เป็นนักคิด นักอุดมคติ และนักต่อสู้เพื่อสังคม ผลงานวรรณศิลป์ของสถาพร ผูกติดอยู่กับความเคลื่อนไหวและความเปลี่ยนแปลงทางสังคม สถาพรวัยหนุ่มอยู่ในช่วงที่ประชาชนถูกย่ำยีด้วยอำนาจอันไม่เป็นธรรม เขาเข้าร่วมกระบวนการต่อสู้นั้นด้วยพลังกาย พลังใจ และพลังปัญญาที่กลั่นออกมาเป็นเรื่องสั้นและบทกวีมากชิ้น งานเขียนของเขากล่าวแทนใจของนักต่อสู้คนหนุ่มสาวในยุคแสวงหา ผลงานของเขาจึงเป็นการสานต่อแนวคิดของกลุ่มวรรณกรรมเพื่อชีวิต และวรรณกรรมเพื่อประชาชน แม้ว่างานเขียนของสถาพร ศรีสัจจัง จะสะท้อนอัตลักษณ์ของท้องถิ่น แต่สามารถสร้างประสบการณ์ร่วมแก่ผู้อ่านทั่วไป สำหรับสถาพร ศรีสัจจัง อุดมคติ วิถีชีวิต และการสร้างสรรค์วรรณกรรมคือสิ่งเดียวกัน หากเป็นการเดินเรือ เขาหันหัวเรือเข้าสู่คลื่น ในงานวรรณศิลป์ เขาหันเข้าปะทะความไม่ถูกต้องอย่างไม่หวั่นกลัว ดังนั้น จุดเด่นในงานประพันธ์ของเขาคือ การสร้างจิตสำนึกในการต่อสู้กับความไม่ถูกต้องเป็นธรรม และการต่อสู้กับอุปสรรคปัญหาโดยไม่ย่อท้อหวาดหวั่น โดยใช้กลวิธีทางวรรณศิลป์ที่งดงาม คมคาย และเข้มข้นด้วยพลังอารมณ์สะเทือนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทกวีของเขามีลีลาจังหวะ และมีพลังเสียงที่ประสานกับพลังของถ้อยคำอย่างหนักแน่น บทกวีของเขาจึงมีความโดดเด่น มีน้ำเสียง เข้ม ห้วน และมีพลังแรง ราวประกาศเอกลักษณ์ของคนใต้ แต่ขณะเดียวกันมีความหวานซึ้งของอารมณ์กวี สถาพรมีความจัดเจนในถ้อยคำ เขาสามารถเล่นคำ เล่นเสียง ผสานคำท้องถิ่นและส่วนกลางได้อย่างมีรสอารมณ์ ยิ่งประกอบกับการที่เขามีความตระหนักในปัญหาของสังคม และมีความเข้าใจเห็นใจชีวิตของคนทุกข์ยากที่ถูกเอาเปรียบ กวีนิพนธ์ของเขาจึงเข้มข้นทั้งเนื้อหาและลีลาวรรณศิลป์ ขนอาจกล่าวได้ว่า กวีนิพนธ์ของสถาพร ศรีสัจจัง เป็นต้นแบบของตระกูลช่างสลักถ้อยคำ เป็นงานวรรณศิลป์ที่สืบสานต่อมาในกลุ่มกวีร่วมสมัยที่เป็นชาวใต้ เป็นนักอุดมคติที่ไฟไม่เคยมอด ด้วยฝีมือในเชิงช่างวรรรศิลป์ที่ไม่เคยตก สถาพร ศรีสัจจัง ยังสร้างผลงานอย่างต่อเนื่อง และเป็นแรงบันดาลใจแก่กวีและนักเขียนรุ่นน้องให้สืบต่ออุดมการณ์ความคิดและ สืบสานอัตลักษณ์แห่งวรรณศิลป์ของเขาต่อมา

สนใจผลงานเขาดูเพิ่มเติมที่ http://www.tsu.ac.th/ists/article/sathaporn/


เที่ยวลาวใต้ ปราสาทวัดพู 2

35 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 8 มีนาคม 2010 เวลา 19:41 ในหมวดหมู่ ทุนสังคม #
อ่าน: 3038

ตรงทางเข้าปราสาทวัดพูเราก็พบพิพิธภัณฑ์ ที่เขาห้ามถ่ายรูป แต่มีชาวฝรั่งเศสมาถ่ายทำสารคดี เขาคงขออนุญาตพิเศษ เราเข้าไปชมก็พบ อรรธนารีศวร ที่นี่ แต่ไม่สมบูรณ์เท่าที่อุบลฯครับ

ไกด์สาวพาเราเดินขึ้นปราสาทวัดพู ก่อนขึ้นไปมีชาวบ้านเอาเครื่องเซ่นไหว้พระรูปมาขาย เราซื้อมาแสดงคารวะ ต่อพระรูปตระหง่านก่อนทางขึ้นนั่น

ทางผ่านด้านล่างก่อนขึ้นปราสาทนั้นไกด์บอกว่ามีสามชาติมาสนับสนุนการฟื้นฟูมี อินเดีย ฝรั่งเศษ และอิตาลี

ช่วงที่ไปเที่ยวบังเอิญต้นลีลาวดีสองข้างบันไดขึ้นปราสาทกำลังออกดอก ดูสวยจริงๆเต็มไปหมด

เมื่อ สว.ปีนบันไดชันจำนวนนับร้อยขั้น ผลออกมา เฮ่อ…ขอน้ำเย็นดื่มหน่อย… ไกด์สาว ที่หอบหิ้วน้ำเย็นผ้าเย็นคอยบริการลูกค้า.. นี่ดีนะว่าลูกค้ามีแค่สามคน

เมื่อถึงชั้นปราสาทแล้ว พบชาวบ้านมาขายเครื่องบูชาพระรูปในตัวปราสาท ไปที่ไหนก็มีฝรั่ง อิอิ ฝรั่งคลานขึ้นคลานลงก็มีให้เห็น

นักท่องเที่ยวบางคนศรัทธามาก เอาขวดเปล่าไปรองน้ำที่หยดมาตามรอยแตกของหิน ถือว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ ด้านหลังปราสาทวัดพูมีร่องรอยงานแกะสลักที่ยังไม่แล้วเสร็จปรากฏอยู่

ด้านเหนือของตัวปราสาทมีก้อนหินใหญ่ก็มีร่องรอยของการแกะสลับรูปช้าง บันไดนาค และรอยลึกของจระเข้เพื่อประกอบพิธีกรรมต่างๆตามความเชื่อ..

นับว่าเป็นปราสาทที่สวยอีกแห่งหนึ่งที่น่าไปชม หากการฟื้นฟูตัวปราสาทด้านล่างสำเร็จหมด ก็จะยิ่งสร้างคุณค่าของปราสาทวัดพูอีกมากมาย

ดอกลีลาวดีที่พื้นบันไดหินนั้นเหมือนเทวดามาโปรยปรายให้เหล่ามนุษยชนขึ้นไปดื่มด่ำกับอดีตกาลที่มีศรัทธาที่ยิ่งใหญ่ ต่างเพื่อสันติและธรรมแห่งการอยู่ร่วมกัน..


วันสตรีสากล..สตรีในมุมของอดีต

3 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 8 มีนาคม 2010 เวลา 14:18 ในหมวดหมู่ ทุนสังคม #
อ่าน: 2044

เทวรูปอรรธนารีศวรพระองค์นี้อยู่ที่พิพิธภัณฑ์อุบลราชธานี อย่างที่บันทึกไปแล้ว และผมไปพบรูปนี้ที่พิพิธภัณฑ์ปราสาทวัดพู เมืองจำปาสัก ปากเซ ซึ่งเอารูปนี้ไปอธิบายเทวรูปที่เป็นวัตถุโบราณที่นั่น ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าและไม่งดงามเท่าที่อุบล มีคำบรรยายเป็นภาษาลาว ผมให้น้องไกด์อ่านให้ฟัง

มีตอนหนึ่งพยายามอธิบายความหมายเทวรูปที่มีสองเพศนี้โดยกล่าวว่า

“….เนื่องจากสตรีคือพลังแห่งการสร้างโลก…”

เนื่องในวันสตรีสากลจึงหยิบเอามุมนี้ของ “อรรธนารีศวร” มาบอกกล่าวกันครับ

..สตรีจงเจริญ..


เที่ยวลาวใต้ ปราสาทวัดพู 1

307 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 7 มีนาคม 2010 เวลา 21:48 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 7898

เช้าวันที่อบอุ่นเราออกเดินทางจากที่พักหอพักราชภัฏอุบลฯเราทิ้งรถของเราไว้ที่บริษัทนั่งรถตู้ที่เราซื้อบริการทัวร์เพียงครอบครัวเดียวไปรับลูกสาวที่บินมาจากรุงเทพฯแล้วก็ตรงสู่ช่องเม็กชานแดนไทยลาว

ถนนหลายช่วงชำรุดแต่ส่วนใหญ่ก็ใช้ได้ดี ทัวร์บกพร่องไปหน่อยไม่จัดการใบผ่านแดนให้เรียบร้อยทั้งที่บอกว่าจะจัดการไว้ล่วงหน้า แต่ก็ไม่ได้ใช้เวลามากนัก อาจเป็นเพราะจำนวนคนยังไม่มาก ปกติมากับทัวร์ เขาจะจัดการให้หมด ลูกค้าแค่นั่งคอย และพ่อค้าก็เข้าใจรู้ว่าไม่ว่าจะออกหรือจะเข้าคนที่ผ่านก็ต้องคอย

ดังนั้น บริษัทดาวเรืองของลาวจึงมาสร้างร้าน Duty free ขนาดใหญ่มาก ใหญ่กว่าที่ด่านสะหวันนะเขตเสียอีก และได้ผลจริงๆ พี่ไทยแห่เข้าร้านและซื้อ ซื้อ ซื้อ ส่วนมากก็คือ เหล้าฝรั่ง ไวน์ เครื่องสำอาง น้ำหอม คนทั่วไปก็ถือโอกาสเข้าห้องน้ำดีดีที่นี่ ทานกาแฟร้อนเย็น ซึ่งราคาแพงกว่าบ้านเรา อิอิ

เมื่อข้ามสะพานที่ญี่ปุ่นสร้างให้นั้น เราก็พบบ้านที่กำลังก่อสร้างทางตลิ่งซ้ายมือ มันใหญ่โตมาก ไกด์สาวบอกว่านี่คือบ้านของเจ้าของบริษัทดาวเรือง หรือ ดาวเฮือง ผู้ยิ่งใหญ่เรื่องกาแฟ อะราบิกา ของลาว

เราไม่เข้าที่พักก่อนตรงไปทานข้าวกลางวันและเลยไปเที่ยวปราสาทวัดพู อาหารกลางวันก็นับว่าใช้ได้ครับส่วนใหญ่เป็นปลา แม้ว่าผมจะทานไม่ได้แต่ครอบครัวก็เอร็ดอร่อย ทุกอย่าง แล้วเราก็มุ่งไปทางทิศใต้ตามเส้นทางหมายเลข 13 ของลาว แล้วต้องไปข้ามแพแม่น้ำโขงกลับไปอยู่ฝั่งขวาอีกครั้ง

ไกด์สาว นั่งบ่นอุบอิบไปตลอดทางที่จะข้ามแพ ถามได้ความว่า แพจะข้ามฝั่งได้ต้องรอรถมาเต็มแพ หากไม่เต็มก็ไม่ออกไป จะนานเท่าไหร่ก็ต้องรอ บังเอิญช่วงนี้ทัวร์มากันมากจึงไม่ต้องรอนาน แต่ดูสภาพแพยนต์แล้วแตกต่างจากที่เมืองไชยบุรีมาก ที่นั่นทันสมัยกว่ามาก โครงสร้างพื้นฐานของลาวต้องพัฒนาอีกมากครับ


เมื่อขึ้นอีกฝั่งก็มีร้านค้าท้องถิ่นขายสินค้าพื้นบ้าน แต่ก็ไม่มีรถคันไหนจอดให้คนลงไปชมต่างก็รีบมุ่งหน้าเดินทางต่อไปวัดพู ที่นี่คือเมืองจำปาสัก ดั้งเดิมจริงๆ ยังมีอาคารโบราณสมัยฝรั่งเศสปกครองหลงเหลืออยู่ และทำเป็น “เฮือนพัก” ให้ฝรั่งมาเช่าพักแบบ B&B หรือ Bed and Breakfast สำหรับพวกBackpacker


Tung Tung Xewa

93 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 6 มีนาคม 2010 เวลา 21:42 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1626

TATA Xenon หรือจะสู้ TungTung Xewa(ถุงถุงซิวะ), เป็นรุ่น Limited ใหม่ล่าสุด

Made in Thailand. Only use in Remote Area. มีจำนวนจำกัดจริงๆ เป็นรุ่นSuper พอเพียง เพราะจำกัดความเร็วที่ 20 กม./ชม. อยากได้ต้อง Order พิเศษ โดยต้องวางดาวน์ ที่บริษัทอัมเพิลริช เพียงแห่งเดียวเท่านั้น

พึงระวังสินค้าเลียนแบบ ของแท้ต้องมีถุงห้อยสองข้าง

ไม่มีวางขาย อยากได้ต้องสั่งเท่านั้น

หากท่านต้องการดูสินค้าก่อนสั่ง โปรดไปนั่งริมถนน สมเด็จ-กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ ตั้งแต่เช้าจรดเย็น เพราะไม่รู้ว่าจะผ่านมาเมื่อไหร่… อิอิ(ร้อนอ่ะ)


เที่ยวลาวใต้ 2

10 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 4 มีนาคม 2010 เวลา 22:50 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1238

ผมไม่ใช่นักสะสมพระเก่า และไม่มีความรู้เรื่องวัตถุโบราณ แต่เมื่อมาเห็นพระอรรธนารีศวรก็อดชื่นชมในความงามและความหมาย เชื่อว่าหลายๆท่านก็ไม่เคยเห็นมาก่อนยกเว้นท่านที่สนใจหรือเรียนมาทางนี้โดยตรง ผมเองนั้นรับรู้โดยสำนึกเสมอว่า ความเชื่อและศรัทธานั้นยิ่งใหญ่เสมอ สามารถทำในสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆได้


การสร้างพระรูปที่มีสองเพศในองค์เดียวกันนั้นคงมีความหมายลึกซึ้งมากกว่าจะสร้างขึ้นมาด้วยอารมณ์ขัน เมื่อศึกษาที่มาที่ไปก็ยอมรับ ความเชื่อ ความศรัทธาของบรรพบุรุษของพวกเรา


ทำไมถึงต้องสองเพศ คำอธิบายที่พิพิธภัณฑ์กล่าวไว้ว่า “รูปอรรธนารีศวร เป็นประติมากรรมเนื่องในศาสนาพราหม์ ลัทธิไศวนิกาย ที่สร้างขึ้นตามเรื่องราวระหว่างพระอุมาและฤาษีภิริงกิติ ผู้ซึ่งเคารพพระศิวะเพียงองค์เดียว ทำให้พระอุมาทรงพิโรธและสาปให้ร่างกายไร้เลือดเนื้อ ต่มาภายหลังพระนางทรงละอายต่อสิ่งที่ได้กระทำต่อฤาษีตนนี้ จึงคืนคำสาปและอธิษฐานขอให้พระวรกายของพระนางเข้าไปรวมเป็นส่วนหนึ่งขององค์พระศิวะ….. นับเป็นอรรธนารีศวรที่เก่ารูปหนึ่งเท่าที่พบในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้…”


ผมขออนุญาต อ.บัญชา ธนบุญสมบัติ หรือ น้องชิวของผม สำเนาสาระบางส่วนมาครับ

คำว่า อรรธนารีศวร มาจากคำ 3 คำ ได้แก่ อรรธ (ครึ่ง) + นารี (ผู้หญิง) + อิศวร (พระผู้เป็นเจ้า) หมายถึง เทพเจ้าผู้เป็นสตรีครึ่งหนึ่งนั่นเอง บางครั้งก็เรียกสั้นๆ ว่า อรรธนารี (Ardhanari) เฉยๆ ผู้ชายทางซีกขวาคือ พระศิวะ ส่วนผู้หญิงทางซีกซ้ายคือ พระปารวตี ชายาของพระองค์ โดยในที่นี้พระปารวตีเป็น ศักติ (Shakti) แปลว่า อำนาจหรือผู้ทรงไว้ซึ่งอำนาจของพระสวามี (ซึ่งในที่นี้คือ พระศิวะ)

ลัทธิศักติ (Shaktism) นั้นถือว่าชายาแห่งเทพองค์หนึ่งๆ นี่แหละคือผู้กุมอำนาจที่แท้จริงของเทพองค์นั้น เช่น พระปารวตีกุมอำนาจของพระศิวะ พระสรัสวดีกุมอำนาจของพระพรหม และพระลักษมีกุมอำนาจของพระวิษณุ ……


มีเกร็ดที่น่ารู้ด้วยว่า แม้พระอรรธนารีศวรจะดูเผินๆ เหมือนชายครึ่ง-หญิงครึ่งอย่างเท่าเทียมกัน แต่การที่ร่างกายด้านขวาเป็นชายและด้านซ้ายเป็นหญิงนั้น มีผู้ตีความว่านี่เป็นการซ่อนความหมายลึกๆ ว่า “ชายใหญ่กว่าหญิง” เพราะในวัฒนธรรมอินเดียถือว่าด้านขวาเป็นด้านที่เหนือกว่าด้านซ้าย….

นอกจากนี้ พระอรรธนารีศวรยังอาจมีจำนวนพระกรได้หลายรูปแบบ ได้แก่ 2, 3, 4, 6 และ 8 ในกรณีที่จำนวนพระกรเป็นเลขคู่ ร่างกายทั้ง 2 ด้านก็จะมีพระกรเท่าๆ กัน แต่หากมี 3 พระกร ด้านขวา (ชาย) จะมี 2 พระกร ส่วนด้านซ้าย (หญิง) ก็จะมีแค่พระกรเดียว

ทั้งหลายทั้งปวงนี้ดูประหนึ่งจะตอกย้ำว่า “ชายใหญ่กว่าหญิง” แม้จะไม่ชัดเจนก็ตามที

นี่เองที่ทำให้บรรดาพวกศักตะ (Shakta) หรือผู้ที่นับถือลัทธิศักติทนไม่ได้ พวกเขาจึงสร้างประติมากรรมหรือวาดภาพพระอรรธนารีศวรกลับซ้ายขวา คือให้ทางขวาเป็นหญิง ส่วนทางซ้ายเป็นชาย ตามความเชื่อของพวกเขาที่ว่า “หญิงต่างหากเล่าที่ใหญ่กว่าชาย” นั่นเอง

ท่านที่สนใจดูรายละเอียดเพิ่มได้ที่ต่างๆดังนี้

ขอแนะนำบทความ Ardhanarishvara in Art and Philosophy ที่ http://www.exoticindiaart.com/acrobat/ardhanarishvara.pdf”>

————————————————

http://www.bangkokbiznews.com/jud/sat/20080401/news.php?news=column_26090688.html

http://guideubon.com/news/view.php?t=26&d_id=1&s_id=4&page=1

ขอขอบคุณ ดร.บัญชาครับ

ยังไม่ได้ข้ามไปลาวเลย มัวแต่ฝอย…อิอิ


เที่ยวลาวใต้ 1

1 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 4 มีนาคม 2010 เวลา 20:49 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1155

ก่อนเดินทางเข้าลาวใต้ คือปากเซ เมืองจำปาสัก เรามีเวลาแวะเที่ยวเมืองอุบลฯ แรกตั้งใจจะเที่ยวอุทยานแห่งชาติภูจองนายอย และอีกหลายแห่ง เพราะคนข้างกายมีงานทำที่นั่นชมนักหนาว่าอยากให้ไปเที่ยว แต่เวลาที่เรามีอยู่กับระยะทางนั้นไม่เหมาะสมกันจึงเปลี่ยนเป้าหมายเป็นเที่ยวในเมือง เราขอเอกสารการท่องเที่ยวอุบลจาก ททท. ขอนแก่นก่อนเดินทางจึงอยากไปเที่ยววัดต่างๆในตัวเมือง และพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ


แล้วเราก็ได้ไปกราบพระเจ้าองค์ตื้อที่มีประวัติยาวนานคู่เมืองอุบลฯ มีหลักศิลาจารึกหลายหลัก
เดินอ่านพักใหญ่ก็เรียนรู้อดีตของท้องถิ่นอุบลมากขึ้น


ที่หน้าพระอุโบสถองค์ตื้อนั้น มีเทวรูปยักษ์เฝ้าประตูนั่งหลับและยืนหลับปรากฏอยู่ ดูน่ารักครับ

เราไปต่อวัดอื่น แต่มาโผล่ที่พิพิธภัณฑ์ก่อนจึงเข้าไปชม พอดีมีคณะนักเรียนที่คุณครูพามาทัศนศึกษาเราก็พลอยเดินตามเด็กเข้าไปชมด้วย





เด็กคงจะได้รับใบงานจากคุณครูให้บันทึกความรู้ที่ได้ ร้อยทั้งร้อยใช้วิธีจดบันทึกจากข้อมูลหน้ารูป พระรูป เทวรูปนั้นๆ ผมยังนึกต่อไปว่า เมื่อไปถึงโรงเรียนออกมาเล่าหน้าชั้นเด็กจะบรรยายรูปต่างๆที่จดไปได้อย่างไร ก็แค่อ่านสิ่งที่จดให้เพื่อนฟัง ก็ไม่มีอะไรมากกว่านั้น
จดยังไม่ทันหมดก็รีบไปห้องอื่น เผลอเดี๋ยวเดียวก็หายไปหมดแล้ว ขณะที่เรายังชื่นชมเทวรูป พระรูปต่างๆอยู่ที่ห้องแรกเลย


อาคารพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เดิมเป็นศาลากลางจังหวัด สวยงามมากครับ คงจะขึ้นเป็นโบราณสถานและนำมาใช้เป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ซึ่งเหมาะสมที่สุดเพราะอยู่กลางเมือง


มีพระรูป เทวรูปที่สำคัญสุดหลายองค์ แต่องค์ที่ผมว่าสุดยอดที่สุดคือ พระ “อรรธนารีศวร” ที่ผมเพิ่งมีความรู้ครั้งแรกก็ประทับใจเป็นที่สุด รีบหาความรู้ทันที แล้วก็ไปพบพระองค์นี้ที่พิพิธภัณฑ์ปราสาทเมืองพู จำปาสักลาวใต้ในวันต่อมาอีก แต่ไม่สวยเท่าที่อุบล และเขาถ่ายรูป อรรธนารีศวรจากอุบลไปอธิบายความหมายของพระองค์นี้ด้วย เสียดายที่ลาวนั้นเขาห้ามถ่ายรูป จริงๆที่อุบลเขาก็ห้ามถ่าย แต่วันที่ผมไปเขาอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ อิอิ

เก็บเรื่องนี้เอาไว้บันทึกเป็นกรณีพิเศษแล้วกัน


นอกจากพระพุทธรูป เทวรูปแล้วยังมีรูปเก่าๆ อีกหลายรูปที่น่าชมมาก บ่งบอกเรื่องราวของอดีต ต่างๆให้เราได้สำนึกในบรรพชนที่ก่อร่างสร้างสังคม ประเทศมาจนทุกวันนี้


และยังจำลองภาพวาดโบราณที่โขงเจียมมาไว้ที่นี่อีกด้วย ผมใช้เวลาที่เหลือหมดไปกับการดื่มด่ำอดีตที่นี่ อิ่มอกอิ่มใจ ชื่นชมจังหวัดอุบลราชธานีที่ทำได้ดีมากทีเดียวครับ


ดอกอะไร..เอ่ย

35 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 3 มีนาคม 2010 เวลา 21:50 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1088

 

ดอกอะไร ทราบไหมเอ่ย มีกลิ่นหอมด้วยครับ ถ่ายมาจากลาวใต้


เมฆสวยที่ริมโขง

5 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 3 มีนาคม 2010 เวลา 1:19 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1654

เอาเมฆสวยๆยามที่ความร้อนแผ่ซ่านไปทั่วอีสาน


เห็นเป็นรูปอะไรบ้างครับ



ถ่ายวันนี้เองที่บนภูมโนรมย์ มุกดาหาร ชอบครับ



ทรงพระเจริญ..

15 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 1 มีนาคม 2010 เวลา 16:42 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 714

 

 



Main: 0.17022609710693 sec
Sidebar: 0.08071494102478 sec