กบดาน..

1352 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 22 พฤษภาคม 2010 เวลา 21:44 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 17583

 

ศอฉ. ประกาศว่ามีแกนนำสำคัญคนหนึ่งยังหลบหนีอยู่.. แกนนำคนนั้นออกข่าวว่า เมื่อรัฐยกเลิกประกาศสำคัญแล้วจึงจะมอบตัว


มีข่าวลือแซดที่ขอนแก่นว่าแกนนำคนนั้น ซุกพญาอินทรีย์อีสาน หรือผู้ยิ่งใหญ่อีสาน สุขสบาย ที่ขอนแก่นนี่เอง และหากยกเลิกประกาศเมื่อใดก็จะมีการประชุม และชุมนุมแดงครั้งใหญ่อีกที่ขอนแก่น

ข่าวลือนี้ ตำรวจทราบดีทั้งหมด ขอนแก่นเป็นที่ตั้งสำนักงานตำรวจภูธรภาคสี่ แต่ตำรวจที่นี่ชอบกินมะเขือเทศ นัยว่าเป็นประโยชน์ต่อครอบครัวมาก เอ้ย เป็นประโยชน์แก่ร่างกายมาก ถ้าไม่เช่นนั้น ไม่มี ขอนแก่นโมเดล ศาลากลางไม่ถูกเผาอย่างรุนแรง อาคารประชาสัมพันธ์ของกรมประชาสัมพันธ์ไม่ถูกไฟไหม้แม้จะตั้งอยู่บนถนนมิตรภาพ(แต่ไม่มีมิตรภาพ)

ยกหนึ่งยังอุ่นๆอยู่เลย ยกสองเขาเตรียมอีกแล้ว หากรัฐไม่เป็นรัฐที่ล้มเหลว ก็ต้องจัดการให้ได้ หุหุ..


คำขวัญใหม่ กทม.

1042 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 21 พฤษภาคม 2010 เวลา 11:14 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 14929

คำขวัญใหม่ของกรุงเทพฯ ??!!

(จาก FW mail)


ขวดเปล่า..

1336 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 21 พฤษภาคม 2010 เวลา 10:39 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 21758

 

 

เช้าวันนั้นผมเดินทางไปประชุมที่สกลนคร กระจกหน้ารถผมยังเลอะด้วยแมลงมาสองวันแล้ว พนักงานขับรถป่วย เราก็มีงานยุ่งเลยไม่ได้จัดการซะทีก็ไปแบบสกปรกแบบนี้แหละ

เป็นรถ 6 ล้อ บรรทุกขวดพลาสติกเปล่า จากมุกดาหารไปสกลนคร

เสียดายว่าไม่สามารถถ่ายรูปด้านข้างได้ มันยื่นหน้ายื่นหลังน่ะซี เห็นแล้วหวาดเสียว

หากจะลงไปถาม คำถามมากมายเขาก็คงตอบว่า ..พี่..มันขวดเปล่าเบาจะตายไป..

มันทั้งสูงทั้งยาว..

อื้อ….ไม่มีอะไรเอามาดูเล่นๆ


ก่อนที่ธงไตรรงค์จะเปลี่ยนสีไป…

1195 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 20 พฤษภาคม 2010 เวลา 23:06 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 14102

ธงชาติไทยเป็นสัญลักษณ์แสดงความเป็นชาติไทย

แต่เศร้าใจที่ธงไทยโบกสะบัดอยู่หน้าศาลากลางจังหวัดที่กำลังถูกเผา

สำนึกบอกว่า ประเทศชาติกำลังมอดไหม้ลงไป

รอยแผลร้าวลึกที่เกิดขึ้น

ต้องการเยียวยาเร่งด่วน จริงจัง ต่อเนื่อง

เหมือนการสร้างชาติใหม่

ปู่ ย่า ตา ทวดเอาเลือดทาแผ่นดินรักษาไว้ให้เราอาศัย

แต่คนรุ่นเรานี้มาทะเลาะกันเอง มาฆ่าฟันกันเอง

เมื่อเห็นธงชาติถูกชักขึ้นสู่ยอดเสา

ความภูมิใจมันหายไปไหน

ความผยองในความเป็นไทยมันฝ่อลง

ยื่นมือมาผสานกันสร้างชาติกันเถอะ

ก่อนที่ธงไตรรงค์จะเปลี่ยนสีไป…


จันทรท่ามกลางไฟ..

1111 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 20 พฤษภาคม 2010 เวลา 1:15 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 14168

 

 

ร้อนยิ่งกว่าร้อนที่มหานคร

แหงนดูท้องฟ้าอมร

อือ..จันทร เย็นท่ามกลางไฟ

————

(จันทร์เมื่อเย็นนี้เอง ที่เมืองมุกเหนือศาลากลางจังหวัด)


เมื่อมุกฯมอดไหม้..

1266 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 19 พฤษภาคม 2010 เวลา 18:55 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 27169

“เราไม่เคยเสียเมืองเพราะต่างชาติมาตี

แต่เราเสียเมืองเพราะเราตีกันเอง”


อันตรายจากไข่..

1553 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 19 พฤษภาคม 2010 เวลา 11:51 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 25782

ถ้าคุณขับรถกลางคืน แล้วโดนปาหน้ารถด้วย ไข่” (ไข่จริงๆ ไม่ได้มุข)
 
อย่า…ฉีดน้ำและปัดกระจกเป็นอันขาด !!
 
เพราะเมื่อไข่ผสมกับน้ำแล้วกลายเป็นคราบเหนียว บดบังทัศนวิสัยของคุณได้ถึง 92.5%
 
นั่นหมายถึง คุณจะถูกบีบบังคับให้ต้องจอดรถข้างทาง (ก็มันมองไม่เห็น ก็ต้องหยุดก่อน) ดีไม่ดีคุณก็จะลงไปเช็ดกระจกอีกต่างหาก
 
ซึ่งจังหวะนั้นเองที่ คุณจะกลายเป็นเหยื่อไข่ของมิชฉาชีพทันที
 
นี่เป็นยุทธวิธีใหม่ของโจรบนท้องถนน
 
โปรดส่งเตือนญาติมิตรเพื่อนฝูงของคุณด้วย 

จาก FW mails


อ่านเล่นๆจาก FW mail

859 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 19 พฤษภาคม 2010 เวลา 11:47 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 10178


From: Chaimongkon Kitporka

อ่านเล่น ๆ นะ


สมัยก่อน

คนดีชอบแก้ไข คนจัญไรชอบแก้ตัว

คนชั่วชอบทำลาย คนมักง่ายชอบทิ้ง

คนจริงชอบทำ คนระยำชอบติ

สมัยนี้

คนรวยแอ๊บเป็นไพร่       คนจัญไรแอ๊บฮีโร่

คนมียศเป็นแตงโม         คนยะโสหมิ่นราชา

คนเจ็บถูกใส่ร้าย            คนตายถูกกล่าวหา

คนสั่งยังลอยหน้า          คนฆ่ายังลอยชาย

คนพาลกล้าอวดเบ่ง      คนเก่งกลับหนีหาย

คนดีนั่งดูดาย                 คนร้ายจึงย่ามใจ

คนโกงเก่งสร้างภาพ      คนบาปอยากเป็นใหญ่

คนจนถูกหลอกใช้          คนไทยถูกยุแยง

คนเดียวสร้างปัญหา       คนกล้ารุมสาบแช่ง

คนถ่อยคอยตะแบง        คนหมดแรงคือพวกเรา


สู้สุดแรงนะพวกเรา

แด่……….ศอฉ.
“ศูนย์ขู่แล้วอยู่เฉยๆ แห่งชาติ”


เราอยู่ร่วมต้นเดียวกัน

409 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 17 พฤษภาคม 2010 เวลา 20:37 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 8174

 

ลูกของพ่อทั้งหลาย

พ่อตั้งใจกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงเจ้ามา

จากเล็กสู่โต

จากดิบสู่สุก

จากเขียวสู่เหลือง สู่แดง

เจ้าก็เติบโตมาจากพ่อ

แม้เจ้าจะอยู่คนละขั้ว แต่เราก็อยู่ด้วยกันได้มิใช่หรือ

อยู่แบบแตกต่าง หรือแม้แตกต่างก็อยู่ร่วมกัน

เจ้าทั้งคู่อยู่ในอ้อมกอดของพ่อ

เราอยู่บนต้นเดียวกัน เราเป็นคนไทยด้วยกัน


อากาศร้อน กับไอศกรีมครูปู

19 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 7 พฤษภาคม 2010 เวลา 23:04 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 880

ถามว่าที่สวนป่าอากาศร้อนไหม

ป๊าด…ร้อนซิครับ ก็เหมือนๆทุกแห่งแหละ ผมว่า ก็เป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งเราก็ควรที่จะสัมผัสแบบนี้บ้าง เพื่อจะได้รับรสของความเป็นธรรมชาติที่ผันแปรไป

ผมเองนั้นเป็นคนขี้ร้อน เหงื่อมาก หยดติ๋งๆเลยหละ เวลาผมขับรถผมก็ต้องใส่ถุงมือ ใครไม่ทราบก็ว่า อีตานี่ดัดจริต..แต่จำเป็นครับมิเช่นนั้นพวงมาลัยแฉะ เหนียวเหนอะหนะไปด้วยเหงื่อที่ออกจากฝ่ามือ  อิอิ

เหตุนี้เอง เวลามาทีไปที พี่น้องเราก็กอดกัน ผมหละเขินๆอายๆที่ข้างหลังเสื้อผมแฉะไปหมด.. ขออภัยพี่น้องด้วยครับ..


ระหว่างวันหนึ่งผมอาสาขับรถให้แม่บ้านไปจ่ายตลาดเพื่อจะเอามาทำอาหารกัน มีแม่หวี ป้าหวาน ครูปู ออต ไปจ่ายตลาดกัน ระหว่างทาง แม่ครัวจำเป็นก็แลกเปลี่ยนกันว่าจะเอานั่นเอานี่ มาทำอาหารนั่นนี่ ทำของหวานนั่นนี่

แล้วครูปูก็เสนอว่า ต้มถั่วเขียวกันดีกว่า เอามาทำไอศกรีม กินแก้ร้อน ….

ผมแอบยิ้มๆ เพราะครูปูเป็นคนใต้ คนข้างกายผมก็เป็นคนใต้และทำเจ้าต้มถั่วเขียวแช่เย็นเป็นไอศกรีมกินกันประจำ นี่ก็กินก่อนจะมาสวนป่าด้วย อิอิ.. ผมเฉยๆทำไม่รู้ไม่ชี้ ใจนึกสนับสนุน เพราะมันเข้าท่าน่ะซี..

แล้วครูปูทำการต้มถั่วเขียว 1 หม้อใหญ่ แล้วเอาไปใส่ในช่องเย็น แช่ไว้จนแข็งเหมือนไอศกรีม แล้วก็ยกออกมา เมื่อมื้อกลางวัน วันนี้เอง

อร่อยครับ เหมาะกับบรรยากาศ อากาศ ..

หากใครสนใจลองทำดูนะครับ ผมแนะนำว่า หลังจากต้มถั่วเขียว เคี่ยวให้ยุ่ย สักหน่อย ตักใส่ถ้วยเล็กๆ ทิ้งให้เย็น แล้วเอาใส่ตู้เย็นช่องแช่แข็ง แล้วทิ้งข้ามคืนก็จะแข็งเป็นไอศกรีม เวลาเอามากิน บ้านผมนิยมเอานมสดใส่ลงไปด้วย แล้วก็เอาช้อนตักกิน…ซี๊ดดดดดด อร่อย เหมาะกับอากาศร้อนๆแบบนี้ครับ

ขอบคุณครูปูครับที่เอาใจใส่พวกเรา ใครๆได้ลิ้มรสไอศกรีมถั่วเขียวต้มกันทั่วหน้า อร่อย…

ครูปูน่ารักที่ซู๊ดด


ไอศกรีมที่สวนป่า

103 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 7 พฤษภาคม 2010 เวลา 22:13 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป, ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 6785

ผมจำชื่ออ้ายท่านนี้ไม่ได้แล้ว

สายวันนั้น ทุกคนมายืนล้อมอ้ายท่านนี้เพื่อซื้อไอศกรีมแบบทำเองดูดแก้ร้อนกัน ช่วงเวลาหนึ่งครุปูกับผมยืนตรงนั้น ครูปูเลี้ยงไอศกรีมผมและหลายๆคน (ขอบคุณมากๆครับ) ผมถามว่าทราบได้อย่างไรว่าในสวนป่านี้มีคนมาหลายคนแล้วเข้ามาขายไอศกรีม

อ้ายตอบว่า ก็ผ่านมาที่ถนนใหญ่เห็นรถบัสเข้ามาก็เลยขับตามมาครับ ไอ้ติมนี่ไปรับเขามาอีกที

อ้าย พรุ่งนี้จะมีคนมาอีก อ้ายจะมาไหมล่ะ อ้ายตอบว่าหากมีคนก็มาซิครับ

เออ..งั้นก็จะโทรบอกเอาไหมว่ามีคนเข้ามาสวนป่าตอนไหน มีโทรศัพท์ไหมล่ะ จะได้บอกได้

อ้าย งุ่นง่านเล็กๆ เขินๆ แล้วก็บอกว่า ผมไม่มีโทรศัพท์ครับ

เราก็ถามต่อว่า อ้าว…งั้นก็ส่งข่าวบอกไม่ได้ซิว่าพรุ่งนี้ตอนไหนจะมีคนเข้ามาในสวนป่านี้..จะได้มาขายไง ขายดีนะ อากาศร้อนๆเช่นนี้ ใครๆก็อยากกินไอศกรีม

ครูปูกับผมพยายามหาทางให้ อ้าย มาขายในสวนป่าให้ได้ แต่ติดตรงที่ว่าจะบอกอย่างไร…

คุยไปมาสักพัก อ้ายบอกว่า ได้ ได้ เดี๋ยวผมทำได้

ครูปู รีบถามทันทีว่า อ้าย..จะหาเงินไปซื้อมือถือหรือ ไม่เอานะ ไม่สมควร ไม่จำเป็น..

อ้ายทำหน้า ปูเลี่ยนๆ เราก็เลยหาทางออกให้ว่า เอางี้ซี ทุกครั้งผ่านถนนใหญ่มาทางนี้ก็แวะมาดูซะหน่อยว่ามีคนจำนวนมากมาที่สวนป่านี่หรือเปล่า..

….

ครูปู และท่านอื่นๆอุดหนุน อ้าย ไปมากพอสมควร ผมก็ว่าน่าจะมากพอที่จะกระตุ้นให้อ้ายท่านนี้ คงต้องแวะมาสวนป่าทุกครั้งที่ผ่านมา…

ไอศกรีม ของอ้าย บรรเทาความร้อนไปได้โขทีเดียวครับ คนที่เป็นแฟนประจำน่าจะเป็น คอน.. อิอิ


พันธุ์ใหม่..

43 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 4 พฤษภาคม 2010 เวลา 22:57 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2630

 

 

พันธุ์ใหม่อ่ะ..

ตัดต่อพันธุ์กรรมเจ้าสามเกลอออกมาได้อย่างเนี๊ยะ..
อิอิ

(แหล่งข้อมูล: Reader’s Digest)


เมื่อสวนป่าต้อนรับ..

17 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 4 พฤษภาคม 2010 เวลา 22:25 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป, ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3147

เชิญคร๊าบบบบ….

สวนป่ายินดีต้อนรับ คร๊าบบบ

จับจองที่พักเอาตามสบาย ชอบมุมไหนเอาเล้ยยยยย

อ้าว…ป้าจุ๋มควงใครมาน่ะครับ..อิอิ

(แหล่งที่มา: Reader’s Digest)


อารมณ์ขันชาวบล็อก..

5 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 4 พฤษภาคม 2010 เวลา 8:42 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป, ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 681

โปรดระวัง บล็อก อิอิ

(แหล่งที่มา: Reader’s Digest)


การ์ด..

31 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 3 พฤษภาคม 2010 เวลา 22:29 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป, ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1352

ดำเว้ย…เตรียมตัวไว้เอ็ง

ได้ข่าวมาว่ารัฐบาลประกาศไม่รับรองความปลอดภัยแกนนำและการ์ด

ได้ข่าวอีกว่า การ์ดเริ่มทยอยหลบเข้ากลีบเมฆไปบ้างแล้ว..

เดี๋ยวเขาจะมาเอาเราไปเป็นการ์ดว่ะ..

เอ็งเตรียมตัวไว้ให้พร้อมตลอด 24 ชั่วโมงนะ

ลงชื่อ…. แดงเองว่ะ


แดงยืนหยัด..

21 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 3 พฤษภาคม 2010 เวลา 22:13 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป, ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 952

แดงยืนหยัดกัดไม่ปล่อย ว่ะ..


แสดงความเห็นต่อโจทย์พ่อครูบาฯ 2

อ่าน: 2871

โจทย์ ที่พ่อครูบาฯตั้งไว้ ว่า จะเอาความรู้ในสถาบันอุดมศึกษาที่มีอยู่ออกไปพัฒนาวิถีชุมชนอย่างมีส่วนร่วมได้อย่างไร..??

ยกที่ 1 ผมคิดว่ามหาวิทยาลัยมีข้อจำกัด หากท่านอธิการบดีสั่งรวบรวมนวัตกรรมทั้งหมดที่ถูกผลิตขึ้นมาในมหาวิทยาลัยเอามากองรวมกัน ทั้ง Hard & soft innovation ผมก็คิดว่ายังทำงานภายใต้ข้อจำกัดของกรอบระเบียบ ข้อบังคับ กฎเกณฑ์ของระบบมหาวิทยาลัย แม้ว่าจะยืดหยุ่นมากกว่าระบบราชการทั่วไปก็ตาม แต่ก็เป็นความพยายามที่ควรสนับสนุนยิ่งนัก


มหาวิทยาลัย

ยกที่ 2 นวัตกรรมที่มหาวิทยาลัยผลิตขึ้นมานั้น “มาจากความต้องการของชุมชน หรือมาจากความอยากรู้ของคณาจารย์ในมหาวิทยาลัย” แตกต่างกันมากนะครับ เพราะความต้องการของชนบทนั้นจะถูกออกแบบนวัตกรรมให้เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพชนบทเพราะเป็นตัวตั้ง แต่หากนวัตกรรมนั้นมาจากคณาจารย์อยากทำ อาจจะไม่เหมาะ ไม่สอดคล้องกับชนบท หรืออาจจะต้องถูกดัดแปลงอีกมากก็ได้ เหมือนที่พ่อครูกล่าวว่าเพลงลูกกรุงนั้นจะเอาไปให้ลูกทุ่งร้องนั้นมันคนละคีย์กันครับ แต่ก็เป็นความพยายามที่ควรสนับสนุนยิ่งนัก


ชุมชนชนบท

ยกที่ 3 แม้ว่าจะรู้ความต้องการของชนบท หรือความอยากของคณาจารย์สอดคล้องกับความต้องการของชนบท กระบวนการเอานวัตกรรมไปสู่ชนบทนั้นคืออย่างไร บ้าง อบรม หรือศึกษาดูงาน หรือทั้งสองอย่าง หรือ ฝึกทำ หรือทำแปลงสาธิต หรือตั้งศูนย์เรียนรู้ หรือ ลองผิดลองถูกกันไป หรือ…..ใครเป็นคนออกแบบกระบวนการนี้ เอาละให้เกษตรกรมีส่วนร่วม แต่กระบวนการให้มีส่วนร่วมก็มีรายละเอียดมากมาย บ่อยครั้งนวัตกรรมนั้นนำเสนอโดยคนข้างนอก ให้ชาวบ้านออกความเห็นสองสามคนแล้วก็บอกว่าชาวบ้านมีส่วนร่วมแล้ว โดยทั้งกระบินั้นมาจากคนข้างนอกผลักดันมากกว่า แต่ก็เป็นความพยายามที่ควรสนับสนุนยิ่งนัก


ชาวบ้าน

ยกที่ 4 ชนบทไม่ได้บริสุทธิ์ผุดผ่อง มีทั้งน่ารักน่าชัง ทั้งน่าสงสารและน่าตียิ่งนัก ข้อจำกัดของมหาวิทยาลัยนั้นเรื่องหนึ่งคือเวลาที่มีกำหนดตายตัว งานชิ้นนี้ต้องทำภายใน สามเดือน แปดเดือน แต่หลักการ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” นั้น บางเรื่องต้องใช้เวลาเข้าใจมากมาย โดยเฉพาะส่วนลึกที่เป็น soft side ราชการมักให้ผู้ใหญ่บ้านเชิญชาวบ้านเป้าหมายมาประชุมที่ศาลาวัด ท่านทราบไหมว่าชาวบ้านที่มานั่งทั้งหมดนั้นน่ะ แต่ละคนมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง หากไม่เข้าใจแล้วจะทำงานพัฒนาอย่างไรล่ะ มันก็แค่เอาลงไปใช่ไหม… ในทางการแพทย์เขาใช้คำว่า Triage ในทางการพัฒนาชนบทเราก็ใช้คำนี้เราต้องเข้าใจรายบุคคล รายครัวเรือน แล้วจึงรู้ตื้นลึกหนาบางของปัญหาแต่ละคน แล้วการเยียวยารักษาจึงจะเหมาะสมถูกต้อง สอดคล้อง เพราะปัญหาแต่ละคนแต่ละครอบครัวไม่เหมือนกัน หรือเหมือนกันแต่หนักเบาไม่เท่ากัน อาจจะหนักเท่ากันแต่เงื่อนไขแต่ละครอบครัวไม่เหมือนกัน ครอบครัวอาจจะเหมือนกัน แต่บุคลิกภาพแต่ละคนแตกต่างกัน…. เราต้องแยกแยะ จำแนก จัดกลุ่ม จัดหมู่ จัดพวกของคนและปัญหาออกมาแล้วก็แก้ไขกันไปตามเหตุปัจจัยแต่ละคน งานแบบนี้จะมาแล้วไปแบบราชการนั้นไม่ได้ ต้องลงคลุกคลีตีโมงกันพักใหญ่ๆ หากมาแล้วไป ไม่มีความผูกพันเลย ชาวบ้านก็หลอกกินเอาได้ โดยที่ปัญหาไม่ได้รับการแก้ไข

ยกที่ 5 การทำงานชนบทไม่เหมือนการผสมสารเคมีในห้องทดลอง เมื่อเอาไฮโดรเจนสองส่วนมาผสมกับอ๊อกซีเจนหนึ่งส่วนแล้วจะได้น้ำออกมาทันที (H2O) แต่คนมีพื้นฐาน มีที่มาที่ไป มีฐานประวัติชีวิตที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่และชุมชน สิ่งแวดล้อม แม้เอาการฝึกอบรมเข้าไป เอาการศึกษาดูงานเข้าไป เอาเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆเข้าไป แต่บ่อยครั้งยังต้องการปัจจัยอื่นๆอีกมากมาย และไม่เหมือนกัน ชนบทที่สุรินทร์ กับที่สกลนครเงื่อนไขก็แตกต่างกัน แล้วทำอย่างไรล่ะมหาวิทยาลัยที่มีเงื่อนไข ข้อจำกัดมากมาย ผู้บริหารเข้าใจก็ดีไป หากไม่เข้าใจ ทีมงานอาจถูกฆ่าตายในทางการทำงานก็เป็นได้


ยกที่ 6 ส่วนที่สำคัญยิ่งคือ ด้าน Soft side ของตัวบุคคล ครอบครัว ชุมชน เราเอาชาวบ้านมาฝึกทหารก่อนที่จะเอาออกไปประจำการในสนามจริง เพราะอะไร ทุกท่านคงหาคำตอบได้ การที่พระคุณเจ้ามุ่งสู่หนทางละวางทั้งหมดก้าวเข้าสู่นิพพานนั้น สมณะรูปนั้นๆต้องฝึกฝนตนเองนานนับชั่วชีวิตทีเดียว หากเราจะสนับสนุนให้ชาวบ้านเดินทางไปสู่แนวทางการพึ่งตนเองนั้น การจะไปพูดไปจาเพียงไม่กี่คำนั้นคงไม่สำเร็จ โดยเฉพาะการทำอย่างไรจะขจัดคราบไคลของลัทธิบริโภคนิยม ค่านิยมของทุน แล้วก้าวเดินบนเส้นทางที่ต้องถูกยั่วยวนตลอดเวลานั้น เป็นเรื่องการต่อสู้ภายในทั้งสิ้น กระบวนการพัฒนาจึงทำงานด้านในด้วย เราอาจจะประสบผลสำเร็จในการสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรเป้าหมาย แต่ล้มเหลวลงหมดเพราะเกษตรกรคนนั้น ครอบครัวนั้นหลงใหลกับการบริโภค ที่ไม่มีวันจบสิ้น แต่งานพัฒนาชนบทไม่เน้นเรื่องนี้ เพราะเห็นผลยาก รายงานยาก ประเมินผลยาก สำเร็จยาก สร้างอาคารเสร็จก็รีบถ่ายรูปรายงานว่าทำสำเร็จแล้ว แต่การเอาอาคารไปใช้ประโยชน์นั้นถ่ายรูปไปครั้งเดียวก็อ้างไปหลายปี ทั้งที่การใช้ประโยชน์มีแค่ 6 เดือนแรกเท่านั้น…ผมจึงทึ่งกับ CUSO ที่หลังโครงการจบไปแล้ว 6 ปีเขาจึงมาประเมินผล..??!!


ยกที่ 7 องค์ประกอบที่สำคัญ ที่ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันคือ ผู้นำชุมชน พี่เลี้ยงจากภายนอก key person ในชุมชน ล้วนแล้วแต่มีความสำคัญมาก แต่ก็ขึ้นกับศักยภาพของแต่ละชุมชน จากบทเรียนเราพบว่า หมู่บ้านไหนผู้นำดีดี เท่ากับทำงานเสร็จไปครึ่งหนึ่งแล้วทีเดียว ตรงข้ามหากผู้นำในชุมชนไม่มี หรือไม่ดีก็เหนื่อยหน่อย หลายกิจกรรมก็ล้มลุกคลุกคลานเพราะขาดผู้รับผิดชอบ ขาดการรับลูกอย่างต่อเนื่อง เพราะขาดความตระหนัก หรือการให้ความสำคัญ ผู้นำชุมชนดีดีหายาก ยิ่งในปัจจุบันถูกการเมืองระบบใหญ่ระดับประเทศ และการเมืองท้องถิ่นระดับตำบลทาสีแดงไปหมด บทบาทที่เหมาะที่ควรก็ถูกเบี่ยงเบนไปเพื่อผลประโยชน์เสียสิ้น

ยกที่ 8 ระบบการเรียนรู้ในชุมชน ระหว่างชุมชน… การท่องเที่ยวไปในโลกกว้างย่อมเสริมสร้างโลกทัศน์ยิ่งนัก เห็นทั้งส่วนเล็กและใหญ่ เห็นแนวโน้ม เห็นที่ตั้งของปัญหาว่าอยู่ส่วนไหนของสังคม ของประเทศ ของการดำรงชีวิตอย่างมีสุข ปัจจุบันจึงต้องมีองค์กร และเครือข่าย เพราะการโดดเดี่ยวนั้นคือจุดอ่อนด้อย การรวมกลุ่มคือพลัง หากกลุ่มดี ระบบดี ก็พากันเดินทางไปข้างหน้าอย่างมีพลัง เพราะชุมชนเดิมของเรานั้นไม่ได้โดดเดี่ยว ชุมชนเดิมของเราเดินไปด้วยกัน พร้อมๆกัน จูงมือไปกัน ระบบกลุ่ม เครือข่ายจึงเอื้อให้นวัตกรรมต่างๆถูกถ่ายทอดจากคนหนึ่งไปสู่คนหนึ่งด้วยตัวของมันเอง บทเรียนตรงเหนือบ้านอาจจะถูกดัดแปลงไปอีกนวัตกรรมหนึ่งเมื่อเอาไปทำที่ท้ายบ้าน การเกิดขึ้น พัฒนา และถ่ายทอดนวัตกรรมนั้นต้องอาศัยกลุ่ม เครือข่าย… เครือข่ายคือระบบการเรียนรู้ในชุมชน..


ยกที่ 9 ย้ำเรื่องการเห็นคนชนบทต้องเห็นให้ทั้งหมด.. ความหมายคือ การที่ชาวบ้านเดินเข้ามาหาเราและเข้าร่วมกิจกรรมของเรานั้น เราไม่ใช่รู้จักชาวบ้านคนนั้นเท่านั้น ไม่พอ เราต้องรู้เรื่องราวของครอบครัวเขาทั้งหมด ทั้ง Hard & soft side อย่างที่เฮียตึ๋งและท่านไร้กรอบกล่าว ทางคริสตชนเรียกว่ารู้ทั้งครบ ตัวอย่าง นาย ทักษิณ เป็นเกษตรกรที่ก้าวเข้ามาร่วมกิจกรรมตามหลักการของเราในเรื่องการเพิ่มผลผลิตข้าวอินทรีย์ ซึ่งมีตารางการปฏิบัติชัดเจน แต่แล้วเขาหายตัวไปถึงสองเดือนไม่ได้ทำตามกำหนดที่คุยกันไว้ ต่อมาทราบว่า เขาต้องตัดสินใจลงไปหางานทำเพื่อหาเงินด่วนไปให้ลูกที่จะเปิดเทอมที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง..?? งานการเพิ่มผลผลิตจึงไม่เป็นไปตามเป้าหมาย… เมื่อเราคุยกันจึงทราบรายละเอียดถึงความจำเป็นสุดๆของเขา..ตัวอย่างที่สอง นายจตุพร เข้าร่วมกิจกรรมการเพิ่มผลผลิตมันสำปะหลังแบบอินทรีย์ ที่มีกำหนดว่าจะต้องใส่ปุ๋ยอินทรีย์เมื่อครบกำหนด จะต้องพ่นปุ๋ยน้ำหมักทางใบเมื่อครบกำหนด แต่นายจตุพรไม่ได้ทำเขาหายไปสองสัปดาห์ ต่อมาเรารู้ว่าเขาขึ้นป่าไปยิงบ่าง กระรอก หรือสัตว์ป่า ต้องการกินสัตว์ป่าเพราะมันอร่อยมากกว่าเนื้อหมูที่ตลาด ซึ่งเป็นวัฒนธรรมการกินของชาวบ้านแถบนี้ ทำให้การเพิ่มผลผลิตมันสำปะหลังของเขาไม่ถูกปฏิบัติตามกำหนด ผลผลิตก็ไม่ได้สูงสุด การบันทึกข้อมูลก็สะดุด…


ทั้งหมดนี้คือเพียงบางส่วนเท่านั้น

นี่คือบทเรียน นี่คือข้อสรุป และนี่คือของจริง หากมหาวิทยาลัยจะเดินทางเข้าชนบทเอาความรู้ไปลงสู่ชนบท ลองเอาประสบการณ์เหล่านี้ไปพิจารณาดูเถิดครับ


จดหมายถึงส.เทอด

5 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 2 พฤษภาคม 2010 เวลา 13:17 ในหมวดหมู่ การบริหารจัดการประเทศ, ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1124

ถึง ส.เทอด

สวัสดีเพื่อน เราไม่ได้พบกันประมาณสามสิบปี ดูเหมือน เทอดจะเมล์มาหาผมครั้งหนึ่งโดยบังเอิญแค่ทักทายแล้วก็หายไป ได้ข่าวแว่วๆมาจากลำพูนว่า เทอดอยู่ที่นั่น สักวันจะขึ้นไปหานะครับ

ที่เขียนถึงวันนี้เพราะผมได้เอกสาร “กลั่นจากความทรงจำ” ของเทอดสมัยเคลื่อนไหวกับ พคท. อ่านแล้วเหมือนดูหนังใหญ่เรื่องหนึ่งมีทุกบท ดูแล้วก็เข้าใจเทอดมากขึ้น และขณะเดียวกันก็ตั้งคำถามขึ้นมากมาย เป็นคำถามที่ผมต้องการหาทางออก สังคมต้องการคำตอบ ประเทศชาติต้องการข้อสรุปที่ดีที่สุด

เห็นการทุ่มเทชีวิตที่หวุดหวิดความตายหลายครั้งของเทอด การผจญภัย บุกป่าฝ่าดง การอดอยาก การตื่นเต้น และการทำงานอย่างยากลำบากและต้องใช้อุดมการณ์ที่สูงส่งยิ่งนัก เพราะมิเช่นนั้นก็ถอดใจไปนานแล้ว

บางครั้งเทอดมาอยู่ใกล้ผมนี่เองโดยที่ผมไม่ทราบมาก่อน เราต่างคนต่างไม่ทราบแก่กัน แต่นั่นเป็นวิถีที่ชีวิตไหลไปตามลีลาที่ถูกกำหนดมาโดยภารกิจและการดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด

ผมศรัทธาและเชื่อมั่นในเจตนารมณ์ของเทอดและเพื่อนๆเราสมัยโครงงานชาวนา พรรคประชาธรรมและการเคลื่อนไหวที่ภาคเหนือ แม้ว่าเทอดกับผมจะอยู่ต่างสถาบันแต่อุดมการณ์นั้นเราอยู่ในกลุ่มเดียวกัน แม้ประสบการณ์ชีวิตของผมจะแตกต่างจากเทิดก็ตาม ผมเข้าใจและยอมรับในสิ่งที่เราต่างกระทำลงไปแล้ว

ผมไม่ทราบว่าปัจจุบันนั้นเทอดได้ลงเอยกับคนรักเช่นไร ผมขอให้ทั้งคู่สุขสมและอยากมีโอกาสได้พบกันครับ

ผมเดาเอาว่าเทอดได้กลับเข้าทำงานกับขบวนการที่เทอดอุทิศทั้งชีวิตให้ นั่นแหละคือโจทย์ใหญ่ คำถามที่ต้องการการคลี่คลาย หาคำตอบก่อนที่สังคมจะพังทลายลงไปด้วยการทำงานที่ต่างวิธีการกันแต่เป้าหมายอันเดียวกัน เทิดครับผมทำงานทุกวันนี้ก็เพื่อชนบทตามเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยให้ เทอดเองก็มีวัตถุประสงค์เช่นนั้น แต่วิธีการต่างกัน มองเห็นปัญหาใกล้เคียงกัน แต่มุมมองในรายละเอียดแตกต่างกัน เทอดใช้วิธีการเปลี่ยนแปลงสังคมด้วยกำลัง แต่ผมต้องการการเปลี่ยนแปลงโดยไม่ใช้กำลัง แต่เป้าหมายใกล้เคียงกันคือ เพื่อชนบท เพื่อสังคมและเพื่อประเทศชาติที่ดีขึ้น

ผมไม่อยากเห็นเราเดินคู่ขนานกันไป แล้วสุดท้ายเรายืนคนละฝั่งกัน แต่ผมอยากให้เราเดินคู่ขนานไปและเราจับมือไปด้วยกัน แต่นั่นคือการที่เราควรพบปะพูดคุยกันเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในสถานการณ์ปัจจุบันครับ..

ด้วยความศรัทธาเพื่อนยิ่งนัก

ป.ล. บันทึก 100 หน้าของกระดาษ A4 font 12 tahoma ของเทอดนั้นผมจะขออ่านอีกหลายเที่ยว บางช่วงบางตอนผมถึงกับหลั่งน้ำตาไปกับการสัมผัสได้ถึงอารมณ์สุดๆของเทอดน่ะครับ


แสดงความเห็นต่อโจทย์พ่อครูบาฯ 1

283 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 1 พฤษภาคม 2010 เวลา 23:14 ในหมวดหมู่ งานพัฒนาสังคม, ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 4351

โจทย์ ที่พ่อครูบาฯตั้งไว้ ว่า จะเอาความรู้ในสถาบันอุดมศึกษาที่มีอยู่ออกไปพัฒนาวิถีชุมชนอย่างมีส่วนร่วมได้อย่างไร..??

โจทย์นี้ดีจริงๆ เพราะเป็นเป้าหมายของอุดมศึกษาโดยทั่วไปอยู่แล้วว่าควรจะทำเช่นนั้น ที่ผ่านมาผมก็ว่าสถาบันอุดมศึกษาก็พยายามทำกันอยู่แล้ว มากน้อย แตกต่างกัน ทำได้มากน้อยแตกต่างกัน ทำแล้วก่อให้เกิดประโยชน์แตกต่างกัน.. แต่ประเด็นที่พ่อครูบาฯตั้งไว้น่าจะหมายถึงการสร้างประโยชน์สูงสุดทำได้อย่างไร..!!

ก่อนที่จะไปลองแสดงความเห็นในประเด็นนี้ ขอเลยไปแสดงความเห็นประเด็นพ่อครูบาทีกล่าวไว้ว่า ..โครงการทำนา 1 ไร่ให้ได้เงินแสน”.. ผมนึกถึงหลายสิบปีก่อนนั้นสมัยที่ผมทำงานกับโครงการ NET ที่สุรินทร์ภายใต้การสนับสนุนเงินทุนของ CUSO ของประเทศแคนาดา เรามี ดร.สุธีรา วิจิตรานนท์(ทอมสัน)เป็นที่ปรึกษา มี อ.ดร. มรว.อคิน รพีพัฒน์ และ อ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทองเป็นทีมวิทยากรอบรมพวกเราก่อนเข้าทำงาน

สมัยนั้น ดร.สุธีรา ประสานงานเอานักวิชาการระดับสูงของ CP ไปแนะนำการทำงานของเราในมุมมองของนักธุรกิจ แล้วหลังจากนั้นทีมงานของเราก็เดินทางไปดูงานของบริษัท CP ที่หมวกเหล็ก และเราก็สะอึกต่อคำกล่าวของนักวิชาการระดับสูงท่านนั้น เขากล่าวว่า เขาไม่เชื่อว่าการทำงานของโครงการจะทำให้ชาวบ้านพึ่งตัวเองได้ มีรายได้ที่ชัดเจนแน่นอน แต่เขามีโครงการที่ประกันได้ หากชาวบ้าสนใจมาเข้าโครงการเขา เขารับรองว่าชาวบ้านจะมีที่ดินทำกิน มีบ้านพักอาศัย มีรายได้ที่ชัดเจนแน่นอน..??!!

เมื่อเราลงรายละเอียดพบว่า เขามีโครงการผลิตพืชเกษตรป้อนเข้าโรงงาน เช่น ข้าวโพด บริษัทมีที่ดิน มีแผนงาน มีโรงงานรองรับผลผลิต มีระบบน้ำ ฯลฯ แต่เขาขาดคน ขาดแรงงาน นั่นเขามองถึงเกษตรกร เขาบอกว่าเขาจัดทำเป็นรูปสหกรณ์การเกษตรที่ใครก็ตามที่เข้าร่วมโครงการเขาให้บ้านพัก มีที่ดินจำนวนหนึ่งให้ มีปัจจัยการผลิตทั้งหมด มี….. เพียงแต่ทำงานตามกำหนดก็จะมีรายได้ที่แน่นอน เพราะบริษัทรับประกันร้อยเปอร์เซ็นต์..

ผมก็ถึงบางอ้อ…เพราะเกษตรกรกลายเป็นแรงงานให้บริษัท เปลี่ยนรูปแบบวิถีชีวิตไปหมดสิ้น ผมเชื่อว่าเกษตรกรนั้นๆมีรายได้ชัดเจนแน่นอน ภายใน 5 ปี เขาจะมีเงินเท่านั้นเท่านี้ ผมเชื่อครับ แต่วิถีชีวิตเขาเปลี่ยนไปหมดสิ้น

ผมไม่ได้ติดตามโครงการนี้ว่าไปถึงไหนอย่างไร แต่เชื่อว่าระบบธุรกิจที่มีทุนมหาศาลนั้นสามารถจัดการแรงงานเกษตรกรให้กลายเป็นแรงงานระบบฟาร์มขนาดใหญ่ที่มีผลตอบแทนน่าพอใจได้ แต่วิถีเขาเปลี่ยนไปแน่นอน…

ผมเองคิดว่า ทำนา 1 ไร่ให้ได้เงินแสนนั้น ผมเชื่อว่าระบบธุรกิจทำได้แน่นอน ซึ่งมีรายละเอียดมากมายอยู่ภายใต้ประโยคดังกล่าว เช่น การบริหารจัดการ แผนงาน การพัฒนาการผลิต การควบคุมคุณภาพ การเอาวิชาการ ความรู้ลงไปด้วยระบบการบริหารจัดการแบบธุรกิจ และหากกล่าวเลยไปว่า ข้าวที่ผลิตได้เป็นข้าวคุณภาพ ที่ถูกควบคุมการผลิตด้วยวิชาการเต็มที่ นำข้าวมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง อาจถึงการส่งออก ซึ่งอาจจะมีคนกลางมารับประกันราคาผลผลิต

หากเป็นแนวนี้ผมก็เชื่อว่าทำได้ และประสบผลสำเร็จได้ เพราะนักธุรกิจนั้นเขามีวิสัยทัศน์ที่มาจากข้อมูลที่ชัดเจนเพราะอยู่ในวงการ ย่อมเห็นลู่ทางต่างๆนั้นว่ามีศักยภาพ..

แต่กิจกรรมดังกล่าวนี้อยู่ส่วนไหนของการพึ่งตนเอง การลดการพึ่งพา การลดความเสี่ยง การอยู่บนวิถีเดิมที่มีคุณค่า ฯลฯ แม้จะอยู่ในสถานการณ์ใหม่ หากสามารถทำได้ผมก็เห็นด้วยและสนับสนุนครับ.


ความหิวหรือความตาย..

387 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 29 เมษายน 2010 เวลา 21:41 ในหมวดหมู่ มหากาพย์ดงหลวง, ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 18780

อาจารย์ บางครั้งเราไม่ได้กินข้าวเลย 15 วันเต็มๆ

เรารูดใบไม้กินแทนข้าว

ความหิว ความทุกข์ ความสกปรก ความยากลำบาก

และการเสี่ยงโดนกระสุนปืน

ไม่มีใครกลัวตายสักคน แต่กลัวความหิวมากที่สุด

เพราะความตายก็จบสิ้นไป แต่ความหิวนี่ซิ มันทรมานพวกเรา..

…บางช่วงบางตอนของชีวิตสหายในป่าดงหลวง…



Main: 0.1409330368042 sec
Sidebar: 0.064908981323242 sec