ทางไปสวรรค์
อ่าน: 1689อ้าว…เร่เข้ามา
ใครจะไปสวรรค์ เข้ามาที่ประตูนี้
เดินไปคนเดียวเน้อ..
เรียงหนึ่ง ไม่ต้องแซงกัน..
อ้าว…เร่เข้ามา
ใครจะไปสวรรค์ เข้ามาที่ประตูนี้
เดินไปคนเดียวเน้อ..
เรียงหนึ่ง ไม่ต้องแซงกัน..
ทั้งวันเดินตากละอองฝน
ไปตรวจรับสระน้ำประจำไร่นาในพื้นที่โครงการ
พบเจ้าตัวนี้ที่ขอบสระที่ ต.กกตูม
ไม่รู้จักเขาร๊อก เขาก็ไม่รู้จักเรา
เขาคงหากินตามวิถีเขา
เราก็ทำหน้าที่ตามวิถีเรา
เขากับเราเป็นเพื่อนร่วมโลก
โลกที่หมุนไปสู่สภาวะไม่สมดุล
เผ่าพันธุ์ใครจะสิ้นสูญไปก่อนกันหนอ..
พักผ่อน ก็เอาน้องหมา(ตัวเหม็นๆ)
ไปเดินเล่นที่สถานที่บำบัดน้ำเสียเมืองขอนแก่น
หิ้วกล้องไปด้วย มุมนี้ เห็นเมฆคลุมเมืองขอนแก่น
ก็แค่นั้นแหละ..
ไปทำงานต่อหละ
ตั้งใจจะห่างๆออกไป เพราะเร่งงานอย่างที่บอก พอดีมีปรากฏการณ์ฝรั่งเข้ามาในลานของผมเลยเอามาบอกกล่าว คิดว่าท่านอื่นๆก็อาจจะพบบ้าง ถือว่าเล่าสู่กันฟังนะครับ
เมื่อ 9 พ.ค. ผมบันทึกชื่อ ประชุมย่อยเฮฮาศาสตร์ ที่สวนป่า ดังตัวอย่างข้างล่าง
แล้วเช้าวันนี้ก็มีฝรั่งชื่อ Hammond Tamika เข้ามา Post ว่า Do you know that it’s high time to get the business loans, which will help you. ดังตัวอย่างข้างล่าง
ใครก็เดาออกว่าเป็นพวกธุรกิจการค้าเข้ามาหาลูกค้า อย่างที่เราๆได้รับตาม อีเมล์ มากมายทุกวันจนเบื่อขยะพวกนี้เต็มทีแล้ว
กรณีนี้ผมเอามาบอกเพื่อนฝูงก่อน แล้วจะเข้าไปลบทิ้งครับ
ไม่มีอะไร เอามาเล่าสู่กันฟังแค่นั้น..ครับ
ฤดูฝนมาแม่น้ำโขงแดง แม่น้ำไหนๆก็แดง
น้ำโขงในขวดยังแดงเล้ยยย
เกาะกลางแม่น้ำโขงนั้น ลาวเป็นเจ้าของตามแผนที่ของฝรั่งเศส
ไม่ทันสอบถามว่าพ่อลุงท่านนี้มาจากไหน
หาบกล้าต้นไม้หลายชนิดมาขาย
พอดีมีการประชุมข้าราชการและเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง
ลุงจึงวางหาบนั่งพับเพียบยิ้มแป้น เสนอขายกล้าไม้
…เจ้านาย ช่วยซื้อกล้าไม้…แน… กล้านี้ราคายี่สิบบาท
หลายคนยืนมุงดู ซักถามกันไม่กี่คำ
แล้วก็เดินไปทำภารกิจของแต่ละคน
“ในที่ประชุมนั้น เขาพูดกันถึงเรื่องการพัฒนาชนบท”
…??!!!
ขอนแก่น ฟ้าปิด ฝนตกเดี๋ยวหนักเดี๋ยวเบา ตลอดเวลาตั้งแต่เช้า
ฝนแบบนี้จะได้ปริมาณน้ำ และอาจเกิดน้ำหลากได้หากต่อเนื่องไม่หยุด
เฮ่อ.. ได้น้ำได้เนื้อซะที
นึกถึงสมัยเด็กๆ คุณอาผมซื้อวิทยุมาฟัง โห ใช้ถ่านไฟฉายตรากบเป็นโหล และต้องต่อเสาอากาศบนยอดไม้ เกะกะไปหมด…เด็กสมัยนี้นึกไม่ออกแล้วว่าวิทยุสมัยแรกๆนั้นเป็นเช่นไร วิทยุสมัยนั้นใช้หลอด เมื่อมีทรานซิสเตอร์ เครื่องก็เล็กลงมา ใช้ถ่านเพียง 4-6 ก้อนเท่านั้น หากใครอยู่บ้านนอก ก็ฟังแต่เพลงลูกทุ่ง..และหัดร้องตามกันลั่นทุ่ง เลี้ยงควายไปด้วยร้องกล่อมควายไปด้วย เช่นเพลงของ สุรพล สมบัติเจริญ, ชาย เมืองสิงห์ .. ผมร้องมาก่อน.. เดี๋ยวนี้ไม่เหลือซาก..
พอมาถึงยุคทีวี วิทยุก็ค่อยๆหายไป หรือลดบทบาทลงไปมาก ยิ่งเป็นระบบ AM บางคนลืมไปแล้วว่ามีวิทยุ AM
แต่ปัจจุบันวิทยุกลับมามีอิทธิพลมากขึ้น ยิ่งเมื่อรัฐเปิดโอกาสให้มีวิทยุชุมชน ก็เลยกลายเป็นการเมืองไปแล้ว… คนที่ใช้รถใช้ถนน ได้อาศัยวิทยุมากสักหน่อย ผมเองก็ใช้ฟังข่าวสารต่างๆ ฟังเพลง แต่เบื่อการโฆษณา..มากเกินเหตุ และบางทีมันเกินความจริงไป..
ผมเพิ่งกลับมาจากภาคเหนือ ตลอดการเดินทาง คนนั่งไปด้วยเปิดวิทยุตลอด เพื่อฟังรายการของท้องถิ่น ทั้งโดยตั้งใจและภาคบังคับ ที่ว่าบังคับเพราะ กำลังฟังรายการถูกใจดีดี เมื่อรถวิ่งไปไกลมากขึ้น คลื่นก็เริ่มจางหายไป เราก็ต้องเปลี่ยนสถานีใหม่ และสถานีที่ชัดที่สุดก็เป็นสถานีท้องถิ่นที่รถเรากำลังวิ่งผ่านนั่นแหละ
คนนั่งไปด้วยชอบฟังรายการวิทยุภาคเหนือ ตั้งแต่ อุตรดิตถ์ แพร่ ลำปาง ลำพูน เชียงใหม่..ฯ โดยเฉพาะที่แพร่ ผ่านไปกี่ครั้งก็พยายามเปิดช่องท้องถิ่น นอกจากจะฟังภาษาถิ่นที่เป็นภาษาเหนือ หรือ “คำเมือง” รายการก็ถูกใจ ที่คนนั่งไปด้วยชมเปาะก็คือ เป็นรายการที่ อบจ.แพร่มาพูดในรายการวิทยุท้องถิ่นประจำ
ท่านนายกฯอบจ.เล่าให้ฟังถึงแผนงาน งานที่ทำ สิ่งที่ทำไปแล้ว สิ่งที่จะทำ รายละเอียดของแต่ละงาน อุปสรรค ฯลฯ โห เราเป็นประชาชนแพร่เราก็ชอบ เพราะทุกคนจะตามติดได้ว่า ขณะนี้ อบจ.ทำอะไรอยู่..รายละเอียดเป็นเช่นไร เป็นการประชาสัมพันธ์ที่ดีมากๆ
รายการ อบจ.พบประชาชนแบบนี้ไม่มีที่อีสาน
ผ่านไปลำปางลำพูน เชียงใหม่ มีรายการของนักข่าวมาจัดรายการข่าวทั้งท้องถิ่นและของประเทศ แต่เป็นการวิเคราะห์ข่าว และเอาผู้รู้จริงๆมาวิเคราะห์ ฟังแล้วเขามีข้อมูลมากจริงๆ วิเคราะห์เจาะลึกละเอียด ทำให้เราหายโง่ไปเยอะ..
รายการวิเคราะห์ข่าวดีดีแบบนี้ไม่มีที่อีสาน
เพราะไม่เคยได้ยินน่ะครับ
แล้วอีสานมีรายการอะไร… มีแต่เพลง เพลง โฆษณาสินค้า และการเมืองสุดโต่งข้างใดข้างหนึ่ง…
สื่อสารมวลชนเป็นสิ่งสำคัญมากๆต่อสาธารณะ สมัยหนึ่งเราใช้คำว่า มอมเมาประชาชน โฆษณาชวนเชื่อ เพราะการพูดย้ำๆ จะไปสร้างแรงกระตุ้นให้เกิดการจำแก่ผู้ฟัง… ระบบสื่อสารมวลชนเกือบจะไม่มีขอบเขตจำกัด ยิ่งมีผลสองด้านต่อผู้ฟัง หากข่าวสารดีดี ผู้ฟังก็เสพแต่สิ่งดีดี ในทางตรงข้าม หากไม่ดี ก็กลายเป็นการสร้างปัญหา คล้าย Echo effect ปวดหัวตัวร้อนก็ไปซื้อแต่ แอนตาซิล ไปสะท้อนการได้ยินจากการโฆษณา อย่างอื่นไม่รู้จักไปแล้ว…
ท่านผู้เกี่ยวข้องกับการสื่อสารมวลชนโปรดพิจารณาด้วยเถิด ขอรายการดีดีสร้างสรรค์ในรายการวิทยุในภาคอีสานหน่อยเถอะ
สมองจะเน่าอยู่แล้วเพราะฟังแต่น้ำเน่าทุกวัน ทุกวัน…
ดูแล้วขอนแก่นน่าจะได้น้ำฝนชุดใหญ่จากเมฆฝนก้อนนี้
แต่ เขาเติมน้ำลงมาแค่ 5 นาทีก็เคลื่อนต่อไปเรื่อยๆจากเหนือลงใต้
ชาวบ้านก็เก้ออีกครั้งหนึ่ง
ขอมอบรถคันนี้ให้น้องอึ่งอ๊อบ
เอาไว้รับสาวๆเจียงใหม่ หละปูน ไปสวนป่า นะ
แซวน้องเล่นวันหยุด
บ่ายวันนั้น ฝนตก ทำให้อากาศเย็นลง
อุ้ยตุ่น ต้องเอาเสื้อแขนยาวมาใส่ ทำให้อบอุ่น
แต่แมว พ่อ แม่ ลูกสามตัวนี่ ไม่มีเสื้อผ้า
ก็มาสุมหัวเบียดกัน เอาลูกเล็กไว้ตรงกลาง
พ่อกับแม่ประกบ
แค่นี้ครอบครัวเราก็อุ่นด้วยกัน
ดูซิ..แม้ต่างสีกัน…
ครอบครัวเรา…..?
สังคมเรา………?
ประเทศชาติเรา……?
พ่อครูบาท่านมีเมตตาผม กระซิบมหาวิทยาลัยอุบลฯให้เชิญผมเข้าร่วมการอภิปรายเรื่องมหาวิทยาลัยในฝัน: มหาวิทยาลัยของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน ผมเองก็กริ่งเกรงในสถานที่เพราะข้าน้อยคนทำงานชนบทเล็กๆ(แต่ตัวใหญ่) พูดอะไรไปจะมีใครฟังหรือ..
ผมมองตัวเองว่า เราเสมือนแม่ครัว ที่เอาสูตรอาหารจานเด็ดทั้งหลายมาปรุงให้ถูกปากถูกคอประชาชนในพื้นที่ สูตรอาหารทั้งหลายจะไม่อร่อยเลยหากคนปรุงไม่ได้เรื่อง ไม่มีศิลปะเสน่ห์ปลายจวัก เพราะเราเป็นผู้ที่เอาหลักการต่างๆของการพัฒนาลงมาปฏิบัติจริงกับมือ..
มหาวิทยาลัยในฝัน: มหาวิทยาลัยของประชาชน นั้นช่างเป็นความฝันที่สุดเลิศประเสริฐศรี หากเป็นไปตามคำที่เขียน คือ..ของประชาชนจริงๆ ส่วนที่ต่อมาคือ โดยประชาชน เพื่อประชาชนนั้น ผมตั้งประเด็นย้อนไปถามมหาวิทยาลัยว่า ประชาชนคือใคร….?
มหาวิทยาลัยคิดเรื่องนี้อย่างไร.. ประชาชนที่ปัตตานีใช่ไหม หรือประชาชนที่แม่สายเชียงราย หรือที่แม่สอด ตากโน้น.. แม้ว่าในทางหลักการประชาชนทุกภูมิภาคมีสิทธิในการสมัครเข้ามาเรียนที่นี่ แต่ความเข้าใจส่วนตัวนั้นน่าจะเน้นหนักที่ประชาชนในภูมิภาคอีสาน
ถ้าเช่นนั้น มหาวิทยาลัยแห่งนี้รู้จักประชาชนในพื้นที่นี้แค่ไหน มีใครอยู่ตรงนี้บ้าง เช่น ไทยอีสาน ผู้ไท ย้อ กะเลิง โส้ แสก บรู บน เขมร ส่วย ราษฎรไทยเชื้อสายเวียต เชื้อสายเขมร เชื้อสายลาว แรงงานอพยพหลายชาติ กลุ่มเขยฝรั่ง…ฯ หากตั้งประเด็นว่ามหาวิทยาลัยของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน นั้น เรารู้จักเขาดีแค่ไหน เราจะมีเวทีให้ชนเหล่านั้นเข้ามาอ้างความเป็นเจ้าของได้อย่างไร..ฯ เหล่านี้ก็เป็นประเด็น…
แต่ละชนเผ่ามีวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน อยู่ในภูมินิเวศเกษตรวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ผมเชื่อว่าคณาจารย์จำนวนไม่น้อยเข้าใจ แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยยังไม่เข้าใจ ถ้าเช่นนั้นมหาวิทยาลัยต้องลงไปท้องถิ่น ชุมชน หมู่บ้าน เพื่อเข้าใจ เข้าถึง แล้วจะทำวิจัยอะไรก็มีเรื่องมากมายทุกสาขาวิชาที่มหาวิทยาลัยมีบุคลากรอยู่
การลงไปเรียนรู้ชุมชนนั้นทำได้หลายรูปแบบ เช่น แบบมหาวิทยาลัยเคลื่อนที่ ทำแบบ Mobile Unit หากจะลึกซึ้งเฉพาะเรื่องเฉพาะด้านก็ทำแบบ Community dialogue ไม่รู้ทำอย่างไรก็เชิญท่านจอมป่วนไปคุย เชิญท่านไร้กรอบไปแนะนำก็ย่อมได้ หรือไปทำโครงการเล็กๆ แบบ action research หรือแค่ไปเยี่ยมองค์กรพัฒนาเอกชน ไปคุยกันเป็นพักๆ ก็ได้ประเด็นเรื่องราวมากมาย… ยังมีวิธีต่างๆอีก แม้แค่ไปเยี่ยมเยือนท่องเที่ยวแบบเอาประเด็นก็ล้นกระเป๋ากลับมาแล้ว
เมื่อทำได้เช่นนี้ คณาจารย์ก็รู้จักท้องถิ่น ชาวบ้านก็รู้จักมหาวิทยาลัย แล้วการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันก็เกิดขึ้น แล้วทุกอย่างก็ตามมา ก็จะเป็นมหาวิทยาลัยติดดิน ติดท้องถิ่น วิชาการทุกสาขามุ่งมาตอบสนองท้องถิ่นจากกข้อมูลที่ได้มาด้วยกระบวนการดังกล่าว ไปฟังเสียงชาวบ้าน และหากเสียงชาวบ้านมีความหมาย มหาวิทยาลัยตอบสนองท้องถิ่น นี่แหละคือมหาวิทยาลัยของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน
จริงๆ มหาวิทยาลัยมีบทบาทมากกว่านี้มากนัก นี่เป็นเพียงมุมหนึ่งกับชนบท ที่เป็นเรื่องท้องถิ่น..
ขอเอารูปเก่าที่ไปพักที่เขาแผงม้ามา
เย็นวันนั้นใกล้ค่ำมากแล้ว เจ้าเด็กสามคนนี่เอาเรือออกกลางฝายเก็บกักน้ำ คนข้างกายบ่นว่า ค่ำแล้วยังออกไปเล่นอีก …
เด็กตัวเล็กนั่งหัวคนหนึ่ง นั่งกลางคนหนึ่ง เด็กโตทำหน้าที่พายเรืออยู่ช่วงท้าย บายไปบ้างเล่นกันบ้าง ตามประสาเด็ก ผมคิดว่าเด็กเหล่านี้น่าจะคุ้นเคยกับการพายเรือและเอาเรือออกไปกลางฝายเก็บน้ำแห่งนี้
ผมนึกถึงสมัยเด็กที่ชอบเอาเรือออกพายไปเล่นกลางทุ่งช่วงน้ำท่วม บางทีแม่ก็ให้ไปช่วยเก็บวัชพืชที่ขึ้นแทรกนาข้าว ซึ่งวัชพืชสมัยนั้นที่ขึ้นแทรกข้าว ทางภาคกลางเรียก “ต้นซิ่ง” เจ้าต้นนี้เติบโตเร็วตายยาก เหนียว ใบเหมือนต้นแค เราใช้วิธีถอนต้นออกเลยเอาใส่เรือแล้วเอาไปทิ้งตามคันนา หากแปลงไหนมีจำนวนมากเกินที่จะถอนก็ตัดสินใจพ่นสารเคมีกำจัด ซึ่งทางภาคกลางก็นิยมที่จะเอาสารเคมีนี้ผสมผงซักฟอกลงไปด้วย เหตุผลคือ ใบเจ้าต้นซิ่งนี้น่าจะมีขนเล็กๆปกใบเวลาพ่นน้ำยามักจะไม่จับใบ หากเอาน้ำยาใส่ผงซักฟอกแล้วจะช่วยให้น้ำยาจับใบมากขึ้น เพียงสามวันเจ้าต้นนี้ก็แห้งตาย เหลือแต่ต้นข้าว
พวกเราทำงานไปเล่นน้ำไปด้วยตามประสาเด็ก แล้วก็กลับบ้านไปหาขนมกิน… ส่วนใหญ่ก็เป็นผลไม้ท้องถิ่น
เดี๋ยวนี้ผมไม่เห็นต้นซิ่งอีกเลย…
ผมจำได้ว่าผมรู้จักท่านอาจารย์ ชุมพล สุรินทราบูรณ์ ท่านเป็นอดีตอาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬา ในฐานะที่ท่านเป็นคนสุรินทร์ เมื่อ CUSO จะไปทำโครงการพัฒนาชนบทที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ท่านก็ลาออกจากราชการมาเป็นผู้จัดการโครงการ และผมเผ่นจากเหนือมาอีสานครั้งแรก เพราะภัยทางการเมือง ท่านอาจารย์รับผมเข้ามาทำงาน โดยการแนะนำของพี่บำรุง บุญปัญญา ผมทำงานในตำแหน่งนักพัฒนาสังคมรับผิดชอบ โซน พื้นที่ชายแดน
ช่วงนั้นเขมรแดงกำลังแรงมากๆ ขึ้นมาเขตไทยปล้นเอาข้าวไปก็บ่อย ชาวบ้านเข้าป่าชายแดนโดนกับระเบิดตายบ้าง เสียขาก็เยอะ ชาวบ้านทั้งหมดเป็นคนไทยเชื้อสายเขมร ผมต้องเข้าโรงเรียนภาษาเขมรที่วิทยาลัยครูสุรินทร์ สมัยนั้น ไปกินนอนบ้านชาวบ้านเพื่อปรับตัวให้เข้ากับท้องถิ่น ภาษา วัฒนธรรม วิถีต่างๆ ครั้งนั้นมี ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ท่านอ.ดร.มรว.อคิน รพีพัฒน์เป็นทีมงานด้วย และมีคณาจารย์จากสถาบันวิจัยจุฬา จากสถาบันไทยคดีศึกษาอีกหลายท่านมาร่วม
ท่านอาจารย์ชุมพล ท่านเป็นสถาปนิก นิสัยสนุกสนาน แต่มีความรู้เพียบคอยหยอดคอยเติมเรามาตลอด ท่านเล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งท่านอยากส่งภาพศิลป์เข้าประกวดระดับชาติ ในหัวข้อ ทางธรรมะ ท่านคิดแล้วก็เอาผ้าดิบขึงกรอบ ยกขาตั้งไปตั้งริมทะเล หยิบพู่กันไปยืนเตรียมจะวาดอะไรสักอย่างลงในผืนผ้าดิบนั้น
ท่านสงบ ตั้งสติ ยืนนิ่งในน้ำทะเลนั้น ทำสมาธิ ท่านได้ยินเสียงน้ำทะเล สัมผัสกับลมที่พัด เสียงนก แสงแดดอุ่นๆ … พักหนึ่งท่านก็คลายจากสมาธิแล้วก็ใช้ฝีแปลงจุ่มสีขาวสะบัดสีลงบนผ้าจนทั่ว แล้วก็ยืนทำสมาธินานพอจนสีบนผ้านั้นแห้ง แล้วท่านก็เก็บกรอบผ้า ขาตั้งเดินทางกลับ….
แล้วท่านก็เอากรอบผ้าดิบที่มีแต่สีพื้นขาวนั้นส่งเข้าประกวดภาพศิลป์ที่บ่งชี้หลักธรรมะ
เสียงคนฮือฮามาก ว่านี่คือรูปอะไร ไม่เห็นมีอะไรนอกจากสีขาวบนพื้นผ้าดิบนั้น…
ท่านอธิบายว่าสิ่งสูงสุดของการหลุดพ้นคือความว่างเปล่า ไม่มีตัวตน….ปลดปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นตัวกูของกู นี่คือความว่างเปล่า… ท่านได้รับรางวัล แต่ไม่ทราบว่ารางวัลอะไรนะครับ
คราวที่ผมไปนอนที่บ้านพักเขาแผงม้า ที่หัวเตียงมีกรอบรูปนี้แขวนอยู่ คนข้างกายบอกว่า ..ดูซิ แค่นี้ก็ดูงามแล้ว…
ผมสนับสนุนว่า รูปในกรอบนี้งามจริงๆครับ..
หากที่สาธารณะแห่งนี้ผมสามารถจะประกาศคุณงามความดีของคน ผมก็ขออนุญาตใช้พื้นที่แห่งนี้เชิดชูตระกูลถาวรอยู่ ที่ผม น้องชายผม และน้องสาวได้พึ่งใบบุญคุณตาสำเภา ถาวรอยู่ คุณพ่อของคุณน้าสมพันธ์ ถาวรอยู่ชื่อที่ปรากฏป้ายแห่งนี้
สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ครอบครัวถาวรอยู่ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่ สำเหร่ ธนบุรี หนีภัยสงครามไปบ้านนอกคือ วิเศษชัยชาญ อ่างทอง โดยอาศัยเรือกลไฟวิ่งขึ้นไปตามลำน้ำเจ้าพระยาและเข้าสู่แม่น้ำน้อย ไปหยุดที่บ้านญาติที่หน้าวัดกำแพง ต.ศาลเจ้าโรงทอง ครั้งนั้นทำให้ครอบครัวช่วงฉ่ำโดยคุณพ่อผมที่เป็นครูประชาบาลที่วัดกำแพงได้รู้จักครอบครัวถาวรอยู่
เมื่อสงครามยุติ สองตระกูลก็ติดต่อกันบ้างตามโอกาส มีครั้งหนึ่งคุณตาสำเภาและเครือญาติสมัยหนีภัยสงคราม พากันออกเยี่ยมเยือนญาติพี่น้องที่วิเศษชัยชาญ ที่ครั้งหนึ่งเคยใช้เป็นที่หลบภัยสงคราม ครั้งนั้นเองที่คุณตาเลือกที่จะมาพักบ้านครูเชาวน์ คือบ้านผม เพียงเพราะบ้านผมหลังเดียวเท่านั้นที่มีส้วมซึม นอกนั้นใช้วิธีเข้าป่าละเมาะหลังหมู่บ้าน
บ้านผมได้รับแขกผู้ใหญ่ ผมกำลังเรียนชั้นมัธยมปีที่ 2 กำลังใช้แรงงานเต็มที่ ได้ทำหน้าที่กวาดบ้าน ถูบ้านให้สะอาดต้อนรับคุณตาและญาติผู้ใหญ่จากเมืองกรุง ทำหน้าที่หาบน้ำใส่ตุ่มให้อาบ ใส่ห้องน้ำ และน้ำใช้ต่างๆอย่างแข็งขัง จนคุณตาออกปากว่า จบมัธยมปีที่สามแล้วจะไปต่อที่ไหน หากไม่มีที่ไปก็ไปเรียนที่สมบุญวิทยาและพักที่บ้านคุณตาได้….
คำกล่าวของคุณตาในครั้งนั้นได้เปิดอนาคตของเด็กบ้านนอกอย่างผมและน้องๆให้ได้ฝัน ผมเป็นคนแรกที่นั่งเรือยนต์(สมัยนั้นยังไม่มีรถยนต์)ล่องน้ำจากวิเศษชัยชาญมาขึ้นที่ท่าเตียน และนั่งแท็กซี่ไปซอยวัดราชวรินทร์ คุณพ่อผมได้พาผมไปฝากคุณตาให้มาเรียนมัธยมปีที่ 4-5 จึงได้ไปอยู่ร่วมชายคาบ้านสวนที่ซอยวัดราชวรินทร์ สำเหร่
ต่อมาน้องอีกสองคนก็ได้อาศัยร่มไทรบารมีของคุณตาสำเภา ถาวรอยู่ท่านนี้
เมื่อสิ้นคุณตาและคุณยาย คุณน้าสมพันธ์ ถาวรอยู่ บุตรสาว ก็ยังไม่ได้ละทิ้งถิ่นที่เคยหนีภัยสงคราม โดยรวบรวมญาติพี่น้องจัดกองกฐินมาทอดที่วัดกำแพงเมื่อคราวออกพรรษาที่ผ่านมา นำเงินที่ได้ทำนุบำรุงวัดที่ทรุดโทรม ไปตามวันเวลา อายุขัยของสรรพสิ่ง
เมื่อการทำนุบำรุงวัดกำแพงเรียบร้อยลงเกือบสมบูรณ์แล้ว เหลือเพียงนำช่อฟ้าขึ้นไปติดตั้ง คุณน้าก็ตั้งกองผ้าป่ามาอีกครั้ง พร้อมมาทำพิธียกช่อฟ้าขึ้นติดตั้งเมื่อวันที่ 20 มิถุนายนที่ผ่านมานี้เอง โดยเชิญคุณแม่ผมร่วมเป็นประธานด้วย เนื่องจากคุณแม่ผมไม่สามารถเคลื่อนไหวไปร่วมงานได้จึงมอบให้ผมเป็นประธานร่วมแทน..
คุณน้าเป็นอดีตข้าราชการครู ที่คอยดูแลลูกสาวคนโต น้องอ้น ที่ผมจูงมือไปโรงเรียนทุกวันในสมัยก่อนโน้น น้องอ้นเส้นเลือดในสมองแตกตอนกลับมาจากเรียนที่ออสเตรเลีย ต้องพิการตลอดชีวิตนับสิบปีมาแล้ว ต้องนอนบนเตียงมีคนคอยช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง เสียเงินไปนับสิบล้านแล้ว เพราะคุณน้าให้สิ่งดีที่สุดที่ลูกสาวคนนี้ควรจะได้ ส่วนน้องอ้อมลูกสาวคนกลางเป็นสะใภ้ท่านกฤษณา อโศกสิน และทำงานเกี่ยวกับหนังสือและศิลปะตามที่เธอสนใจ ส่วนน้องอ่อนลูกสาวสุดท้องของคุณน้า เป็นนักแปลข่าวต่างประเทศอยู่ที่วัฏจักร
สายสัมพันธ์ของสังคมไทยนั้นลึกซึ้งกว่าคำอธิบายใดๆที่เป็นอักษร และคำพูด แต่มันเป็นความรู้สึกภายใน..
ทุกครั้งที่ผมก้มกราบพระ ผมระลึกถึงพระคุณของคุณตาคุณยาย ตระกูลถาวรอยู่ ซอยสำเหร่ ธนบุรี ผมระลึกถึงคุณน้าสมพันธ์ ที่แม้เวลาปัจจุบันจะห่างไกลจากสงครามโลกครั้งที่สองนานมากแล้ว แต่คุณน้าก็ยังหาโอกาสมาสร้างประโยชน์ให้แก่วัดกำแพง และชุมชนแห่งนี้ ที่ครั้งหนึ่งเคยได้หนีร้อนมาพึ่งเย็น
ผมได้ยินคุณย่า คุณยาย คุณปู่ ที่มาร่วมงานยกช่อฟ้า ต่างถามไถ่หากัน เนื่องจากกันมานาน หลายคนก็ละสังขารไปแล้ว หลายคนก็ขยับเขยื้อนร่างกายไม่ไหว ใครที่พอจะหิ้วปีกมาได้บ้างต่างก็ขโยกเขยกมาพบปะกัน อาจจะเรียกรุ่นสงครามโลกครั้งที่สองก็ได้…
ผมขออนุญาตใช้พื้นที่นี้บันทึกเรื่องเหล่านี้ไว้ว่า
นี่คือรากเหง้าของวัฒนธรรมไทยเรา
(วัดกำแพง เป็นวัดที่มีโรงเรียนวัด
ที่คุณพ่อผมเป็นครูใหญ่ที่นี่จนปิดตัวลงเมื่อคุณพ่อผมเกษียณ และจำนวนเด็กนักเรียนน้อยเกินไป ผมเองก็เรียนชั้นประถมที่นี่ อิอิ เด็กโรงเรียนวัด)
เหนื่อยนักก็พักก่อน พี่น้องงงงง
ไม่รู้จะไปพักที่ไหนก็มาที่นี่เด้อครับ
ผาแห่งนี้รับรอง…..หดจริงๆ…
ห้า ห้า ห้า
เขาเรียกหมวกเมฆ
วันนี้ตั้งใจจะหารูปเมฆสวยๆถ่าย แต่ไม่แน่ใจว่าจะโชคดีหรือเปล่า แต่ก็ไม่เป็นไร ไปคอยดีกว่า เลิกงานก็ขึ้นไปบนเขามโนรมย์ซึ่งอยู่ด้านใต้ของตัวเมืองมุกดาหารครับ
คอยตั้งแต่ 5 โมง พอ 6 โมงพระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าทางตะวันตก ก้อนเมฆจำนวนหนึ่งเริ่มปรากฏหมวกเมฆ แต่ไม่มีสีรุ้ง สักแป๊บเดียว มาแล้ว…..
ถ่ายไม่อั้นเลย โผล่ตรงโน้น ตรงนี้ กล้องเราก็ไม่ได้อย่างใจเลย พอซูมใกล้ๆ อยากได้ภาพรุ้งสวยๆใกล้ๆ ภาพมันเบลอหมด ได้มาพออวดได้บ้าง ถ่ายไปเกือบสามร้อยรูป อิอิ
เป็นเพียงดอกไม้ริมรั้วที่ไม่มีราคาค่างวดอะไร
เป็นเพียงสัญลักษณ์ของไมตรีที่อยากส่งมอบแก่กัน
เราไม่แบ่งสีสันไม่แบ่งชั้นวรรณะ
เราเป็นคนไทยด้วยกัน เป็นพี่น้องกัน เพียงเราต่างความคิดกันเท่านั้น
ท่ามกลางความแตกต่าง เราก็มีไมตรีต่อกันได้
ส่งมอบต่อกันเถอะ…วิญญาณบรรพบุรุษของเราคงเรียกร้องเช่นนั้น
ดอกไม้ช่อนี้คือตัวแทน น้ำใจไมตรี จากคนไทยคนหนึ่ง
ที่อยากส่งมอบให้พี่น้องเราทุกคน
(ความรู้สึกสะเทือนใจเมื่อรับฟังพระไพศาล วิสาโล ในรายการฅนค้นฅนที่คอนแนะนำ)
นักข่าวสัมภาษณ์ท่านทะไลลามะผู้นำทางจิตวิญญาณทิเบตว่า
คิดว่าผู้นำหรือใครที่เป็นตัวแทนเพื่อการอุทิศตัวเพื่อผู้อื่น
ทะไลลามะตอบว่า”ถ้าข้าพเจ้าเทียบกับท่านผู้นี้ ข้าพเจ้าจะกลายเป็นแค่เด็กหัดเดินไปเลยกับสิ่งที่ท่านผู้นี้ทำให้กับคนของเขาด้วยความรักและศรัทธาในสิ่งนี้อย่างเต็มเปี่ยม”
นักข่าวถามต่อว่าท่านผู้นี้คือใคร
ทะไลลามะตอบสั้นๆว่า
“มหาราชาภูมิพล”
——–
ผมพึงระมัดระวัง FW mail จริง ไม่จริง ใช่หรือไม่ใช่ เราพิสูจน์ไม่ได้ แต่กรณีนี้ ผมไม่รอรีที่จะเอาความรู้สึกดีดีมาเผื่อแผ่กันครับ