ค่าใช้จ่ายของมิตรภาพ
เพื่อนครูปูคนนี้รู้จักกันมาหลายปีแล้วค่ะ แต่ก่อนจะคุยกันถูกคอเป็นพิเศษเรื่องการเมือง พักนี้ไม่ค่อยได้เจอหรือพูดคุยกันมีแต่เจอกันใน MSN บ้าง มีเรื่องโทรมาถาม ช่วยกันไปเอื้อกันมาทั้งเรื่องงานเรื่องส่วนตัวนู่นนี่นั่นประสาเพื่อนเสมอ ๆ
แต่หลัง ๆ มานี่ การพูดคุยกับเพื่อนคนนี้ทำครูปูสะอึกได้เกือบทุกครั้ง ด้วยเพราะกลุ่มคำและวิธีการแสดงความคิดเห็นที่รุนแรง เกินความจำเป็น
ที่ว่าไม่จำเป็นนี่ ไม่ได้หมายถึงอุดมการณ์ ความมุ่งมั่นจะทำอย่างนั้นจะรณรงค์อย่างนี้ของเขาหรอกนะคะ ถ้า เชื่อ ถ้า ศรัทธา เสียแล้ว และ เห็นชัด จน แน่ แก่ ใจแล้ว ว่าดี ว่ามีประโยชน์ก็ทำไปเถอะค่ะ สิทธิของใครก็ของคนนั้น ตราบใดที่ยังไม่ไปละเมิดสิทธิของคนอื่น แึ้ค่ได้แต่เอาใจช่วยว่า ไอ้สิ่งที่คิดว่ารู้ น่ะ ขอให้มันมีส่วนที่ใช่ มากกว่าส่วนที่ ไม่ใช่ ก็แล้วกันนะเพื่อนนะ
โดยส่วนตัวคิดว่าการแลกเปลี่ยนมุมมองความคิดหรือแม้แต่การพูดคุยกัน เราควรให้เกียรติและเหลือพื้นที่ทางความคิดให้กับคู่สนทนาบ้าง น่าจะมีช่วงที่ได้ผลัดกับพูด ผลัดกันฟัง ผลัดกันเสนอ ผลัดกันตอบ ผลัดกันอธิบาย อย่างนี้น่าจะได้ “อะไร ๆ” จากการสนทนากันไปบ้าง
ก็ไม่ใช่การดีเบตที่จะต้องเอาชนะคะคาน อวดอ้าง ชิงดีชิงเด่นกันนี่นา
เพื่อนกันนาเฟ๊ย เพื่อนกัน
คุยกัน เอาความรู้ เอาไมตรี เอาเครือข่าย จะมีประเด็นอื่นแถมก็ว่ากันไปตามจริตของคู่สนทนาเพราะถ้าจริตไม่ตรงกันก็คงไม่ได้มาเป็นคู่สนทนากันหรอกนิ
อย่างครูปูเองรู้ตัวเหมือนกันล่ะค่ะว่าพูดมาก :P ต้องพยายามรู้ตัวให้ได้ค่ะว่าไม่ควรผูกขาดการพูดอยู่ฝ่ายเดียว หรือเลือกเฉพาะเรื่องที่เราอยากพูด โดยไม่ได้สนใจความต้องการหรือความพึงพอใจของคู่สนทนาบ้างเลย
ถ้าคิดจะคุยกับใครแล้วไม่ได้สนใจเรื่องนี้ อยู่้บ้านแล้วนั่งพูดนอนพูดคนเดียวน่าจะสบายใจกว่า ไม่มีคนขัดคอด้วย ไม่ต้องคอยสังเกตอาการใครด้วย หรือไม่ก็เขียนเอาก็ได้ค่ะ คนอื่นจะได้หมดโอกาสแทรกให้เสียอารมณ์ ส่วนเขียนเสร็จแล้วใครจะมาคอมเมนท์ว่าอย่างไร ถึงตอนนั้นก็ระบายเสร็จไปแร่ะ เบรกไม่ทันแร่ะ สุขสมอารมณ์มัน เอ๊ย อารมณ์หมายไปแร่ะเรา คริคริคริ
ถ้าตะบี้ตะบันจะนำเสนอแต่ Agenda ที่พกมาด้วยความภาคภูมิใจ แกมคาดหวังอย่างเต็มเปี่ยม โดยไม่สนใจใคร อย่างนี้ไม่น่าจะเรียกว่า “คุยกัน” นะคะ น่าจะเรียกว่า “พูด(คนเดียว)” มากกว่าค่ะ
คุย ๆ กันไปแล้วเกิดไม่เห็นด้วยก็ไม่จำเป็นต้องเออออไปด้วยก็ได้เนาะคะ แสดงแค่ท่าทีรับทราบตามมารยาทก็น่าจะพอ แค่รับฟัง รับรู้ว่าคู่สนทนาเขาคิดแบบนี้ เราจะได้เข้าใจว่าที่เขาพูดแบบนี้ เลือกทำแบบนั้น เพราะเขาเชื่อแบบนั้น นั่นเอง
ครูปูว่าอริยะขัดขืนที่ชัดที่สุด คือ นิ่งค่ะ ยิ่งถ้าเจ้าตัวไม่รู้ตัวมาก ๆ แล้วมีอาการรุกเร้าเรามากขึ้นนี่ สำหรับตัวเองจะนิ่งค่ะ นิ่งแบบที่ว่า ไอ้เจ้าท่าทีว่ารับทราบตามมารยาทแบบเมื่อซักครู่ก็หายไปด้วยอ่ะนะคะ
การคุยกันครั้งล่าสุดนี่อาการแบบนี้ของเพื่อนหนักขึ้น คือ ไม่ว่าจะคุยเรื่องอะไร ประเด็นไหน ก็มีเพียงวิธีคิดของเขาแบบเดียว วิธีทำของเขาแบบเดียวเท่านั้น ที่ดี ที่ถูก ที่สมเหตุสมผล เข้าท่า วิเศษ เลิศเลอ ทุกเรื่องอยู่ฝ่ายเดียว ?
อะไรที่ถามไป พี่แกตีตกไปดื้อ ๆ ไม่มีคำอธิบาย ไม่มีการแลกเปลี่ยน
“เธอไม่ต้องไปคิดเรื่องนั้น มันมาจากไอ้นี่ไง ฉันบอกเธอกี่หนแล้ว ยังจะไปมัวสงสัยทำไมอีก ถามเหมือนคนไม่รู้เรื่อง รู้โลกเลยนะเธอ”
แป่ว!
ทุกคำถามมีคำตอบที่สำเร็จรูปรออยู่แล้วทั้งสิ้น คำตอบเดียวนี้นี่เองที่ใช้อธิบายและเชื่อมโยงได้ทุกปรากฎการณ์ เรียงร้อย รัดรึงเข้าด้วยกันแบบมหัศจรรย์พันลึก ???
WOW! อะไรมันจะสำเร็จรูปได้ขนาดน้าน…
นั่งนึกอยู่ตลอดว่า
เอ ทำไมเพื่อนเรามันไม่สังเกตบ้างเลยว่าเราอึดอัดขนาดไหน
ทำไมถึงเมามันอยู่คนเดียวได้ทุกที
คุยกับเราแต่ไม่มีเราอยู่ในห้วงคำนึงเลยเรอะ ???
ทำไมเรารู้สึกเหมือนไม่มีสิทธิพูด ถาม เสนอ (ก็เล่นไม่ฟังไม่เว้นช่องเลยนี่หว่า) รู้สึกว่าถูกริดรอนสิทธิตลอดระยะเวลาที่คุยกันเลยอ่ะ ฟังไปฟังมาแล้วเหมือนนั่งอยู่ต่อหน้าผนังเลยวุ๊ย ทำอะไรก็ไม่ได้เลย ได้แต่เอาหน้าถู ๆ เอาหัวไถ ๆ ไปตามความยาวของผนังนั่น
ก็เท่านั้น
นี่ถ้าเป็นคนอื่น ครูปูก็คงใช้วิธีอารยะขัดขืนอย่างที่ว่ามา
แต่คิดไปคิดมา เราสองคนเป็นมากกว่าคนแปลกหน้า ที่แค่เฉย ๆ ชา ๆ กันไป เที่ยวหน้าก็อย่าหวังจะได้มาคุยกันอีกเลยนะ
เราสองคนเป็นมากกว่านั้นนะ คือ เราเป็นเพื่อนกัน
คิดได้ดังนั้นจึงบอกเพื่อนไปตามที่ตัวเองคิดและรู้สึกทั้งหมดนั่นเลยค่ะ
บอกตรง ๆ ว่าการคุยกันแบบนี้ทำให้เรารู้สึกอึดอัดขึ้นเรื่อย ๆ ขืนคุยกันแบบนี้ต่อไป เดี๋ยววันหนึ่งเกิดเราถามมาก (ซึ่งถามอยู่แล้วล่ะค่ะ) หรือพูดแย้งแบบไม่เห็นด้วย จะพาลโกรธกันเสียเปล่า ๆ เปิดอกคุยกันซะเลยแล้วกัน อยากให้เขาลองแยกความคิดเห็น วางไว้แค่เป็นความคิดเห็น หรือสงเคราะห์อธิบายความเห็นนั้นให้เราเข้าใจบ้าง แล้วลองฟังความคิดเห็นจากในส่วนของเราดู อย่าด่วนตัดสินเรา อย่าจ้องจับผิด เช็คชื่อ ผลักไส จี้ถาม เพื่อแบ่งฝ่ายเราตลอดเวลาแบบนี้
แล้วที่สำคัญคือนาน ๆ ได้คุยกันทีนึง ถ้าคุยกันเรื่องการเมืองไม่ถูกคอ เราข้ามมันไปได้ไหม ข้ามไปคุยเรื่องอื่น เรื่องที่เราคุยกันได้ เมื่อก่อนทำไมเราคุยกันสนุกกว่านี้ได้ล่ะ เราเพื่อนกันเน่อ คุยกันบ้างเหอะ อย่าปล่อยเรานั่งหง่าว แล้วคุยไปสรุปไป สนุกไปคนเดียวแบบนั้นดิ
เท่านั้นเอง!!!
“ปู ตกลงเธอสีไหนกันแน่เีนี่ยะ ห๊า บอกมาตรง ๆ เลยนะ หรือว่าดัดจริตเป็นคนตรงกลางแต่เอียงข้างทางกะเท่เร่กับเขาอีกคน”
นิ่งไปพักกกกกกกนึง พูดไม่ออก
ปกติเป็นคนไม่ต้อนรับความก้าวร้าวของใคร คราวนี้เจอกับเพื่อนตัวเอง จุกไปถึงคอหอยแน่ะค่ะ
“แบบนี้ ฉันว่าเธอมากไปแล้วว่ะ เอาอย่างนี้แล้วกัน เธอเอาที่ฉันพูดไปคิดดูก่อนนะ ฉันก็จะเอาที่คุยกับเธอทั้งหมดไปคิดดูเหมือนกัน แต่ถ้ายังอยากคุยกันอีกนะเพื่อนนะ อย่าใช้อารมณ์หรือคำพูดเสียดแทงกันเลย อย่างนั้นมันไม่เหมือนเพื่อนกันอ่ะ เป็นฉัน ฉันไม่ทำใส่เพื่อนนะ กลับคิดว่า กับเพื่อนมีอะไรน่าจะตรง ๆ แฟร์ ๆ นะ ก็เลยเสี่ยงพูดกับเธอไปแบบนั้น ทั้ง ๆ ที่ก็รู้นะว่ามีเปอร์เซ็นสูงที่จะโดนเธอตอกแบบนี้ แล้วก็จริงเสียด้วย แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ให้ย้อนเวลากลับไปอีกฉันก็จะทำเหมือนเดิมนั่นแหล่ะ เพราะฉันว่าเราคุยกันแบบนี้ไม่เวิร์คจริง ๆ เอาเป็นว่าเราแยกย้ายกันไปใช้เวลาอย่างที่ว่าแล้วกันเนอะ”
ไม่มีเสียงตอบรับค่ะ
รู้แต่ว่าทุกเส้นทางการติดต่อขาดหมด ทั้ง MSN และ facebook โทรศัพท์คงไม่ต้องพูดถึง
ก็ไม่ได้ต่างไปจากที่คาดไว้เท่าไหร่หรอกค่ะ เพียงแต่ก็ได้เห็นว่าสัมพันธภาพระหว่างกันที่ดูเหมือนจะเหนียวแน่นหวานชื่นนั้น แค่รอยปริของความที่ ยัง ไม่เข้าใจบางเรื่อง ณ ฟากใดฟากหนึ่ง ประกอบกับการให้ความสำคัญ “ของฉัน ของเธอ” มากกว่า “ของเรา” ก็อาจถึงขั้นทำให้แตกหักและขมปี๋ได้ ภายในช่วงเวลาแค่อึดใจเดียวเท่านั้น
หากเอาเวลาและความรู้สึกดี ๆ ที่เคยมีให้กันมาเทียบกันดู ก็คงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายไม่น้อยเลยทีเดียว
ก็ได้แต่ทำใจว่า
นี่ อาจเป็นค่าใช้จ่ายที่ “เราทั้งคู่” ต้องรับผิดชอบ
ฐานที่ไม่สามารถประคับประคองมิตรภาพนี้ไว้ได้ต่อไป
ก็เป็นได้เนาะคะ
« « Prev : ทำเท่าที่ได้ ให้เท่าที่มี
ความคิดเห็นสำหรับ "ค่าใช้จ่ายของมิตรภาพ"