คนละมุมเดียวกัน

โดย krupu เมื่อ 14 กุมภาพันธ 2011 เวลา 21:21 ในหมวดหมู่ aar, การจัดการความรู้, การบริหารจัดการ, การศึกษา, การเีรียนการสอน, สังคม #
อ่าน: 30037

ขณะเดินตรวจอาคารอยู่มีเด็กวิ่งมาตามบอกว่ามีแขกมาขอพบ โดยปกติธุรการหรือฝ่ายงานต่าง ๆ จะรับให้แล้วต้องแจ้งรายละเอียดมาก่อน สงสัยว่าจะเป็นเรื่องด่วนจึงวิ่งลงไปพบทันที ก็พบคุณพ่อของเด็กที่ไปชกหน้าเพื่อน 1 หมัดเมื่อวันก่อนนั่นเอง คุณพ่อนายตำรวจท่านนี้วัยน่าจะใกล้ ๆ ครูปู หน้าตาเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด หลังจากแนะนำตัวแล้วก็สอบถามความเข้าใจเบื้องต้นก่อน คุณพ่อแจ้งว่าไม่รู้อะไรเลย ลูกบอกให้มาเซ็นชื่อเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ก็เลยมา

ทำไมเหรออาจารย์ มันมีเรื่องอะไรกันนักหนา ถึงขั้นสั่งห้ามลูกผมขึ้นเรียน ผมต้องลางานเสียงานเสียการนะนี่ (เสียงขุ่นเชียว?)

ครูปูจึงโทรตามเด็กมาเพื่อมาจูนให้ตรงกันก่อน ปรากฎว่าเด็กแจ้งว่าหลังจากคุยกับครูปูจนเข้าใจถึงสิ่งที่ตัวเองทำลงไปพร้อมทั้งวิธีการแก้ไขแล้ว ก็กลับไปทำความเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดกับคุณพ่อตามคำแนะนำของครูปู แต่คุณพ่อกลับไม่ยอมฟัง พูดอะไรก็บอก

เออ รู้แล้ว ๆ

เด็กเลยไม่มีโอกาสจะอธิยายอะไรได้ จึงบอกไปเพียงแต่ให้มาพบครูปูก็แล้วกัน

เอ้า ไม่เป็นไร ครูปูจึงลำดับเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟังตั้งแต่เรื่องการขาดเรียนและมาสายเป็นประจำ ไม่ตั้งใจเรียน หนีเรียน ติดค้างผลการเรียนหลายวิชา พฤติกรรมเรียกร้องความสนใจด้วยการแต่งตัว ตัดผมทรงแปลก ๆ ประจำ พูดจามึงมาพาโวย กวนชาวบ้านเขาไปทั่ว เตือนแล้วเตือนอีก เคยบอกว่าถ้าไปกวนอย่างนี้นอกโรงเรียนมีหวังโดนวัยรุ่นตื้บเข้าให้สักวัน แล้วก็จริงดังว่า ไปโดนกลุ่มวัยรุ่นนอกโรงเรียนยำมาเสียเละแผลยังไม่หายดีเลย ยังมีหน้ามาต่อยเพื่อนในโรงเรียนอีก

อาจารย์หลาย ๆ คนเคยเตือนเรื่องนี้แล้วใช่ไหมลูก กายพยักหน้า

แต่คุณพ่อไม่พยักด้วยแฮะ กลับโวยวายทันที

อะไรอาจารย์ มีสิทธิอะไรมาว่าลูกผม ลูำกผมไปโดนทำร้ายร่างกายมา เขาเป็นผู้ถูกกระทำนะ เป็นครูบาอาจารย์พูดจาอย่างนี้ได้ยังไง รู้เรื่องกฎหมายบ้านเมืองบ้างมั้ย คุณสอนวิชาอะไรไม่ทราบ รู้มั้ยว่าอย่างนี้เขาเรียกว่าเป็นเจ้าทุกข์ ไม่ใช่จำเลยนะ ลูกผมเจ็บตัวหัวแหก ฟกช้ำไปหมดแล้วคุณยังจะมาซ้ำเติมเขาอีกเหรอ

ง่ะ :(

ในห้องพักเงียบสงัด อาจารย์ที่เหลือนั่งจ้องหน้ากันเลิ่กลั่ก

เอ่อ คุณพ่อคะ

“ผมไม่ยอมนะ คุณมาว่าลูกผมอย่างนี้ ไอ้เรื่องอื่นน่ะ มันผิดจริง เรื่องที่ไปต่อยเขานี่ก็ด้วย แล้วยังไง ผิดก็ผิดสิ จะลงโทษก็ลงไป จะไล่ออกก็โอเคนะ ผมไม่สนใจหรอก ไปเรียนที่อื่นก็ได้ แต่จะมาว่าลูกผมในสิ่งที่เขาไม่ผิดไม่ได้ ผมเป็นตำรวจ ผมสอนลูกผมเรื่องสิทธิทางกฎหมาย ถ้าลูกผมไม่ผิด ผมก็ไม่ให้ลูกผมยอมใครเหมือนกัน

ยิ่งพูดคุณพ่อก็ยิ่งแผดเสียงดังขึ้นไปเรื่อย ๆ ยืดตัวหลังแอ่น กอดอกแน่นขึ้น ๆ ใส่อารมณ์ทีก็กระแทกตัวมาข้างหน้าทีนึง นั่งมองไปก็คิดอยู่ตลอดเวลาว่า ภาษากายชัดขนาดนี้คุณพ่อน่าจะมาเป็นครูสอนภาษาน่าจะดีนะ ไม่น่าไปเป็นตำรวจเลย อันนั้นเขาต้องใช้ไหวพริบ ต้องอ่านคนอ่านอาการ และน่าจะเก็บอาการตัวเองเพื่อพินิจพิเคราะห์ข้อมูลแวดล้อม ซึ่งตรงกันข้ามกับที่กำลังทำอยู่โดยสิ้นเชิงนี่นา

“ผอ.อยู่มั้ย ๆ ผมจะขอพบหน่อย คุณนี่เป็นครูบาอาจารย์ได้ยังไง แบบนี้ไม่ไหวนะ”

หัวหน้างานพัฒนาวินัยนักเรียนนักศึกษา รีบแนะนำครูปู

อาจารย์ปูท่านเป็นรองผู้อำนวยการนะครับคุณพ่อ ท่านก็ถือเป็นตัวแทนท่านผู้อำนวยการได้แล้วล่ะครับ”

คุณพ่อไม่ตอบวุ๊ย ได้แต่ชะงักไปนิดนึง แล้วกวาดตามองครูปูตั้งแต่หัวจรดหาง แง๊ หนูไม่มีหางน้า :P

อ้าปากจะตอบคำถามคุณพ่อทีไร คุณพ่อก็แย่งพูดขึ้นมาทุกที อ้าปากค้างแมลงวันจะบินเข้าปากอยู่แล้วนะเรา :(

เอาอย่างนี้ดีไหมคะ อาจารย์จะให้เกียรติคุณพ่อพูดก่อน ถ้าพูดหมดแล้วบอกด้วยนะคะ เราจะผลัดกันพูดผลัดกันฟัง ตอนนี้คุณพ่อมีอะไรก็ว่ามาให้หมดเลยค่ะ อาจารย์จะฟัง เดี๋ยวหมดแล้วอาจารย์ขออนุญาตพูดบ้างนะคะ

ได้เลย ผมน่ะ ได้ทุกรูปแบบอยู่แล้ว แค่คุยกันนะ ไม่ได้จะเล่นมวยปล้ำซะหน่อย :(

อยู่ดี ๆ บรรยากาศเงียบสงัด ครูปูมองตาคุณพ่อด้วยความฉงนว่าอยู่ดี ๆ หยุดพูดทำหยัง คุณพ่อกลับถลึงตาใส่ เปลี่ยนไปสื่อสารโหมดเสียงก็ได้(วะ)!

ตกลงคุณพ่อพูดจบแล้วเหรอคะ

จบแล้ว คุณมีอะไรก็ว่ามา

ธรรมดาคำว่า “คุณ” เป็นคำสุภาพเนาะ แต่ในประโยคนี้สถานการณ์แบบนี้ ทำไมรู้สึกเหมือนถูกท้าทายเหยง ๆ ก็ไม่ทราบ

ตอบประเด็นเร่งด่วนของคุณพ่อก่อนเมื่อครู่นะคะ เรื่องที่น้องถูกทำร้าย ทำไมอาจารย์ัยังยกเป็นประเด็นมาบวกกับเรื่องอื่น ๆ อีก ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นผู้ถูกกระทำ

นั่นน่ะสิ ไหน ๆ คุณคิดได้ยังไง ว่ามาสิผมจะฟัง (”คุณ”อีกแล้ว)

เอ่อ คุณพ่อทราบรายละเอียดเรื่องที่น้องถูกทำร้ายแล้วใช่ไหมคะ”

รู้สิ ผมเป็นตำรวจนะคุณ

แล้วคุณพ่อทราบใช่ไหมคะว่าคนทำก็เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันนั่นแหละ”

ใช่ ๆ กลุ่มเดียวกันนั่นแหละ ไม่รู้มันไปทำอีท่าไหนกัน

“อีท่าไหนนั่นอาจารย์ก็ทราบอีกค่ะ เรื่องของเรื่องคือแค่คุยทับกันไปมา คนของเราก็ใช่ย่อย ไปคุยเบ่งใส่เขาไว้หลายครั้งแล้ว ครั้งนี้เขาบอกว่าทนไม่ไหว เลยรวมตัวกันยำเข้าให้  คุณพ่อไม่แปลกใจเหรอคะว่าในเมื่ออยู่กลุ่มเดียวกัน แล้วทำไมลูกเราเป็นคนเดียวที่เพื่อน ๆ ไม่ชอบขี้หน้า

คุณพ่อหันควั่บไปหาลูกชาย

“ทำไมกาย เพื่อนมันไม่ชอบหน้าเราเหรอ นี่อาจารย์เค้าถึงขั้นกล่าวหาเราว่าเป็นแกะดำเลยนะ จริงมั้ยลูก ตอบอาจารย์เขาไปซิ

เง้อ! ดูคุณพ่อประสาน(งา)ระหว่างครูกับลูกศิษย์ดิ :(

กายก้มหน้าไม่สบสายตาใครทั้งนั้น ทำปากยื่นเปล่งเสียงออกมายอมรับ “ครับ

คุณพ่อหัวเสียหนักเข้าไปอีก

ทำไม เราไปเป็นแกะดำเรื่องอะไร มีเรื่องอะไรกัน พ่อเห็นก็ไปเที่ยวกันทุกคืนนี่ แล้วเริ่มขัดใจกันตั้งแต่เมื่อไหร่ พ่อให้ตังค์เท่าไหร่ก็เห็นบอกว่าเอาไปเลี้ยงเพื่อนหมด โทรศัพท์เพื่อนยืมไปกี่เครื่องแล้ว มอเตอร์ไซค์เพื่อนเอาไปขับพังไป 2 คัน นี่จะขอพ่อซื้อ KSR อีก บอกเพื่อน ๆ กำลังฮิต เพื่อนเป็นพระเจ้าสำหรับกายยิ่งกว่าพ่อเสียอีก แล้วอย่างนี้เพื่อนมันยังเห็นกายเป็นแกะดำอีกเหรอ ฮึ

ประเด็นนี้ล่ะค่ะที่อาจารย์สนใจ แม้แต่เป็นเพื่อนก๊วนเดียวกันยังทนกันไม่ได้ ไอ้ที่เขาทนลูกเราไม่ได้นี่ล่ะค่ะที่เราต้องเอามาดูเอามาสอนกันว่าลูกเราควรจะปรับตรงไหนบ้างหรือไม่ แล้วยังเวลาที่เกิดเรื่องอีก ลูกชายคุณพ่อไปทำอะไรนอกบ้านยันตีหนึ่งตีสองล่ะคะ

ก็นี่ไง ผมเตือนประจำ มันก็ไม่ฟัง ไอ้ผมกว่าจะเข้าบ้านก็ดึกแล้ว ยังต้องโทรตามกันทุกวัน

“เหล่านี้ล่ะค่ะที่อาจารย์ว่าเป็นประเด็นที่น่าจะสอนเขา พวกเราก็อายุไม่น้อยกันแล้วนะคะจะอยู่กับเขาไปได้อีกสักกี่ปี ยิ่งคุณพ่อเป็นตำรวจด้วย งานก็เสี่ยง ศัตรูก็หลายรูปแบบ วันนึงถ้าคุณพ่อไำม่ได้กลับบ้าน คุณพ่อวางใจได้หรือยังว่าพฤติกรรมแบบลูกเรานี่สามารถอยู่ร่วมกับคนได้เป็นอย่างดี ใครเห็นก็คงเอ็นดูคงเมตตาลูกเรา คุณพ่อแน่ใจแล้วเหรอคะ

อาจารย์ไม่ใช่ตำรวจนะคะ จะได้ดูแต่ว่าใครผิดใครถูก ว่ากันตามตัวบทกฎหมายแล้วจบ แต่คนเป็นครูคงต้องมองลึกไปกว่านั้นค่ะ ถึงลูกเราจะเป็นฝ่ายถูก เราก็ควรชี้ให้เขาเห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจากหลาย ๆ มุม ยิ่งในส่วนที่เขาเป็นประเด็นเกี่ยวข้องด้วยแล้ว เขาจะได้เก็บไว้เป็นบทเรียน ทำให้รู้จักและเข้าใจตัวเองมากขึ้น อ่านผู้คนออก คาดเดาสถานการณ์ได้บ้าง บทเรียนที่ได้จะทำให้เขารู้ตัวและเลือกได้ดีขึ้น ยิ่งถ้าเขาเป็นต้นเหตุของความเสียหายด้วยแล้ว เราก็คงไม่ใช่เพียงดุด่าว่ากล่าวไปดาด ๆ แต่ต้องชี้ให้เขาเห็นจากทุกมุมว่าสิ่งที่เขาทำส่งผลกระทบไปถึงใคร ไปถึงอะไรบ้าง ต้องเสียความรู้สึก เสียความไว้วางใจของใคร ๆ  หนำซ้ำยังต้องเสียเวลาและใช้ความอดทนอดกลั้นมากมายแค่ไหนในขั้นตอนการแก้ไข อาชีพเราก็มองคนละมุมเดียวกันได้อย่างนี้ล่ะค่ะคุณพ่อ”

คุณพ่อทำหน้างง ๆ

“ผมก็สอนนะอาจารย์ไม่ใช่ไม่สอน ให้ดูผมเป็นตัวอย่าง ผมมาจากโคราช พี่น้องเยอะที่บ้านยากจน เดินไปโรงเรียน 4-5 กิโลทุกวัน เป็นคนเดียวที่บากบั่นฝ่าฟันจนจบปริญญาตรีมีการมีงานทำ ไม่เคยมีชีวิตสุขสบายแบบใครเขาเลยนะอาจารย์ ผมเลยไม่อยากให้ลูกต้องลำบากเหมือนผม งานการอะไรไม่ต้องทำทั้งนั้น ผมขอให้เขาเรียนอย่างเดียว ที่เหลืออยากได้อะไรขอให้บอก ทีวีมีทั้งชั้นล่างชั้นบน น้องนอนก็ติดแอร์ อยากให้เขาอยู่ในบ้านแล้วรู้สึกสบายจะได้อยู่ติดบ้าน อยากเล่นเกมส์ผมติดอินเทอร์เน็ตให้เลยนะ ไม่อยากให้ลูกออกไปเล่นร้านเกมส์กลัวเรื่องไปมั่วสุม สุดท้ายก็ไม่เอาอะไรทั้งนั้น ก็ยังกลับไปร้านเกมส์เหมือนเดิม บ้านช่องต้องตามให้เข้าทุกวัน ไม่งั้นก็ไม่รู้ไปเตร็ดเตร่อยู่แถวไหน”

“เท่าที่คุยกับกายมาอาจารย์ก็พอทราบแล้วล่ะค่ะว่าข้าวของเครื่องอำนวยความสะดวกน่ะเขามีครบแล้ว แต่ที่กายบอกอาจารย์ว่าเขาขาดคือขาดคนที่จะปรึกษาพูดคุยกับเขาต่างหากล่ะคะ ขอโทษนะคะคือทราบแล้วว่าคุณพ่อคุณแม่หย่ากันตั้งนานแล้ว คุณพ่องานเยอะแถมยังรับจ๊อบนอกอีก ก็แทบไม่อยู่บ้านเลย กายบอกว่าตื่นมาก็เห็นแต่สตังค์วางกองไว้ที่หัวเตียง บางเดือนไม่เจอคุณพ่อเลย เจอกันทีคุณพ่อก็หมดแรงแล้ว เขาพูดอะไรเล่าอะไรคุณพ่อก็ไม่มีอารมณ์จะคล้อยตามหรือหลงเหลือพลังงานพอจะไปสนใจไต่ถาม ก็ไม่แปลกหรอกค่ะที่เขาติดเพื่อน นาทีแบบนั้นอาจจะเป็นใครก็ได้แล้วล่ะค่ะ จะต้องไปควักตังค์เลี้ยงเขา จะเอาโทรศัพท์ไปให้เขาใช้ จะเอามอเตอร์ไซค์ไปให้เขายืมจนพังยับเยินเสียหาย ลูกคุณพ่อถึงได้ยอมเขาหมดไงคะ คงถือว่าเป็นต้นทุนแลกเพื่อนคุยเพื่อนเล่นคลายเหงาก็คงดี

ทีนี้เขาไม่รู้ว่าเวลาไปอยู่กับคนนอก แบบไหนถึงจะดี แบบไหนที่สังคมเขาชอบ แบบไหนที่เขาจะหมั่นไส้เอาได้  อาจารย์ก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าเพราะกายเขาไม่มีที่ปรึกษาเลยหรือเปล่านะคะ เลยเว้า ๆ แหว่ง ๆ ตัดสินใจทำอะไรแต่ละเรื่อง ผลออกมาก็ไม่ค่อยน่าพิสมัย ถูกใจใคร ๆ เสียเท่าไหร่  อาจารย์คุยกับเขาเมื่อวานทั้งวัน ปรากฎว่าเขาสามารถสรุปสาเหตุต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี แถมบอกได้ด้วยว่าต่อไปนี้ตัวเองต้องปรับแก้อะไรตรงไหน อาจารย์เห็นเขาเกิดสำนึกตรงนี้ จึงไม่ได้ให้อาจารย์ที่ปรึกษาโทรไปแจ้งคุณพ่อ แต่อยากให้ลูกชายคุณพ่อกลับไปสารภาพกับคุณพ่อเอง  เข้าใจไปเองว่าถ้าคุณพ่อได้ฟังสิ่งที่เขาคิดได้ทั้งหมด คุณพ่อคงภูมิใจในตัวเขาเหมือนที่อาจารย์รู้สึก  นึกว่าวันนี้คุณพ่อจะมาด้วยความภาคภูมิใจและพร้อมจะช่วยเขาผ่านเรื่องนี้ไปได้เสียอีก  เพิ่งทราบว่าคุณพ่อกลับไม่ได้ฟังเขาเลย การละเลยซึ่งกันและกันแบบนี้หรือเปล่าคะ ที่เกิดขึ้นตลอดเวลาระหว่างคุณพ่อกับกาย

อย่าว่าแต่เด็กอายุ 15-16 เลยค่ะ เป็นอาจารย์ อาจารย์ก็เคว้งค่ะ”

คุณพ่อที่นั่งกอดอกแน่นเมื่อครู่ ค่อย ๆ คลายมือลงไปประสานกันที่ตักแทน ต่อจากนี้ก็ได้นั่งฟังเจ้าเป็นไผฉบับคุณพ่อนายตำรวจผู้นี้เสียยาวเหยียด เข้าใจแล้วว่าคุณพ่ออยากจะพูดถึงความยากลำบากในอดีตให้ลูกฟังเผื่อลูกจะเกิดสะกิดใจ เห็นใจในความยากลำบากของตนแล้วเปลี่ยนพฤติกรรม? แต่ฟังจนจบก็ยัังไม่เห็นว่าคุณพ่อจะปรับในส่วนของคุณพ่ออย่างไรเลย

“เข้าใจว่าคุณพ่อคงสอนลูกแล้วล่ะเรื่องสิทธิ แต่มีอีกเรื่องหนึ่งที่เด็กควรจะทราบคือเรื่องหน้าที่ของเขาค่ะ สิทธิที่เขาควรจะได้รับในเรื่องต่าง ๆ นั้น เขาก็ต้องมีหน้าที่สำหรับเรื่องนั้น ๆ ด้วย การที่คุณพ่อจะตัดสินใจมอบของขวัญให้เขาสักชิ้นหนึ่ง ก็คงต้องดูให้สมควรแก่เหตุ สมควรแก่วัย เป็นไปตามเงื่อนไขที่ตกลงกัน ซื้อมอเตอร์ไซค์ให้เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกมาเรียน แต่ถ้าเขาเกเรหนีเรียน ไปโรงเรียนสาย นี่แปลว่าเขาไม่ทำตามข้อตกลง คุณพ่อก็ไม่ควรให้ หรือให้ไปแล้วก็ควรยึดคืน ค่าน้ำค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ตในบ้านเท่าไหร่ ควรไหม จะต้องมีทีวีทุกจุดตามที่เขาบัญชามา รายได้รวมของครอบครัวเท่าไหร่ แบกรับภาระค่าใช้จ่ายเหล่านี้ไหวไหม สมควรหรือไม่ บอกความจริงเขาไปเลยค่ะ แล้วสร้างข้อตกลงกันเป็นเรื่อง ๆ ไป  คุณพ่อลำบากมาก่อนยังไงล่ะคะ จึงเข้าใจถึงคุณค่าของเงิน เลยเป็นผู้เป็นคนเพราะอดทนอดออมมาจนมีวันนี้

แล้วทำไมไม่มอบประสบการณ์อันมีค่านั้นกับลูกต่อล่ะคะ ลูกเราจะได้เป็นคนคิดได้คิดเป็น มีอนาคตเลี้ยงดูตัวเองรอดแบบเรา นี่กลับให้เขาสบายเกินเหตุ เป็นเด็กตัวแค่นี้ได้ทุกอย่างสมหวังดังใจทุกประการ เป็นไปได้อย่างไร? แล้วสมควรไหมที่จะผลาญทุกอย่างเล่นได้ตามใจต้องการ

นี่มันเป็นบทเรียนชีวิตแบบไหนกันคะ?

ถ้าเขาชินกับชีวิตแบบนี้ แล้วพาลเข้าใจว่า ทุกอย่างในโลกนี้มันได้มาง่ายดายอย่างนี้ไปเสียหมด ทุำกคนบนโลกนี้มีหน้าที่บริการเขา รองรับเขาได้ทุกอย่างเหมือนที่คุณพ่อทำ  คุณพ่อกำลังสร้างโลกจำลองที่ไม่จริงให้ลูกคุณพ่อเรียนรู้อยู่หรือเปล่าคะ?”

กายสรุปให้คุณพ่อฟัง

“เมื่อวานอาจารย์ปูเขาพูดจนกายเข้าใจแล้วว่าที่กายทำทั้งหมดมันไม่มีประโยชน์กับใครเลย อาจารย์เขากดเครื่องคิดเลขให้กายดูแล้วว่า วันหนึ่ง ๆ เดือนหนึ่ง ๆ ปีหนึ่ง ๆ กายใช้เงินพ่อไปเท่าไหร่ พ่อเลยต้องออกไปรับจ๊อบนอกเพิ่มอีก กายก็เลยยิ่งต้องอยู่คนเดียวเข้าไปอีก อาจารย์เขาให้กายเลือกว่าจะอยู่อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ เจอพ่อน้อยลง หรือกายจะแก้ไขทุกอย่าง แล้วพ่อจะได้อยู่บ้านกับกายบ้าง กายบอกอาจารย์ปูแล้วว่ากายอยากให้พ่ออยู่บ้านมากกว่า”

พูดแล้วก็ก้มหน้าน้ำตาร่วงเผลาะ ๆ

คุณพ่อเงียบกริบเลยทีนี้

“อาจารย์ครับผมขอโทษทีที่เข้าใจอาจารย์ผิด ผมก็มัวทำแต่งานนะ ไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้หรอกครับ”

“ไม่เป็นไรค่ะ คุณพ่อ ต่อไปนี้เรากดปุ่ม reset กันใหม่เนอะ คุณพ่อก็ให้เวลาแกซักหน่อยนะคะ มีกันสองคนพ่อลูกเอง คุยกันเยอะ ๆ คุณพ่อจะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกเราบ้าง จะได้เห็นจากมุมของเขามากขึ้น กายก็เหมือนกันเนอะ ต้องเข้าใจคุณพ่อบ้างนะว่าคุณพ่อทำงานที่มีความเครียดสูง ตำรวจเดี๋ยวนี้ก็ยังคงถูกต่อว่าเืรื่องนู่นนี่ร้อยแปด ไปไหนก็เจอแต่ประชาชนยี้ซะเป็นส่วนใหญ่ กายก็ต้องดูแลและให้กำลังใจพ่อด้วยนะ”

เอ๊ะ นี่เราพูดเลยเถิดไปหรือยังหว่า เหลือบมองหน้าคุณพ่อแล้วก็ยังปกติดี แถมพยักหน้าหน่อย ๆ เหมือนเห็นด้วยกับเราเสียอีกนั่น

อย่ากระนั้นเลย ส่งพ่อลูกไปประสานยังฝ่ายต่าง ๆ เพื่อตรวจสอบเวลาเรียน ลงทะเบียนแก้รายวิชา+กิจกรรมต่าง ๆ ที่ขาดหนีไปทั้งหมด พร้อมทั้งมอบหมายอาจารย์ผู้ดูแลการบำเพ็ญประโยชน์ของกายต่อจากนี้อีก 1 เดือน

เย็นนั้นจึงนำประเด็น การมองคนละมุมเดียวกันระหว่างผู้ปกครองกับครูแบบเราเข้าสู่ที่ประชุมอาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อเรียนรู้ร่วมกัน แล้วก็ได้อีกหลายประเด็นใกล้เคียงกันที่เหล่าอาจารย์ที่ปรึกษาก็พบเจอมาคนละเรื่องสองเรื่อง

มีน้องผู้หญิงคนหนึ่งที่คิดนอกกรอบ แอบมากระซิบหลังเลิกประชุมว่า

“นั่นไงพี่ปู หนูคิดอยู่ตั้งนานว่าทำไมหนูคุยกับแฟนหนูที่เป็นตำรวจไม่ค่อยรู้เรื่อง ก็เพราะมันคนละมุมเดียวกันนี่เอง

เขาชอบว่าหนูคิดแบบครู เรื่องมากแบบครู จู้จี้แบบครูไม่เข้าใจสไตล์ตำรวจแบบเขา หนูก็ว่าเขาเป็นคนห้วน ๆ นะ ไม่ค่อยเข้าใจหนูเลย”

“เอ่อ ขอโทษนะเรื่องตำรวจนี่พี่ประสบการณ์น้อยว่ะ ไอ้ที่มีก็ล้วนแต่โหดมันฮาทั้งนั้น อย่าให้พี่เซดเลยไปหาศิราณีคนอื่นเหอะนะ เีดี๋ยวจะหาว่าพี่ไม่เตือน”

ก็ไม่รู้้น้องเขาเข้าใจว่ายังไง เห็นหัวเราะ ฮ่าๆๆ แล้วเดินหายไปเลยอ่ะค่ะ

แป่ว!

^^’

Post to Facebook

« « Prev : จาก VBAC สู่สุนทราภรณ์

Next : สาคูวัดใจ » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

10783 ความคิดเห็น