เมื่อเฒ่าหัวงูมาดูงาน
วันศุกร์ที่ผ่านมามีโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งมาขอเยี่ยมชมโรงเรียน นักเรียนแค่ 90 คน อาจารย์ 2 ท่าน เลี้ยงอาหาร ขนม น้ำ พาเยี่ยมชมการจัดการเรียนการสอน ห้องปฎิบัติการและการทำกิจกรรมต่าง ๆ มีผู้รับผิดชอบนำเสนอแต่ละส่วนอยู่แล้ว ไม่ยุ่งยากเลย
ครูปูมีหน้าที่คอยต้อนรับอาจารย์ผู้ใหญ่ที่มาด้วย บรรยายภาพรวมของการบริหารจัดการและตอบทุกคำถาม พาเยี่ยมชม ร่วมรับประทานอาหารเที่ยงด้วย มอบของที่ระลึก ร่วมถ่ายภาพเป็นที่ระลึกแล้วจัดรถไปส่ง เป็นอันเสร็จพิธี
ปัญหาที่เคยเจอสำหรับหน้าที่นี้คืออาจารย์ที่มาจากโรงเรียนรัฐ มักสงสัยในเรื่องวัยวุฒิของครูปูที่อาจดูไม่ค่อยเหมาะกับตำแหน่งนัก เพราะส่วนใหญ่ผู้บริหารมักมีวัยวุฒิระดับหนึ่งกันแล้ว
ไม่ใช่มีแต่อาวุธ (ปาก) เหมือนเรา ฮ่าๆๆ
ก็ไม่แน่ใจว่าคนที่ถามด้วยความสงสัยทั้งหมดนั้นจะได้คำตอบอะไรกลับไปบ้าง แต่ถ้าเรารู้ตัวแล้วว่าเราทำอะไรได้ก็ทำไปอย่างสุดความสามารถด้วยความบริสุทธิ์ใจก็คงไม่ต้องไปกังวลกับคำตอบในใจของใครต่อใครเขาหรอกเนอะ
(นี่ไงล่ะคะพี่เบิร์ดขา พวกศรัทธาจริต :P)
แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งอื่นแฮะ
อาจารย์ผู้ชายที่รับหน้าที่นำนักเรียนมานั้นอายุน่าจะใกล้ 60 อยู่รอมมะร่อกลับทำให้เจ้าบ้านอย่างครูปูกระอักกระอ่วนได้ดีพิลึก
เริ่มด้วยสายตาหยาดเยิ้มตั้งแต่ตอนครูปูแนะนำตัว ถามย้ำแล้วย้ำอีกถึงอายุ ไล่ไปถึงประวัติส่วนตัวนู่นนี่นั่น อาการนั่งบิดไปมาหัวเราะร่วนแบบที่ครูปูก็ยังงง ๆ ว่า(มัน)จะขำอะไรกันนักหนา(วะ)
ต่อด้วยไม่ว่าจะพูดอะไรก็เลี้ยวลงไป present ตัวเอง ประวัติชีิวิตเสเพลเอย ความโสดซิงจริง ๆ นะจ๊ะเอย (who cares?)
ไอ้เราก็ควบคุมอาการสุดฤทธิ์
อ๋อ.. เหรอคะ
อ๋อ.. ค่ะ
อืม ค่ะ
ยิ้มไปฝืนไปใจก็นึกถึง Focky ที่บ้านอยากจะเอามาฉีดพรมเหงือกเพื่อไม่ให้ริมฝีปากติดค้างอยู่บนนั้นตอนหุบยิ้มลงมาเสียเหลือเกิน
อยู่ดี ๆ พี่แกก็ควักสมุดจดโทรศัพท์ออกมา
“รบกวนขอชื่อและเบอร์โทรทุกเบอร์ที่ท่านรองมีด้วยนะครับ”
จดเบอร์โทรของโรงเรียนและเบอร์มือถือให้ไปตามมารยาท เพื่อเป็นการให้เกียรติอาจารย์เขาจะได้สามารถติดต่อเราได้โดยตรงเผื่อมีโครงการความร่วมมืออื่นใดในอนาคต พอยื่นคืนให้ดันผลักกลับมาแล้วบอกว่า “
ขอทุกเบอร์ที่มีเลยนะครับ”
เลยตอบไปว่า 2 หมายเลขนั้นเพียงพอที่จะติดต่อได้แล้ว
สิ่งที่ได้คือค้อนและเม้มปาก ยิ้มกรุ้มกริ่มใส่เหมือนเป็นเพื่อนเล่น
แหม ท่านรองนะท่านรองแค่นี้ก็หวงไปได้
(ฮึ่ม!!)
อย่านะปูเอ๊ย เย็นไว้ลูก เย็นไว้ เธอ รษก.อยู่นะ นี่ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวอย่างเดียวนาเฟ๊ย
ต่อด้วยการพูดคุยที่เต็มไปด้วยเรื่องตลกโปกฮาแบบ 2 แง่ 3 ง่าม ครูปูก็ได้แต่วางหน้าเฉย ๆ ตอบเฉพาะเรื่องที่เป็นเรื่อง ก็จะให้ทำอย่างไรได้คนไม่มีมารยาทจะให้ไปอบรมกลางอากาศคงไม่ทันแก่เหตุแล้วล่ะค่ะ
รู้แล้วว่าความสนใจแกคงไม่ได้อยู่ที่เรื่องงานแล้วจึงขอตัวไปทำงานอื่นก่อน พอใกล้เวลาแล้วจึงกลับมาคุยต่อ
เคราะห์ซ้ำกรรมกระแทก!
พี่แกยังไม่ยอมหยุด
เจอทีท่าเฉย ๆ ของเราก็เลยเปลี่ยนกลยุทธ์เป็นการเกทับบลั๊ฟแหลกแทน
ดั๊น! ชวนคุยเรื่องการเมือง แถมยังมาชี้หน้าเราอีกนะ
“ได้ตามข่าวบ้างมั้ย ตามมั้ย ๆ ถ้าไม่รู้เรื่องเดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง”
(แหม… พอไม่ friend ก็ enemy เลยนะหล่อน)
“อ๋อ เหรอคะ มันยังไงนะคะ อยากรู้อยู่เหมือนกันหล่ะค่ะ” (กร่อด…กร่อด…)
ว่าแล้วพี่แกก็แพล่มไปเรื่อย คดีความที่ดินหน่ะคนมันอิจฉาศาลมันก็ฮั้วกัน ไม่มีข้อมูลอะไรเลยอ้างคำเดียวว่าคนมันอิจฉา
พอถูกถามก็เปลี่ยนไปเรื่องนู้นเรื่องนี้
อาจารย์ผู้หญิงที่มาด้วยก็ซักแต่แกไม่ฟัง ไม่ตอบ เลี่ยงไปเรื่อย
อุณหภูมิคงกำลังได้ที่อาจารย์ผู้หญิงจึงต่อว่า ว่าพูดไม่รู้เรื่อง ตอบไม่ตรงคำถาม แถไปเรื่อย
(เห็นไหมคะ บอกแล้วว่าอย่าชวนคุยเรื่องการเมืองกันก็ไม่เชื่อ)
ไอ้เราก็ว่าจะไม่แล้วเชียวน้า… (อย่าไปเชื่อค่ะ อย่าไปเชื่อ) ทนไม่ไหวซักค้านแกเป็นระยะ ไล่ถามแกทีละเรื่องให้แกตอบแล้วถามเพื่อสรุป
“ตกลงอาจารย์คิดว่านา_กในดวงใจของอาจารย์นี่ผิดไหมคะ ผิดไหมคะอาจารย์ต้องตอบคำถามนี้ก่อนค่ะ“
“เอ่อ…มันก็ผิดนั่นแหละ แต่แหม…คนอื่นไม่เคยทำเหรอ ไม่เห็นไปจับคนอื่นบ้างล่ะ ถ้าปล่อยก็ต้องปล่อยทุกคนสิ”
“งั้นจบค่ะอาจารย์ ขนาดอาจารย์ถือหางเขาอาจารย์ยังว่าเขาผิดแสดงว่าเรื่องความชอบความศรัทธามันก็เรื่องนึง เรื่องถูกเรื่องผิดก็ต้องว่าไปตามนั้น อาจารย์นี่เป็นคนที่มีความยุติธรรมมากเลย เห็นด้วยกับอาจารย์เลยค่ะ
แต่ประเด็นว่าคนอื่นไม่เคยทำเหรอ เราก็คงไปรู้ทุกเรื่องไม่ได้หรอกนะคะแต่เรากำลังคุยเรื่องคนนี้คนเดียว ไว้วันหลังหลักฐานใครโผล่มาอีกเราค่อยมาคุยกันใหม่ (คงจะมีวันนั้นหรอกนะยะ!)
ก็เอาเป็นเรื่อง ๆ ไปนะคะ ส่วนจะไปเหมารวมว่าไอ้ความผิดแบบนี้ใคร ๆ เขาก็ทำกันถ้าจับก็ต้องจับให้หมดถ้าไม่จับก็ไม่น่าไปถือโทษกับคนคนนี้เลย อันนี้ไม่ใช่แล้วมังคะ ทำผิดทำถูกไม่สำคัญขอให้เป็นสิ่งที่คนเขาทำกันเยอะๆ ก็ถือว่าไม่เป็นไรเหรอคะ ?
ขโมยขึ้นบ้านอาจารย์แล้วตำรวจจับได้มันบอกว่าเพื่อนมันก็เคยขึ้นอีกหลังนึงแน่ะ ทำไมตำรวจไม่เห็นไปจับเพื่อนมันบ้างล่ะ อาจารย์จะให้ตำรวจปล่อยไอ้หมอนี่ไปทั้ง ๆ ที่มันยังถือข้าวของของอาจารย์อยู่โทนโท่เนี่ยะนะ ?
คนเป็นครูบาอาจารย์แบบเราคงต้องระวังความคิดแบบนี้มาก ๆ เหมือนกันนะคะเพราะมันอันตรายต่อการสร้างจิตสำนึกให้กับเด็ก ๆ
ไอ้ที่บ้านเมืองเรามันวุ่นวายอยู่นี่ก็เพราะคนในสังคมขาดจิตสำนึกกันแบบนี้แหละค่ะ
มันทำให้คนไม่รู้น้ำหนักกะไม่ถูก จะพูด จะคิด จะทำ จะวางตัว ไม่รู้แค่ไหนเหมาะ ไม่รู้เมื่อไหร่พอ มันกะผิดไปหมด
แล้วไอ้ที่น่ากลัวคือไม่รู้ตัวด้วยสิคะ ใครจะส่งสัญญาณอะไร ยังไงก็ไม่รู้เรื่อง ใครเขาจะบอกจะเตือนก็ไม่กล้าทำได้แค่วางเฉยกันไปรอให้รู้ตัวเอง
ขนาดเขาเฉยจนผิดสังเกตแล้วก็ยังไม่รู้ตัวอีก ไม่ฟังใคร ไม่เอ๊ะ ไม่เฉลียวใจ ไม่รู้จักสังเกต อันนี้นี่พาลให้เสียชื่อ เสียงาน เีสียความเคารพนับถือที่ตัวเองมีไปได้เลยนะคะ”
(อาจารย์ผู้หญิงยิ้มแก้มแทบปริ หลังจากนั่งฟังมานานเพราะเถียงอาจารย์ผู้ชายไม่ทัน)
“ใช่ๆๆ อย่างน้องพูดนี่ถูกเลย แหม พี่ยังไม่เคยเห็นใครอธิบายให้แกฟังได้อย่างนี้สักที รอมานานแล้วได้แต่ว่าแกว่าแถไปเรื่อย ข้าง ๆ คู ๆ แกก็ไม่เคยฟังใคร”
(หันไปทางอาจารย์ผู้ชาย)
“เห็นมั้ยพี่หนูบอกพี่แล้วนะว่าต้องคุยกันแบบใช้เหตุใช้ผลแบบนี้ ที่พี่พูดมาไม่สมเหตุสมผลซักกะอย่าง ตอบอะไรก็ไม่เห็นจะได้ แล้วอย่ามาโกรธน้องเขาล่ะ พี่เป็นคนชวนน้องเค้าคุยเองนะ”
เอ่อ… พี่เบิร์ดขา กรรมฐานที่ว่าตรงกับจริตหนูนี่ มันอะไรแล้วนะคะ สงสัยหนูคงต้องขอลาไปปฎิบัติใหม่อีกนานเลยล่ะค่ะ
ว่าแล้วอี่น้องก็คงจะต้องข๊อ…ลาาาาาา
เตร๊ง..เตรง…เตร่ง…เตร๊ง….
Next : ศิษย์อกตัญญูหาว่าครู”ไม่มีน้ำยา” » »
ความคิดเห็นสำหรับ "เมื่อเฒ่าหัวงูมาดูงาน"